คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ลู่วิทยาฮุนวิศวะ : 12
แสงแดดยังคงจ้าแม้เวลาจะล่วงเลยเข้าสู่ช่วงบ่ายแก่ๆแล้วก็ตาม ผมเดินหลบแดดมาตามซอยเล็กๆด้านหลังคณะที่สามารถเชื่อมต่อไปยังหน้ามหาวิทยาลัยได้ ตลอดทางเดินวันนี้เต็มไปด้วยนักศึกษาเพราะตลาดนัดยังไม่เก็บ มีเจ้าหน้าที่จากหลายๆคณะเดินกันขวักไขว่ ก่อนที่ผมจะเสียเงินให้กับของกินตรงหน้ามากไปกว่านี้ ผมจึงรีบเร่งเท้าเดินออกมาในที่สุด
สองมือของผมถือถุงข้าวกล่องอยู่เกือบสิบกล่องหลังจากที่เด็กวิศวะฯตัวโตคนเดิมโทรมาบอกผมว่าเย็นนี้ที่คณะของเขามีกิจกรรม ผมเองก็ไม่รู้ว่ากิจกรรมนั้นคืออะไร แต่ฮุนก็ขอร้องแกมสั่งมาว่าให้ช่วยซื้อข้าวกล่องมาให้เขากับเพื่อนๆหน่อยหลังจากที่ผมเลิกเรียนแล้ว ผมเองก็ไม่มีปัญหาเพราะโรงอาหารกลางอยู่ติดกับคณะ ผมจึงเลือกเมนูง่ายๆอย่างข้าวหมูกระเทียมให้พวกเขาไปสิบกล่องตามต้องการ
ผมเดินลัดเข้ามาด้านหลังตึกเก่าของคณะวิศวกรรมศาสตร์ตามที่ฮุนบอกมาในไลน์เมื่อชั่วโมงที่แล้ว ตรงหน้าของผมคือสนามฟุตบอลและอัฒจรรย์ที่มีนักศึกษายืนอยู่กลางแดดเต็มไปหมด
“ก้มหน้าครับ! ผมบอกให้พวกคุณเงยหน้าขึ้นมาแล้วหรือไง!”
ผมสะดุ้งตกใจเมื่อเสียงดังของรุ่นพี่คนหนึ่งตะโกนออกมา ไม่รู้ว่าอยู่ปีไหนปีเดียวกับผมหรือว่ารุ่นพี่ปี4 ผมพยายามมองซ้าย มองขวาไปรอบๆที่ผมยืนอยู่เพื่อจะหาคนที่นัดผมเอาไว้แต่ก็ยังไม่เจอ เมื่อแน่ใจว่าฮุนไม่ได้อยู่แถวนี้ ผมจึงวางถุงข้าวกล่องลงบนโต๊ะแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
“พวกคุณคิดว่าตลอด3เดือนที่ผ่านมา คุณมีความพร้อมพอหรือยังที่จะเป็นรุ่นน้องของพวกผม!”
“ครับ/ค่ะ”
“เสียงมีแค่นี้หรือไง กอดคอ! 10 ครั้ง!”
ผมยกโทรศัพท์ค้างไว้อย่างนั้นเมื่อพี่ว้ากคนเดิมยังคงตะโกนเสียงดังและสั่งทำโทษรุ่นน้องที่ยืนเข้าแถวกลางแดดอยู่ร่วม 300 ชีวิต
“10 ครั้ง”
“เริ่ม!!”
หลังสิ้นเสียงให้เริ่ม พวกเด็กปีหนึ่งก็กอดคอลุกนั่งกันพร้อมนับเสียงดัง 10 ครั้งอย่างพร้อมเพรียง ผมเห็นว่าน้องๆแต่ละคนหน้าเริ่มแดงและเหงื่อเริ่มออกหวิดจะเป็นลมอยู่หลายคน แต่อีกมุมหนึ่งทุกคนก็ดูแลซึ่งกันและกันได้ดี
ผมรู้ว่าการรับน้องของแต่ละคณะไม่เหมือนกัน อย่างช่วงเปิดเทอมแรกๆที่คณะผมก็มี ทั้งการละลายพฤติกรรม ทำกิจกรรมร่วมกัน หรือการทำโทษเช่นนี้ เพียงแต่คณะของผมสิ้นสุดการรับน้องไปตั้งแต่หมดงานเฟรชชี่คืนนั้นแล้ว แต่วิศวะฯที่ขึ้นชื่อเรื่องการรับน้องและการรักน้องคงจะมีอะไรอย่างอื่นที่แตกต่างกับคณะอื่นๆในมหาวิทยาลัย
“อ้าว ลู่...มานานยัง”
ผมละสายตาออกจากกลางสนามฟุตบอลมายังคนที่ส่งเสียงทัก ร่างสูงของชานกำลังยิ้มให้ผมก่อนจะมองไปยังถุงข้าวกล่องตรงหน้า
“ของพวกเราป่ะ”
“ใช่ๆ ฮุนฝากให้ซื้อมาให้”
ชานทิ้งตัวลงนั่ง เขาหยิบข้าวออกมากล่องหนึ่งและเปิดกินทันที แต่ก็ไม่ลืมที่จะฉุดผมให้ลงมานั่งข้างๆกันด้วย แขนยาวๆของชานลากถุงใส่ข้าวกล่องออกไปไว้ตรงที่นั่งด้านข้างเพื่อให้พวกเรามองเห็นรุ่นน้องในสนามอีกครั้ง ก่อนที่ผมจะเอ่ยถามเพื่อนคนเดียวในตอนนี้
“ยังรับน้องกันไม่เสร็จอีกหรอ? เห็นปิดประชุมเชียร์ไปตั้งแต่งานเฟรชชี่”
“วันนี้สุดท้ายแล้ว”
“ทำโทษกันยันวันสุดท้ายเลยเนี่ยนะ โหดสมคำร่ำลือ”
ผมเปรยออกมาให้คนข้างๆหัวเราะ ชานกินข้าวเร็วมาก ไม่ทันไรเขาก็ใช้ช้อนพลาสติกกวาดเศษข้าวเข้าปากคำสุดท้ายแล้วบิดฝาขวดน้ำกระดกตามปิดท้าย ก่อนจะหันมามองหน้าผม
“ทำโทษนี่เรื่องปกติแล้วลู่ น้องมันก็ชินกันแล้ว อีกอย่างวันนี้มันวันสุดท้าย อย่าว่าแต่รุ่นน้องอยากให้จบเร็วๆ พวกเราหรือไอ้พวกตัวว้ากยังอยากให้รีบจบๆกิจกรรมเลย”
“แล้ววันสุดท้ายแบบนี้มีอะไรพิเศษป่ะ จะมีดราม่าเสียน้ำตาเหมือนคณะอื่นไหม”
อย่างคณะของผมนี่มีพิธีบายศรีรับขวัญน้องๆ พวกเราใช้วิธีสร้างสถานการณ์ที่ทำให้น้องๆกริ่งเกรง ก่อนจะบรีฟให้น้องๆตกใจกลัวจนจิตตก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องความสามัคคี ความรับผิดชอบต่อเพื่อนและสถาบัน สุดท้ายก็เป็นการจุดเทียน ผูกข้อมือรับเข้าเป็นรุ่นน้อง ผมก็เห็นว่าเป็นแบบนี้กันมาทุกปี แล้วก็น้ำตาไหลพรากสำเร็จอยู่ทุกรุ่น ไม่รู้ว่าวิศวะฯแตกต่างจากคณะอื่นหรือเปล่า
“ดราม่าเสียน้ำตาคงไม่มีแล้วมั้ง พวกปีหนึ่งมันเสียน้ำตากันมาเยอะแล้ว...วันนี้พวกเรามีแจกเกียร์น่ะ เกรียร์ประจำรุ่น”
“เกียร์? คืออะไร?”
ผมไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่อยู่แล้ว เพื่อนที่คบหาก็มีแต่เพื่อนในคณะตัวเอง ไม่เคยรู้เรื่องราวภายนอกของคนอื่นเขาหรอก แต่พอผมถามแบบนั้นชานกลับหัวเราะแล้วยิ้มผมล้อๆจนต้องเลิกคิ้วถาม
“เกียร์อ่ะลู่ นี่ไง”
อยู่ๆชานก็ควัก ‘เกียร์’ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อชอปให้ผมดู ผมกระพริบตาปริบๆมองของตรงหน้าที่มีเชือกห้อยอยู่ ผมรู้ว่าเกียร์คือสัญลักษณ์ของคณะเขาอยู่แล้ว แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือรอยยิ้มของชานมากกว่า
“พวกเราให้เกียร์รุ่นน้องไปก็เหมือนรับพวกเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคณะนี่แหละ เขาจะมีรุ่นเป็นของตัวเอง เด็กวิศวะที่ร่วมกิจกรรมด้วยกันเค้ามีเกียร์กันทั้งนั้น ถือว่าเป็นของสำคัญ เพราะกว่าจะได้มาแม่งยากมาก...แล้วพอมันเป็นของสำคัญ พวกเด็กวิศวะก็จะยกเกียร์ให้คนสำคัญอะไรแบบนั้นไง”
“ขนาดนั้นเลยหรอ”
ชานพยักหน้าตอบผม ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องในสนามเริ่มเปลี่ยนเป็นต่อแถวใหม่กันแล้ว แต่ชานก็ยังไม่วายยกมือขึ้นกอดคอผมให้เข้าไปใกล้เพื่อที่จะฟังเขาพูดได้ถนัด
“อย่างเกียร์ของไอ้ฮุนน่ะ มันคงเก็บไว้ให้ลู่อยู่แล้วแหละ”
ว่าจบชานก็กระโดดข้ามเก้าอี้ตรงหน้ารีบไปรวมกลุ่มกับเพื่อนในสนามทันที และตอนนั้นเองที่ผมมองเห็นฮุนยืนอยู่ตรงนั้น ฮุนอยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวติดกระดุมคอ ผูกไทด์ กางเกงแสลคสีดำและทรงผมที่เซ็ตมาอย่างดี ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมไม่ต่างกับกลุ่มพี่ว้ากที่กำลังพูดอยู่ จนเมื่อชานเดินเข้าไปใกล้ พูดอะไรกับเขานิดหน่อย ฮุนก็หันมาที่ผม เขายิ้มให้ ก่อนจะหันหน้ากลับไปจัดการกับกิจกรรมของตัวเอง
ผมนั่งรอได้ไม่นาน แถวของน้องปีหนึ่งก็กลับมานั่งลงบนสนามหญ้าด้วยท่าทางผ่อนคลายกว่าตอนแรกมาก อาการเกร็งต่อหน้ารุ่นพี่ลดลงและเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มมากขึ้น ท่าทางยินดีของทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องทำให้ผมหวนนึกกลับไปถึงสิ่งที่ชานได้พูดเอาไว้
‘เพราะกว่าจะได้มาแม่งยากมาก’ เพราะแบบนั้นจึงทำให้เห็นคุณค่าล่ะมั้ง
.
.
“โทษทีนะลู่ เลยต้องมารอนานเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก มาดูแบบนี้ก็สนุกดี เพลินๆ”
ฮุนเดินกลับเข้ามาตรงที่ผมนั่งอยู่ เขาขอโทษพร้อมด้วยใบหน้ายิ้มๆที่เต็มไปด้วยเหงื่อ เห็นแบบนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะจับไหล่เขาให้หันหน้ามาหากันแล้วเป็นฝ่ายคลายเนคไทด์ให้ ผมสาละวนในการปลดกระดุมคอเสื้อให้เขา ก่อนจะคุ้ยหาของในกระเป๋าผ้าของตัวเอง
“เช็ดหน้าก่อน ร้อนมากอ่ะดิ”
ฮุนรับกระดาษทิชชู่จากมือผมไปซับเหงื่อ เขาแกะกระดุมที่แขนเสื้อแล้วดันๆมันขึ้นถึงข้อศอกลวกๆจนผมต้องรั้งแขนเขามาแล้วจัดการพับให้แทน
“ยิ้มอะไร? มองแบบนี้เดี๋ยวเราจิ้มตา”
เขามองผมด้วยแววตาวิบวับ ท่าทางของฮุนดูพอใจในตัวผมมากที่ทำแบบนี้ให้เขา ยิ่งเขาเห็นผมขู่จะจิ้มตาด้วยการยกสองนิ้วขึ้นมาตรงหน้ายิ่งทำให้เขาอารมณ์ดีจนผมเริ่มรู้สึกร้อนๆที่แก้มแทน ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่กับเขาแค่สองคนเหมือนทุกครั้ง มีสายตาหลายสิบคู่กำลังมองมา และนั่นทำให้ผมเริ่มทำตัวไม่ถูก
“เดี๋ยวเราเอาข้าวกล่องไปให้ไอ้พวกนั้นก่อน ไปด้วยกันไหม?”
“เรารอนี่ดีกว่า ไม่รู้จักใครอ่ะ” ฮุนไม่ว่าอะไรเมื่อผมปฏิเสธที่จะไปด้วย เขาเดินถือถุงข้าวหายไปกับกลุ่มเสื้อชอป ปล่อยผมไว้กับโทรศัพท์มือถือ
ผมไถหน้าจอเข้าเฟซบุ๊ค เลื่อนดูข่าวหน้าไทม์ไลน์ไปเรื่อยจนเจอเข้ากับรูปของฮุนที่เพิ่งอัพไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว เขาถ่ายเซลฟี่ตัวเองทำหน้าขรึมๆดุๆ ในมือของเขาถือเชือกกำมะหยี่สีเลือดหมูที่ห้อยเกียร์ประจำรุ่นเอาไว้โดยไร้แคปชั่น แต่นั่นกลับเรียกยอดไลค์ได้มากแถมยังมีคอมเม้นท์อีกเป็นร้อยๆข้อความ
ผมนั่งยิ้มเมื่อแฟนคลับของเขาคอมเม้นท์อะไรตลกๆ อย่างเช่น อยากได้เกียร์จากฮุน หรือ ไม่ขอเกียร์แต่ขอฮุนแทนเลยก็ได้ มีบ้างที่พาดพิงถึงผม ติดแท็กชื่อเฟซบุ๊คผมมาบ้าง แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมถือสาอะไร ผมยังคงไล่อ่านลงมาเรื่อยๆ ก่อนจะสะดุดใจกับคอมเม้นท์หนึ่งที่ทำให้ผมจ้องอ่านข้อความนั้นอยู่นาน
‘เกียร์ของพี่ฮุน ก็ต้องอยู่กับน้องรินอยู่แล้ว ของสำคัญเขาก็ต้องให้คนสำคัญสิ’
รินไหน? คนสำคัญอย่างนั้นเหรอ?
ผมหยุดค้างอยู่ที่ข้อความนั้นไม่นาน รูปภาพรูปหนึ่งก็ถูกอัปโหลดขึ้นมาต่อจากคอมเม้นท์นั้น
ภาพของฮุนในสนามเมื่อสักครู่ กำลังยื่นเกียร์ประจำรุ่นให้รุ่นน้องผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าน่ารักคล้ายตุ๊กตากำลังยิ้มให้กับฮุน โดยที่ใบหน้าเฉยเมยเป็นปกติของฮุนก็ติดจะยิ้มออกมาเหมือนกัน ข้อความที่ทิ้งท้ายไว้ทำให้ผมตัดสินใจกดออกจากแอพพลิเคชั่นทันที
‘ตอนนี้รับเกียร์ของรุ่นไปก่อน เดี๋ยวอีกแป๊บคงได้เกียร์ของเจ้าตัว’
ผมเลิกสนใจและเลิกใส่ใจข้อความพวกนั้น ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรคนที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุดก็คงมีแต่ฮุนคนเดียว ผมเชื่อเขามาตลอดกับความชัดเจนที่ฮุนมีให้ ผมไม่คิดว่าเขาจะคุยกับใครไปทั่วพร้อมๆที่คุยกับผม แต่ไม่รู้ทำไม ผมถึงกลับรู้สึกไม่โอเคกับข้อความพวกนั้น
ฮุนหายไปกับกลุ่มเพื่อนสักพักจนผมแปลกใจ ผมหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสะพายก่อนจะเดินออกมาหาเขา อย่างน้อยถ้าฮุนจะอยู่คุยกับเพื่อนต่อผมจะได้กลับก่อน ให้ผมกลับไปฟุ้งซ่านที่ห้องคนเดียวน่าจะดีกว่า
“ชาน...ฮุนล่ะ?”
ผมเห็นชานกำลังนั่งคุยกับเพื่อนอยู่ ตรงนั้นคือกลุ่มของฮุนที่ผมรู้จักและคุ้นหน้า พวกเขาทักทายผมซ้ำยังชวนให้มานั่งคุยกันก่อน แต่ตอนนี้ผมอยากหาฮุนมากกว่า
“เมื่อกี๊มันเอาข้าวมาให้ แล้วมันก็ไปไหนไม่รู้ว่ะ ไม่ได้ไปหาลู่หรอ”
“เปล่าอ่ะ เราเห็นว่าฮุนไม่กลับมาสักทีเลยลองเดินมาหาดู งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวเราลองเดินหาดู”
“โทรตามยัง?”
“โทรศัพท์ฮุนอยู่กับเรา”
ผมหยิบโทรศัพท์มือถือของฮุนให้ชานดู เขายัดทั้งกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าผ้าของผมอยู่ตลอดทุกครั้ง...เมื่อชานเห็นแบบนั้นก็บอกว่าไม่รู้จะช่วยตามได้ยังไงเหมือนกัน ฮุนอาจจะไปห้องน้ำ หรือเข้าตึกไปเอาของ และบอกให้ผมลองเดินไปดูก็ได้
“ถ้าฮุนกลับมาบอกให้รอเราตรงนี้นะ หรือชานโทรมาบอกเราก็ได้”
ชานตอบตกลง หากแต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินไปไหน อยู่ๆโทรศัพท์ของฮุนที่อยู่ในมือผมก็สั่นขึ้น มันมาจากแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊คที่แจ้งเตือนว่ามีคนโพสต์รูปลงที่หน้าวอลของฮุน ผมเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นมันสั่นเตือนอีกครั้งและมีข้อความหลายๆข้อความติดกันตามมา
ผมไม่ใช่คนเจ้ากี้เจ้าการ ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย แต่แจ้งเตือนพวกนั้นมีชื่อผู้หญิงคนที่ผมเก็บมาคิดขึ้นในข้อความจนต้องตัดสินใจเปิดดู
ภาพของฮุนที่ยื่นเกียร์อันเล็กออกมาให้สาวรุ่นน้องด้วยร้อยยิ้มเขินๆถูกโพสต์ลงมาบนหน้าวอล ตามมาด้วยข้อความนับสิบที่แซวอย่างออกนอกหน้า
‘แจกเกียร์น้องไปแล้วไม่ใช่หรอ นี่มึงควักเกียร์ตัวเองให้น้องรินเป็นการแถมหรือไง’
‘สาววิศวะน่ารักๆก็โคตรน้อย แม่งเสร็จไอ้เสือฮุนไปซะและ’
‘น้องรินนางฟ้าของพี่ อย่าไปรับมันนะครับ’
‘พี่ฮุนให้เกียร์ไอรินจริงๆด้วย’
ผมอ่านตามข้อความพวกนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก หงุดหงิด ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ แต่มันก็ไม่เท่ารูปภาพรูปเดียวที่ผมกำลังเปิดอยู่ตอนนี้
“ชาน!...นี่คือตรงไหน พาเราไปหน่อย”
ผมยื่นรูปให้ชานดู เสียงของผมคงแสดงความไม่ชอบใจออกมา จากที่เขากำลังหัวเราะให้กับเพื่อนๆกลายเป็นว่ากลุ่มเพื่อนของฮุนชะโงกหน้ามาดูในโทรศัพท์มือถือกันทุกคนพร้อมๆกับรอยยิ้มที่เริ่มหุบลงทีละคน
“เฮ้ยลู่ ใจเย็น”
“พาเราไป”
ผมย้ำกับพวกเขาอีกครั้งก่อนที่ชานจะเป็นฝ่ายลากข้อมือผมให้เดินตาม เพื่อนๆอีกสามคนก็รีบเดินตามมาพร้อมทั้งเลื่อนเฟซบุ๊คของฮุนตามไปด้วย
“เชี่ยแม่ง เป็นกระแสเลยว่ะ มึงตายแน่ไอ้ฮุน”
ผมได้ยินเสียงพวกเขาที่บ่นอยู่ด้านหลัง แต่มันก็ไม่เท่ากับเสียงหัวใจของผมที่เต้นดังด้วยความกระวนกระวาย ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหน ทำไมชานถึงปล่อยข้อมือผมออก แล้วเปลี่ยนเอามือใหญ่ๆนั้นรั้งผมให้เดินเข้าไปชิดตัวเขามากขึ้น ก่อนจะลูบหัวผมเบาๆและรั้งให้เดินมาด้วยกัน
ผมมองไม่เห็นทางข้างหน้า ไม่รู้ว่าเดินมาไกลแค่ไหน หน้าเฟซบุ๊คของฮุนคงมีแต่คนยินดีให้กับพวกเขา...พอยิ่งคิดผมยิ่งกำมือของตัวเองแน่น ชานกดหัวผมให้ซบเขาเอาไว้ และตอนนั้นผมถึงได้รู้ว่าตัวผมกำลังสั่น สั่นเพราะโกรธ สั่นเพราะกลัว และสั่นเพราะผมกำลังพยายามกลั้นก้อนสะอื้น
“อึก...”
“ลู่ใจเย็น อย่าร้องดิวะ”
ชานหยุดขาลงก่อนจะผละออกจากผม เขาเสยผมลวกๆแล้วบีบไหล่ผมไว้ ผมถูกเขาเอาชายเสื้อชอปขึ้นมาถูตา ถูจมูกเช็ดน้ำตาให้ก่อนจะพูดกับผมอีกครั้ง
“มันนั่งอยู่นั่น...อยากทำอะไรก็ทำ กูจะไม่แก้ตัวอะไรให้ไอ้ฮุนทั้งนั้น เพราะกูก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน ตัดสินใจเอาเอง แต่ไม่ใช่คิดไปเองนะลู่”
“อืม”
ชานดันหลังผมให้เดินออกไป ฮุนยังคงนั่งอยู่กับไอรินด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้พวกเขา ฮุนก็หันมาเห็นผมก่อน เขาทำท่าจะลุกขึ้นเดินออกมาหาผม ทว่ายังไม่ทันได้เดินมือเล็กๆของหญิงสาวตรงหน้ากลับรั้งฮุนไว้ ผมจ้องมองมือของทั้งสองคน ก่อนจะละสายตากลับมามองที่ฮุน
ผมรู้สึกว่า...ผมยังไม่อยากคุยกับเขาตอนนี้
“เรามีธุระว่ะฮุน ขอกลับก่อนนะ”
ผมบอกเขาเท่านั้น ก่อนจะหยิบเอากระเป๋าสตางค์ออกมาวางให้ ตามด้วยโทรศัพท์มือถือของเขาที่ผมกำเอาไว้แน่น ผมวางมันทับบนกระเป๋าสตางค์ ภาพหน้าจอบนโทรศัพท์ที่ผมเปิดค้างไว้ยังคงเป็นภาพเดิมกับที่ผมไม่พอใจอยู่ตอนนี้ ผมรู้ว่าเขามองมัน ทว่าฮุนก็คงตามผมที่เดินหนีออกมาไม่ทันแล้ว
ผมน่าจะรู้...น่าจะรู้ด้วยซ้ำว่าผมไม่มีสิทธิ์ไม่พอใจเขาแบบนี้
เราไม่ได้เป็นอะไรกัน
TBC
ตอนเขาชวนเป็นอะไรกันก็ไม่ยอมเป็นกะเขาเองนะ
น้องรินคือไอรีนนะคะ
ที่ชานขึ้นกูมึงกับลู่คือชานจริงจังนะ ชานเห็นลู่เป็นเพื่อนคนนึง เลยหลุดไม่สุภาพ
ตอนนี้พระเอกค่าตัวแพง เราเลยเอาไปจ้างชานหมดแล้ว T^T
ไว้ตอนหน้ามาเคลียร์กันเนาะ ฟิคเราไม่ดราม่าอะไรทั้งนั้นอยู่แล้วค่า หายห่วง
สกอป
ความคิดเห็น