คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ลู่วิทยาฮุนวิศวะ : 13
นักศึกษาในชุดเสื้อชอปหลายคนมองตรงมาด้วยความอยากรู้ หากแต่ไม่มีใครใจกล้าเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นคนตาแดงและจมูกแดงเดินหน้าตึงๆผ่านไป เสียงฝีเท้าหนักๆหลายคู่ที่ก้าวเดินตามมาไม่ได้ทำให้ผมหันกลับไปมองแต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าเป็นใคร
“เดี๋ยวลู่...จะไปไหน คุยกับไอ้ฮุนเสร็จแล้วหรือไง?”
เสียงทุ้มของชานเรียกให้หยุดเดิน พร้อมกับฝ่ามือใหญ่ที่รั้งต้นแขนผมเอาไว้ เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่พอหันกลับไปสบตาถึงได้รู้ว่าดวงตากลมโตคู่นั้นของชานเต็มไปด้วยความห่วงใย มองเลยไปอีกก็เห็นเพื่อนในกลุ่มของเขามองกลับมาด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน
ผมแกะมือของชานที่จับอยู่ออกอย่างเบามือ ก่อนจะเงยหน้าสบตากับเขา แม้ว่าตอนนี้ผมจะยังหน้าตึงอยู่ แล้วไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกคัดจมูกจนต้องถูจมูกตัวเองแรงๆพร้อมทั้งปาดคราบน้ำใสที่หางตาทิ้ง ก่อนจะฝืนยิ้มออกมาให้พวกเขาสบายใจ
“เราจะกลับแล้ว อยู่ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา...เรายังไม่อยากคุยกับฮุนตอนนี้”
“ทำไม? เมื่อกี๊มันทำอะไรลู่”
“ฮุนไม่ได้ทำหรอก แต่เรายังไม่อยากคุย เราไม่อยากทำตัวงี่เง่าตอนนี้...ที่นี่”
ผมกัดริมฝีปากแน่นเมื่อรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเริ่มงี่เง่าขึ้นมาจริงๆแล้ว อยู่ๆกระบอกตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมองเลยไปด้านหลัง ร่างสูงที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมตั้งแต่เปิดเทอมกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาทางนี้ ทั้งที่ข้างๆเขาก็ยังคงมีหญิงสาวคนเดิมวิ่งตามมาติดๆ
“เรากลับก่อนนะชาน ไม่ต้องเป็นห่วง...ขอเราอยู่กับตัวเอง ทบทวนตัวเองอีกครั้งก่อน...แล้วเจอกัน”
ผมรีบเดินออกจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ทันที ก่อนจะเดินตรงไปอีกนิดก็ถึงหน้าประตูมหาวิทยาลัย ผมไม่รอช้าที่จะเรียกแท็กซี่แล้วบอกจุดหมายปลายทาง...สถานที่ที่ผมจะปลอดภัยและได้ใช้เวลาทบทวนกับตัวเอง ทบทวนว่าจริงๆแล้วผมมีสิทธิ์โกรธฮุนมากแค่ไหน
ระยะทางจากมหาวิทยาลัยกับบ้านของผมค่อนข้างไกล แม้ว่าจะต่อรถไฟฟ้าเพื่อประหยัดเงินได้แต่ตอนนี้ผมไม่มีกระจิตกระใจขยับร่างกายไปไหนแล้ว ขอแค่ให้ผมได้นั่งพักกายสบายๆ ปล่อยความคิดตัวเองให้ตกตะกอนอยู่ภายในรถแท็กซี่จนถึงบ้านน่าจะดีกว่า
เพราะเป็นเย็นวันศุกร์ รถจึงติด ผมจึงได้แต่นั่งเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าที่เริ่มมืดกับรถที่เขยื้อนช้าๆทำให้ตาผมเริ่มปรือปรอย ทว่าแรงสั่นของโทรศัพท์ในกระเป๋ากลับเรียกสติของผมเอาไว้ให้ต้องหยิบมันขึ้นมาดู
สายเรียกเข้าจากฮุน...
ผมเลือกที่จะปล่อยมันไว้ทั้งอย่างนั้น ไม่ได้ตัดสายทิ้งอย่างที่ควรจะทำ แต่ให้มันสั่นไปเรื่อยๆจนกว่าปลายสายนั้นจะตัดไปเอง
ครั้งที่หนึ่ง...ครั้งที่สอง...ครั้งที่สาม และตอนนี้ฮุนโทรมาไม่ต่ำกว่าสิบครั้งแล้ว
ผมยังไม่อยากรับ เพราะผมไม่รู้ว่าผมควรจะคุยอะไรกับเขา...
ผมควรจะโกรธเขาไหมที่ปล่อยให้ผมนั่งรออยู่คนเดียวนานสองนาน แต่ตัวเองกลับไปนั่งคุยอยู่กับสาวรุ่นน้อง
ผมโมโหเขาบ้างได้หรือเปล่า ที่เขามีรอยยิ้มเขินอายให้กับคนอื่น หากแต่เวลาที่ผมทำแบบนี้กับใครเขามักจะโมโหอยู่เสมอ
แล้วผมไม่พอใจได้ไหม กับข้อความต่างๆในเฟสบุ๊คของเขาที่ใครๆก็สนับสนุนสาวรุ่นน้องคนนั้น...ทั้งที่ที่ตรงนั้นมันควรจะเป็นผมไม่ใช่หรือ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...ผมนึกไม่ออกเลย ถ้าตอนนั้นผมโวยวายขึ้นมาจริงๆ คนอื่นจะมองผมยังไง จะหาว่าผมขี้เหวี่ยง ขี้วีนใช่หรือเปล่า? หากแต่นั่นไม่ได้น่ากลัวเท่ากับถ้าผมแสดงกิริยาไม่ดีออกไป ท้ายที่สุดฮุนจะเป็นฝ่ายต่อว่าผมแทน
ผมคงทนไม่ได้แน่ๆ ถ้าสายตาฮุนที่เคยมีให้ผมจะเปลี่ยนไป
ครืด ครืด
HUN – จะไม่รับโทรศัพท์เราจริงๆหรอลู่
HUN – คุยกันก่อนได้ไหม
ผมอ่านข้อความในไลน์ที่เขาส่งมาแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ แรงสั่นจากข้อความในไลน์สลับกับสายโทรเข้าขึ้นโชว์อยู่แบบนั้นจนกระทั่งผมถึงบ้าน ผมไม่ได้รับและก็ไม่ได้ตอบเขาเลยแม้ว่าตัวเองจะเดินอึนๆเข้ามาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มของตัวเองแล้ว
ก๊อกๆๆ
ผมถอนหายใจไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนกระทั่งเสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้น เสียงหวานของสุภาพสตรีคนเดียวในบ้านก็เรียกให้ผมหลุดออกจากภวังค์ ก่อนจะรีบส่งเสียงแหบแห้งตอบรับมารดาออกไป
“ลู่...กลับมาบ้านหรอลูก ลงไปทานข้าวเร็ว แม่ตั้งโต๊ะไว้แล้ว”
“ครับแม่ เดี๋ยวตามลงไปนะ”
ผมจัดการล้างหน้าล้างตาตัวเอง พยายามลบเลือนเรื่องราวที่กำลังบั่นทอนจิตใจออก เพราะรู้ว่าอย่างไรแล้วคนในครอบครัวย่อมดูออกเสมอว่าผมกำลังมีเรื่องกังวลใจ
โต๊ะอาหารขนาดกลางเต็มไปด้วยอาหารหลายชนิดที่แม่คงรีบทำเอาใจด้วยความคิดถึง ผมไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเดือนแล้วตั้งแต่สอบมิดเทอมเสร็จแล้วต่อด้วยงานกีฬาภายในมหาวิทยาลัย เพราะบ้านอยู่ไกลและกิจกรรมที่จัดติดกันถี่ๆทำให้ผมเลือกที่จะอยู่คอนโดข้างมหาวิทยาลัยมากกว่า
“ไงเรา...ไม่กลับบ้านกลับช่องเลยนะ”
“สวัสดีครับป๊า...ช่วงนี้ลู่งานเยอะมาก มีควิซเช้าบ่ายเกือบทุกวัน กิจกรรมมหาลัยอีก ขอโทษที่ไม่ค่อยได้กลับบ้านนะครับ”
ท่านนายพลมองหน้าลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความขยันที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เด็กจนโต ผมมองรอยยิ้มที่เริ่มมีริ้วรอยของผู้ปกครองทั้งสอง แล้วก็ต้องยิ้มตามให้กับแววตาที่ยังคงแสดงความรักอันอ่อนโยนของครอบครัว ก่อนที่ผมจะรีบนั่งลงทานมือเย็นกับพ่อและแม่ โดยปราศจากบุคคลที่สี่ที่ผมยังเอาแต่นึกถึงตั้งแต่เดินหนีออกมา
“ไม่สบายหรือเปล่าลูก ทำไมดูซึมๆ”
“เปล่าครับ พอดีลู่คิดอะไรนิดหน่อย”
“ไม่สบายใจอะไรบอกป๊ากับแม่ได้นะ...เอ้านี่ ของโปรดเรา กินเข้าไปเยอะๆ”
“ขอบคุณครับ”
ผมหันไปยิ้มให้กับแม่ พร้อมทั้งตักของโปรดที่ว่าเข้าปากให้ทั้งสองคนสบายใจ หลังมื้อเย็นป๊าก็ชวนผมคุยเรื่อยเปื่อยถึงภาพยนตร์สมัยก่อนที่ผมเคยดาวน์โหลดทิ้งไว้ให้ก่อนเปิดเทอม บทสนทนาระหว่างครอบครัวพอจะทำให้ใจผมสงบและลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจไปได้พักใหญ่จนกระทั่งกลับเข้ามาอยู่ในห้องนอนอีกครั้ง
ผมทิ้งตัวลงนอนแผ่กลางเตียง กางแขนออกจนสุดเพื่อคลายความเมื่อยล้า ทว่ายืดสุดแขนไปปลายนิ้วมือก็แตะโดนเข้ากับโทรศัพท์มือถือ ผมลังเลใจระหว่างปิดเครื่องทิ้งไปเสีย หรือเปิดเอาไว้รอคอยใครบางคนติดต่อมา และรอดูว่าเขาจะยังคงพยายามติดต่อผมไปจนถึงเมื่อไหร่...ผมไม่กล้ามั่นใจในตัวเองหรอก ไม่ใช่ว่าสุดท้าย ฮุนก็เหนื่อยและเลิกพยายามไปเอง
ครืด ครืด
HUN – ไม่อยู่ที่ห้องหรอ
HUN – อยู่ไหน
HUN – ลู่
HUN – อยู่ที่ไหนครับ
HUN - อย่าทำแบบนี้ อย่าหายไปแบบนี้ได้ไหม
HUN - ลู่ เราจะเป็นบ้าแล้วนะเว่ย
ข้อความในไลน์ยังคงส่งมาอย่างต่อเนื่อง ผมไม่ได้ใจแข็งพอที่จะเมินเฉยต่อข้อความเหล่านั้น แค่เห็นว่าฮุนยังคงพยายามติดต่อมาผมกลับใจชื้น ผมกลับบ้านมาโดยที่ไม่บอกใคร ผมรู้ว่าฮุนต้องไปตามผมที่ห้องแน่ๆ แต่ผมก็เลือกที่จะหนีกลับบ้านเพราะเชื่อว่าฮุนคงตามไม่เจอ เขาไม่รู้ว่าบ้านผมอยู่ที่ไหน
ความระวนกระวายที่ส่งผ่านข้อความในโทรศัพท์จากเขาทำให้ผมใจอ่อน แม้ว่าผมจะกลัวกับความสัมพันธ์ระหว่างเราตอนนี้ ทว่าสิ่งที่ฮุนพิมพ์ทิ้งเอาไว้ให้อ่าน ทำให้ผมเผลอใช้ปลายนิ้วลูบไปตามข้อความเหล่านั้น
HUN – อยากคุย
HUN - กลับมานะลู่...จะรอ
ฮุนคงจะรู้แล้วว่าผมได้อ่านข้อความของเขาครบทุกอัน ถึงแม้เขาจะเป็นฝ่ายที่พิมพ์มาอย่างเดียวโดยที่ผมไม่ได้ตอบกลับ แต่นั่นก็คงจะทำให้เขาใจเย็นลง โดยที่ไม่ลืมทิ้งข้อความสุดท้ายไว้ให้ผมเผลอยิ้มออกมาทั้งที่ดวงตาพร่ามัวจากหยาดน้ำใสอีกครั้ง
HUN – เป็นห่วงนะครับ
-----------------------------------
ผ่านไปสองวันกับการหายเงียบไปของฮุน...ตั้งแต่คืนวันศุกร์ที่ฮุนทิ้งข้อความสุดท้ายไว้ให้ ตลอดวันเสาร์ทั้งวัน รวมไปจนถึงวันนี้ตั้งแต่เช้าฮุนก็ยังไม่ติดต่อมา ผมคาดหวังไว้สูงไปหรือเปล่าที่คิดว่าเขาจะยังคงตามง้อ และพยายามติดต่อ เพื่อหาคำอธิบายมาให้
หากความจริงแล้วผมไม่คาดหวัง...ผมคงไม่ต้องนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่อย่างนี้
อยากร้องไห้...แต่ไม่ใช่เพราะความเสียใจ มันเป็นเพราะความผิดหวังที่เคยคาดหมายเอาไว้ต่างหาก
ผมนั่งเอื่อยเฉื่อยอยู่ในห้องตัวเองตลอดทั้งบ่าย ป๊ากับแม่ออกไปทำธุระข้างนอกโดยไม่รู้ว่าจะกลับบ้านกี่โมง ผมเคยชินกับการอยู่คนเดียวตั้งแต่เด็กจนโต ด้วยความที่ไม่มีพี่น้อง เพื่อนสนิทที่คบหาก็มีน้อย ทำให้ผมไม่ได้รู้สึกอ้างว้างเมื่อต้องจมอยู่กับตัวเองคนเดียว
ทว่าก็ต้องยอมรับเมื่อได้รู้จักกับฮุน เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผมในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้ผมไม่เคยคิดไปถึงวันที่เขาจะหายไปอย่างตอนนี้
ครืด ครืด
อยู่ๆเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือเรียกสติผมอีกครั้ง ผมยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อคิดว่าถ้าเขาโทรมาครั้งนี้ผมจะรับโทรศัพท์จากเขาให้รู้แล้วรู้รอด ดีกว่าต้องมาอึดอัดใจไปเองอย่างที่ผ่านมา
แต่แล้วผมก็ต้องผิดหวัง เมื่อคนที่โทรเข้ามาไม่ใช่คนที่นึกถึง
“ครับพี่ป๋อ”
(อยู่ไหนน่ะลู่?)
“อยู่บ้านครับ พี่ป๋อมีอะไรหรือเปล่า”
ผมได้ยินเสียงถอนหายใจสั้นๆมาจากปลายสาย ก่อนที่อีกฝ่ายจะถามผมกลับด้วยเสียงทุ้มนุ่มที่ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลายเรื่องหนักใจลง
(เป็นอะไรหรือเปล่าเรา? มีอะไรไม่สบายใจบอกพี่ได้นะ ให้พี่ไปหาที่บ้านไหม)
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ ลู่เหนื่อยๆน่ะ กลับบ้านมากอดป๊ากับแม่เติมพลังเฉยๆ พี่ป๋อไม่ต้องเป็นห่วงลู่หรอก” ผมเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะตอบกลับไปให้พี่รหัสคลายความกังวลใจ
(แล้วจะอยู่บ้านถึงวันไหน? พรุ่งนี้มีเรียนใช่หรือเปล่า)
“ค้างที่บ้านคืนนี้อีกคืนครับ พรุ่งนี้สายๆค่อยเข้ามหาลัย ลู่เข้าแลปตอนบ่ายตัวเดียว”
(เข้าใจแล้ว...ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนเถอะ)
ผมยิ้มออกมาน้อยๆให้กับความห่วงใยผ่านน้ำเสียงของพี่ป๋อ คนที่ผมมั่นใจว่าหวังดีและห่วงใยผมมาตลอด คนที่ผมวางใจด้วยในฐานะพี่ชายที่แสนดี และพร้อมจะแนะนำ ให้คำปรึกษาผมได้ทุกเรื่องถ้าผมต้องการ ผมลังเลอยู่นิดหน่อย แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะระบายความรู้สึกสับสนนี้ให้พี่รหัสได้ฟัง
“ลู่...ควรทำยังไง”
(เราหนีเจ้าฮุนมาแบบนี้ แล้วตอนนี้ได้คำตอบไหม? อยากคุยกับฮุนหรือเปล่า? อยากฟังคำอธิบายหรือยัง? ลู่เชื่อโพสต์บนเฟซบุ๊คมากกว่าสิ่งที่ฮุนเคยทำให้ลู่หรอ? ลองชั่งน้ำหนักความรู้สึกตัวเองดูสิครับ)
ผมยังคงนั่งเงียบฟังพี่ป๋อสอนประสบการณ์ชีวิตอยู่พักใหญ่ ได้แต่ตอบรับ ‘อืม’ ในลำคอกลับไปเป็นบางครั้งบางคราว ก่อนที่เจ้าตัวจะวางสายไปให้ผมจมอยู่ในห้วงความคิดอีกครั้ง
ความสับสนของผมทั้งหมดค่อยๆหายไป เมื่อสิ่งที่ยืนยันความรู้สึกของผมตอนนี้คือ ‘ผมชอบฮุน’...ผมจะไม่หนีอีก และถ้าเขาจะเลิกง้อผม ผมก็จะไปถามให้รู้เรื่องเอง...เมื่อคิดแบบนั้นผมก็สบายใจขึ้น เลิกเก็บตัวอยู่ในห้อง แต่เปลี่ยนลงมาลากสายยางออกมารดน้ำต้นไม้ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้านแทน
ต้นมะม่วงต้นใหญ่เริ่มมีลูกออก แต่ก็ยังเล็กเกินกว่าจะสอยลงมา ผมกดปลายสายยางเพื่อให้น้ำพุ่งได้ไกลกว่าเดิม ก่อนจะไล่รดไปรอบๆโคนต้นรวมไปถึงกระถางดอกไม้เล็กๆบริเวณนั้น หยาดน้ำที่สาดกระเซ็นมาโดนตามตัวหรือใบหน้าพอจะทำให้ความขุ่นมัวในใจสดชื่นขึ้นบ้าง
หากแต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เก็บสายยางหลังจากรดน้ำต้นไม้ทั้งหมดเสร็จ เสียงกริ่งที่ดังขึ้นหน้าบ้านก็เรียกให้ผมเดินไปที่หน้าประตู คราแรกผมคิดว่าป๊าหรือแม่กลับมาหลังจากทำธุระเสร็จ แต่นั่นมันผิดคาดเมื่อผมเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านเต็มๆตา
“ฮุน...”
เขาส่งยิ้มให้ผมด้วยท่าทางอ่อนล้า ใบหน้าหล่อติดจะโทรมลง ที่เห็นได้ชัดคือริมฝีปากของเขาซีดจนเกือบจะไร้สีสัน...ผมพินิจพิจารณาคนตรงหน้าอยู่ไม่นานก็เปิดประตูให้เขาเข้ามา แม้ว่าผมจะบอกตัวเองแล้วว่าจะคุยกับเขาให้รู้เรื่อง แต่พอเจอตัวเป็นๆของฮุนตอนนี้ก็เผลอจะรู้สึกสับสนอีกไม่ได้
“เข้ามาก่อนสิ เดี๋ยวเราเอาน้ำให้...รอแป๊บนะ”
ผมเดินนำเขาเข้ามาในบ้าน ปล่อยเขานั่งลงตรงโซฟาก่อนจะผละออกไปรินน้ำใส่แก้วมาให้เขา เดินกลับมาอีกทีผมก็เห็นฮุนกำลังนั่งหลับตาพร้อมกับคิ้วเรียวสวยของเขาที่กำลังขมวดแน่น
“ดื่มน้ำก่อนสิ”
ผมส่งเสียงเรียกเขาพลางยื่นแก้วออกไปให้ แต่เพียงแค่ปลายนิ้วของเขาที่แตะโดนกันกับปลายนิ้วผม กลับทำให้ผมรีบหยุดมือของเขาเอาไว้ก่อนจะวางแก้วลง แล้วเปลี่ยนมาจับแขนเขาสลับกับแนบหลังมือไปบนหน้าผากของฮุนอย่างตกใจ
“ไม่สบายหรอฮุน กินยาหรือยัง ตัวร้อนมากเลย ไปหาหมอไหม”
“ไม่ต้องลู่ เราไปหาหมอมาแล้ว ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก...เราอยากคุยกับลู่”
เสียงของเขาแหบแห้ง ดวงตาของเขาแห้งผากไร้ประกาย ริมฝีปากซีดเผือดจนอดห่วงไม่ได้ ผมคงแสดงท่าทางกระวนกระวายออกไปจนเขารู้สึกได้ ฮุนจึงเอื้อมมือมาจับมือผมไว้แล้วยิ้มออกมาให้คลายกังวล ก่อนจะเลือกขยับกายให้นั่งหันมาเผชิญหน้ากับผม
“เรื่องวันนั้นลู่เข้าใจไปถึงไหน โกรธเราใช่ไหม?”
“อืม”
“ให้เราอธิบายได้หรือเปล่า ลู่อยากรู้อะไรเราจะบอกทุกอย่าง”
“ก็ได้”
ฮุนคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ลงเมื่อผมตกลง เขากระชับมือผมแน่นเรียกกำลังใจและความมั่นใจจากผม ก่อนที่เขาจะอธิบายเรื่องรูปถ่ายระหว่างเขากับไอรินที่เป็นประเด็นให้ได้ฟัง
“ก่อนหน้าแจกเกียร์ให้น้อง เราถ่ายรูปตัวเองคู่กับเกียร์ลงเฟซบุ๊ค อันนั้นเป็นเกียร์ของเรา แล้วเราก็เก็บเข้ากระเป๋าไว้ พอเสร็จเราก็ออกมารับเกียร์รุ่นของน้องเตรียมแจก แต่เพราะรีบ เราเลยไม่ทันเห็นว่าเกียร์ที่เราหยิบให้รินไปเป็นเกียร์ของเราเอง...เราเพิ่งมารู้ก็ตอนที่เอาข้าวมาให้พวกไอ้ชาน เพราะไอ้พวกนั้นมันแซวว่าเมื่อไหร่เกียร์เราจะมีเจ้าของ พอรู้ว่าหยิบผิดเราเลยรีบเอาไปเปลี่ยนกับน้องแค่นั้น”
“อืม”
“ถ้าลู่จะมองว่ามันเป็นข้อแก้ตัวเราก็ห้ามไม่ได้ แต่เราพูดได้เลยว่าเรากับน้องรินไม่มีอะไรกันทั้งนั้น เราจริงใจกับลู่มาก แล้วเราก็ยืนยันว่าเราไม่ได้คุยกับใครนอกจากลู่คนเดียว”
“ถ้าไม่มีแล้วทำไมเฟซบุ๊คถึงมีแต่คนเชียร์แล้วก็พูดถึงล่ะ...ทุกคนพูดเหมือนฮุนกับน้องมีซัมติงกันอยู่”
“ก็แค่คู่จิ้น”
ฮุนกระกระแอมไอออกมาเล็กน้อยก่อนจะจ้องมองผมด้วยดวงตาจริงจัง...ถ้าถามว่าผมเชื่อเขาหรือเปล่า ตอนนี้ในใจของผมโน้มเอียงไปเกินครึ่ง มันไม่ใช่เพราะคำพูดที่เขาอธิบายหรือว่าเตรียมมาอย่างดี แต่เป็นเพราะสายตาจริงจังของเขาที่ไม่ไหววูบยามสบเข้ากับดวงตาของผมแม้แต่น้อย
“แล้วทำไมถึงไปเป็นคู่จิ้นกันได้”
“ไม่รู้สิ เราไม่ได้สนใจ”
ผมแค่นหัวเราะเมื่อได้รับคำตอบแบบนั้น แล้วนึกรู้ได้ว่าปกติเขาก็เป็นคนเย็นชากับคนอื่นจริงๆ ก่อนจะนึกย้อนไปถึงคำพูดของพี่ป๋อที่ถามผมว่าผมเชื่อคนในเฟซบุ๊คมากกว่าตัวตนของฮุนอีกหรือ ที่ผ่านมาฮุนชัดเจนกับผมมาตลอด เขาให้เกียรติและรุกเข้าหาผมอย่างเปิดเผย เขาเปิดตัวว่าจีบผมอย่างโจ่งแจ้งเสมอ แม้กระทั่งหลายๆสเตตัสที่เขาตั้งยังหมายถึงผมโดยไม่เคยอ้อมค้อม มีแต่ผมที่เอาแต่ปิดกั้นความรู้สึกของตัวเองอยู่คนเดียว
“ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้นะ ทั้งๆที่เราตั้งใจว่าจะดูแลลู่ให้ดี แต่ก็ทำให้ผิดหวัง”
ฝ่ามือร้อนของฮุนแนบลงมาบนแก้มของผมให้หลุดออกจากภวังค์ ปลายนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยไปมาแทนคำขอโทษในวันนั้น
“เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้ ช่างมันเถอะ”
“แล้วทำไมถึงร้อง” ผมขมวดคิ้วฉับเมื่อน้ำเสียงของฮุนมีแววหยอกล้อแม้ว่ามันจะแหบแห้งก็ตาม “หึงเหรอ?”
ผมเบี่ยงหน้าหนีมือใหญ่ทันทีเมื่อถูกถามแบบนั้น แต่สีหน้าท่าทางของฮุนก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด และแม้ว่าผมจะยอมรับกับตัวเองได้ทันทีว่า ‘หึงสิ’ แต่คำตอบที่ผมบอกเขาออกไปกลับเป็นสิ่งที่ผมคิดมากมาตลอดสองคืนที่ผ่านมา
“เรามีสิทธิ์ด้วยเหรอ”
ดูเหมือนว่าคำพูดของผมจะทำให้ฮุนตกใจอยู่ไม่น้อย ก่อนที่เขาจะรีบระล่ำระลักบอกออกมาให้ผมหยุดความคิดมากนั้นลง
“มีสิทธิ์ดิ มีสิทธิ์ทุกอย่าง...เอางี้ อันนี้เราให้ลู่”
อยู่ๆฮุนก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง ก่อนที่เขาจะหยิบปลายเชือกกำมะหยี่สีแดงที่ผมเคยเห็นออกมา โลหะรูปเกียร์ถูกปล่อยลงมาจากปลายเชือกอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับดวงตาแน่วแน่ของเขา
“รู้ความหมายของมันใช่ไหม?”
ผมมองคนพูด แล้ววกกลับมามองเกียร์เจ้าปัญหา ผมรู้ว่ามันมีความหมายว่าอะไรมาจากชานแล้ว และผมรู้ว่าฮุนกำลังสื่ออะไรมาให้...เขายืนยันว่าผมมีสิทธิ์ในตัวเขา เขายินดีมอบของแทนใจในตำนานของเด็กวิศวะฯให้ด้วยท่าทางจริงจังที่สุด พร้อมกับอาการไอค่อกแค่กปิดท้าย แล้วแบบนี้ผมจะใจร้ายลงได้อย่างไร
“เราไม่เอาเกียร์ได้ไหม” ผมยิ้มออกมาให้เขา ก่อนจะดันเกียร์คืนกลับไป “มันเป็นของฮุน แล้วกว่าจะได้มาก็ยากมากไม่ใช่หรอ...เรารู้ว่ามันมีความหมายว่ายังไง แล้วเราก็รู้ว่าฮุนมีเจตนาอะไร”
ผมขยับกายเข้าไปใกล้กับคนป่วยอีกเล็กน้อย ไออุ่นที่แผ่ออกมาจากฮุนทำให้ผมเลือกวางหน้าผากลงบนไหล่กว้าง กลิ่นกายที่คุ้นเคยวนเวียนอยู่ใกล้ตัวตลอดหลายเดือน ทำให้ผมเลื่อนปลายจมูกไปตามซอกคอของเขา ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองคนป่วยที่หน้าแดงระเรื่อแทนสีซีดๆในตอนแรก
“ถ้าไม่เอาเกียร์ แล้วลู่อยากได้อะไร”
ผมยิ้มอีกครั้ง และครั้งนี้ผมตั้งใจตอบคำถามของฮุน รวมถึงตอบความสับสนในใจของตัวเองด้วย
“เราขอแค่ฮุนก็พอ”
สิ้นคำพูดผมริมฝีปากสีซีดก็แนบประกบลงมาทันที ความอุ่นร้อนที่แนบสัมผัสกันคล้ายนำพาให้หัวใจเต็มตื้นขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ผมรับปลายลิ้นร้อนที่แทรกเข้ามาพร้อมความหวานฉ่ำด้วยความยินดี แม้ว่าจูบนี้จะเชื่องช้า ทว่าหนักแน่นคล้ายคำยืนยันให้ผมได้มั่นใจและวางใจ
เสียงริมฝีปากที่สัมผัสกันหยุดลงพร้อมๆกับแรงหอบหายใจของผม ฮุนปล่อยผมให้อิสระเพียงไม่กี่วินาทีก็ฉกจูบอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เขาแค่แนบริมฝีปากกดย้ำซ้ำๆบนกลีบปากทที่แดงระเรื่อของผมให้เคลิบเคลิ้มแทน
ความรู้สึกขุ่นข้องหมองใจทั้งหลายมลายหายไปจนหมดสิ้น
ทว่าไม่ทันได้ตั้งตัว...
ตึง!
เสียงทุบประตูไม้ด้านหน้าห้องรับแขกก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงประมุขของบ้านที่รั้งสติให้เราทั้งสองคนผละออกจากกันแทบจะทันที
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!”
TBC
อุ่ย งานเข้า
เคลียร์แล้วนะคะ จะว่าลู่หายโกรธง่ายไปไหม ก็ไม่เชิงหรอก แต่เพราะลู่อยู่กับตัวเองมา 3 วันแล้ว
ลู่ก็ตกผลึกความคิดความรู้สึกตัวเองมาส่วนหนึ่ง บวกกับที่พี่ป๋อทิ้งคำถามไว้ให้คิด
เราคิดว่าฮุนสื่อออกมาชัดทุกอย่างตั้งแต่ตอนแรกจนล่าสุด ฮุนไม่ได้มาเล่นๆตั้งแต่แรก แล้วลู่ก็สัมผัสถึงความจริงใจนั้นในที่สุด
ใจอ่อนไปเถอะ พลาดคนนี้แล้วอาจจะพลาดเลยนะ อยู่ปี3ล้ะงี้ ฝากถึงน้องๆทุกคน 5555555555555555555555
งานเข้าครั้งสุดท้ายแล้วค่ะ เฮ่!
สกอป
ความคิดเห็น