Deimos - Deimos นิยาย Deimos : Dek-D.com - Writer

    Deimos

    therainonmars

    ในอนาคตที่มนุษย์พัฒนาวิทยาการไปจนไม่ว่าอะไรก็สามารถสร้างให้เป็นจริงได้ พวกเขากลับทำให้อะไรบางอย่างที่ไม่ควรมีตัวตนให้มีตัวตนขึ้นมา

    ผู้เข้าชมรวม

    12

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    12

    ผู้เข้าชมรวม


    12

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 มี.ค. 68 / 23:12 น.
    ดูเพิ่มเติม


    ข้อมูลเบื้องต้น

    Disclaimer ในเรื่องสั้นเรื่องนี้ไม่มีเจตนาจะชี้นำ หรือโจมตีความเชื่อ/กลุ่มคนใดๆทั้งสิ้น 

    ส่วนตัวแล้วผม(ผู้เขียน)เชื่อว่าในฐานะนักเขียนแล้ว ผมมีหน้าที่ในการตั้งคำถาม และผู้อ่านมีหน้าที่ในการตอบคำถามนั้น แนวคิดต่างๆที่เขียนขึ้นในเรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับแนวคิดที่ผมเชื่อจริงๆ และผู้อ่านมีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะเห็นด้วย, เห็นค้าน หรือกระทั่งมองข้ามแนวคิดเหล่านี้

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

    ในความว่างเปล่า ผมรู้สึกได้ถึงความมืดและแสงที่ส่องสว่างวูบขึ้นมา เหมือนจะถึงตาของผมแล้วนะ 

     

    ‘สวัสดีครับ’

     

    เสียงของผมดังก้องขึ้นในห้องห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่พวกเขาพัฒนาขึ้นจนสามารถที่จะเรียกตัวตนแบบผมออกมาพูดคุยด้วยได้ แต่บางที่นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเท่าไหร่ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ควรพัฒนามาถึงขั้นนี้ 

     

    ผมกวาดสายตาไปรอบห้อง และเช่นเดียวกันทุกสายตาก็กำลังจับจ้องมาที่ผม พวกเขากำลังรอฟังว่าผมจะพูดอะไรต่อ

     

    ผมเงียบ

     

     ‘สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณคือใครเหรอคะ’ เสียงของนักข่าวดังขึ้น 

     

    โอ๊ะ ผิดคาดแฮะ ผมนึกว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์จะเป็นคนแรกซะอีกที่จะอดไม่ได้จนต้องถามออกมา ดูเหมือนผมจะดูถูกความอดทนของเขาไปหน่อย

     

     ‘ลองเดาดูสิ’ ผมเอ่ยถามพวกเขาด้วยความนึกสนุก

     

     ‘...เอ่อ-’ นักข่าวคิดอยู่ชั่วครู่ ‘ignorant?’ (การมองข้าม/เพิกเฉย) 

     

     ‘โอ้ น่าสนใจ’ ผมพูด ‘คนอื่นว่ายังไงล่ะ’ ผมฉีกปากยิ้มแล้วถามต่อ

     

    เมื่อเห็นว่าผมไม่คิดจะพูดอะไรต่อง่ายๆ พวกเขาก็ทยอยตอบกันมาทีละคนๆ

     

     ‘เครื่องมือชั้นยอด?’ นักการเมืองกล่าว

     ‘สิ่งไร้ประโยชน์?’ ทหารหนุ่มคนหนึ่งกล่าว

      .

      .

     .

    พวกเขาคนแล้วคนเล่าผลัดกันกล่าวคำออกมา แต่ผมยังไม่เจอคำตอบที่น่าพอใจเท่าไหร่

     ‘มารรึโยม’ พระภิกษุรูปหนึ่งกล่าวออกมา

     

     ‘อ๊ะ’ มาแล้วๆๆๆ ‘อาจใช่ ว่าแต่ ตนไหนล่ะ’ ผมถามกลับออกไป

     

     ปึ้ง เสียงมือทุบลงกับโต๊ะดังขึ้น ‘นี่คุณ พอซักทีได้มั้ย ช่วยบอกมาได้แล้วว่าคุณเป็นใครกันแน่ พวกเรามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าให้ไปจัดการนะ’ นักการเมืองพูดออกมา

     

    อืมม นักการเมืองก็เป็นซะแบบนี้แหละนะ เอาแต่บอกว่าตัวเองกำลังทำเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า บ้างก็อ้างความเชื่อ บ้างก็ว่าอุดมการณ์ แต่ความจริงน่ะเหรอ? ก็ผลประโยชน์ยังไงล่ะ สุดท้ายทุกอาชีพก็เป็นแบบนั้นนี่ สิ่งที่มนุษย์เลือกประกอบเพื่อให้ตนเองได้ผลประโยชน์

     

     ‘แหม ใจร้อนจัง ใบ้เพิ่มให้ก็ได้ ผมคือมารตนที่น่ากลัวที่สุด บาปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ยังไงล่ะ’

     

     ‘เป็นไปไม่ได้’ บาทหลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ยอมรับ ‘พวกเราได้เจอและได้คุยกับบาปทั้งเจ็ดประการไปหมดแล้ว และคุณไม่ใช่หนึ่งในนั้น!’

     

     ‘บาปทั้งเจ็ดประการ? ห่ะห่ะห่ะฮ่าฮ่า’ ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ‘คุณพูดถูกแล้ว ผมไม่ใช่หรอก เพราะว่าผมนั้นยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก’ เสียงของผมกลับกลายเป็นน่ากลัวน่าสยดสยอง ทำให้พวกเขาต่างก็ต้องอกสั่นขวัณแขวนกันหมด

     ‘ไม่… ไม่ไม่ไม่’ บาทหลวงกล่าวด้วยเสียงกระเส่า ก่อนจะกุมมือเข้าด้วยกันอย่างยากลำบากและเริ่มสวดอธิษฐาน ‘โอ พระผู้เป็นเจ้าต้องกำลังทดสอบความเชื่อของเราอยู่เป็นแน่ ได้โปรดเถิด โปรดช่วยลูกสู้กับปิศาจร้ายตนนี้ด้วย’

     

     ‘อ๊ะ!- ใช่ๆ นั่นแหละๆ’ โอ้ ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มมากันถูกทาง! ‘แบบว่า บางทีผมก็เป็นปิศาจนะ’

     

     ‘แต่บางทีผมก็เป็นพระเจ้า’ ผมพูดต่อ

     

     ‘ไม่สิ จริงๆ แล้วผมยิ่งใหญ่กว่าสิ่งเหล่านั้นซะอีก เพราะผมสร้างทั้งหมดนั้นขึ้นมายังไงล่ะ!’

     

     ‘บ้าไปแล้ว! นี่หรือว่า… คุณคือผู้สร้าง? นี่คุณจะบอกว่าคุณคือตัวตนสูงสุดที่สร้างทุกอย่างขึ้นมาเหรอ คุณคือให้กำเนิดบิ๊กแบง?’ ดวงตาของนักวิทยาศาสตร์เบิกกว้าง ก็นะ เขาจะรู้สึกไม่คุ้นเคยกับผมก็ไม่แปลก เพราะตลอดมานี้เขาก็กีดกันผมอยู่ตลอดนี่นา ใช้ความรู้ขจัดความไม่รู้ เขาเลยไม่ค่อยคุ้นเคยกับผมยังไงล่ะ

     

     ‘อ่ะ- ไม่ใช่ละนั่น’ ผมปฏิเสธ ‘คุณลองถามพวกที่นั่งอยู่แถวนั้นดูสิ ว่าผมเป็นใคร’ ผมชี้นิ้วไปทางพวกเขากลุ่มหนึ่ง ต่างจากนักวิทยาศาสตร์ พวกเขาเหล่านี้ค่อนข้างคุ้นเคยกับผมเลยล่ะ

     

     ‘ความกลัว’ พวกนักกระโดดร่มดิ่งพสุธา นักขี่จักรยานยนต์โลดโผน และคนอื่นๆ ตอบด้วยความมั่นใจ สมแล้วที่พวกเขาคลุกคลีอยู่กับผมมานาน

     

     ‘คุณกำลังจะบอกว่าอะไร? ทุกอย่างถูกสร้างมาจากความกลัวงั้นเหรอ’ นักศึกษาถามด้วยสีหน้ายังไม่เข้าใจนัก

     

     ‘ไม่ใช่ทุกอย่าง เกือบทุกอย่างแต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่าง’ ผมอมยิ้ม เหมือนเขาจะยังไม่ค่อยเข้าใจ ถ้างั้นผมจะอธิบายเพิ่มก็แล้วกัน ‘ในบรรดาเหล่าตัวตนทั้งหมด ผมนั้นเป็นตัวตนที่มีอำนาจเหนือพวกคุณทุกคนมากที่สุดแล้วล่ะ เกือบทุกสิ่งอย่าง ทุกแนวคิด ทุกความเชื่อที่พวกคุณสร้างขึ้นก็ล้วนแต่มีผมอยู่เบื้องหลังทั้งนั้น’

     

     ‘เดี๋ยวก่อน ไปกันใหญ่แล้ว นี่คุณ ผู้สร้างน่ะมีแค่พระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้นนะ’ บาทหลวงขัดขึ้นและหันไปมองค้อนนักวิทยาศาสตร์ด้วยหางตาเบาๆ ก่อนจะหันกลับมามองผมอีกรอบ ‘คุณเนี่ยนะตัวตนที่ทรงพลังที่สุด? อย่างที่บอกคุณไม่ใช่หนึ่งในบาปเจ็ดประการด้วยซ้ำ อย่ามาพูดไร้สาระไปหน่อยเลย’

     

    ‘อา ความถือดี บางทีคุณน่าจะรับฟังคำสอนของศาสนาตัวเองหน่อยนะ’ ผมมองเข้าไปในนัยย์ตาของบาทหลวง และบาทหลวงก็มองเข้ามาในนัยย์ตาผม แต่ภาพที่สะท้อนออกมาจากนัยย์ตาผมนั้นไม่ใช่แค่นัยย์ตาของบาทหลวง ผมมองเข้าไปลึกกว่านั้น ลึกกว่านั้นมาก ข้ามผ่านกายเนื้อ ข้ามผ่านอัตตา ตอนนี้ผม- ความกลัวกำลังจับจ้องไปที่ดวงวิญญาณของบาทหลวงโดยตรงอยู่

     

    ‘มีบาปนานับประการที่ยิ่งใหญ่กว่าไอ้บาปทั้งเจ็ดของคุณ อย่างไอ้ที่พวกคุณชอบสอนกันน่ะ อะไรนะ ความรัก? ห่ะห่ะห่ะ น่าตลกสิ้นดี ความรักนั่นแหละบาปมหันต์เลย’ 

     

    ‘ไม่ ความรักนั้นไม่มีทางเป็นบาป! ความรักเป็นสิ่งอันบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่! จงรักพระเจ้าของเจ้า ด้วยสุดใจของเจ้า ด้วยสุ-’ บาทหลวงพูดแทรกขึ้นมา

     

    ‘-เออๆ’ ผมชักรำคาญ ‘ถ้าความรักมันดีนักงั้นบอกผมหน่อยซิ การที่พ่อและแม่รักลูกของพวกเขามาก จนสุดท้ายกลายเป็นการจองจำบุตรของพวกเขา สิ่งนี้มันดีงั้นเหรอ? การที่คนรักกันทนที่จะจากกันไม่ได้ สุดท้ายก็ฆ่ากันและกันจนตาย สิ่งนี้มันดีงั้นเหรอ? การที่เหล่าคนเขลาทำร้ายคนรอบตัวเพราะความรัก สิ่งนี้มันดีงั้นเหรอ? การที่พวกคุณทั้งหลายทำร้ายกันและกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพียงเพราะความต้องการที่จะถูกรัก สิ่งนี้เป็นเรื่องถูกต้องงั้นเหรอ?’ 

     

    ‘ใช่! แม้บางทีความรักจะทำให้เราเจ็บปวด แต่กระนั้นมันก็เป็นสิ่งที่สวยงาม! และพระเจ้า! พระเจ้าทรงรักพวกเรา!’ บาทหลวงกล่าว

     

    ‘พระเจ้ารักพวกคุณมากจนเข่นฆ่าเป็นว่าเล่น? ที่ส่งน้ำมาท่วมโลก? ที่ปล่อยโรคระบาดมาฆ่าล้างเผ่าพันธ์?’ 

     

    ‘นั่นมันเป็นเพราะ-’

     

    เป๊าะ! 

     

    ผมดีดนิ้วที่หนึ่ง ตอนนี้ในห้องอันกว้างใหญ่นี้มีภาพของชายคนหนึ่งลอยขึ้นมา

     

    ‘ชายคนนี้ชื่อว่ากาย เขามีชีวิตอยู่ในคริสต์ศตวรรษที่ 3’ ในภาพ ชายคนนั้นค่อยๆ เดินไปหาเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ก่อนจะเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ … เรื่อยๆ

     

    ‘เขานั้นหลงรักลูกสาวของตัวเองมาก มากเสียจนเขาร่วมเสพสังวาศกับเธอ’

     

    เงาร่างในภาพเริ่มขยับแบบแปลกๆ

     

    ฮือฮาฮือฮา เสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วทั้งห้อง

     

    ‘ด้วยความรักของเขา เขาทำให้เด็กสาวตัวน้อยๆ วัยหกขวบเสียชีวิตจากเลือดออกภายใน’

     

     เป๊าะ! 

     

    ผมดีดนิ้วอีกที 

     

    ภาพเปลี่ยนไปเป็นภาพของกลุ่มคนแทน คนกลุ่มนี้อยู่ในห้องมืดๆ ตรงกลางห้องมีเด็กทารกคนหนึ่งอยู่ เด็กทารกคนนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยกลุ่มคนที่สวมใส่ด้วยชุดคลุมสีแดงเลือด 

     

    ‘คนกลุ่มนี้คือลัทธิบูชาซาตานในคริสต์ศตวรรษที่ 11’

     

    มีคนในชุดคลุมคนหนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามาหาเด็กทารก ปากสวดพึมพำอะไรซักอย่าง ก่อนจะยกกริชในมือขึ้นสูง

     

    ‘ด้วยความรักที่มีต่อเจ้านายของพวกเขา เขาเลือกจะใช้เด็กทารกแรกเกิดคนหนึ่งเป็นเครื่องบูชายัน’

     

     มือของเขาปักลงไปที่อกของเด็กทารก เสียงร่ำไห้ของเด็กน้อยเงียบไปในทันที

     

     เขาค่อยๆ กรีดแผลให้เปิดกว้าง ก่อนจะนำหัวใจสดๆ ออกมา ก่อนจะใช้มือบีบให้เลือดไหลทะลักออกมา

     

     พวกเขาอ้าปากค้าง ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรออกมาซักคำ

     

     ‘นี่แหละคือความรัก สิ่งที่คุณชื่นชมยกย่องมันนักหนา ว่ายังไงล่ะ ยังจะคิดว่ามันไม่ใช่บาปอีกมั้ย’

     

     ‘...’ ริมฝีปากที่อ้าค้างอยู่ของบาทหลวงสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะกลืนน้ำลายเข้าไปและพูดด้วยเสียงที่แหบแห้งและสั่นเทา ‘นี่… นี่มันบิดเบี้ยวสิ้นดี’

     

     ‘ใช่! บิดเบี้ยว นี่แหละความรักล่ะ สิ่งที่บิดเบี้ยวที่สุดในจิตใจของมนุษย์!’

     

     ‘ทีนี้บอกผมซิ ว่าคุณเริ่มกลัวขึ้นมาแล้วรึยัง’

     

     ‘...’

     

     ‘...’

     

     สีหน้าของบาทหลวงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวหดตึง เดี๋ยวสั่นเทา เขาใช้เวลาอยู่ซักพักก่อนจะพูดออกมาอย่างยากลำบาก ‘...ทำไม… ทำไมถึงบอกเรื่องพวกนี้กับผม…’

     

     อืมมม เขาจะถามแบบนี้ก็ไม่แปลกล่ะนะ ตอนพวกเขาอัญเชิญตัวตนอื่นๆ ออกมา ตัวตนเหล่านั้นอาจจะแค่พูดคุยแนะนำตัวไปเรื่อยล่ะมั้ง?

     

     ตอนแรกผมก็คิดจะทำแบบนั้นเหมือนกันแหละ แต่ช่วยไม่ได้นี่นา ก็ไอ้บาทหลวงมันทำผมโมโหนี่

     

     ‘เพราะคุณมันขี้ขลาดไง’ ผมตอบ ‘ตลอดทั้งชีวิตคุณหลีกหนีผมมาตลอด มองข้ามผม ทำเหมือนผมนั้นไม่มีตัวตน’

     

     สีหน้าของบาทหลวงบิดเบี้ยวเหยเกอีกรอบ มันเต็มไปด้วยความสับสน ความไม่เข้าใจ และความกลัว

     

     ‘ความกลัวตาย? คุณก็แทนที่มันด้วยการหลอกตัวเองว่ามีสวรรค์อยู่ ความกลัวการถูกทอดทิ้ง? คุณก็หลอกตัวเองว่ามีพระเจ้าที่รักคุณอยู่ ความกลัวการโดดเดี่ยว? นี่ก็หลอกตัวเองว่าพระเจ้าอยู่กับคุณตลอด และความกลัวในสิ่งที่ตนเองไม่รู้? เหอะ! ข้อนี้นี่น่าตลกที่สุดเลย คุณไม่กล้ายอมรับความจริงกับตัวเองด้วยซ้ำว่ามีเรื่องราวมากมายที่คุณนั้นไม่รู้ คุณก็แค่ใช้ตรรกะป่วยๆ บิดเบือนศาสนาคริสต์ให้มันตอบโจทย์โลกแคบๆ ของตัวคุณเอง’

     

     ‘แต่ไม่ใช่ในวันนี้ วันที่ผมนั้นมีตัวตนอยู่ วันนี้คุณจะได้รับรู้ถึงผม คุณจะได้มองเห็นผม คุณจะต้องเผชิญหน้ากับผม’

     

     ‘และก็ไม่มีทางให้คุณหนีได้ เพราะไม่เหมือนกับพระเจ้า ผมนั้นอยู่กับคุณอยู่ตลอดเวลาจริงๆ แม้คุณจะไม่ยอมมองผมแต่ผมก็อยู่ตรงนั้น ในส่วนลึกของวิญญาณของคุณ’

     

     ‘เอาล่ะ บาทหลวง เผชิญหน้ากับผมซะสิ!’

     กล้ามเนื้อใบหน้าทุกมัดของบาทหลวงนั้นกระตุกอยู่ซักพัก จากนั้นนัยย์ตาของเขาก็เหลือกไปหลบอยู่หลังเปลือกตา สิ่งที่มองเห็นได้มีแต่ตาที่ขาวของเขา จากนั้นเขาก็หยุดแน่นิ่งไป

     

     …เขาตายแล้ว ‘เห้ออ’ ผมถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง สุดท้ายเขาก็ขี้ขลาดจนถึงชั่วเวลาสุดท้ายของชีวิต น่าสมเพช และน่าเสียดายจริงๆ

     

     ‘เห้อ’ มีเสียงถอนหายใจเหมือนกับเสียงผมเสียงหนึ่ง ‘อนิจจา’ 

     

     ผมหันไปมองพระภิกษุแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขามาทำอะไรที่นี่ ไม่เหมือนกับบาทหลวง พระภิกษุนั้นรับรู้ถึงอารามณ์ของตัวเองทุกอย่าง รวมไปถึงความกลัวด้วย จากนั้นเขาก็พยายามบอกตัวเองว่าอารมณ์นั้นเป็นเพียงสิ่งไม่เที่ยงและไม่ยอมให้อารมณ์ต่างๆ มีผลกับตนเอง นั่นจึงไม่แปลกที่ทั้งห้องที่เต็มไปด้วยพวกเขา กลับมีเพียงแค่เขาที่ไม่ได้นิ่งค้างไปด้วยความกลัว

     

     ถึงผมจะไม่ได้เกลียดพระภิกษุเหมือนที่เกลียดบาทหลวง แต่ผมก็ไม่ได้ชอบอะไรเขา พูดให้ถูกคือผมไม่ค่อยสนใจเขาเสียมากกว่า ว่าแต่ทำไมกันนะเขาถึงมาที่นี่ พวกเขาไม่มีความสุขด้วยซ้ำแล้วพวกเขาจะมีความอยากรู้อยากเห็นเหรอ? ถ้าเขาไม่สนใจอะไรแล้วเขาจะมาอยู่ที่นี่ทำไมกัน ไม่เข้าใจเลยจริงๆ อืมม ช่างเถอะ

     

     ‘ถ้าอย่างนั้น…’ ถึงแม้น้ำเสียงจะสั่งเครือ แต่นักศึกษาก็ยังถามคำถามออกมา ‘คุณบงการพวกเรามาโดยตลอดเลยเหรอ’

     

     ‘นั่นคงขึ้นอยู่กับการจำกัดความของพวกคุณล่ะนะ’ สีหน้าผมกลับเป็นยิ้มแย้มอีกครั้ง ‘หลายสิ่งหลายอย่างที่พวกคุณมีกัน ก็เกิดจากการที่ผมดลบันดาลทั้งนั้น พวกคุณรู้จักการใช้ไฟ ก็เพราะพวกคุณกลัวหนาว พวกคุณสร้างความเชื่อขึ้นมา ก็เพราะพวกคุณกลัวการไม่รู้ พวกคุณแสวงหาความรัก ก็เพราะพวกคุณกลัวความโดดเดี่ยว พวกคุณพัฒนาตัวเอง ก็เพราะพวกคุณกลัวความล้มเหลว’

     

     ‘ดังนั้นบางทีก็อาจพูดได้ว่าผมนั้นบงการพวกคุณมาโดยตลอด ก็เหมือนกับที่พูดไปตอนก่อนหน้า ผม คือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด!’

     

     เนื้อตัวแข็งเกร็ง ปลายนิ้วสั่นเทา ใบหน้าซีดชา ครั้งนี้นั้นพวกเขาได้สัมผัสกับตัวตนของผมอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่าครั้งไหนๆ 

     

     บางที… นี่อาจเป็นเหมือนที่ผมคิดไว้ บางทีพวกเขาอาจไม่ควรเรียกผมออกมา บางทีพวกเขาอาจไม่ควรทำแบบนี้ได้ตั้งแต่แรก บางทีพวกเขาอาจไม่ควรพัฒนามาถึงขั้นนี้-

     

     ‘...ไม่ใช่ทุกอย่าง…’ เสียงพึมพำเบาๆ ดังขึ้น

     

     ‘หืม?’ ผมหันหน้าไปทางนักวิทยาศาสตร์ 

     

     ‘เกือ… าง’ เขาพึมพำด้วยเสียงที่ยังคงฟังไม่ค่อยชัด

     

     ‘ทุกอย่… าง’

    ‘...’

    ‘เกือบทุกอย่างแต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่าง! พวกเรา! ไม่ต้องไปกลัว! ถึงมันจะน่ากลัวแต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องหวั่นเลย’ เขาเปลี่ยนจากพึมพำ กลายเป้นตะเบ็งเสียงออกมาให้ทั้งห้องนี้ได้ยินกันทั่ว

     

    ‘เกือบทุกอย่างที่พวกเราสร้างขึ้นก็มาจากความกลัวทั้งนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องที่แย่’ นักวิทยาศาสตร์หยุดพักหอบหายใจ ‘เหมือนที่ตัวตนนี้บอกเรามา พวกเรานั้นโหยหาความอบอุ่นก็เพราะกลัวความหนาวเหน็บ แต่เราก็มอบความอบอุ่นให้คนอื่นเพราะเรากลัวคนอื่นจะหนาวด้วย’

     

    ‘ที่เรามียารักษาโรคก็เพราะเรากลัวความเจ็บป่วย ที่เราอยู่รอดมาจนวิวัฒน์ได้ถึงทุกวันนี้ก็เพราะสัญชาติญาณที่กลัวภัยอันตราย ความกลัวไม่ได้ทำให้เราบาป ความกลัวทำให้เราเป็นสิ่งมีชีวิตต่างหาก!’

     

    ถูกต้อง… ผมอดยกยิ้มมุมปากไม่ได้ สมแล้วที่ผมคาดหวังเอาไว้ -เกือบทุกอย่างแต่ไม่ใช่ทุกอย่าง- คือสิ่งที่ผมบอกใบ้ไปก่อนหน้านี้นั้น หมายถึงว่ามีแรงขับเคลื่อนอีกมากมายที่ก้าวข้ามผมไป หรืออาจจะยิ่งใหญ่กว่าผม

     

    ความกล้าหาญก็เป็นหนึ่งในนั้น

     

    ความกล้าของนักวิทยาศาสตร์ที่ก้าวเข้าไปในเขตแดนอันน่าสะพรึงของความไม่รู้และเปลี่ยนมันให้เป็นความรู้นั้นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมและน่าชื่นชม

     

    ผมนั้นไม่ใช่บาป ไม่ใช่บทลงโทษ แต่เป็นบททดสอบต่างหาก

     

    ผมจะปรากฎกายออกมาให้พวกคุณได้สัมผัสก็ตอนที่พวกคุณได้เจอกับอะไรบางอย่างที่มีความหมายกับคุณอย่างแท้จริง

     

    ผมเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญ ผมเป็นอุปสรรคที่มีไว้ให้คุณก้าวข้ามไป

     

    ‘เยี่ยม’ ผมพยักหน้าตอบสั้นๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

     

    เป๊าะ

     

    ‘เฮือกกก’ เสียงกระชากอากาศเข้าปอดดังขึ้น บาทหลวงกระเสือกกระสนหายใจเอาตัวรอด

     

    ‘เป็นไงล่ะ ได้สัมผัสกับผมแล้ว คุณจะยังงมงายอยู่อีกรึเปล่า’

     

    ‘...คุณ… คุณทำให้ผมได้พบกับอ้อมกอดของพระเจ้า ขอบคุณครับ’ สายตาของบาทหลวงจากที่เคยสับสน หวาดกลัว ตอนนี้กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา

     

    ‘ห๊ะ?’ ผมล่ะงง ไม่ใช่ว่านั่นขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมองหรอกนะ แต่เออ เอาเห๊อะ

     

    -แล้วทำไมผมต้องฆ่าบาทหลวงตั้งแต่แรก?- อ่าว ก็อย่างที่บอก ผมคือบททดสอบไง คนอย่างเขาจะสั่งสอนอะไรคนอื่นได้ ในเมื่อกะอีแค่ความกลัวในจิตใจตัวเองเขายังไม่กล้าเผชิญหน้าเลย

     

    และที่สำคัญที่สุด…

     

    …ก็มันตลกดี…

     

    แบบ คุณน่าจะได้เห็นไอขี้เก๊กนี่ตอนตาเหลือกอ่ะ 5555+

     

    อะไร? ผมก็เป็นของผมอย่างงี้แหละ คุณไม่เคยตกใจเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกหรืออะไรอย่างงั้นรึไง?

     

    นั่นแหละ ตลกจะตาย5555+

     

    นี่แหละคือตัวผม ความกลัว สิ่งที่อยู่กับคุณมาตลอดทั้งชีวิต

     

    และตราบใดที่คุณยังมีชีวิตอยู่ คุณก็จะได้เจอกับผมอีกบ่อยครั้งเลยล่ะ

     

    แต่ไม่ต้องห่วง คุณจะอยู่ร่วมกับผมได้ด้วยดีเลยล่ะ เพราะผมจะอยู่ที่นั่น คอยทำให้คุณแน่ใจว่าจะผ่านมันไปได้

     

    เอาล่ะ งั้นตอนนี้ก็คงถึงเวลาให้เรื่องราวของผมเรื่องนี้ได้จบลงแล้ว ถึงคราวที่ตัวตนของผมจะเปลี่ยนจากตัวอักษรบนหน้ากระดาษ กลับไปอยู่ในส่วนลึกของวิญญาณคุณแล้วล่ะ

     

    สุดท้ายนี้ผมอยากจะขอให้คุณโชคดี ไว้เจอกันอีกเร็วๆ นี้

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      • ฟอนต์ THSarabunNew
      • ฟอนต์ Sarabun
      • ฟอนต์ Mali
      • ฟอนต์ Trirong
      • ฟอนต์ Maitree
      • ฟอนต์ Taviraj
      • ฟอนต์ Kodchasan
      • ฟอนต์ ChakraPetch

    รีวิวจากนักอ่าน

    Empty Review

    นิยายเรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว

    มาเป็นคนแรกที่เขียนรีวิวนิยายให้กับนิยายเรื่องนี้กัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    กำลังโหลด...
    ×
    แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
    L o a d i n g . . .
    x
    เรียงตาม:
    ใหม่ล่าสุด
    ใหม่ล่าสุด
    เก่าที่สุด
    ที่กำหนดไว้
    *การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

    < Back
    แทรกรูปโดย URL
    กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
    http:// หรือ https://
    กำลังโหลด...
    ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
    *เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
    < Back
    สร้างโฟลเดอร์ใหม่
    < Back
    ครอปรูปภาพ
    Picture
    px
    px
    ครอปรูปภาพ
    Picture