( winner ) os | one second - namsong
just one more second..
ผู้เข้าชมรวม
854
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
I need just one more second,
To hold you tight,
To feel your warmth,
To remember your scent,
To memorize every single detail of yours..
And to say just one word I’ve never said.
If only I could turn back time…
อ้อมกอดที่อบอุ่น
รอยยิ้มที่ปลอบโยน
คำพูดที่หอมหวาน
ทุกๆอย่างได้จบลงแล้วทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นด้วยซ้ำ
หากย้อนเวลากลับไปได้ก็คงดี
หากได้พบกับคนคนนั้นอีกเพียงสักครั้ง
เพียงแค่วินาทีเดียวก็พอ...
โลกของนัมแทฮยอนไม่เคยเป็นโลกที่สดใส ไม่ใช่โลกทีสวยงามเหมือนกับคนอื่นๆมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ตอนที่เรียนมัธยมเขาเคยเป็นสมาชิกแก๊งอันธพาลของโรงเรียนที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวปัญหาจนโดนไล่ออกมาครั้งหนึ่ง พอจบมอปลายเขาก็ออกจากบ้าน หากยังอยู่ที่บ้านหลังนั้นเขาคงต้องเรียนต่อ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่แทฮยอนอยากทำ
สิ่งที่เขาอยากทำคือการต่อสู้
แทฮยอนชอบการต่อสู้ การชกต่อย
ชอบเวลาที่ได้เห็นบาดแผลบนใบหน้าของคู่อริ เสียงร้องโอดโอยอย่างทรมาณนั่น
เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถึงเขาจะมีผิวขาว หน้าตาที่จัดได้ว่าหวานกว่าผู้ชายทั่วไป และร่างกายที่ดูจะอ้อนแอ้นต่างกับพวกนักสู้ทั่วไป แต่นัมแทฮยอนก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในคนอันตรายที่สุดในกรุงโซลก็ว่าได้ เขาขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งอันธพาลใหญ่ตั้งแต่ยังอายุยังน้อย และคาดว่าในไม่กี่ปี จากแค่แก๊งอันธพาลอาจกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อไป
ตอนแรกที่เขาได้เรียนการต่อสู้ แม่ของเขาตั้งใจจะให้เรียนเพื่อป้องกันตนเองเพราะแทฮยอนมีหน้าตาที่ดูหวานเกินกว่าเพื่อนคนอื่นๆจนเป็นที่รังแกของเพื่อนๆ สุดท้ายความหลงใหลในการต่อสู้เหล่านั้นก็พาให้เขาเดินออกมาไกลจากตอนนั้นมากเหลือเกิน
ตอนนั้นแทฮยอนทั้งเตะทั้งต่อย ดิ้นรนสารพัดเพื่อให้หลุดจากข้อครหาของการผิดเพศ
เขาเกลียดแสนจะเกลียดคนที่ว่าเขาชอบเพศเดียวกัน เกลียดจนชนิดที่ว่าฆ่าคนที่เอ่ยคำต้องห้ามเหล่านั้นออกมาได้ด้วยซ้ำ
แต่สุดท้าย เขาก็ดูจะหนีมันไม่พ้น
ตั้งแต่เล็กจนโต เขาเคยคบกับใครหลายคน มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมากหน้าหลายตา ตั้งแต่พวกผู้หญิงแรงที่ทำตัวง่ายๆ สาวออฟฟิศที่ชอบกินเด็ก ไปจนถึงสาวมัธยมท่าทางติ๋มๆ เขาก็ผ่านมาหมดแล้ว แทฮยอนไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ แถมยังรู้สึกชอบในเซ็กซ์ระหว่างหญิงชายปกติดีทุกอย่าง
แต่แล้ววันหนึ่งใครบางคนก็ทำให้เขาเปลี่ยนไป
เปลี่ยนไปจนเขามั่นใจว่าหากแทฮยอนในวัยสิบห้าปีได้มาเห็นเขาในตอนนี้คงต้องรีดเลือดเขาออกจากตัวจนหมดแน่ๆ
เพราะแทฮยอนในวัยยี่สิบสามปีนั้นกำลัง ’ติดพัน’ กับ ‘ผู้ชาย’ คนหนึ่ง
ผู้ชายคนนั้นชื่อซงมินโฮ อายุมากกว่าเขาหนึ่งปี จบการศึกษาจากวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งเล็กๆ ไม่มีความพิเศษอะไรมากมาย ไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่คนดีเด่นอะไรหากเทียบกับเขา และแม้ว่าผู้ชายคนนั้นเองจะอยู่ในวังวนของโลกใต้ดินในกรุงโซลแต่หมอนั่นก็จัดอยู่ในกลุ่มปลายแถวที่เพียงแค่ทำธุรกิจมืดแต่ไม่ได้มีอำนาจทัดเทียมกับเขาแต่อย่างใด
เขาเจอมินโฮครั้งแรกตอนไป ‘เก็บเงิน’ ที่ผับแห่งหนึ่งในเขต ปกติแล้วผู้ที่เป็นถึงระดับหัวหน้าอย่างเขาไม่ต้องกระดิกนิ้วด้วยซ้ำไปแต่วันนั้นอาจเป็นเพราะเขาอยากหาอะไรเล่นเสียหน่อย จึงได้ตัดสินใจลงพื้นที่ไปในผับกึ่งสถานบริการแห่งนั้นด้วยตนเอง
ซงมินโฮทำงานเป็นพ่อเล้า จัดว่าแปลกสำหรับสถานบริการชายหญิงทั่วๆไป ถึงเขาจะเข้าใจว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการค้ามนุษย์โดยปกติก็มักจะมีผู้ชายอยู่ในกลุ่มแต่ส่วนมากแล้วผู้ที่ดูแลจัดการทุกสิ่งอย่างรวมไปถึงคุมเด็กเหล่านั้นก็มักจะเป็นผู้หญิง เพราะลูกค้าทั่วไปรู้สึกไว้วางใจกว่าที่จะได้เล่นกับของเล่นที่มีเจ้าของที่จะสามารถมั่นใจได้ว่าไม่เล่นของเล่นนั้นเองจนสึกแล้ว
แต่หมอนั่นเป็นคนที่แปลก
เป็นคนติดต่อลูกค้าเองแถมยังประสบความสำเร็จได้โดยลูกค้าไม่หนี
นั่นจัดว่าเป็นความเก่งของซงมินโฮ
หากจะบอกว่าแทฮยอนเก่งในเรื่องการคุมคนและการต่อสู้ ผู้ชายคนนั้นก็จัดได้ว่าเก่งในเรื่องของการใช้คำพูดโน้มน้าวจิตใจ และสเน่ห์เหลือร้ายที่ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ต้องหลงในคารมของคนคนนั้น นี่คือเหตุผลที่เด็กจำนวนมากตกลงปลงใจมาเป็นเด็กในสังกัดของซงมินโฮทั้งๆที่ตอนแรกไม่เคยมีความคิดที่จะขายบริการด้วยซ้ำ และคงเป็นเหตุผลเดียวกับที่ลูกค้ามากมายไว้เนื้อเชื่อใจใช้บริการกับเด็กของหมอนี่
เพียงแวบแรกที่ได้เห็น เขาก็สัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดของชายผิวเข้มคนนี้
เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่เขาไม่เคยได้รับรู้จากคนเพศเดียวกัน
เขารู้สึกถึง ‘ฟีโรโมน’ จากตัวของซงมินโฮ
แทฮยอนไม่ใช่เกย์ และไม่เคยมีความคิดที่จะเป็น สำหรับเขาพวกรักร่วมเพศนั้นอ่อนแอและน่ารังเกียจเป็นที่สุด แต่จู่ๆเมื่อซงมินโฮเข้ามาในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอย่างไม่เคยคาดคิด ตั้งแต่ที่เขาคิดว่าตัวเอง ‘รับรู้ได้’ ถึงฟีโรโมนจากชายคนนั้น หัวหน้าแก๊งอันธพาลหนุ่มก็พยายามที่จะห้ามตัวเองไม่ให้กลับไปที่ผับนั่นอีก
ไม่จำเป็นต้องตีตัวออกห่างหรอก ก็อย่างที่ว่า เขากับซงมินโฮยังห่างกันหลายชั้น มีเพียงแค่ความคิดในหัวบ้าๆนั่นแหละที่วกวนกลับไปคิดถึงใบหน้าคมเข้มที่กระตุกยิ้มจ้องตรงมายังเขาซ้ำไปซ้ำมาเสียจนแทฮยอนทนไม่ไหวต้องกลับไปที่สถานบันเทิงนั่นอีกหลายต่อหลายหน
แถมไม่ได้ไปหิ้วสาวกลับมาเหมือนเคยด้วย
เพียงแค่ไปอยู่ใกล้ๆพ่อเล้าคนนั้น เพียงเพื่อได้มองใบหน้าที่เขาหลงใหล
แต่ทุกอย่างมันก็เพิ่มมากขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว จากเพียงแค่การแอบมองก็กลายเป็นพูดคุย แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่มีใครที่จะไม่อยากเป็นพันธมิตรกับนัมแทฮยอน หากสนิทกับผู้มีอำนาจแล้วแน่นอนว่าการต่อรองเจรจาเรื่องเก็บค่าที่หรือได้รับการคุ้มครองหากเกิดเรื่องก็กลายเป็นผลพลอยได้ที่ตามมาอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครก็อยากที่จะเข้ามาตีสนิทกับเขา ทว่าการเข้าหาเขาของซงมินโฮดูเหมือนจะมีจุดประสงค์ที่ต่างออกไป
โทนน้ำเสียงที่ใช้พูดคุย การวางตัวแบบนั้น มืออุ่นร้อนทุกครั้งที่สัมผัสไปโดนแบบไม่ตั้งใจ
ดูเหมือนว่าซงมินโฮเองก็คงจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจากเขาได้เช่นกัน
เพียงแค่เขาได้สบสายตาคมคู่นั้นเขาก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
ซึ่งเขาเองก็ต้องการสิ่งนั้นจากอีกฝ่ายไม่ต่างกัน
สุดท้าย ทุกสิ่งทุกอย่างก็จบลงที่ความสัมพันธ์ฉาบฉวยที่เริ่มต้นขึ้นเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เขาไม่ได้เมา และอีกฝ่ายก็ไม่ได้เมา เพียงแค่ดื่มไปเล็กน้อยให้เซ็กซ์ครั้งแรกระหว่างเขากับคนตรงหน้านั้นมีกลิ่นอายของแอลกอฮอล์อยู่เล็กน้อยเพียงเท่านั้น มันร้อนแรงและหอมหวานวูบวาบจนน่าหวาดเสียว เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ทั้งเขาและมินโฮไม่เคยได้สัมผัส
เขาให้คำนิยามของตัวเขาและคนคนนั้นว่าเป็นคนที่ ‘เคมีเข้ากัน’
เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่ความรัก สิ่งที่เขาและอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอยู่นั่นคือความหลงใหล อะไรๆก็ดูเหมือนจะน่าประทับใจไปเสียหมดเมื่อเป็นสัมผัสของมิโน จะเพราะอะไรก็แล้วแต่ แต่เขาก็คิดว่าทักษะบนเตียงของเขาเข้ากันได้ดีกับคนคนนั้นเสียจนเขาเองยังประหลาดใจจนต้องลองอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
ซงมินโฮคือยาเสพติด
ที่เมื่อได้ลองสักครั้งแล้วจะไม่สามารถหยุดมันได้
และยิ่งเวลาผ่านไปเขายิ่งถลำลึกลงเรื่อยๆเสียจนถอนตัวไม่ขึ้น ราวกับคนติดเซ็กส์ เขาหมดเวลาไปกับซงมินโฮมากเสียยิ่งกว่าเวลาที่เขาเคยเอาไปใช้ต่อสู้ รสจูบแหละสัมผัสเหล่านั้นฝังลึกอยู่ในหัวชนิดที่ว่าเขาไม่สามารถกำจัดมันไปได้แม้ในยามที่เขากำลังปลิดชีวิตของศัตรูตัวน้อยที่แผดเสียงร้องขอชีวิต
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกเหมือนเขาหรือเปล่า แต่แววตาที่เต็มไปด้วยความต้องการของซงมินโฮที่จ้องตรงมายังเขาก็บ่งบอกได้อย่างดีว่าอีกฝ่ายก็ต้องการเขามากพอกับที่เขาต้องการคนคนนั้น
ไม่สิ อาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
ความสัมพันธ์ทางกายของทั้งสองไม่ได้มีข้อผูกมัดทางใจใดๆสำหรับแทฮยอน เขายังมีความคิดที่จะคบกับผู้หญิง ความคิดที่จะหาใครต่อใครมาเป็นของเล่นเหมือนเช่นเคย แต่นั่นไม่ใช่สำหรับซงมินโฮ คนคนนั้นดูเหมือนจะหยุดทุกอย่างไว้ที่แทฮยอน ทั้งคำหวานที่มอบให้ ของขวัญของกำนัลต่างๆนานา แม้จะไม่พูด แต่เขาก็รู้ว่าคนคนนั้นคงจะหลงรักเขาเข้าแล้วเต็มเปา แต่เพราะสถานะที่ด้อยกว่าอยู่มาก อีกฝ่ายจึงเลือกที่จะไม่พูดมันออกมา
ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว เขาไม่เคยมีความคิดที่อยากจะเป็นคนรักของซงมินโฮเลยสักนิด
เขาเชื่ออย่างนั้น
วันนั้นเป็นวันธรรมดาๆที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ และก็ไม่ใช่วันหยุดพิเศษใดๆ เป็นเพียงแค่วันวันหนึ่งที่ซงมินโฮตัดสินใจพาเขาออกไปเที่ยวนอกเมือง ก็แค่นัดกันและขับรถออกไปจากกรุงโซล ที่ไหนสักแห่งที่ไม่ไกลมากนักแต่ก็ไม่ใกล้จนเกินไป อาจจะเป็นเมืองเล็กๆในคยองกิโด หรืออาจจะไปถึงอินชอนก็ได้ทั้งนั้น ที่ที่ทั้งเขาและมินโฮไม่รู้จักใครและได้อยู่กันอย่างเงียบสงบก็แค่นั้น
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่แทฮยอนกับมินโฮ ‘หนี’ ความวุ่นวายหลบออกไปด้วยกัน แต่ทริปสั้นๆเพียงหนึ่งคืนแบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งแล้วตามคำชวนของพ่อเล้าผิวเข้ม ซึ่งร่างบางก็ไม่คิดจะขัดศรัทธาแต่อย่างใด ออกจะชอบด้วยซ้ำที่ได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ไม่มีกลิ่นอายของเลือด
แปลก แต่ตั้งแต่เขารู้จักกับซงมินโฮมา กลิ่นอายของเลือดที่เขาเคยชอบนักหนาก็ไม่น่าสนใจเหมือนเช่นเคย กลับเป็นกลิ่นน้ำหอมจางๆของชายร่างหนาที่ติดอยู่ที่ปลายจมูกแทน นั่นอาจจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีเขาก็ไม่แน่ใจ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง
มินโฮเลือกที่จะจอดรถในลานจอดรถพักข้างทางกว้างๆแห่งหนึ่ง มองไปรอบๆเห็นเพียงความมืดมิด เงาของภูเขาที่คงถูกปกคลุมด้วยหญ้าเขียวขจีทอดยาวไปสวนทางกับแสงนวลจากดวงจันทร์ที่โผล่ให้เห็นเพียงครึ่งซีก ทะเลสาบสีน้ำเงินเข้มสะท้อนให้เห็นเงาของฟากฟ้าที่มีดาวระยิบระยับกับก้อนเมฆขาวปุยอย่างเด่นชัดต่างจากทิวทัศน์ที่พบเห็นได้ทั่วไปในเมือง
ผู้ชายคนนี้เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมแบบไหนกันนะถึงได้รู้จักสถานที่อะไรแบบนี้....
“ชอบมั้ย?” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นที่ข้างหู กาแฟกระป๋องอุ่นๆที่ถูกกดจากตู้กดน้ำอัตโนมัติไม่ไกลนักถูกยื่นขึ้นมาแนบแก้ม แทฮยอนรับมันมาโดยไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป เพียงแค่หันมามองอีกฝ่ายนิ่งๆแค่นั้น
“ก็โอเค...” ตอบออกมาสั้นๆ แต่เรียกรอยยิ้มจากร่างหนาได้เป็นอย่างดี
“ถ้าชอบคราวหน้าจะลองหาที่คล้ายๆแบบนี้ดู”
แทฮยอนส่ายหัว
“ที่ไหนก็ได้ ขอแค่ไม่วุ่นวายก็พอ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างเรียบนิ่ง ในดวงตาคู่สวยฉายแววที่เขาไม่เคยอ่านออกเหมือนเช่นเคย แทฮยอนเหมือนกับดอกกุหลาบ สง่างาม น่าหลงใหล และน่าค้นหา แม้จะมีหนามแหลมคมอยู่โดยรอบแต่มินโฮก็ไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด เขากลับรู้สึกอยากขยับเข้าใกล้เพื่อดอมดมดอกไม้ดอกนั้นให้มากขึ้น และมากขึ้นดังใจต้องการ
มินโฮไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาก้มลงประทับจูบเบาๆบนเรียวปากสวย มันไม่ใช่จูบที่ร้อนแรงเหมือนเช่นเคย มือหนาลูบไล้ผิวขาวเนียนเรียบที่แลดูขาวขึ้นไปอีกท่ามกลางแสงจันทร์ แทฮยอนตัวเย็น แต่ไม่ว่าจะหนาวหรือไม่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อยนอกจากเอื้อมมอโอบรอบคอเขาให้มอบจูบที่ลึกล้ำอย่างที่ตนต้องการ
เอาแต่ใจเสียจริง เขาไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้เสียหน่อย
สุดท้ายมันก็จบลงที่อะไรเดิมๆ
แล้วแทฮยอนก็หลับ
ผิวกายขาวเนียนเต็มไปด้วยรอยรักสีกุหลาบ ผ้าเนื้อนิ่มที่เคยห่อกายขาวไว้ถูกถอดออกและโยนไปที่ไหนสักแห่งในรถโฟล์คคันเล็กนี่ มินโฮเพียงแค่เอาผ้าห่มผืนหนามาคลุมกายบางที่ปราศจากอาภรณ์ไว้แทน ตามด้วยเสื้อโค้ตตัวใหญ่ที่อยู่หลังรถ เขาแอบมองร่างบางที่กำลังหลับสนิท อกบางภายใต้ผ้าเนื้อหนานั้นคงขยับขึ้นลงตามแรงหายใจ ร่างสูงอดจินตนาการถึงกายหอมหวานที่เขาแสนหลงใหลภายใต้กองผ้านั้นไม่ได้
ยามหลับใหลนัมแทฮยอนช่างดูงดงามราวกับเจ้าหญิง ผิวขาวเนียนและหุ่นที่แลดูบอบบางน่าปกป้อง ช่างแปลกประหลาดเหลือเกินที่ในความเป็นจริงแล้วร่างตรงหน้านี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเขาเสียอีก และแม้ว่าเขาคนนี้ต้องการที่จะคอยดูแลคนตรงหน้านี้แทบขาดใจ แต่เขาก็รู้ดีว่าอีกคนคงไม่ต้องการ
นัมแทฮยอนที่แข็งแกร่งดั่งภูผา
นัมแทฮยอนที่งดงามกว่าดอกไม้
นัมแทฮยอนที่ยากจะคาดเดาเยี่ยงท้องฟ้า ทว่าร้อนแรงดุจดวงอาทิตย์
นัมแทฮยอนที่ลึกลับเหมือนกับมหาสมุทรที่แสนกว้างใหญ่
นัมแทฮยอนที่ไม่ว่าเขาพยายามเข้าใกล้เพียงใดก็เหมือนกับหยุดยืนอยู่ที่เดิม
เคยได้ยินเพียงแต่ชื่อมาตลอด ซงมินโฮก็วาดฝันว่านัมแทฮยอนผู้เป็นถึงเจ้าของแก๊งมาเฟียที่คุมพื้นที่ในเขตนี้จะต้องเป็นพวกอันธพาลหน้าตาน่ากลัว ไร้ซึ่งความปราณีอย่างที่ใครเขาว่ากัน จริงอยู่ที่มีใครหลายคนบอกว่าคนคนนั้นมีหน้าตาที่ผิดกับชื่อเสียงในแง่ลบเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง มินโฮก็พอจะลองคิดภาพตามดูบ้าง แต่ภาพในหัวนั้นก็ไม่ใกล้เคียงกับตัวจริงของคนคนนั้นเลยแม้แต่น้อง
ใบหน้าที่งดงามจนแทบทำให้เขาหยุดหายใจตั้งแต่แรกสบตา
หัวใจของเขาเต้นแรงรัว ทั้งๆที่งานของเขาก็ทำให้ต้องได้พบกับหญิงสาวแสนยั่วยวนมากมาย แต่นั่นก็เทียบอะไรไม่ได้เลยกับนัมแทฮยอนที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนั้น
เหมือนกับโลกทั้งใบหยุดหมุน
ซงมินโฮรู้ในทันทีว่านั่นคือสิ่งที่เรียกว่า
รักแรกพบ.
รักแรกพบที่เกิดในที่ที่ไม่สมควรเกิด กับคนที่ไม่สมควรจะมี นั่นคือสิ่งเลวร้ายที่สุดสิ่งหนึ่งในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้ แต่มินโฮเองกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นนัก เขาเองก็รับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่ถูกส่งผ่านดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้น แววตาที่สั่นระริกเมื่อจ้องมองมายังเขา
และแววตาของแทฮยอนในวันนั้นเอง มอบความกล้าบ้าบอให้กับเขา
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าความสัมพันธระหว่างเขา กับนัมแทฮยอนได้เริ่มขึ้นเมื่อไหร่ แต่เมื่อรู้ตัวอีกที เขากับแทฮยอนก็มักจะพบกันในที่ที่ไม่มีใครเห็น บรรเลงบทรักกันอย่างลึกซึ้ง เขามอบความอบอุ่นและร้อนแรงให้กับร่างบางที่มีจิตใจเย็นยะเยือกราวกับธารน้ำแข็งในฤดูหนาว ทุกท่วงท่าลีลาที่สอดประสานราวกับถูกสร้างมาให้คู่กันนั้นทำให้เขาเผลอคิดไปไกลทุกครั้งยามได้สัมผัสผิวนวลเนียนนั่น
แต่สำหรับแทฮยอนแล้วคงไม่ใช่
แม้ว่าทุกครั้งที่ได้พบกัน เขาจะไม่เคยถาม และแทฮยอนเองไม่เคยเอ่ยปากพูด แต่เขาก็รู้ได้จากท่าทางและแววตาที่มองมา ว่าสำหรับร่างบางแล้ว เขาเองก็เป็นเพียงแค่เครื่องระบายอารมณ์ ถึงแม้ว่าต่างฝ่ายต่างไม่เคยจะทำเรื่องอย่างว่ากับคนเพศเดียวกันมาตลอด แต่หลังจากได้ลิ้มลองผลแอ๊ปเปิ้ลในสวนอีเดนที่แสนเย้ายวนเพียงครั้งเดียวแล้ว นัมแทฮยอนก็ไม่สามารถปฏิเสธครั้งที่สอง ครั้งที่สาม และครั้งต่อๆไปได้อีก
แทฮยอนต้องการเขา
หากแต่ความต้องการนั้นแตกต่างจากที่เขาต้องการแทฮยอน
ถ้าเรื่องนี้จะเป็นความผิดของใครสักคน ก็คงจะเป็นเขาเอง ที่พาให้ใจตัวเองถลำลึกลงบนความสัมพันธ์ที่มีเพียงแค่กายเนื้อนี่เสียจนไม่รู้สึกตัว ทุกครั้งยามร่วมรัก มินโฮพยายามหลอมละลายน้ำแข็งในจิตใจของอีกคน แต่แม้ว่าเขาจะมอบไออุ่นไปหมดกาย อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าจะแปรเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย
มินโฮพยายามพาแทฮยอนออกไปเที่ยว เริ่มจากดูหนังหรือกินข้าวทั่วๆไปเหมือนที่เห็นในหนัง แต่นั่นมันทำให้ทุกอย่างวุ่นวายยิ่งกว่าเดิมเพราะกลายเป็นว่าแทฮยอนดันไปเจอคู่อริเสียอย่างนั้น
ลองเปิดหนังดูในห้องสองต่อสอง แทฮยอนก็ดูแต่หนังประเภทแอคชั่น ดูแล้วก็ชวนเขาคุยเรื่องบู้ๆ เรื่องชกต่อยอะไรสักอย่างที่กลายเป็นเขาไม่เข้าใจเสียอย่างนั้น
เขาเองพอจะมีความสามารถด้านการทำเพลงฮิปฮอปกับดีเจอยู่หน่อย เลยลองพาไปผับที่เขาเคยทำงาน แต่พอขึ้นไปโชว์กลับมาอีกทีก็พบว่าแทฮยอนหลับไปเสียแล้ว ได้ความว่าอีกคนชอบฟังเพลงบัลลาดมากกว่า แต่ไอ้ครั้นจะพาไปดูคอนเสิร์ตอะไรสไตล์นั้นก็จะกลายเป็นว่าเขาเองนั่นแหละที่จะไปหลับ
เขากับแทฮยอนต่างกันเกินไป
ถ้าแทฮยอนเป็นภาพขาวดำ เขาก็คงจะเป็นภาพที่เต็มไปด้วยสีฉูดฉาด
ถ้าแทฮยอนเป็นดอกกุหลาบที่เต็มไปด้วยหนาม เขาก็คงเป็นเพียงดอกหญ้าที่ไม่มีความพิเศษใดๆ
และหากใจของแทฮยอนเปรียบเหมือนฤดูหนาวที่แสนหนาวเหน็บ
ใจของเขาก็คงเป็นเหมือนกับฤดูร้อนที่แสนยาวนานที่ไม่มีวันจบสิ้น
เขาก็ได้แต่หวังว่าความอบอุ่นจากฤดูร้อนในใจเขาจะพาให้ฤดูหนาวในใจแทฮยอนผ่านไปเร็วๆได้ก็แค่นั้น
เพียงแค่ว่าสักวัน นัมแทฮยอนจะตอบรับคำที่เขาพร่ำบอกรักในยามหลับใหลเท่านั้นเอง
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่มินโฮนั่งมองร่างบางที่นอนหลับอยู่อย่างนั้น แต่ความรู้สึกเหมือนโดนจ้องมองจากนอกรถทำให้เขาต้องละสายตาจากแทฮยอน ชายหนุ่มสังเกตเห็นเงาดำวูบไหวที่ขยับเขยื้อนที่หางตาเมื่อครู่ คิ้วเข้มก็พลันขมวดขึ้นด้วยความสงสัย
ไม่ได้คิดไปเองสินะ
เพราะอีกคนคงหมดแรงจากกิจกรรมรักเมื่อครู่ มินโฮจึงไม่อยากจะปลุกแทฮยอนให้ตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา แต่เสียงกุกกักจากด้านนอกก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเกินกว่าจะปล่อยไว้แบบนี้ มือหนาเอื้อมไปเปิดไฟหน้ารถเพื่อทำลายความมืดมิด หลับลึกขนาดนั้นยังไงร่างเล็กนี่ก็คงไม่ตื่นขึ้นง่ายๆหรอก
เขาเป็นห่วงแทฮยอน
เด็กคนนี้มีศัตรูเยอะ หากมีหมาลอบกัดตัวไหนสักตัวตามมาก็ไม่แปลก
แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้นกลางแสงไฟที่สาดส่องจากรถของมินโฮ ร่างหนาภายใต้เสื้อโค้ตตัวใหญ่ไม่มีอะไรปกคลุมใบหน้า แต่กระนั้นมินโฮก็ยังไม่สามารถมองเห็นอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน มือทั้งสองข้างของผู้มาใหม่ซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อ ก่อนชายคนนั้นจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา
รอยยิ้มที่ทำให้เขารู้สึกหนาวไปถึงขั้วกระดูกถูกส่งมาให้ ชายคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา อะไรบางอย่างบอกเขาเช่นนั้น มินโฮรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่พลุ่งพล่านในแววตาคู่นั้น
แววตาที่ดูไร้ความปราณีเหมือนกับแววตาของแทฮยอน...
ชายหนุ่มปริศนาขยับปากเป็นคำพูดที่ไร้เสียงสื่อข้อความถึงมินโฮเพียงสั้นๆ ไออุ่นที่ปะทะลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วงกระทบกับแสงไฟ แลมองดูเหมือนกับควันบุหรี่ที่พุ่งออกจากปาก
‘ออกมาจากรถ’
มินโฮนั่งนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาคมจ้องไปยังคนแปลกหน้าโดยไม่มีท่าทีว่าจะขยับถอย ผู้มาใหม่เหมือนจะสังเกตเห็นความแข็งกร้าวจากอีกคน ดูท่าว่าชายหนุ่มผิวเข้มคนนี้ต้องการที่จะปกป้องร่างบางที่หลับใหลนั่นเสียเต็มที่
ช่างน่าหัวเราะเสียจริง
คนอย่างนัมแทฮยอนไม่ต้องการใครมาปกป้องหรอก
‘ออกมา’ ชายคนนั้นพูดอีกครั้ง แต่คราวนี้มือหนาที่อยู่ใต้เสื้อดึงเอาบางอย่างที่ซุกอยู่ในกระเป๋าออกมาด้วย วัตถุสีดำขนาดกำลังพอดีมือถูกดึงออกมา มินโฮรู้สึกชาวาบไปทั้งตัวเมื่อเห็นมัน ชายปริศนาแสยะยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเล็งปลายปืนไปที่นัมแทฮยอน
‘ถ้ายังไม่ลงมา ฉันจะยิง’
เพียงเท่านั้น เสียงเปิดประตูรถก็ดังขึ้น ชายหนุ่มผู้ถือปืนยิ้มในความว่าง่ายของซงมินโฮ ทันทีที่เท้ายาวก้าวลงจากรถ ร่างหนาก็เข้าประชิดตัวอีกฝ่าย แขนแกร่งล็อคคอของร่างสูงไว้แม้ชายหนุ่มผิวเข้มพยายามที่จะผลักและทุบเขา แต่ดูเหมือนว่าแรงของมินโฮจะไม่สามารถทำอะไรชายปริศนาที่ร่ำเรียนการต่อสู้มาตลอดชีวิตได้
อ่อนหัดสิ้นดี
หมอนี่มันก็แค่ไอ้ลูกหมา...
ทำไมคนแข็งแกร่งอย่างนัมแทฮยอนถึงยอมมีจุดอ่อนขนาดนี้ได้กันนะ
หึ แต่พูดไปก็เปล่าประโยชน์
เขาเองก็เคยมีจุดอ่อนที่อ่อนแอเสียยิ่งกว่านี้อีกด้วยซ้ำ
ขายปริศนาดึงมินโฮไปที่หน้ารถ แสงไฟตัดหมอกด้านหน้าแสบตาเสียจนเขาต้องหลับตาลง แทฮยอนอยู่ตรงหน้า ร่างบางที่นอนคอพับอยู่ตรงนั้นที่เขาอยากปกป้อง แต่ตอนนี้เพียงแค่ขยับกายออกจากไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ที่ไม่ได้ด้วยซ้ำ เขารู้สึกสมเพชตัวเองเสียจริง....
“นัมแทฮยอน!!!” โดยไม่คาดคิด ชายปริศนาก็ตะโกนขึ้นลั่น มินโฮพยายามจะใช้ศอกกระทุ้งหน้าท้องอีกคนแต่ก็พลาด ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้เป็นเพียงพวกโจรกระจอกอย่างที่เขาคิด ชายหนุ่มผิวเข้มรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่กำลังผุดขึ้นที่ไรผมทั้งที่อุณหภูมิโดยรอบนั้นเย็นเกินกว่าจะเอ่ยว่าร้อนได้ ทันทีที่ดวงตาสวยคู่นั้นลืมเปิดขึ้น
ชั่ววินาทีที่เขาและแทฮยอนสบตากันในตอนนั้นเหมือนเวลาได้ถูกหยุดลงอีกครั้ง
หรือหากเวลาได้หยุดลงตั้งแต่ตอนที่ได้พบกันครั้งแรก นี่ก็คงจะเป็นตอนที่เข็มนาฬิกาได้เริ่มเดินขึ้นอีกครั้ง
ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก
เขาได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาที่ขยับจากแขนแกร่งที่ล็อคเขาไว้แน่น แววตาที่เยือกเย็นกว่าที่เขาเคยเห็นครั้งไหนๆนั่นจับจ้องมายังเขา มันเย็นเสียจนเขารู้สึกได้ว่าหัวใจเขากำลังสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บของมัน
เพราะมินโฮกำลังจับจ้องที่แทฮยอน เขาจึงไม่รู้สึกถึงวัตถุบางอย่างที่ถูกจับขึ้นแนบกับขมับเขาในเวลาไม่ถึงชั่ววินาที มีเพียงแค่แววตาไหววูบของร่างบางในรถเท่านั้นที่เขาเห็นตอนที่มือหยาบคู่นั้นเหนี่ยวไกปืน
‘ปัง!’
เลือดไม่ได้กระเซ็นแผ่ไปทั่วรอบด้านเหมือนกับนิยายสยองขวัญ มีเพียงแค่รอยเลือดเล็กน้อยที่กระเด็นมาโดนรถเก่าตรงหน้าและอีกนิดหน่อยที่เปรอะเปื้อนเสื้อโค้ตตัวใหญ่สีเข้มนั่น สีดำของมันดำเสียจนไม่สามารถมองเห็นคราบคาวเลือดเหล่านั้น บนเสื้อตัวใหญ่ของชายหนุ่มนั้นจะมีเลือดของคนกี่คนบนนั้นกันนะ
แทฮยอนไม่ได้ลงจากรถ มือเล็กเอื้อมไปเลื่อนหน้าต่างลง เขาไม่ได้รู้สึกตื่นกลัวกับเหตุการณ์ตรงหน้าเท่าที่ร่างสูงคาดคิดไว้ ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ใบหน้าหวานนั่นก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา
“ต้องการอะไร เชวซึงชอล” แล้วแทฮยอนก็เป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นก่อน นิ้วเรียวดึงกระชับเสื้อตัวใหญ่ของมินโฮที่ห่มคลุมกายอยู่เมื่อรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิภายนอกรถ เขาไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวแม้แต่น้อยทั้งๆที่อริตัวสำคัญกำลังยืนควงปืนเล่นอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงสองเมตรด้วยซ้ำ
จะกลัวทำไมล่ะ
หากซึงชอลมาที่นี่เพื่อทำอะไรเขา หมอนั่นคงจะพ่นลูกปืนใส่หน้าเสียตั้งแต่ก่อนจะตื่นแล้ว ไม่ต้องรอให้ใครมาเปิดไฟหรือส่งเสียงดังปลุกเขาก็ได้ ระดับอย่างหมอนี่ต่อให้ทำงานโดยปราศจากแสงไฟในคืนเดือนมืดก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก
แต่ดูก็รู้ว่าจุดประสงค์ของคนตรงหน้านี้มาที่นี่ก็เพื่อจัดการกับเจ้าของเสื้อตัวใหญ่กับรถคลาสสิคนี่ต่างหากล่ะ
เพราะอะไรกันนะ เจ้าฝีมือด้านการต่อสู้อีกคนอย่างเชวซึงชอลถึงต้องถ่อออกนอกเมืองมาเพื่อจัดการกับพ่อเล้าปลายแถวอย่างซงมินโฮด้วย...
“จางโดยูน” ชายหนุ่มเอ่ยสั้นๆแล้วหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ซึงชอลมวนบุหรี่ไว้ที่ปากแล้วใช้ไฟแช็กจุด นิ้วใหญ่คีบมันออกจากปากแล้วพ่นควันสีขาวออกมา เช่นเดียวกับความรู้สึกหนักอึ้งที่อยู่ในหัวใจ ผู้มาใหม่ยิ้มเยาะให้กับแทฮยอนที่ไม่ว่าจะนึกเท่าไหร่แล้วก็นึกไม่ออกเสียทีว่าชื่อที่อีกฝ่ายพูดออกมานั้นป็นชื่อของใครกันแน่
ไม่ใช่ชื่อลูกน้องเขาแน่ๆ และก็ไม่ใช่ลูกน้องของอีกฝ่าย ชื่อของเด็กค้ายาหรือสาวที่เคยควงก็คงไม่ใช่..
“รู้จักไหม จางโดยูน” ร่างสูงเอ่ยถามขึ้นอีกรอบพร้อมกับกลุ่มควัน แววตาที่ดูอ่อนลงจากทุกคราว ราวกับว่าชื่อที่เอ่ยออกมานั้นมีความหมายกับผู้พูดมากเพียงใด
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็นึกไม่ออกอยู่ดี
เมื่อเห็นว่าร่างบางในรถไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบรับกลับมา ซึงชอลก็แค่นหัวเราะ ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้หน้าต่างที่เปิดอยู่แล้วพ่นควันใส่หน้าร่างบาง คิ้วตกๆนั่นขมวดยิ่งขึ้น กระแอมเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
“ไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำ” เขาตอบไปตามตรง ยิ่งทำให้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนกับแมวเชสเชียร์นั่นกว้างขึ้นกว่าเดิม
“นั่นสินะ ไม่รู้จัก แล้วทำไมคิมดงฮยอกต้องฆ่าจางโดยูนด้วย”
ร่างสูงทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ก่อนจะหมุนตัวหันหลังเดินกลับไป บุหรี่มวนเดิมยังคาบไว้ในปาก แต่มือหนาก็ยกขึ้นโบกลาอีกฝ่ายโดยไม่มีคำพูดอะไรออกมาอีก ซึงชอลเหวี่ยงตัวเองขึ้นบนมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่แล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ขี่ออกไปบนทางหลวงกว้าง กลับไปยังโซล
เหลือเพียงแค่นัมแทฮยอน รถคันเก่า และซงมินโฮดังเดิม
จะต่างกันก็เพียงแค่ตอนนี้ซงมินโฮไม่ได้มีลมหายใจแล้วต่างหาก
คิมดงฮยอกคือชื่อของลูกน้องคนหนึ่งของเขา เด็กนั่นไม่ใช่คนเลวอะไร เป็นแค่เด็กนักเลงธรรมดาๆ เคยได้ยินว่าเป็นเด็กดี แต่เพราะมาคบเพื่อนอันธพาลอย่างกูจุนฮเว เส้นทางชีวิตของเด็กคนนี้ก็เบนมาในสายที่ดำมืดที่มีเขา และเชวซึงชอลคู่อริครองอยู่ เด็กคนนั้นและเพื่อนเลือกที่จะอยู่กับเขา ซึ่งเขาเองก็ไม่มีปัญหาอะไร
จนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้ว เด็กคนนั้นเดินหน้าซีดเข้ามาหาเขา พร้อมด้วยเพื่อนสนิทที่พยุงร่างเล็กที่มีใบหน้าไม่สู้ดีเข้ามา
“ฮยองครับ ผม....ฆ่าคน” เด็กคนนั้นพูด แววตาสั่นระริก แทฮยอนเหลือบมองใบหน้าขาวนั้นด้วยแววตานิ่งๆ การฆ่าคนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรในวงการนี้ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดงฮยอกเห็นใครสักคนจบชีวิตลงต่อหน้าต่อตา
“แล้ว?”
“คนคนนั้นเป็นคนบริสุทธิ์” ดงฮยอกกลืนน้ำลายแล้วพูดออกมาอย่างยากลำบาก กูจุนฮเวยืนอยู่ข้างๆลูบหลังบางปลอบโยนอีกคนเบาๆ แทฮยอนกระตุกยิ้มที่มุมปาก เด็กคนนี้อ่อนต่อโลกกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
“ผมตั้งใจจะยิงไอ้ซึงชอล แต่...”
“คนคนนั้นเขาดันกระโดดเข้ามารับกระสุนก็เลย....”
หึ เขาน่าจะนึกได้ตั้งแต่แรก วันนั้นดงฮยอกขอลาจากวงการเป็นการถาวร เด็กคนนั้นจะไปเรียนต่อทางด้านดนตรี แต่ก็ยังคบหากับจุนฮเวอยู่เหมือนเก่า ซึ่งเขาก็ไม่ได้ติดใจอะไร ทว่ากี่วันต่อมา เด็กคนนั้นก็ถูกทำร้ายจนเข้าโรงพยาบาลด้วยฝีมือของคนของซึงชอล
น่าจะเอะใจตั้งแต่แรก เด็กที่ตายตอนนั้นคงเป็นคนของเชวซึงชอลสินะ
คนอย่างหมอนั่นไม่ยอมปล่อยให้เด็กคนนั้นตายเปล่า ก็เลยคิดกลับมาแก้แค้นเขาอย่างนี้สินะ
โง่เสียจริง
ซงมินโฮไม่ใช่คนของเขาเสียหน่อย
แทฮยอนแค่นยิ้มออกมา แขนเรียวเอื้อมหยิบเสื้อของเขาที่ถูกถอดโยนไว้บนที่นั่งด้านหลังออกมาใส่ให้เรียบร้อยก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ ร่างของมินโฮนอนอยู่ตรงนั้น แน่นิ่ง ไร้ซึ่งลมหายใจ เด็กหนุ่มก้มลงมองใบหน้าที่คุ้นเคยนั่นใกล้ๆด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง มือเล็กเอื้อมไปสัมผัสร่างนั้นเบาๆ
คิ้วเข้มๆที่ไม่ได้ตกเหมือนกับคิ้วของเขา มันมักจะยกขึ้นเสมอยามเมื่อเขาเอ่ยอะไรที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจ ดวงตาที่สะท้อนเพียงภาพของนัมแทฮยอนเสมอนั่นปิดลงอย่างไม่มีวันลืมขึ้นอีก โหนกแก้ม สันจมูก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยคุ้นเคยกลับนิ่งสนิท ไล่มาจนถึงปากหนาที่มักจะมอบจูบที่ร้อนแรงให้เขาอยู่เสมอ
กายเนื้อที่เคยอบอุ่นอยู่เสมอบัดนี้มันได้เย็นเฉียบ
หยาดน้ำตาที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่หยดลงใบหน้าคมของซงมินโฮ
แทฮยอนก้มลงจูบเบาๆที่เปลือกตาของอีกคน
ณ วันหนึ่งในปลายฤดูใบไม้ร่วงตอนเขาอายุได้ยี่สิบสองปี อากาศเย็นเฉียบ ดวงจันทร์สะท้อนเงาบนท้องฟ้าเพียงแค่ครึ่งเดียว ร่างของซงมินโฮอยู่ตรงนั้น นอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจ ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนที่ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก ในเส้นทางชีวิตที่คนบริสุทธิ์นับไม่ถ้วนต้องตายลงโดยไร้เหตุผลนี้ นัมแทฮยอนมองร่างนั้นซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคนที่มีอิทธิพลมากกับเขาเสียจนกลัว เรียวปากบางเอ่ยคำพูดต้องห้ามที่เขาเลี่ยงมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกับคนคนนี้
คำพูดสั้นๆที่อีกคนมักจะพร่ำบอกยามเขาหลับใหล
คำพูดสั้นๆที่ทำให้เขาก้าวข้ามเส้นของความฝันกับความเป็นจริงไปโดยไม่รู้ตัว
คำพูดสั้นๆที่ใครบางคนเคยอยากฟังจากเขาจนสุดหัวใจ
วันนี้เขาได้เอ่ยคำต้องห้ามนั้นออกมาแล้ว หากเพียงสามารถย้อนเวลาไปได้เพียงแค่วินาทีเดียว เขาอยากจะมีโอกาสย้อนกลับไปพูดให้ซงมินโฮได้ยินสักครั้ง คำที่อีกฝ่ายไม่มีวันที่จะได้ยิน
แทฮยอนก้มลงกระซิบคำสั้นๆนั้นที่ข้างหูของใครบางคน หวังให้สายลมเย็นพัดมันไปจนถึงสวรรค์ที่อีกคนอยู่
“ฉันรักนาย”
ผลงานอื่นๆ ของ themoestro ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ themoestro
ความคิดเห็น