ดาวนักวิ่ง Mega Marathon
เอนไลท์เบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนเอ่ยปากถามมารดา ดาวดวงนี้มันอะไรกันครับแม่ ทำไมผู้คนทุกคนถึงต้องวิ่งแบบนี้ เขาวิ่งหนีอะไร หรือเขาวิ่งไปหาอะไรหรือครับ
ผู้เข้าชมรวม
215
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Mega Marathon
“เอนไลท์ ลูกอยู่ไหนน่ะ” เสียงหญิงสาวผู้เป็นมารดาเรียกหาลูกดังขึ้นในยานอวกาศลำใหญ่ lightning 7 ที่อยู่ระหว่างการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจยังอีกฝากหนึ่งของขอบจักรวาล
“อยู่นี่ครับแม่” เสียงใส ๆ ของเด็กชายวัย 3 ขวบขานตอบ ขณะวิ่งเตาะแตะเข้ามาหาแม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ดึกแล้วนะเอนไลท์ นอนได้แล้วนะจ๊ะลูก” แม่ลูบหัวเด็กชายอย่างรักใคร่ ก่อนจะอุ้มเขาขึ้นมาแล้วพาเดินตรงไปยังห้องนอน
“แม่ครับ” เด็กชายเรียก
“อะไรจ๊ะ”
“เล่านิทานให้ผมฟังหน่อยสิครับ”
“วันดึกแล้วจ้ะ ไว้วันหลังแล้วกันนะ”
“ไม่เอาอ่าครับ ผมจะฟังนิทานอ่ะครับแม่” เอนไลท์เริ่มงอแงดิ้นไปมาในอ้อมกอดของมารดา จนหญิงสาวเริ่มใจอ่อน
“จ้ะ ๆ แม่เล่าก็ได้” เธอค่อย ๆ วางเด็กชายลงบนเตียงอย่างทนุถนอม เอนไลน์รีบคว้าหมอนที่หัวเตียงมานั่งกอดแล้วฟังอย่างตั้งใจ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของดาวเคราะห์ดวงนึงจ้ะ จะเรียกว่านิทานได้หรือเปล่าแม่ก็ไม่แน่ใจนะ” เธอเริ่มเล่า “ดาวดวงนี้อยู่ห่างจากดาวของเราออกไปเกือบสองพันล้านปีแสง
”
“ห่างจากดาวของเราหรือครับ” เด็กน้อยเอ่ยอย่างสงสัย
“ใช่จ้ะ ห่างจากดาวของเรา” เธอเอ่ย “จริงสินะ ลูกยังไม่เคยเห็นดาวบ้านเกิดของพ่อกับแม่เลย ไว้เดี๋ยวเสร็จงานนี้เมื่อไหร่แม่จะพาไปเยี่ยมตากับยายที่บ้านพวกท่านนะจ๊ะ”
“ครับ” เด็กชายรับคำ นัยน์ตาทั้งสองทอประกายอย่างสนอกสนใจ
เอนไลท์เกิดบนยานอวกาศแห่งนี้เมื่อสามปีก่อน ในยุคสมัยนี้ การที่เด็กทารกเกิดในอวกาศถือเป็นเรื่องปกติ เขาใช้ชีวิตอยู่บนยานแห่งนี้ตั้งแต่เขาเกิดขึ้นมา
“เล่าต่อสิครับแม่” เด็กชายร้อง
“จ้ะ” เธอรับคำ “ดวงดาวดวงนี้หน้าตาเป็นแบบนี้จ้ะ” หญิงสาวกดปุ่มรีโมทในมือ พลันภาพโฮโลแกรมสามมิติก็ลอยขึ้นมาจากโต๊ะข้างเตียงฉายให้เห็นภาพดาวเคราะห์สีน้ำเงินสดใส มีพิ้นน้ำต่อพิ้นดินประมาณสามในสี่ เส้นผ่านศูนย์กลางราวหนึ่งหมื่นสามพันกิโลเมตร
เด็กชายก้มมองภาพโฮโลแกรมตรงหน้าอย่างสนใจ แม่ของเขากดปุ่มอีกครั้ง ภาพโฮโลแกรมค่อย ๆ ซูมเข้าเรื่อย ๆ จนกระทั่งมองเห็นมนุษย์กลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งกระหืดกระหอบไปข้างหน้าบนทางเดินที่ขีดลากเป็นลู่วิ่งยาว ใบหน้าของมนุษย์เหล่านั้นดูเหนื่อยล้าไร้ชีวิตชีวา แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครที่ยอมแพ้ ต่างคนต่างวิ่งไปข้างหน้าอย่างรีบเร่งราวกับต้องการไขว่คว้าหาอะไรบางอย่าง
เอนไลท์เบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนเอ่ยปากถามมารดา “ดาวดวงนี้มันอะไรกันครับแม่ ทำไมผู้คนทุกคนถึงต้องวิ่งแบบนี้ เขาวิ่งหนีอะไร หรือเขาวิ่งไปหาอะไรหรือครับ”
“ดาวดวงนี้เป็นดาวที่แปลกมากจริง ๆ จ้ะ” เธอเปรย “ดาวดวงนี้มีชื่อเล่นที่ผู้คนที่ผ่านไปมาตั้งให้ว่า ‘ดาวนักวิ่ง’ เพราะพวกเขาต้องวิ่งตลอดเวลา”
“ตลอดเวลาเลยหรือครับ” เด็กชายทวนคำ
“ใช่จ้ะ ก็อย่างที่เห็น ผู้คนบนดาวดวงนี้จะวิ่งไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุด”
เอนไลท์ทำตาโต “ทำไมพวกเขาถึงทำอย่างนั้นล่ะครับ พวกเขาสนุกกับมันหรือครับ พวกเขามีความสุขกับการวิ่งจนถึงกับหยุดไม่ได้เลยหรือครับ”
หญิงสาวยิ้มก่อนจะขยับรีโมทโคลสอัพภาพเข้าไปที่ใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่ง มันเต็มไปด้วยริ้วรอยย่น ราวกับเป็นรอยสลักของความทุกข์ ความเหนื่อยล้าที่เขาต้องเผชิญมาในอดีต หยาดเหงื่อสาดกระเซ็นเปื้อนไปทั้งร่าง ลมหายใจกระหืดหระหอบราวกับจะขาดไปได้ทุกวินาที
“เขาไม่ได้มีความสุขหรอกจ้ะ” แม่ตอบ “ลูกอาจจะไม่เคยวิ่งเป็นระยะทางไกล ๆ มาก่อน เดี๋ยวแม่จะเล่าให้ฟังนะจ๊ะ ในการแข่งขันวิ่งระยะไกลหรือที่เรียกว่าวิ่งมาราธอน ลูกจะต้องวิ่งไปข้างหน้าเรื่อย ๆ พร้อมกับผู้คนอีกมากมายที่ออกวิ่งพร้อมกับลูก ช่วงแรก ๆ ลูกจะรู้สึกสนุกกับการวิ่ง ได้วิ่งเคียงข้างผู้คนมาก ๆ ได้รู้จักผู้คนใหม่ ๆ
”
“แต่ไม่นานนักต่อมา ลูกก็จะเริ่มเห็นความแตกต่างระหว่างคนแต่ละคน บางคนเริ่มหยุดเดิน บางคนเริ่มเงียบไม่พูดกับใคร ตั้งอกตั้งใจวิ่งต่อไปข้างหน้าอย่างเดียวไม่สนใจคนรอบข้าง บางคนรู้สึกว่าตนแข็งแรงกว่า เก่งกว่า จึงเพิ่มความเร็วขึ้น และทิ้งคนอื่น ๆ ไว้ข้างหลัง
”
“แต่รู้มั๊ยไม่มีใครอยากถูกทิ้งไว้ข้างหลังหรอกนะ คนที่ถูกแซงไป ถึงบางคนจะยังคงเดินต่อ บางคนจะวิ่งเหยาะ ๆ ต่อ แต่ลึก ๆ แล้วทุกคนรู้สึกเจ็บใจ อยากวิ่งแซงคนอื่น ๆ ไปบ้าง ผลที่ได้ก็คือความดันทุรัง การฝืนร่างกายตนเอง พยายามก้าวต่อไปข้างหน้า ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ไหว บางครั้งก็จะมองกันเอง มองเพื่อนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังด้วยกัน อาจจะมีการจับมือกันบ้าง ช่วยเหลือกันบ้าง วิ่งต่อไปด้วยกัน แต่ถึงอย่างไรในการวิ่งมาราธอนแล้ว ไม่มีใครหยุดวิ่งหรอกจ้ะ”
“อย่างนั้นหรือครับ แล้วพวกเขาจะหยุดวิ่งเมื่อไหร่ล่ะครับ” เอนไลท์ถาม สายตามองชายในโฮโลแกรมอย่างรู้สึกสงสาร
“สำหรับการวิ่งมาราธอน เรามีเส้นชัยจ้ะ ที่เส้นชัยผู้ที่วิ่งมาถึงเป็นกลุ่มแรก ๆ จะเป็นผู้ชนะ จะมีการแจกถ้วยรางวัล แจกเหรียญรางวัล แจกประกาศนียบัตร และผู้ที่ชนะจะได้รับชื่อเสียง ได้รับการยกย่องเชิดชูจากนักวิ่งคนอื่น ๆ จ้ะ”
“แล้วที่ดาวนักวิ่งนี่ มีเส้นชัยบ้างมั๊ยครับ”
“ถ้าหมายถึงเส้นชัยแบบการวิ่งมาราธอน ที่เมื่อไปถึงแล้วได้พักผ่อน ได้หยุดวิ่งจริง ๆ ล่ะก็ไม่มีหรอกจ้ะ มีแต่จุดเส้นชัยปลอม ๆ ที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกณฑ์วัดว่าใครไปได้ไกลแค่ไหนในเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งแม่คิดว่าควรจะเรียกมันว่าเช็คพอยท์ดีกว่า แต่มันจะแตกต่างจากการวิ่งมาราธอนตรงที่ ที่เช็คพอยท์นี้ จะมีกลุ่มนักวิ่งคนอื่น ๆ มาคอยชื่นชม คอยให้กำลังใจ มีการเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย นักวิ่งทุกคนที่มาถึงจุดเช็คพอยท์มักจะชะลอการวิ่งเพื่อซึมซับความรู้สึกดี ๆ ที่มีคนยกย่องชื่นชม แต่ยังไงก็ตาม พวกเขาก็ยังต้องวิ่งต่อไปจ้ะ”
หญิงสาวเลื่อนรีโมทในมือ ฉายภาพโฮโลแกรมของเช็คพอยท์ให้เด็กชายดู มันเป็นภาพเด็กคนหนึ่งเปลี่ยนจากชุดเที่ยวเล่น ชุดอยู่บ้าน เป็นชุดยูนิฟอร์มที่มีหน้าตาเหมือน ๆ กัน เป็นเสื้อสีขาว กางเกงสีดำสำหรับผู้ชาย และกระโปรงสีน้ำเงินสำหรับผู้หญิง
“ทุกคนที่วิ่งผ่านเช็คพอยท์ได้ จะได้ใส่ชุดยูนิฟอร์มเหมือน ๆ กันหรือครับ” เด็กชายถามพลางมองสำรวจชุดของเด็ก ๆ ในภาพตรงหน้า
“สำหรับเช็คพอยท์แรก ๆ ใช่จ้ะ ชุดต่าง ๆ ยังไม่แตกต่างกันมากนัก อีกทั้งยังไม่ได้แสดงความหมายใด ๆ สักเท่าไร” เธอตอบก่อนจะเลื่อนรีโมทแสดงภาพโฮโลแกรมของเช็คพอยท์ถัดไป “แต่เป็นเรื่องน่าแปลกที่มนุษย์บนดาวดวงนี้มีจิตที่ชอบความแตกต่าง ชอบการแบ่งแยก ที่เช็คพอยท์ถัดมาจะเริ่มมีความแตกต่างมากขึ้น ผู้ที่มาถึงเป็นอันดับแรก ๆ จะได้เสื้อที่มีเข็มตราบางอย่างติด ซึ่งเข็มตราดังกล่าวจะบอกถึงระดับความเก่งกาจของคน ๆ นั้นเป็นนัย ๆ ในขณะที่คนที่มาถึงทีหลังก็จะได้เข็มตรา หรือตัวอักษรที่ปักที่แตกต่างกันออกไป”
“แย่จังเลยนะครับแม่ ทำไมผู้คนบนดาวนี้ถึงต้องแบ่งแยกอะไรแบบนี้กันด้วย” เด็กชายรู้สึกสงสารมนุษย์บนดาวดวงนี้ขึ้นมาจับใจ
“ใช่จ้ะ แม่ก็คิดเหมือนลูก แต่สำหรับบนดาวดวงนี้ นี่เป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้พวกเขายิ่งวิ่งต่อไป ยิ่งวิ่งเร็วขึ้น เพราะอย่างที่ลูกเห็น เช็คพอยท์ไม่ได้มีแค่จุดเดียว ตอนนี้คนที่ได้ติดเข็มตราที่ดีกว่า โลโก้ที่ดีกว่า อาจจะถูกคนที่ติดเข็มตราอื่น ๆ วิ่งแซงไปได้เหมือนกันในเช็คพอยท์ถัดไปที่เรียกได้ว่าเป็นเช็คพอยท์ที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่งของดาวดวงนี้” หญิงสาวขยับรีโมทเลื่อนให้เด็กชายได้เห็นจุดเช็คพอยท์ถัดไป
“ว้าวว!” เด็กชายร้อง “ทำไมเช็คพอยท์นี้มีทางแยกเยอะจังเลยล่ะครับ”
“ใช่จ้ะ” หญิงสาวรับคำ “นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เช็คพอยท์นี้สำคัญกว่าเช็คพอยท์อื่น ๆ”
“มนุษย์บนดาวดวงนี้ คงตื่นเต้นกับเช็คพอยท์นี้น่าดู”
“ใช่จ้ะ เรียกได้ว่าทุกคนวิ่งสุดฝีเท้าเพื่อเข้ามายังเช็คพอยท์จุดนี้เลยทีเดียว” แม่ของเอนไลท์ขยับมืออีกครั้ง โคลสอัพภาพไปที่ป้ายรูปคนที่ตั้งไว้หน้าเส้นทางต่าง ๆ ที่แยกจากกัน
รูปคนเหล่านั้นใส่เสื้อผ้าแตกต่างกันหลากหลายแบบ บ้างเป็นชุดเสื้อคลุมยาวสีขาว มีสิ่งที่คล้ายหูฟังคล้องรอบคอ บ้างใส่ชุดเสื้อเชิ้ตปล่อยชายออกนอกกางเกงกับกางเกงขายาว บ้างเป็นรูปคนนั่งอยู่บนเก้าอี้กำลังเคาะเครื่องมือบางอย่าง
“นอกจากมีทางแยกมากมายแล้ว เช็คพอยท์นี้สำคัญยังไงอีกหรือครับ” เด็กชายเอ่ยถาม
“สำคัญตรงที่เส้นทางแต่ละทางจะมีคนไปได้จำกัดจ้ะ” เธอตอบก่อนจะชี้มือไปที่เส้นทางหนึ่ง “เส้นทางที่ได้รับความนิยมมากกว่าก็จะมีคนวิ่งเข้าไปก่อน เช่นเส้นทางนี้เมื่อคนวิ่งเข้าไปได้ประมาณสองร้อยกว่าคนก็จะปิดลง คนอื่น ๆ ที่วิ่งช้ากว่าต้องไปในเส้นทางอื่นจ้ะ”
“อ๋อ ครับ ผมเข้าใจแล้ว” เอนไลท์พยักหน้า “แล้วเส้นทางแต่ละเส้นนี้แตกต่างกันยังไงหรือครับ”
“เส้นทางแต่ละเส้นทางจะนำไปสู่เป้าหมายที่แตกต่างกัน บางเส้นทางก็ยาวนานและยากลำบากกว่าเส้นทางอื่น บางเส้นทางก็สั้นกว่าสบายกว่า แต่ล้วนแล้วแต่ก็พาไปสู่เช็คพอยท์จุดถัดไปเช่นเดียวกันแหละจ้ะ”
“อย่างนี้ผมว่าเส้นทางที่สั้นกว่า สบายกว่าต้องเต็มก่อนเส้นทางอื่น ๆ แน่เลยใช่ไหมครับ” เด็กชายถาม
“เอ
ในข้อมูลที่บันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์เครื่องนี้บอกว่าเส้นทางที่ยากลำบากที่สุดและยาวนานที่สุดมักจะถูกเลือกจนเต็มเป็นอันดับแรก ๆ จ้ะ”
“อ้าว ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะครับ” เด็กชายสงสัย
“นั่นสิ จะว่าไปมนุษย์บนดาวดวงนี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดค่อนข้างซับซ้อนเสียด้วย แต่ไม่แน่นะจ๊ะ ข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์นี้อาจจะผิดก็ได้เพราะแม่ก็คิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลเหมือนกัน” คิ้วทั้งสองของเธอขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างใช้ความคิด
“อ๋อครับ” เอนไลท์พยักหน้าอย่างทำความเข้าใจ “เล่าต่อสิครับแม่”
“จ้ะ ทีนี้สำหรับเส้นทางเหล่านี้ ผู้คนที่ผ่านเข้าไปในเส้นทางหนึ่ง ๆ แล้วจะไม่ต้องแข่งขันกับผู้คนในเส้นทางสายอื่นอีก แต่ก็มีบางครั้งที่พวกเขาอาจจะวิ่งมาเจอกันบ้างเหมือนกัน”
“อ๋อ ครับ แล้วต่อจากนี้เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของพวกเขาอีกล่ะครับ”
“พวกเขาก็ยังคงต้องวิ่ง ๆ และวิ่งต่อไปอีกเรื่อย ๆ ในเส้นทางที่แต่ละคนเลือก บางคนที่เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองเลือกเส้นทางผิด เลือกเส้นทางที่ไม่เหมาะกับตัวเองก็ต้องตัดสินใจว่าจะวิ่งกลับไปเพื่อเลือกเส้นทางใหม่ หรือจะทนวิ่งต่อไปในเส้นทางของตัวเองให้จบ แต่โดยส่วนใหญ่ถ้าใครที่เลือกเส้นทางที่นิยมเป็นอันดับแรก ๆ ก็มักจะไม่ย้อนกลับไปเลือกเส้นทางอื่นหรอกจ้ะ ถึงแม้จะรู้ตัวทีหลังแล้วว่ามันเหมาะหรือไม่เหมาะกับตัวเองก็ตาม โดยทั่วไปจะเป็นพวกที่มาไม่ทันเลือกเส้นทางแรก ๆ มากกว่าที่วิ่งย้อนกลับไปเพื่อเปลี่ยนเส้นทางในการเปิดเช็คพอยท์รอบถัดไป”
“อืม ผมเริ่มรู้สึกว่าคนบนดาวดวงนี้ค่อนข้างแปลกอยู่ไม่น้อยเลยนะครับ ผมรู้สึกว่าบางทีความสุขของคนเหล่านี้อาจจะไม่ได้มาจากความสงบ ความนิ่ง แต่ดูเหมือนว่าจะมาจากอย่างอื่นมากกว่า” เด็กชายตั้งข้อสังเกต
“ใช่จ้ะ ความสุขของคนบนดาวดวงนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งอื่นเสียเป็นส่วนมาก ไม่ว่าจะเป็นขึ้นอยู่กับผู้คนรอบข้าง สิ่งของรอบตัว ข้าวของเครื่องใช้ ทำให้เกิดพฤติกรรมที่ลูกมองว่าแปลกประหลาดนี้ขึ้นมาไงจ๊ะ” แม่ตอบ
“แล้วมีคนที่มีความสุขกับตัวเอง มีความสุขกับสิ่งที่ทำ กล้าที่จะตัดสินใจเลือกทางเดิน เอ๊ย! ทางวิ่งของตัวเองบ้างมั๊ยครับ” เด็กชายถาม
“ก็มีเหมือนกันจ้ะ คนเหล่านี้ก็มีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว และดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ดูจะมีความสุขกับชีวิตของพวกเขาไม่น้อยไปกว่าคนที่เลือกทางที่นิยมกันมาก ๆ เลยทีเดียว”
“แล้วเมื่อผ่านทางแยกนี้ไปแล้ว พวกเขาต้องเจออะไรอีกหรือครับ ยังต้องแข่งขันกันอยู่อีกมั๊ย” เอนไลท์อยากรู้ต่อ
“แน่นอนจ้ะ พวกเขายังคงต้องแข่งขันกันต่อ แต่ละเส้นทางยังคงต้องวิ่งแข่งกันต่ออย่างเอาเป็นเอาตายกับเพื่อนร่วมเส้นทางของตัวเอง”
“แม้แต่เพื่อนร่วมเส้นทางของตัวเองด้วยหรือครับ” เด็กชายทวนคำ
“ใช่จ้ะ มันอาจจะเป็นสิ่งที่อยู่ในสายเลือดแล้วหรืออย่างไรแม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่สำหรับมนุษย์บนโลกใบนี้ พวกเขายังต้องวิ่งแข่งกันไปเรื่อย ๆ” แม่ของเอนไลท์เล่าต่อ “หลังจากนั้นพวกเขาก็ยังคงต้องวิ่ง ๆ และ วิ่งต่อไป ผ่านเช็คพอยท์เข้าไปตามเส้นทางการทำงานในที่ต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าก็ยังคงต้องแข่งขันกันอยู่”
“แล้วคนบนโลกนี้ต้องแต่งงานไหมครับ” เอนไลท์ถาม
“แน่นอนจ้ะ คนบนโลกนี้ก็มักจะแต่งงานเช่นเดียวกัน การเลือกคู่ของพวกเขาจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง แน่นอนว่าต้องขึ้นกับเส้นทางที่พวกเขาเลือก และระยะทางที่พวกเขาวิ่งไปได้ด้วย” แม่กดรีโมทเลื่อนภาพ “ต่อจากนั้นพวกเขาก็จะมีลูก ซึ่งในดาวดวงนี้ ลูก ๆ ของพวกเขาจะต้องออกวิ่งกันตั้งแต่เกิดเลยทีเดียว ในขณะที่ลูก ๆ ของเขาวิ่งกันไป พ่อแม่ของเด็กก็ยังคงต้องวิ่งอยู่ คอยหาเงินมาให้ลูก แข่งขันกับคนที่ทำงาน มาจ่ายเงินค่านู่นค่านี่สารพัดให้ลูกของพวกเขาวิ่งได้ดี วิ่งได้เก่ง วิ่งได้ไกล และไปถึงจุดเช็คพอยท์ก่อนลูก ๆ ของคนอื่น ๆ”
“ช่างเป็นชีวิตที่ดูไม่ค่อยมีความสุขเลยนะครับแม่” เด็กชายเอ่ยพลางขยับตัวเข้าหาอ้อมกอดแม่
“ใช่จ้ะ” แม่ของเด็กชายเห็นด้วย “หลังจากลูก ๆ วิ่งด้วยตัวเองได้แล้ว หาเลี้ยงตัวเองได้แล้ว พวกพ่อแม่ก็ยังคงต้องวิ่งต่อไป หาเงินมารักษาโรคภัยไข้เจ็บที่เริ่มเกิดขึ้นกับตัวเอง บางคนก็อาจจะวิ่งช้าลงได้บ้างเนื่องจากมีลูก ๆ คอยช่วยเหลือ แต่สุดท้ายทุกคนจะจบลงที่สิ่งเดียวกัน
”
แม่ของเอนไลท์ชี้นิ้วไปยังจุดปลายสุดของลู่วิ่งที่เป็นที่ ๆ มีคนชราหลายคนวิ่งไปถึงแล้วล้มลงนอนกับพื้นก่อนจะมีเปลวไฟลุกขึ้นมาเผาไหม้ร่างกายจนมอดไหม้เป็นจุณ
“น่ากลัวจังเลยนะครับ” เอนไลท์ซุกหน้าลงในอ้อมกอดแม่
“ไม่หรอกจ้ะ ที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือ
” เธอขยับมือชี้ให้ลูกชายดูต่อ
ณ ขี้เถ้าที่แหลกเหลวอยู่บนพื้น มีแสงส่องสว่างเล็ก ๆ ดวงหนึ่งลอยขึ้นมา แล้วค่อย ๆ ลอยไปหาผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังตั้งครรภ์ ไม่นานนัก ทารกก็คลอดออกมา แล้วเริ่มออกวิ่งใหม่อีกครั้ง
“ไม่จริงน่ะแม่ พวกเขายังต้องวิ่งต่อไปอีกหรือครับ”
“ใช่จ้ะ สำหรับพวกเขาแล้วความตายเป็นเพียงแค่การละทิ้งชุดที่สวม ละทิ้งร่างกาย ละทิ้งยศ ทิ้งตำแหน่ง ทิ้งความทรงจำ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องเริ่มวิ่งใหม่อยู่ดี”
“โอ
ช่างน่าสงสารมนุษย์บนโลกนี้จริง ๆ ครับ พวกเขาไม่รู้สึกเป็นทุกข์บ้างหรือครับ” เอนไลท์ถามอย่างรู้สึกสงสาร
“แน่นอนจ้ะ พวกเขาบางคนรู้สึกแบบนั้นเป็นบางครั้ง แต่ลูกอย่าลืมสิจ๊ะ พวกเขาออกวิ่งตั้งแต่เกิด มันเป็นความทุกข์ที่อยู่กับพวกเขามาตั้งแต่จำความได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงรู้สึกว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาได้วิ่งช้าลง ไม่ต้องแข่งขันมากนัก นั่นแหละคือความสุขของเขาจ้ะ”
“อย่างนั้นเองหรือครับ” เด็กชายพยักหน้าเข้าใจ “แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมคิดว่าพวกเขาก็ยังเหมือนหลอกตัวเองว่ามีความสุข ทั้ง ๆ ที่ทุกวินาทีพวกเขายังต้องเหน็ดเหนื่อยกับการวิ่งอยู่แท้ ๆ มันไม่มีทางที่พวกเขาจะหยุดวิ่งแล้วพบกับความสุขจริง ๆ ได้เลยหรือครับ”
“มีจ้ะ เมื่อประมาณสองพันห้าร้อยปีก่อน มีมหาบุรุษท่านหนึ่งค้นพบวิธี ’หยุดวิ่ง’ ถือกำเนิดขึ้นบนโลกมนุษย์ใบนี้แล้ว” แม่เด็กชายพยักหน้าตอบ
“จริงหรือครับ แล้วทำไมผ่านมาตั้งสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว ผู้คนบนโลกใบนี้ยังวิ่งกันอยู่ หรือมหาบุรุษท่านนั้นไม่ได้บอกถึงวิธีหยุดวิ่งให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้หรือครับ” เอนไลท์สงสัย
“บอกสิจ๊ะ” แม่ของเขาตอบ “แต่มันก็ยังเป็นอะไรที่ยากเกินกว่าคนส่วนใหญ่จะเข้าใจ พวกเขาวิ่งมาตั้งแต่เกิด พวกเขาไม่เคยรู้สึกหรอกจ้ะ ว่าความสุขเวลาหยุดวิ่งน่ะมันรู้สึกอย่างไร”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” เด็กชายเห็นด้วย “ความรู้สึกเวลาที่หายใจได้โล่ง ๆ ไม่ต้องกระหืดกระหอบ ไม่ต้องดิ้นรนฝืนให้เหงื่อไหลท่วมร่างกาย น่าสงสารนะครับที่มนุษย์โลกไม่อาจรับรู้ถึงความรู้สึกนี้ได้”
“ไม่หรอกจ้ะ ยังมีมนุษย์อีกหลายคนที่เข้าใจ และปฏิบัติตามจนสามารถหยุดวิ่งได้เหมือนกัน แต่นั่นก็เมื่อพวกเขาเริ่มที่จะเชื่อนะจ๊ะ ว่าพวกเขากำลังวิ่งอยู่ เพราะยังมีอีกหลายต่อหลายคนที่เชื่อว่าเขาวิ่งอย่างนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว นี่แหละคือปกติของเขา ไม่มีทางที่จะมีสภาวะอื่นได้หรอก”
“อ๋อ ครับ” เอนไลท์พยักหน้า “ถ้าผมไปเกิดที่ดาวดวงนั้น ผมเองก็คงไม่รู้เหมือนกันสินะครับ ว่าผมกำลังวิ่งอยู่”
“ก็คงงั้นมั้งจ๊ะ” แม่ยิ้มให้แล้วปิดไฟที่หัวเตียง
“ดึกมากแล้วนะเอนไลท์ นอนได้แล้วนะลูกรัก”
“ครับแม่ ราตรีสวัสดิ์ครับ” เด็กชายล้มตัวลงนอน
“ราตรีสวัสดิ์จ้ะ” แม่ของเขาโบกมือลาก่อนจะออกจากห้องไป
“เป็นดาวที่แปลกดีนะ ดาวโลกเนี่ย” เอนไลท์คิดก่อนจะพลิกตัวไปมองภาพโฮโลแกรมของดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงสวย แล้วยิ้มให้กับตัวเอง ก่อนจะค่อย ๆ ผล็อยหลับไป
ผลงานอื่นๆ ของ Tsofinity ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Tsofinity
ความคิดเห็น