คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : | 18 | UNEXPECTED | นภา
“แน่จริงก็ถอดปีกลงมาสู้สิวะ” | ซีลอน
ท่ามกลางความวุ่นวายในสนามรบแม้ฮิบาริมายาจะปรากฏตัวขึ้นแต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์พลิกมาได้เปรียบ
เพียงแค่ทำให้ได้รู้ว่าหัวของสไปโนซอรัสจากคิเคียวพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินได้
ในฟากของซาคุโร่และบลูเบลที่ปะทะกับวาเรียก็ได้พ่ายแพ้ให้กับอาณาเขตล่องหนขอบบลูเบลที่เป็นพลังไฟพิรุณบริสุทธิ์
ซึ่งมีฤทธิ์ในการระงับรุนแรงไปถึงโมเลกุลขนาดเล็ก
และในท้ายที่สุดกระทั่งมายาของซันซัสเองก็พ่ายแพ้ให้การลอบกัดของคิเคียวที่เคลื่อนมาจากบริเวณทะเลสาบเพื่อสมทบกับผู้พิทักษ์ที่เหลืออีกสองคน
“ฮะฮ่า... แกน่ะติดกับแล้ว...
ในสนามรบผู้วางแผนล่วงหน้าต่างหากคือผู้กุมชัยชนะ”
คิเคียวมองเบื้องล่างละอองสีแดงของเลือดสาดกระเซ็น
“ช่างเป็นชัยชนะที่ได้มาง่ายจริงๆ”
ผู้นำสั่งการกระตุกยิ้ม
“พวกเราจัดการเรียบร้อยแล้วน้า~ คิเคียว~”
บลูเบลชูสองแขนขึ้นฟ้ายิ้มแย้มอย่างร่าเริง
ถ้าได้เปิดกล่องที่อกไม่ว่าใครพวกเขาก็ไม่แพ้ทั้งนั้น นั่นคือสิ่งที่เป็นมาเสมอ
“เงียบไปเลย! ฉันต่างหากที่ล่อพวกมันมา!”
ซาคุโร่หัวเสียใส่เด็กสาวที่มักจะทะเล่อทะล่าเข้ามาแย่งเหยื่อของเขาบ่อยครั้ง
“หน่วยป้องกันของวองโกเล่สิ้นท่าไปหมดแล้ว
นี่แหละพลังที่แท้จริงของพวกเราสามในหกบุปผาอาลัยที่แข็งแกร่งที่สุด!” บลูเบลป้องปากหัวเราะเหลือบมองพื้นดินด้านล่างซึ่งเรียงรายไปด้วยศพของศัตรูที่บังอาจมาขวางทางมิลฟิโอเล่
“ยังไม่เห็นสายหมอกกับนภาของวองโกเล่...ยัยเงาหลังเก้าอี้อะไรนั่นด้วย
คงอยู่ข้างท่านยูนิแน่ งั้นเราไปชิงตัวท่านยูนิกันต่อเลย”
คิเคียวหันซ้ายมองขวาเมื่อมั่นใจว่าพวกวองโกเล่ทั้งหมดสิ้นท่าเกลี้ยงแล้วก็เตรียมเคลื่อนย้ายไปยังตำแหน่งสัญญาณของท่านยูนิ
“เลิกฝันเฟื่องได้แล้ว”
สไปโซอรัสหัวหนึ่งจากทั้งหมดของคิเคียวปูดบวมและเปลี่ยนไปเป็นหัวของฮฺบาริขนาดใหญ่
“พวกเราจะไม่ยอมให้ผ่านไป
สุดขั้ว!” หัวที่สองกลายเป็นเรียวเฮ กระทั้งสามสี่และห้า
หัวไดโนเสาร์ที่คล้ายหางของคิเคียวเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปเป็นคนที่ตายลงในสนามรบทั้งหมด
และพุ่งโจมตีพวกเขาทั้งสามบนฟ้าในทันที
“อั่ก! ป เป็นไปไม่ได้! หรือว่า!
ภาพลวงตา!” คิเคียวครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด ในเมื่อพวกมันตายไปแล้วคงไม่มีหนทางไหนที่จะสร้างและเปลี่ยนส่วนหนึ่งของร่างกายเขาให้เป็นอื่นได้นอกจากนักมายาของวองโกเล่!
“ชิชิชิ
แต่ว่ามันมาจากตรงไหนกันน้า~”
หัวเบลแลบลิ้นใส่พลางหัวเราะเยาะ คิเคียวเพ่งสมาธิเพื่อค้นหาจิตสังหารก่อนจะพบตำแหน่งหนึ่งในป่า
เขาอัดพลังไฟเมฆาเป็นลูกและยิงใส่บริเวณที่คาดว่านักมายาจะอยู่ตรงนั้นทันที
ระเบิดพลังนั้นลั่นก้องป่าท่ามกลางควันที่เริ่มจางลงก็ปรากฏร่างและเสียงของนักมายาจากวาเรีย
“เฮ้อ...
อาจารย์คุณนี่มันเหลี่ยมจัดจริง ๆ ชอบเป็นจุดสนใจสินะครับเนี่ย”
ฟรานเบะปากก่อนจะกุมหมวกกบที่ถูกสามง่ามแทงอย่างไร้ปรานี
“คุฟุฟุฟุฟุ
พูดอะไรอย่างนั้นครับเจ้าหนูน้อย เพราะหัวเธอมันเกะกะต่างหาก” มุคุโร่แสยะยิ้ม
“นิว!” บลูเบลชักสีหน้ามองกลุ่มคนที่ยังอยู่ในสภาพไม่บาดเจ็บ
“แกจะพูดว่าที่เราฆ่าไปทั้งหมดคือภาพลวงตา!?” ซาคุโร่ฉุนจัด เดิมทีคิดว่าจะจบงานให้ไวเพื่อให้ท่านเบียคุรันดำเนินแผนการขั้นต่อไปโดยไว
แต่กลับติดแหง่กคล้ายย้อนมาสู่จุดเริ่มต้นของการปะทะใหม่อีกครั้ง
“หึหึหึ
ก็อย่างที่ว่านั่นแหละครับ ที่คุณสู้ไปทั้งหมดเป็นภาพลวงตาทั้งนั้น” มุคุโร่เลิกคิ้วมองขึ้นไปบนฟ้าเพื่อตอบกับอีกฝ่าย
ซีลอนถอนหายใจเธอเก็บร่มดำทั้งหมดทันก่อนที่ควันจะจางลง
อย่างน้อยก็ต้องมีความลับสักอย่างสองอย่างที่จะให้ศัตรูรู้ไม่ได้ล่ะนะ
และหนึ่งในนั้นคือพลังในการรบกวนปิดบังตำแหน่งเมื่ออยู่ใต้ร่มดำของเธอ
เบลกับฟรานเริ่มทะเลาะกันเพราะฝ่ายนักฆ่าวายุไม่ค่อยพอใจที่มายานั้นปรุงแต่งให้ทุกคนพลาดท่าเสียทีกันหมด
“จะว่าไปแล้วภาพลวงตาเจ้ามุคุโร่จะอยู่ได้นานแค่ไหนน่ะ?”
เบลหันไปมองนักมายาของวองโกเล่ที่น่าจะถึงขีดจำกัดได้แล้ว
“อ๋อ... ผมลืมบอกไปสินะครับสับปะรดที่อยู่ตรงนั้นน่ะตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะ
ผมนี่แหละที่ช่วยอาจารย์แหกคุกวินดิเช่ออกมา”
ฟรานทุบมือแล้วยกนิ้วโป้งชี้ข้ามไหล่ตัวเองไปก่อนจะถูกจิ้มด้วยสามง่ามอีกรอบ
“อย่างนี้เองสินะหนึ่งในคนรู้จักของมุคุโร่มีความสามารถตบตาวินดิเช่ได้
งั้นทุกอย่างก็ลงตัวพอดี” คิเคียวพึมพำ
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้รับคำสั่งให้นำตัวผู้พิทักษ์อัสนีออกมาจากคุกวินดิเช่
แต่พวกผู้คุมกฎมาเฟียเหล่านั้นกลับบอกว่าปล่อยตัวนักโทษไปแล้วตามที่ตกลง
พวกเขาต้องยื่นเงื่อนไขสองรอบเพื่อพาตัวโกสต์ออกมาอีกครั้ง เพราะเสียท่าให้การสวมรอยที่สลับตัวนักโทษออกไป
“ยังไงก็ต้องขอบคุณที่ช่วยดูแลร่างของผมให้ครู่หนึ่งละนะครับ”
มุคุโร่เหล่มองกลุ่มวาเรีย “ซันซัส”
นักฆ่าหลังเก้าอี้ยืดแขนบิดขี้เกียจ
พวกเขาพูดคุยกัน และจบท้ายที่คิเคียวเป็นฝ่ายถามว่าพวกเรายื้อเวลามาพอรึยัง
“อ่า การสนทนาที่น่าเบื่อนั่น
ทำให้แขนของฉันฟื้นตัวกลับมาสมบูรณ์แล้ว!
พวกแกหมดโอกาสแล้วเจ้าพวกโง่!” ซาคุโร่หัวเราะและโชว์แขนที่อยู่ในสภาพราวกับไม่ได้รับบาดเจ็บมาก่อน
“ชิชิชิชิ แกต่างหากที่โง่”
เบลหัวเราะเยาะด้วยสำเนียงเอกลักษณ์ “กำลังรออยู่เลยล่ะ~”
“หา?!” ซาคุโร่ชักสีหน้า
“เพราะว่าบอสของพวกเราน่ะ
ต้องการจะจัดการแกในสภาพที่สมบูรณ์ยังไงล่ะ” เลวี่เป็นผู้ขยายความ ความเย่อหยิ่งของซันซัสไม่ว่าในยุคสมัยไหน
และกระทั่งกับศัตรูที่ไม่ใช่ซาวาดะ สึนะโยชิ
กับใครก็ตามที่บังอาจยืนอยู่ตรงข้ามกับเขาถ้าจะต้องโค่นล้มล่ะก็
จะต้องเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งในสภาพสมบูรณ์พร้อมที่สุดเท่านั้น
“คุณนี่ไม่เปลี่ยนเลยนะครับซันซัส”
ชายตาสองสีเอ่ยเย้านิสัยเดิม ๆ ที่ทระนงตน ยึดมั่นในวิถีของตนเองอย่างเข้มงวด
การต่อสู้ครั้งหนึ่งจะบอกศักยภาพของคนผู้นั้นได้ด้วยวิธีไหนบ้าง
วิธีของซันซัสก็คือเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตนเอง ได้เปรียบกว่าตนเอง
และอยู่ในสภาพร่างกายสมบูรณ์ที่สุด และเมื่อโค่นจนลากล้มให้ลงมากองกับพื้นได้ก็เท่ากับการแสดงความสามารถของเขานั้นสูงกว่าเพียงไร
“มาเริ่มกันเลย อย่ามัวเสียเวลา”
ฮิบาริจ้องไปยังคิเคียว
“ที่นี่คงจะเป็นสนามรบที่วองโกเล่และมิลฟิโอเล่สู้กันด้วยพลังที่แท้จริงทั้งหมดสินะ”
คิเคียวประเมินสถานการณ์ บางทีอาจจะกินแรงกว่าที่คิดแต่เขาก็ยังมั่นใจว่ามิลฟิโอเล่จะได้เปรียบ
ผู้พิทักษ์อัสนีนั้นแข็งแกร่งที่สุดและเป็นไม้ตายของพวกเขาต่อให้พวกเขาพลาดก็ยังมีโกสต์ที่จะมารับช่วงต่อ
“ผู้ควบคุมสถานการณ์ได้นั่นแหละครับที่จะเป็นผู้ชนะ”
มุคุโร่เอ่ยแนวคิดของตนเองขึ้นมา ไม่ใช่แค่วางแผนล่วงหน้าเท่านั้นแต่ต้องควบคุมทุกอย่าง
ทุกหมากเบี้ยที่ทำหน้าที่ของตนเองและแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าในพื้นที่จริงด้วย
“โอ๊ะ
แต่คุณยังสู้ไม่ได้นะครับอาจารย์
ต้องพักฟื้นฟูก่อนอย่างน้อยก็จนกว่ากล่องวองโกเล่ของคุณจะมา”
ฟรานเดินมาขวางหน้านักมายาผู้ฝึกสอนตนเอง
“นี่
ตอนที่พูดไปก่อนหน้านี้ว่าหมดโอกาสน่ะ แกลืมคำว่าชนะแหน่ะ
งั้นก็หมายความว่าแกเองก็ไม่มั่นใจสินะ...ว่าจะชนะ”
นักฆ่าหลังเก้าอี้ไม่พูดพล่ามอะไรพริบตาเดียวก็อยู่ในระดับสายตาเดียวกับซาคุโร่
เล็งคนที่อ่อนที่สุดก่อนเป็นสไตล์การต่อสู้ของเธอ การเคลื่อนที่พริบตานั้นเป็นเอกลักษณ์จากพลังนอกระบบทรีนิเซตเต้ซึ่งเธอครอบครองอยู่
ปีกกาจากกล่องและกรงเล็บในมือที่กลายสภาพเป็นปลอกแขนแหลมคมพร้อมเกล็ดปกป้องช่วงแขนนั้นคืออาวุธในสภาพสมบูรณ์ที่สุดของซีลอนจากการรวมกันของอาวุธที่เลออนคายออกมาและกล่องงู
ด้วยความรวดเร็วและไม่คาดคิดการฉวยโจมตีคือรูปแบบของนักฆ่าแต่ว่า
“ไอเปี๊ยก! ลงมาเดี๋ยวนี้!”
ซันซัสตวาดขึ้นไปทันทีที่เห็นเงาร่างสีเงินพุ่งจู่โจมเป้าหมายที่เขาเล็งไว้
เพลิงพิโรธลั่นเปรี๊ยะในฝ่ามือของซันซัสอย่างไม่คิดจะยั้งมือถ้าเจ้าน้องบุญธรรมนั่นไม่ลงมาดี
ๆ
“อว้า~” ซีลอนเบะปากทำหน้าเบื่อหน่ายทิ้งตัวโหม่งพื้นไม่ได้แตะซาคุโร่แม้แต่ปลายผมก่อนจะตีลังกาและลงพื้นอย่างมั่นคง
ยิ้มแป้นราวไม่เคยยั่วยุบอสแห่งวาเรีย
“ชิชิชิชิ
ยัยบ้านี่ยังเอาแต่ใจไม่เปลี่ยน หล่อนในอดีตยังกล้าขนาดนี้
ในอนาคตก็ไม่แปลกใจเลยที่ชอบยั่วโมโหบอส” เบลหันไปมองคนท้าตายที่อยู่ดีไม่ว่าดีพวกเขาก็พูดไปแล้วว่าบอสเล็งเก็บซาคุโร่อยู่
ยังจะเสนอหน้าไปท้าทายจนเกือบโดนเป่าไปพร้อมศัตรูเล่น
“ก็แค่อยากซัดหน้าตรง ๆ สักหมัดดูก็เท่านั้นเอง...
ผิวไดโนเสาร์เนี่ยน่าจะทนคมเขี้ยวของไพธ่อนได้นี่นา
อ๊ะแต่ซาคุโร่ดูจะอ่อนสุดในบรรดาสามคน... เก่งสุดน่าจะเจ้าคนหางเป็นหัวไดโนเสาร์”
ซีลอนชูแขนที่เป็นอาวุธกล่องขึ้นมาชี้คิเคียวบนฟ้า ก่อนจะชักมือกลับมามองอาวุธบนแขนตัวเอง
“เจ้านี่น่ะลองกับคนปกติที่ไม่มีพลังอะไรมันจ้วงง่ายไปหน่อย สัมผัสไม่เหมือนเฉือนเนื้อหักกระดูกคนเลยสักนิด”
เธอยังคงเป็นนักฆ่าและเป็นมาเสมอถอนหายใจในอาวุธที่ดีเกินไปจนไม่รู้สึกว่ากำลังล้วงทะลุอกมนุษย์
“อาวุธดีก็ดีแล้วนี่ครับ...เป็นนักฆ่าเอาแต่ใจเสียจริง”
มุคุโร่ถอนหายใจปล่อยให้บรรดาคนเลือดร้อนจัดการกันไป เสียงระเบิดตูมตามสนั่นป่าพร้อมกับแสงวาบจากระเบิดแต่ละลูกด้วยพลังไฟธาตุที่ยิงไปยังเป้าหมายทั้งสามบนฟ้า
โกคุเทระกับคนที่ยังไม่หายจากอาการเจ็บพากันหลบลูกหลงที่กระเด็นมาหลังต้นไม้ใกล้ ๆ
จากนั้นจึงถึงติดต่อไปที่สึนะเพื่อบอกว่ามุคุโร่กับฟรานเข้ามาช่วยเหลือทำให้สถานการณ์ตอนนี้พอจะดูได้เปรียบขึ้นมาบ้าง
ซีลอนไปรวมกลุ่มกับนักฆ่าจากโกคุโยเพื่อจัดการซาคุโร่
แม้จะลำบากเพราะฝ่ายตรงข้ามลอยอยู่บนฟ้าแต่เธอก็มักจะหาจังหวะสอยเขาร่วงลงไปบนพื้นให้เคนกับจิคุสะจัดการได้สะดวกกว่าต้องใช้รองเท้าไอพ่นเพื่อลอยตัวหรือถีบต้นไม้เพื่อส่งตัวเองขึ้นไปบนฟ้า
ประกายสายฟ้าลั่นกระจายอยู่กลางอากาศเบื้องหลังสามบุปผาอาลัย
แสงสว่างนั้นระเบิดออกกลายเป็นร่างของใครบางคนที่โปร่งแสง
“ท่านเบียคุรัน เร็วเกินไปแล้ว!”
คิเคียวหันไปมองต้นแสงสว่างนั้นเมื่อเห็นโกสต์จึงผงะด้วยความตกใจไม่แพ้บลูเบล
“ออร่าแสงแบบนี้หรือว่า!”
โกคุเทระกับเรียวเฮห่างออกมาก็ไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ของมันเช่นกันแต่คงไม่ได้มาดี
“เบียคุรันงั้นเหรอ!” เลวี่จ้องเขม็งไปที่ผู้มาใหม่
“ไม่ใช่ครับดูที่สัญลักษณ์ใต้ตาสิมันคนละข้างกัน”
มุคุโร่เป็นผู้บอกจุดสังเกตที่บ่งชี้ว่าร่างโปร่งแสงนั่นไม่ใช่เบียคุรัน
“โกสต์ตัวจริงนี่นา! แย่แน่!” บลูเบลหลุดปากเมื่อเห็นผู้พิทักษ์อัสนีกำลังเดินตรงมาทางพวกหล่อน
‘กลัวพวกเดียวกัน?’ ซีลอนขมวดคิ้วเพราะกระทั่งซาคุโร่เองก็ชะงักไปเหมือนระแวงอะไรสักอย่าง
“มันเป็นคนของมิลฟิโอเล่! ที่นิ้วมีแหวนมาเร่ริงอยู่วง!”
เลวี่บอกสิ่งที่ตนเองสังเกตได้จากบนต้นไม้ห่างออกไป
“งั้นจะรออะไรก็เปิดก่อนไปเลยเซ่!” เบลเฟกอลตวัดสองมือปามีดบินหุ้มพลังเพลิงวายุสาดใส่ผู้พิทักษ์อัสนีตัวจริงของมิลฟิโอเล่
ทว่าพวกมันทั้งหมดกลับทะลุตัวโกสต์ไป
“ผ่านไปเฉยเลย!!” เรียวเฮตะโกนออกมา
“หรือว่าภาพลวงตา?!” โกคุเทระเบิกตากว้าง
ในขณะที่นักมายาของทางวองโกเล่นั้นหรี่ตาขมวดคิ้ว
“คิดว่ายังไงครับเจ้าหนู?”
มุคุโร่หันไปให้ลูกศิษย์ตัวเองแสดงความเห็น
“...รู้สึกว่า
มันเป็นตัวจริงล่ะครับ” ฟรานจ้องโกสต์ตาไม่กะพริบ
ทั้งเขาทั้งซีลอนมองหน้ากันและแสยะยิ้ม
“จะอะไรก็ไม่รู้แต่เห็นแล้วรู้สึกไม่ค่อยอยากเข้าใกล้เลยแฮะ”
นักฆ่าสาวยักไหล่ เธอกระโจนถอยมาตั้งตัวสร้างระยะห่างใหม่เพราะความข้องใจในอะไรบางอย่างที่เพียงแรกเห็นก็รู้สึกว่าไม่ควรไปยุ่งกันคนยักษ์นั้นนัก
“ถูกต้องครับฟราน
มันไม่ใช่ภาพลวงตา” มุคุโร่ยืนยันอีกเสียง ไม่ทันจบประโยคเลวี่ก็พุ่งออกไปลองโจมตีอีกครั้ง
แม้กระทั่งท่าไม้ตายแรงที่สุดของเลวี่ก็ไม่สามารถทำอันตรายโกสต์ได้แม้แต่ผิวแถมยังถูกปัดออกด้วยบางอย่างที่มองไม่เห็นอีกต่างหาก
“ลองไฟผสมดูไหมครับ?”
บาจิลออกความเห็นเรียวเฮกับโกคุเทระใกล้กันนั้นพยักหน้าตกลงอย่างไม่มีอะไรจะเสีย
พวกเขาจะไม่ยอมตกเป็นเป้านิ่งแน่ ในเมื่อเสี่ยงลองดูได้ก็จะลองลงมือทำมัน
การสั่งการของอัลฟินทำให้แกงการิวและอุริใช้ท่าโจมตีพร้อมกันประสานเป็นท่าใหม่ด้วยพลังเสริมจากอัลฟินอีกทาง
คมเขี้ยววายุอัคคี อันเป็นท่าประสานของสัตว์กล่องทั้งสามพุ่งเข้าใส่โกสต์
พลังรุนแรงเหล่านั้นก่อให้เกิดระเบิดรุนแรง
น่าเสียดายที่ใต้ม่านควันโกสต์กลับมีบาเรียหุ้มอยู่รอบกาย
กลุ่มไฟบนตัวสัตว์กล่องส่ายไปมาอย่างผิดปกติ
และในวินาทีนั้นเองสายพลังบางอย่างก็พุ่งออกมาจากบาเรียรอบตัวโกสต์พุ่งไปหาบางคน
ลุซซูเรียกระโดดหลบทันทำให้สิ่งนั้นพุ่งไปถูกบลูเบลแทน
ในอึดใจต่อมาร่างของเธอก็ซูบตอบแห้งกรอบราวกับมัมมี่
“ฆ่าพวกเดียวกัน!?” บาจิลไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
เขาคร่ำอยู่ในวงการมานานกว่าสึนะเพราะถูกรับดูแลฝึกฝนโดยผู้ดูแลนอกแก๊งก็จริง
แต่เรื่องที่แฟมิลี่จะกระทำการต่ำช้าอย่างฆ่าพวกเดียวกันหรือใช้พวกเดียวกันทดลองนั้นเรียกได้ว่ามีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
มันผิดกฎข้อตกลงร่วมของมาเฟียภายใต้กฎที่วินดิเช่ตั้งขึ้น
ซันซัสเป่าเพลิงพิโรธใส่แต่เพลิงนภานั้นกลับถูกดูดหายไปยังโกสต์
แต่ละคนรอบด้านเริ่มประสบปัญหาไฟที่แหวนติดขึ้นมาเอง
ทั้งสัตว์กล่องและเพลิงธาตุต่างถูกโกสต์ดูดไปเป็นของตนทีละน้อย
“อย่างงี้นี่เอง... คล้าย ๆ
ท่าพิเศษของสึนะงั้นรึ ดูดกลืนไฟธาตุเพื่อปรับเป็นของตัวเอง?”
ซีลอนเคลื่อนไหวหลบและวิเคราะห์อย่างใจเย็น
เธอเหลือบมองซาคุโร่กับคิเคียวที่เริ่มร้อนรนขึ้นมา ขนาดบลูเบลยังโดนเล่นงานพวกเขาก็ไม่น่าจะรอด
เท่าที่สังเกตเส้นสายที่พุ่งออกมานั้นเล็งไปยังจุดที่มีไฟธาตุรวมตัวหนาแน่น
พวกสัตว์กล่องที่การป้องกันต่ำก็แตกสลายไปเป็นกลุ่มแรก ๆ
ในจุดต่อสู้โคลมวิ่งเข้ามาและยังไม่เข้าใจสถานการณ์ดีนัก
เธอมองแสงที่พุ่งมาหาตนเองอย่างตกใจจากนั้นก็งุนงงที่ตัวเองล้มลง
“ตรงนี้มันอันตรายนะครับ”
มุคุโร่เองที่เป็นผู้ดึงเธอให้ล้มเพื่อหลบส่วนหนึ่งของโกสต์
แต่ก็ใช้แขนของตนรองรับเธอไว้
“โฮ่...
ทำแบบนี้เหมือนโดนหยามหน้าเลยแฮะ ไวต่อเพลิงธาตุสินะ
งั้นแก...ก็ทำอะไรกับสิ่งนี้ไม่ได้สินะ?” ซีลอนเหลือบมองโคลมที่เกือบพลาดท่า จากตรงที่เธออยู่ห่างเกินไปดีที่มุคุโร่เข้าไปช่วยเอาไว้ในทันทีเธอจึงมีเวลาก่อกวนโกสต์โดยไม่ต้องกังวลเรื่องกล่องสำหรับนักมายาของวองโกเล่อีก
มือของเธอเต็มไปด้วยสิ่งที่คล้ายน้ำมันดินเคลือบผิวหนังเอาไว้แต่เมื่อมันหยดลงบนพื้นก็กลับกัดกร่อนใบไม้และดินจนเป็นหลุม
เธอคว้าหนึ่งในเส้นสายที่พุ่งออกมาจากโกสต์
เป็นอย่างที่คาดว่าพลังในระบบทรีนิเซตเต้ก็ตอบสนองกับพลังที่อยู่ภายใต้ทรีนิเซตเต้เท่านั้นเส้นแสงนั้นขาดแหว่งทันทีเมื่อสัมผัสกับพลังนอกระบบของซีลอน
“เจ๋ง!” เบลหัวเราะเมื่อเห็นเจ้าโกสต์นั่นก็มีจุดอ่อนบ้างแล้ว
“แต่แกจะใช้พลังนั้นตลอดการรบไม่ได้! เดี๋ยวก็ตายหรอกไอ้เปี๊ยก!”
ซันซัสตวาดกลับมาจากเหนือต้นไม้
“ไม่เอาน่า...
ไม่ใช่ว่าจะตายเร็ว ๆ นี้สักหน่อย ผมไม่ได้สนใจจะอยู่ถึงหัวหงอกหรอกนะแค่ถึงห้าสิบก็น่าเบื่อแย่ละปะ?”
ซีลอนเบะปาก เธอไหวไหล่ไม่ใส่ใจนัก ชีวิตที่ไม่มีฝาแฝดของตัวเอง
เธอไม่ต้องการชีวิตแบบนั้น และเพื่อที่จะได้กลับไปยังยุคสมัยที่มีเขาคอยเคียงข้าง
มันก็ต้องทุ่มหมดหน้าตักเพื่อให้ได้กลับไปยังสถานที่ที่เป็นของเธอ!
“อ๊ากกก!!!” ที่สุดซาคุโร่ที่หลบไม่ทันก็ถูกสูบพลังจนแห้งกรอบเป็นมัมมี่ตามบลูเบลไป
โกคุเทระเดือดขึ้นเขาเงยหน้าและตะโกนไปทางคิเคียวอย่างเอาเรื่อง
“เห้ย!! คิเคียว!! หมอนั่นมันบ้าอะไรกัน! มันเป็นพวกเดียวกับแกไม่ใช่รึไง!!”
ทว่าทันทีเขาเปิดเผยตำแหน่งโกสต์ก็ส่งส่วนหนึ่งของตนไปยังทางโกคุเทระกับเรียวเฮในป่า
พวกเขาไม่เหลือพลังไฟพอจะต่อกรแล้ว
เคร้ง!!
ยามาโมโตะที่หายไปเพื่อตามหาสควอโล่นั้นกลับมายืนหยัดเพื่อปกป้องพวกพ้องของตน
“นี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้วแฮะ” ทายาทร้านทาเคซูชิเหงื่อซึมครู่เดียวพลังไฟก็ถูกดูดหายไปหมดจากดาบ
“หายไปไหนมาเจ้าบ้าเบสบอล!” โกคุเทระโวยขึ้น ทั้งที่สควอโล่มายังป่าแห่งนี้ก่อนเสียอีกแถมในสภาพสมบูรณ์อีกด้วย!
“แฮะๆ โทษที
พอดีว่ามีสอบย่อยนิดหน่อยก็เลยมาช้า แต่ก็มาถึงแล้วนะ!” ยามาโมโตะคลี่ยิ้ม เขามาพร้อมกับดีโน่และลูกน้อง
ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าที่หายไปนานเพราะถูกกักตัวให้ฝึกฝีมือระยะสั้นและตามมาสมทบทีหลังเพื่อเป็นตัวแปรกำลังหนุน
“เดี๋ยวนะ!สายฟ้ามันแรงขึ้นเรื่อย ๆ”
ดีโน่ตะโกนออกมาแจ้งสถานการณ์ตอนนี้ให้คนที่ไกลออกไปและพักใช้พลังไฟอยู่
“มันจะทำอะไรของมัน...” สควอโล่เดาะลิ้น
ไม่ว่าจะการโจมตีทางกายภาพด้วยวิธีไหนก็ทะลุผ่านร่างโปร่งแสงนั่นไป
การโจมตีด้วยไฟธาตุก็มีแต่จะยิ่งล่อให้มันสนใจและถูกดูดเพลิงธาตุไปเสียอีก
“แย่ล่ะสิ... การที่จู่ ๆ
ก็โผล่มามันต้องวาร์ปมาแน่ ๆ มันกำลังรวบรวมพลังงานไฟ!!” มุคุโร่ปะติดปะต่อความเป็นไปได้
“เดี๋ยวนะงั้นมันก็จะวาร์ปไปตรงที่ยูนิอยู่งั้นเหรอ!” โกคุเทระโหวกเหวก
“มิน่ามันถึงเล่นงานพวกเดียวกันเอง”
ดีโน่กัดฟัน พวกเขาประเมินมันต่ำเกินไป ดีไม่ดีศึกนี้จะเสียท่ากันหมดเพราะลำพังพวกเขาไม่สามารถทำได้กระทั่งชะลอการเดินของมัน
“ไม่ปล่อยให้ทำแบบนั้นหรอก!!” สึนะพุ่งตรงมาจากอีกฟากของป่า
เขาที่อยู่ไกลขนาดนั้นก็รู้สึกว่าไฟนภาของตนส่ายไปมาและถูกดูดทางตำแหน่งของโกสต์
จึงเริ่มตั้งท่าเดือดทะลุจุดศูนย์ฉบับดัดแปลงเพื่อรับมือและหยุดยั้งโกสต์
ต่างฝ่ายต่างดูดไฟดับเครื่องชนฝั่งตรงข้ามการปะทะที่เกิดคาดฝันของพวกเขาจุดประกายแสงระเบิดไปทั่วบริเวณ
ก่อนที่สึนะจะดูดโกสต์เข้าไปทั้งหมดในมือ
“วู้ว~” ฟรานผิวปาก
“เจ้าโกสต์อะไรนั่นเป็นก้อนพลังไฟงั้นเรอะ”
เบลกระตุกยิ้มเจื่อนอย่างผิดคาด พวกเขาถูกก้อนพลังงานเข้มข้นโจมตี?
สมกับชื่อโกสต์เสียจริง
“ซาวาดะนายนี่มันอย่างเจ๋ง!” เรียวเฮยิ้มแป้นคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้วกำลังจะเดินเข้าไปตบไหล่
“อย่าเข้ามานะ...”
สึนะห้ามทุกคนเสียงเรียบ
“อะไรกัน?!” เรียวเฮขมวดคิ้วตามไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมเขาถึงจะเข้าไปตบไหล่สึนะยินดีไม่ได้
โกคุเทระเองก็ส่งเสียงแปลกใจออกมา
“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง...”
สคอวโล่กวาดตาหรี่มองและจ้องไปยังสึนะโยชิ
ซันซัสเองก็รับรู้แล้วว่าสิ่งที่ผิดปกติคืออะไรตามมาด้วยซีลอนและมุคุโร่ กระนั้นฝ่ายที่เป็นคนช่วยไขข้อข้องใจของพวกเขากลับเป็นดีโน่แทนคนที่ที่กำลังระวังตัวแจและพร้อมเคลื่อนไหวหากมีอะไรเกิดขึ้นฉับพลัน
“เดือดทะลุจุดศูนย์ของสึนะคุงเป็นการดูดไฟดับเครื่องชนของคนอื่นมาเป็นพลังของตัวเอง
แต่กระทั่งตอนนี้พลังไฟของเขาก็ไม่เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว...” ม้าพยศกลั้นหายใจ
เขาพลาอะไรไปตรงไหน? หรือมองอะไรไม่ทันรึเปล่า?
ชายหนุ่มหันไปมองซีลอนที่ยืนหน้าเครียดห่างออกไป
“ไม่ใช่
เราไม่ได้มองอะไรพลาดตรงไหน
ไอ้ก้อนพลังงานนั่นดูดพลังพวกเขาไปตั้งหลายคน...พวกบุปผาอาลัยเองก็โดน
พลังก็ไม่น่าจะน้อย ๆ สเกลปริมาณขนาดนั้นถูกสึนะกลืนเข้าไปพลังของเขาควรจะเพิ่มขึ้นพรวดพราดถึงจะถูกแต่นี่ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย”
ซีลอนเลื่อนมือไปแตะกับกระบอกปืนที่เอวรู้สึกขนลุกชันจากหลังคอแต่อธิบายไม่ถูกว่าจากอะไร
และจากไหน
“และก็แน่นอนว่าลำพังไฟของโกสต์เองก็มหาศาล
พวกเราก็ถูกดูดพลังไฟไปเกือบหมดด้วย” ลูซซูเรียเอ่ยสมทบแม้จะเหนื่อยจนหอบ
พวกวาเรียที่กระโดดออกไปพยายามสร้างความเสียหายแก่โกสต์นั้นหมดเรี่ยวแรงไปตามกัน
“น่าประทับใจดีจัง~” น้ำเสียงติดขี้เล่นของชายผู้หนึ่งดังอยู่เหนือหัวพวกเขาสูงขึ้นไป
เบียคุรันปรากฏตัวสู่สนามรบ “ชนะโกสต์ได้อย่างง่ายดายเลยนี่นา~”
“เบียคุรัน!” โกคุเทระสถบ
“ท่านเบียคุรัน!” คิเคียวยิ้มออกมา
“รู้สึกเป็นเกียรติจังเลย~ ที่ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่เพราะฉันอ่ะนะ~”
กล้วยไม้ขาวยิ้มแย้ม
“บอสของคาบัคโลเน่~ หน่วยลอบสังหารแห่งวองโกเล่ มุคุโร่คุงและผองเพื่อน ผู้พิทักษ์วองโกเล่ทุกคน~ อ๊ะแน่นอน นักฆ่าหลังเก้าอี้ของรุ่นที่สิบด้วยเนอะ~
และสุดท้ายสำคัญที่สุดวองโกเล่รุ่นที่สิบ!~
มีแต่บุคลากรชั้นนำของอิตาลี่ทั้งนั้นเลย~” เขาคลี่ยิ้ม
“แล้วก็สึนะคุง
ฉันน่ะสนใจในตัวเธอมากเลยน่ะ คนที่สามารถทำให้ทั้งมุคุโร่และซัสซันมาเป็นลูกน้องได้ทั้งที่ตอนแรกเขาพยายามจะฆ่าเธอเนี่ย~ มันคงจะไม่ง่ายเลยสินะ?”
“เฮ้ ไอ้สวะ... ใครบอกว่าฉัน
เป็นลูกน้องของมันกัน!!!”
ซันซัสเป่าเพลิงพิโรธใส่หัวหน้าใหญ่ของมิลฟิโอเล่
ระเบิดปะทุขึ้นลูกใหญ่เต็มไปด้วยควัน
“ท่านเบียคุรัน!!” คิเคียวหันไปร้องอย่างตกใจและด้วยอารมณ์เป็นห่วง
“โฮ่ ภักดีจนน้ำตาจะไหล
บอสที่นายถวายหัวให้ไม่สนใจด้วยซ้ำว่านายจะตายจากโกสต์ไหมนั่น”
ซีลอนแลบลิ้นใส่อย่างนึกรำคาญท่าทีที่คล้ายเลวี่นั่น
“ฟุฟุฟุ ถูกต้องแล้วครับ
คงต้องบอกว่ามีแค่ไม่กี่คนที่เชื่อในคำพูดและการกระทำของผมสินะ
อย่างเช่นสาวน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่งกับเด็กชายโง่ๆ
ที่สำคัญช่วยอย่าเอาผมไปรวมกับพวกมาเฟียด้วยครับ”
สายหมอกหนุ่มถอนหายใจขยับข้อมือเล็กน้อยสร้างคมเขี้ยวจากมีดจำนวนมากด้วยแหวนมายา
มันพุ่งตรงไปยังคนบนฟ้า แต่ไม่ว่าจะการโจมตีของมุคุโร่หรือซันซัสก็ไม่ได้ระคายผิวเบียคุรันแม้แต่น้อย
พวกมันแตกกระจายออก ชายหนุ่มผมขาวยังคงยิ้มระรื่นอยู่บนฟ้า
“โอ้~ เข้าใจแล้ว ขอโทษด้วยแล้วกันเนอะ~ เอาเถอะ
ยังไงก็ตามพวกคุณคงหมดแรงข้าวต้มแล้วสินะ การโจมตีที่อ่อนแอนี่มันอะไรกันน่ะ
โอ๊ะ...นั่นสินะคงถูกโกสต์ดูดพลังไปจนเกือบหมดแล้วนี่ พลังคง...ไ ม่ เ ห ลื อ แ ล้
ว สิ น ะ” ผู้นำกลุ่มมาเฟียในชุดขาวกระตุกยิ้มมุมปากอย่างได้ใจ
ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหวัง
“ไม่จำเป็นต้องห่วงหรอก
เพราะฉันจะเป็นคู่ต่อสู้ให้นายเอง” สึนะป่าวประกาศ เหล่าเพื่อนพ้องของเขาเหนื่อยมาพอแล้วเมื่อถึงเวลาที่เขาจะต้องเป็นฝ่ายปกป้องบ้างก็จะยืดแผ่นหลังและคอยต่อสู้เพื่อทำให้ทุกอย่างคลี่คลายโดยเร็วเอง
ในพริบตาสึนะปรากฏตัวต่อหน้าเบียคุรันและเคลื่อนไหวเร็วจนตามองแทบไม่ทันตวัดขาเตะเสยคางอีกฝ่ายได้ทว่าหมัดที่เปี่ยมไปด้วยความรุนแรงจากพละกำลังและพลังไฟนั้นกลับถูกหยุดด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียว
“ตาฉันบ้างละน้า~” เบียคุรันเอียงคอรอยแย้มยิ้มเป็นท่าทีน่ารักน่าชังในสายตาคนนอกกลับดีดสึนะจนปลิวกระแทกพื้นด้านล่างจนเกิดระเบิดฝุ่นคลุ้งใหญ่
“เอ๋~ อย่าบอกนะว่าแค่นี้ก็รับไม่ได้น่ะ~ เมื่อกี้ฉันอ่ะน้า~ ยังใช้พลังไม่ถึงหนึ่งในสิบที่โกสต์ดูดมาเลยด้วยซ้ำ” เขาระริกระรี้
ทำตัวร่าเริง พอเห็นท่าทีเหล่าผู้พิทักษ์บางคนที่ตกใจจนหน้าเหลอหลาก็หัวเราะออกมา
“อะไรกันเดากันไม่ถูกอีกเหรอ
พลังงานทั้งหมดที่โกสต์ดูดมาจากพวกเธอน่ะ...”
เขากอดไหล่ตัวเองคู้ตัวเล็กน้อยและสั่นไปทั้งตัวด้วยการกลั้นหัวเราะ
“มั น อ ยู่ ใ น ตั ว ฉั น ยั ง ไ
ง ล๊ า ♪~~~” เสียงหัวเราะก้องกังวานไปทั่ว
แต่เสียงที่ฟังดูน่าสนุกสนานนั้นไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกดีตามไปด้วย พลังที่น่าสะพรึงกลัวของไฟธาตุปะทุล้นออกมา
เข้มข้นจนเห็นได้ด้วยตาเปล่าเป็นรูปร่างของปีกบนแผ่นหลังของชายที่ชื่อเบียคุรัน
ชายที่เป็นตัวอันตรายที่สุดในยุคสมัยนี้...
สึนะขมวดคิ้วกำหมัดแน่น
เขาจำต้องเผชิญหน้ากับนภาอีกคน นภาสีขาวที่เต็มไปด้วยความละโมบ
นภาผู้ต้องการจะครองทั้งโลกด้วยการควบคุมทรีนิเซตเต้อีกที
“เป็นไปไม่ได้! มนุษย์เราจะดูดพลังไฟผ่านคนอื่นได้ยังไง!?”
ดีโน่ท้วง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้คนอื่นเป็นสื่อสำหรับการดูดพลังไฟ
โดยไม่ผ่านการส่งให้อีกครั้งต่อหน้าโดยตรง
“ฮะๆๆ
ก็โกสต์น่ะไม่ใช่ที่ไหนแต่เป็น ฉัน ในโลกคู่ขนานอื่น หรือก็คือเชื่อมถึงกับตัวฉันซึ่งหมายความว่ามันเป็นความสามารถของฉันเหมือนกัน”
เบียคุรัน
“ไฟของพวกเรานอกจากสึนะอยู่ที่มัน?”
ซีลอนทวนคำเหลือบมองคนรอบข้าง
“ถ้าเป็นอย่างที่หมอนั่นพูดก็เป็นปริมาณไฟที่มหาศาลจนประเมินไม่ได้เลยล่ะครับ...”
มุคุโร่หอบเหนื่อยนิ่วคิ้ว พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ตกเป็นรองอย่างน่ากลัว
“แน่จริงก็ถอดปีกลงมาสู้กันบนพื้นสิวะ...”
นักฆ่าหลังเก้าอี้คิ้วกระตุกยิ่งเห็นก็ยิ่งหงุดหงิดพาลนึกถึงปีศาจบางตัวที่ตนเองทำสัญญาด้วยแต่ว่าหากเทียบกันแล้วเธอกลับรู้สึกชอบเจ้าปีศาจสีขาวนั่นมากกว่าเบียคุรันเสียอีก
“ปีกนี่ไม่ใช่ไฟธรรมดาหรอกนะ
แต่เป็นสัญลักษณ์ต่างหาก♪ สัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าฉันอยู่เหนือมนุษย์
เครื่องหมายของฉันที่พิเศษยิ่งกว่ามนุษย์~” เขาแหงนหน้าไปมองปีกจากพลังไฟที่ได้รับมาและก้มลงมองเหล่าคนบนพื้นด้วยรอยยิ้ม
“พูดอะไรน่ะ
คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้ารึไง!” สควอโล่ตวาดกลับนึกโมโห
“ฮะฮ่า... เพราะเจ้างั้นเหรอ
ท่านเบียคุรันน่ะเป็นปีศาจที่ควรค่าให้เคารพนับถือต่างหาก”
คิเคียวหลุดหัวเราะออกมาด้วยสังเวช
“หืม~ พูดได้ดีนี่คิเคียวคุง~” บอสมิลฟิโอเล่ยิ้มแฉ่งเอามือไพล่หลัง
“ก็ไม่เห็นจะสำคัญอะไร... ไม่ว่านายจะเป็นตัวอะไร
หรือต้องใช้วิธีไหน...ฉันจะจัดการนายเอง” สึนะลุกขึ้นยืนอีกครั้งด้วยสายตาแน่วแน่
“นับถือในความใจสู้นั่นเลยล่ะ~ เพราะฉันเองก็รอเวลาจะได้สู้กับนายมานานแล้วสึนะคุง~” เบียคุรันจุดไฟที่แหวน ลบเลือนรอยยิ้มบนใบหน้าของตนเองออก
ทั้งคู่เข้าปะทะกันอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ถัดจากนั้นเบียคุรันก็ใช้สัตว์กล่องของตนเองอวดอ้างว่าเป็นกล่องมังกรที่มีเพียงหนึ่งเดียวในบรรดากล่องทั้งหลายที่ถูกสร้างและค้นพบ
สึนะกัดฟัน “เอาเลยนัทสึ! โหมดต่อสู้!”
แสงสว่างสีส้มสาดไปทั่วเปลี่ยนรูปลักษณ์ของสิงโตจิ๋วไปเป็นถุงมือเหล็ก
เป็นโหมดโจมตีที่กระทั่งพวกเดียวกันเองก็คิดว่าจะเป็นท่าไม้ตายที่แรงที่สุดในตอนนี้
กระนั้นนอกจากเบียคุรันจะเอ่ยว่าเขารู้ท่านั้นหมดแล้วก็ยังอยู่รอรับท่าไม้ตายนั่นด้วยรอยยิ้มก่อนจะปรบมือเพื่อสร้างคลื่นเสียงจากพลังไฟลบล้างการโจมตีของสึนะได้อย่างหมดจด
“ฮ่า~ ท่าจากกล่องวองโกเล่โดนทำลายซะแล้ว” เขาหยอกล้อคู่ต่อสู้ของตนด้วยรอยยิ้ม
“ได้ไง?” ดีโน่ขมวดคิ้วจ้องมองอย่างอึ้ง
ๆ สควอโล่ใกล้ ๆ ก็นิ่งค้างไปด้วย
“หยอกแมว?”
ซีลอนขมวดคิ้วเธออยู่ไม่ห่างจากพวกเขานักทั้งคู่จึงได้ยินเข้า
“นั่นมัน???” ดีโน่นิ่วหน้ากว่าเดิมเขาหันกลับมามองนักฆ่าหลังเก้าอี้ที่ย่อตัวลงนั่งพักกับพื้นในสภาพสะบักสะบอมไม่ต่างจากคนอื่น
ๆ ที่พยายามสร้างความเสียหายให้โกสต์เธอไม่ได้เหนื่อยเพราะเสียพลังไฟไปมากแต่เหนื่อยเพราะพลังสีดำนอกระบบ
ใช้มากจนรอยรากไม้สีดำกลืนมาถึงโคนนิ้วมือ
“กับซูโม่ใช้ทำลายขวัญสมาธิของคู่ต่อสู้
แต่เมื่อกี้เป็นการขยายคลื่นเสียงพลังไฟด้วยธาตุเมฆา เพื่อสร้างคลื่นรบกวนไฟธาตุอื่นเพื่อให้ไม่สามารถรวมตัวกันได้
ไม่รู้ว่าหมอนั่นผสมไฟธาตุอื่นเข้าไปด้วยไหม แต่นั่นเป็นท่าป้องกันที่คิดมาอย่างดีทั้งสเกลพลัง
การแทรกแซงที่เหมาะสม รวมไปทั้งลักษณะการใช้งานที่มากพอจะทำให้คู่ต่อสู้ขวัญหนีดีฝ่อเพราะรู้สึกว่าระดับพลังมันต่างกันเกินไปด้วยภาพลักษณ์ของมัน”
ซีลอนอธิบายสิ่งที่ตัวเองสัมผัสได้
“บ้าน่า...จะทำขนาดนั้นมั—”
“มันมีความรู้ของโลกคู่ขนานทุกใบ
ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอกในเมื่อมีโลกข้างเคียงที่อาจจะเด่นเรื่องการต่อสู้หรือสงครามอยู่ด้วย”
นักฆ่าหลังเก้าอี้เดาะลิ้น สัมผัสที่แขนชาจนไม่รู้สึกอะไรมาสักพักใหญ่
เธอได้แต่หวังให้ผลกระทบของพลังนอกรีตนี่เบาบางลงก่อนที่สถานการณ์จะแย่ไปกว่านี้
มันต้องมีอะไรที่เธอทำได้บ้างสิ!
“ความมุ่งมั่นของนายกับเพื่อน ๆ ที่จะกลับไปยังอดีตมาได้แค่นี้สินะ”
เบียคุรันล็อกคอสึนะจากด้านหลังเมื่อเด็กชายร่วงโหม่งพื้นและกำลังจะขาดอากาศจากการรัดคอของเขา
‘ยังหรอกน่า!’ สึนะกัดฟันพยายามดึงแขนของเบียคุรันออกมาเพื่อหายใจให้สะดวกกว่านี้
และทั้งคู่ก็ปลดปล่อยเพลิงนภาออกมาแผดเผาอีกฝ่ายเพื่อสร้างโอกาสให้กลับไปพลิกวิกฤต
ทว่าแทนที่มันจะสร้างโอกาสในการพลิกกลับไปชนะ
เมื่อไฟของแหวนสองสัมผัสไปถึงแหวนอีกวงใกล้ ๆ
เสียงบรรยากาศที่สั่นสะเทือนก็สะท้อนไปทั่ว
วึง!
“อ อะไรน่ะ?”
“อย่างนั้นแหละ~ เก่งมากสึนะคุง~” เบียคุรันหัวเราะในลำคอ
หลังจากเสียงที่ดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอและแสงจากแหวนทั้งสองวงกลายเป็นบาเรียขนาดใหญ่ยูนิก็ลอยมายังพวกเขาอย่างควบคุมไม่ได้
“บัดซบ การหลอมรวมของทรีนิเซตเต้อย่างงั้นเรอะ!” ซีลอนเหวขึ้น ‘ขยับสิวะ!
ขยับ!’ ไม่ใช่แค่เธอที่พยายามฝืนร่างกายตัวเองเพื่อพยายามทำอะไรสักอย่าง
“แย่แล้วครับนั่นมันเขตแดนที่สร้างขึ้นด้วยธาตุนภา!” อิริเอะฝืนสังขารวิ่งมาร้องเตือนทุกคนพร้อมกับคนอื่น ๆ
จากจุดที่ยูนิเคยอยู่
“หยุดเอาไว้ให้ได้อย่าให้ยูนิเข้าไปใกล้เบียคุรันเด็ดขาด!” ดีโน่ตะโกนพร้อมตวัดแส้ ถึงกำลังจะไม่เต็มร้อยแต่เขาคิดว่าพวกเขาที่มีกันตั้งหลายคนน่าจะทำอะไรได้บ้าง
“ไม่ได้ผลเลย!” ยามาโมโตะเป็นคนแรกที่เข้าไปโจมตีบาเรียจากเพลิงนภานั่นตามด้วยโกคุเทระ
แต่เขาก็สบถออกมา
“บ้าเอ๊ย! พวกเรามีตั้งหลายคนจะทำลายมันไม่ได้จริง ๆ งั้นเหรอ!” โกคุเทระเดาะลิ้นและลองใหม่หลายต่อหลายครั้ง
วงกลมจากนภาแห่งอัลโกบาเลโน่หลอมรวมกันวงกลมจากนภาของมาเร่และวองโกเล่
พวกเขาสนทนากันและยูนิจึงดึงผ้าคลุมเพื่อไม่ให้จุกนมแต่ละธาตุหลุดออกมาจากตน
แต่พวกมันก็ร่วงลงมาด้านนอก
“ไม่ได้นะ! มันยังไม่ถึงเวลา!” เธอร้องออกมา
“ยื้อไว้ได้แค่นี้รึ?”
ซีลอนเดาะลิ้นฟาดแขนอีกข้างที่ยังขยับได้และห่อหุ้มด้วยเพลิงสายหมอกกับเมฆาแต่บาเรียก็ไม่กระเทือน
““จุกนมของอัลโกบาเลมีอะไรงอกออกมา!”” หลายคนตกใจกับสิ่งที่ผุดออกมาอย่างประหลาดทั้งที่ตัวจุกนมนั้นควรจะเป็นมณีสักประเภท
“ร่างกายของอัลโกบาเลโน่กำลังถูกสร้างขึ้นมาใหม่น่ะ”
รีบอร์นไขความข้องใจให้กับสมาชิกวองโกเล่ที่ตื่นตะลึง
“เอ๊ะ? สร้างขึ้นใหม่?”
ฟูตะขมวดคิ้ว
“หรือเรียกว่าเกิดใหม่ก็ได้...”
ทารกนักฆ่าเอ่ยอีกคำหนึ่งขึ้นความหมายที่เหมือนชื่อของเขา
“หมายความว่าอัจฉริยะนักฆ่าทารกจะคืนชีพสินะ!” ดีโน่มีกำลังใจขึ้นมาเพราะรับรู้ถึงความแข็งแกร่งจากทารกนักฆ่าพวกนั้นดี
“เล่าต่อ ๆ
กันมาว่าพลังของอัลโกบาเลโน่นภาจะสามารถฟื้นคืนชีพอัลโกบาเลโน่คนอื่นได้ชั่วคราว...แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะออกมาจากจุกนมทื่อ
ๆ แบบนี้” รีบอร์นจ้องมองไปยังพวกพ้องที่อีกไม่นานจะได้กลับมามีร่างกาย
“เห~ มาม่อนจะกลับมาสิน้า~” เบลเฟกอลตื่นเต้นขึ้นมาเพราะที่วาเรียคงจะครึกครื้นยิ่งกว่าเดิม
“นั่นคือสิ่งที่ท่านยูนิทำมาตลอดตั้งแต่หนีออกมาสินะ...”
คิเคียวเข้าใจในที่สุดว่าทำไมเธอถึงต้องแยกตัวจากเบียคุรัน
เพื่อฟื้นคืนชีพให้กับผู้พิทักษ์ของตนการจะอยู่ในฐานมิลฟิโอเล่ความจะแตกในเวลาไม่ถึงวันแน่
“ใช่แล้วล่ะครับ
นั่นคือเหตุผลที่พวกเราต้องซื้อเวลาให้ได้มากที่สุดตั้งแต่คุ้มครองเธอ”
มุคุโร่เองก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้เรื่องนี้
“แต่ฉันไม่เข้าใจ ถ้าอาจารย์กับอัลโกบาเลโน่ฟื้นขึ้นมาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น”
เรียวเฮตะโกนถามขณะยังพยายามทำลายบาเรีย
“ที่นี่ไม่มีรังสีนอนทรีนิเซตเต้อีกต่อไป
และทารกนักฆ่าเป็นกลุ่มท๊อปนักฆ่าในลิสลำดับ พวกเขาแข็งแกร่งมากพอจะเอาชนะเบียคุรันได้แน่”
ซีลอนอธิบายสั้น ๆ
“นั่นสิน้า~ ถ้าเกิดพวกเขาฟื้นขึ้นมาต้องยุ่งยากแน่ แต่เท่าที่ดูคงต้องใช้เวลาอีกพอสมควร
ดังนั้นเรามาเข้าประเด็นกันเลยดีกว่า” เบียคุรันทุบสึนะจนสลบและยืนขึ้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องเรียกชื่อของสึนะ
“อาวล่ะ~ ไม่คิดว่ามันเสียเวลาบ้างเหรอยูนิจัง ต่อให้อัลโกบาเลโน่ฟื้นขึ้นมาฉันก็ไม่คิดว่าจะแพ้หรอกนะ
ไม่มีเจ้าชายขี่ม้าขาว ไม่มีใครฝ่าเข้ามาช่วยเธอได้ อัลโกบาเลโตะวันนั่นก็เช่นกัน”
ดวงตาสีอเมทิสต์จ้องไปยังยูนิก่อนจะยิ้มและใช้เปลือกตาซ่อนความดุร้ายของตนเองเอาไว้
รีบอร์นกระตุกยิ้มใบหน้าครึ่งหนึ่งที่ถูกเงาของปีกหมวกพาดใบหน้านั่นแสยะยิ้มออกมา
“ก็ใช่...
เพราะคนที่จะล้มแกก็คือลูกศิษย์คนปัจจุบันของฉัน ที่ชื่อสึนะ”
ความคิดเห็น