ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ฟิคKHR/Reborn]TRICK OR TREAT~ แต่ว่าผมน่ะยังไงก็เลือกหลอกล่ะนะ~

    ลำดับตอนที่ #19 : | 19 | RHETORIC | พลังของคำ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 265
      31
      19 ส.ค. 63

     

    “อยู่ใกล้ซาวาดะจนสมองเริ่มฝ่อไปอีกคนเหรอครับ...” | มุคุโร่

    เบียคุรันหัวเราะเสียงก้อง กับคำพูดของรีบอร์น คนที่จะชนะเขาคือเด็กชายที่สลบไสลนะเหรอ? มันย่อมเป็นไปไม่ได้

    “หึ อย่าประเมินพลังใจของมันต่ำไป และอีกอย่างฉันไม่สนว่ามันจะเอาชนะได้รึเปล่า แต่ว่าสึนะแกต้องกำจัดเบียคุรันซะไม่มีทางอื่นให้เลือกหรอกนะ” รีบอร์นตัดบทและไม่สนใจว่าบอสแห่งมิลฟิโอเล่จะมองตนเองยังไง นี่เป็นวิธีสอนสึนะของเขา เหมือนกันทุกครั้งที่เดชิโม่เจอกับทางตัน คำพูดของอาจารย์จะคอยเป็นสิ่งชี้นำเป้าหมายปลายทางของเขา

    แม้กระทั่งซีลอนและดีเองก็ผ่านสถานการณ์เช่นนี้มาแล้วในสมัยที่ยังไม่จบการศึกษากับนักฆ่าอันดับหนึ่ง

    “อุบ... ฮ่าๆๆๆๆ เชื่อเขาเลยแฮะ ตกใจนะเนี่ย ในเวลาแบบนี้กลับพูดหวังให้หมอนี่ลุกขึ้นมาสู้ทั้งที่สลบไปแล้วงั้นเหรอ ฮ่าๆๆๆ” กล้วยไม้ขาวพ่นหัวเราะร่วน

    “นี่มันเป็นวิธีการสอนของฉัน ฟังนะสึนะ ในศึกนี้ไม่ได้มีแค่นายที่สู้ถวายชีวิต เพราะว่าในสงครามนี้แม้แต่ยูนิเองก็ยอมที่จะสละชีวิตของตนเพื่อส่งพวกนายทุกคนกลับไปยังอดีต”

    “!!”

    “คุณลุง...” ยูนิกอดเหล่าจุกนม เธอไม่คิดว่าอัลโกบาเลโน่แห่งตะวันจะรู้เรื่องนี้ด้วย

    “การฟื้นคืนชีพอัลโอบาเลโน่ไม่ใช่เพื่อเติมเต็มพลังพื้นฐานของโลกใบนี้ แต่มันเป็นกุญแจที่จะส่งพวกนายกลับไปยังอดีตอันสงบสุขได้...เพราะแบบนั้นจึงจำเป็นต้องเสียสละตนเพื่อให้สำเร็จ” นักฆ่าทารกรับรู้เรื่องราวทั้งหมดมาจากลูเช่ ประกอบกับข้อมูลที่ลูกศิษย์นักฆ่าเพียงคนเดียวของตนเองหามาให้ ตัวซีลอนในอนาคต รากฐานของทรีนิเซตเต้ พลังของมันและความสามารถที่กัดกร่อนอายุขัยของอัลโกบาเลโน่นภาในทุกรุ่น จนตอนนี้เขาจึงเข้าใจเหตุผลของการถ่วงเวลา

    “คุณลุงรู้เรื่องนี้ได้ยังไง...” ยูนิตาโต เธอคิดว่าความลับนี้จะยังคงเป็นความลับต่อไปจนถึงจุดสุดท้ายของเรื่องราว

    “มันก็แน่อยู่แล้ว ก็เธอเหมือนลูเช่ยายของเธออย่างกับแกะ” รีบอร์นตอบคำถามของผู้เป็นดั่งหลานสาว

    “ฮึ่ม... งั้นฉันก็ต้องหยุดไม่ให้เธอทำเรื่องโง่ ๆ นั่นสินะ เพราะว่าพลังของเธอจำเป็นต่อแผนการของฉัน ชีวิตของยูนิจังน่ะจำเป็นต่อฉันนะ เพราะฉะนั้นมาทางนี้สิ” เบียคุรันหันไปมองยูนิและแบมือออกข้างแสดงท่าทีเชื้อเชิญโดยละมุนละม่อม

    “แค่กๆๆ” สึนะตื่นขึ้นมาในจังหวะสำคัญ

    “ฮะฮ่า~ พวกนายทั้งคู่ทำเอาฉันประหลาดใจอยู่เรื่อยเลยนะ นึกไม่ถึงว่าสึนะคุงจะตื่นขึ้นมาเพราะแรงเชียร์ของนายจริงๆ” ชายผมขาวหันไปมองพระผู้ช่วยให้รอดของยูนิมองร่างกายที่สั่นเทาเพราะความกลัวจากสัญชาตญาณมนุษย์ที่เคยเผชิญเข้ากับความตาย

    “ฉ ฉัน...จะไม่ยอม ส่งยูนิ ให้ คน อย่างนาย” สึนะไอโขลกหลายครั้งถึงเริ่มพยุงตัวขึ้นนั่ง

    “พูดออกมาได้ทั้งที่ตัวสั่นงันงก นี่สึนะคุง~ รู้อะไรรึเปล่าว่าร่างกายคนเรามันซื่อสัตย์นะ กายเนื้อของนายยังคงจำความหวาดกลัวต่อฉันเมื่อครู่ได้ หลักฐานก็คือตัวนายที่กำลังสั่นไปทั้งตัวยังไงล่ะ” เบียคุรันกระตุกยิ้มเหลือบสายตากดต่ำคล้ายดูถูกเด็กชายที่เหมือนลูกนกหัดเดิน ซ้ำร้ายไฟดับเครื่องชนก็แผ่วลงเรื่อย ๆ จนใกล้จะดับ

    “นายเนี่ยโชคร้ายจังเนอะ~ ที่ยังต้องตื่นขึ้นมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้อีก ไม่สิ~ นายน่ะโชคร้ายมาตั้งแต่มัธยมต้นแล้วนี่นา เด็กห่วย ๆ ที่เอาแต่โดดเรียนไปวัน ๆ แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีนักฆ่ามาหาบอกว่านายต้องสืบทอดตำแหน่งผู้นำมาเฟียของแก๊งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถูกบังคับให้เข้ามาในโลกที่น่ากลัวนี่ ทั้งที่เกลียดการต่อสู้แต่ก็ยังถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องทำมาตลอดในฐานะของบอส... ที่โชคร้ายที่สุดก็คงเป็นการที่นายโดนพามายังยุคสมัยนี้ยังไงล่ะ~ ถ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ก็คงไม่เจอกับเรื่องโหดร้าย ชะตากรรมของนายนี่มันถูกสาปชัด ๆ ว่าอย่างนั้นไหม?” เบียคุรันยิ้มหวาน เขาพยายามกดให้อีกฝ่ายจมดิ่งลงไปในความขมุกขมัวของทุกข์ตรมสาหัส เบียคุรันสืบเรื่องของสึนะมาดี และนำเรื่องในอดีตมาจี้จุดอ่อนของเด็กชาย ย้ำให้อีกฝ่ายคล้อยตามว่าเขาไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นประดังประเดเข้ามาล้วนเป็นโชคร้ายที่เหมือนคำสาป

    “หึ...” ซีลอนได้ยินคำพูดพวกนั้นก็ยกมือปิดรอยยิ้มชั่วร้ายของตนเอง เบียคุรันเดินหมากพลาดไปแล้วหนึ่งตา และตาต่อ ๆ ไปกระดานจะรวน... รวนจากแผนที่เขาวางเอาไว้ทั้งหมด

    “มันจะแพ้ตั้งแต่เลือกเรื่องนี้ขึ้นมาจี้สึนะแล้ว เดชิโม่ที่ฉันเลือกรับใช้น่ะ ไม่ได้จิตอ่อน” นักฆ่าหลังเก้าอี้เปี่ยมไปด้วยความหวังเพราะว่าในทุกคำพูดของเบียคุรันมันจุดประกายสึนะ...

    “ไม่ใช่... มันไม่ใช่แบบนั้น ทั้งหมดหรอก” สึนะพยุงตัวเองแม้ร่างกายจะสั่นไม่ว่าเพราะความกลัวทางสมองที่สั่งการให้ร่างกายแสดงออกหรือเพราะอาการบาดเจ็บ “ก็ถูกที่ในอนาคตนี่ทั้งน่ากลัว เจ็บปวด แทบจะไม่มีความสุขอยู่เลย แต่ว่าเพราะนายพูดขึ้นมาตอนนี้ฉันเลยเข้าใจทุกอย่างแล้ว...” เดชิโม่กำหมัดใต้ถุงมือไหมพรม

    “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่...มันเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของฉัน” นภาของวองโกเล่มองในมุมที่ต่างออกไป รีบอร์นขยับปีกหมวกพร้อมระบายยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ เพราะกระดานหมากครั้งนี้มันแสดงผลออกมาแล้ว

    “ฮืม? นายนี่ยังคงคิดอะไรประหลาดอยู่เรื่อยเลยนะสึนะคุง เอาเถอะฉันจะช่วยให้ได้ไปสบายเอง...และนายในสภาพนี้แค่ใช้มังกรขาวตัวเล็ก ๆ แทงทะลุหัวใจก็น่าจะเพียงพอแล้วล่ะ เนอะ~” เบียคุรันคีบอาวุธกล่องชิ้นเล็กขึ้นมา โดยไม่ฟังแม้แต่เสียงร้องของใครต่อใครหรือท่าทีชวนตลกของสึนะที่ยกมือกันพลางส่ายหน้าเป็นพัลวันอย่างเปล่าประโยชน์ กล้วยไม้ขาวปาอาวุธออกไปอย่างแม่นยำ จนเลือดและร่างเล็ก ๆ ของเด็กชายที่น่าสงสารล้มลง ทว่า...

    “โอ๊ย!...แค่กๆๆ” สึนะดึงศรมังกรขาวออกจากอกตัวเองสิ่งที่มันปักลงไปนั้นไม่ใช่หัวใจของเขาแต่เป็นแหวนที่ลันเซียได้มอบไว้ให้และเขายังคงพกติดตัวอยู่เสมอจนกระทั่งเวลานี้

    “เพราะว่าทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้นต่างประคับประคองฉันเอาไว้... ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาในยุคสมัยนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียเปล่าเลย ไม่ว่าจะเรื่องที่ขมขื่น เรื่องที่เจ็บปวด ความสนุกสนานชั่วครู่ แต่เพราะว่ามีทุกคนอยู่ สิ่งเหล่านั้นทำให้ฉันมาอยู่ตรงนี้” สึนะกำแหวนของลันเซียนำมันใส่กระเป๋า ยันกายลุกขึ้นยืน

    “ทั้งการต่อสู้ที่ไม่ชอบ ทั้งอาวุธที่ไม่คิดว่าจะต้องใช้ ถ้าหากว่ามีแค่ฉันคนเดียวก็คงทำอะไรไม่ได้เลย แต่เป็นเพราะว่ามีทุกคนคอยอยู่ด้วย คอยสนับสนุน ฉันเลยสามารถสู้มาจนถึงตอนนี้... นายบอกว่ามันคือโชคร้ายสินะ แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้น เวลาที่ได้ใช้ร่วมกันของพวกเราทุกคนเป็นสิ่งมีค่าสำหรับฉัน” นภาที่เยาว์กว่านั้นมีมุมมองที่กว้างไกลและอ่อนโยน เป็นท้องฟ้าที่โอบอุ้มทุกสิ่งเอาไว้

    “พลังไปของฉันลุกขึ้นมาเพราะว่ามีคนอย่างแกอยู่บนโลก... พลังของทุกคนอยู่ที่นี่ และแกเบียคุรัน...ที่ทำร้ายได้แม้แต่ผู้ไม่เกี่ยวข้อง ฉันจะทำได้ได้สำนึกเอง!” ไฟดับเครื่องชนสีส้มสดลุกโชติช่วงขึ้นมาใหม่ ราวกับฟินิกซ์ที่กำเนิดขึ้นมาจากเถ้าถ่าน ในวาระที่หมองมอดลงกองไฟใหม่นั้นจะถูกจุดประกายขึ้นมาเพื่อสานต่อสิ่งที่คั่งค้างไว้

    “ฮ่ะฮ่าๆๆๆๆ ขอโทษที่ต้องขัดจังหวะนะ แต่ระดับพลังของพวกเรามันต่างกันเกินไป นายจะทำอะไรฉันได้! ได้แค่หมอบกระแตถูกฉันอัดเละเหมือนก่อนหน้านี้อยู่ดีละน่า!” เบียคุรันหัวเราะตัวโยก

    ‘มันจะเป็นเช่นนั้นแน่รึ?’ เสียงของชายที่สงบนิ่งผู้หนึ่งดังขึ้น ได้ยินราวกับอยู่ใกล้ทั้งที่มาจากตรงไหนก็ไม่อาจทราบ ในวินาทีนั้นซีลอนก็ผุดรอยยิ้มวิกลออกมา

    “เรื่องเล่านั่น...” นักฆ่าหลังเก้าอี้เป็นตัวตนที่ใกล้ชิดนภาที่สุดในทั้งสองรุ่น เธอจึงรับรู้ในสิ่งที่ย้อนแย้งและสงสัยมาโดยตลอด

    แหวนนั่นในภาพวาดน้ำมันที่เก็ฐเอาไว้เป็นฯอย่างดีในคฤหาสน์วองโกเล่ที่อิตาลี่ ภาพสีน้ำมันของชายที่โครงหน้าคล้ายกับสึนะและดูอย่างไรก็เป็นญาติกันอย่างไม่ต้องสงสัย แหวนของพรีโม่เป็นอัญมณีหุ้มกรอบโลหะ แต่เมื่อถูกส่งทอดกลับกลายเป็นแหวนโลหะเรียบ ๆ แม้เธอจะพยายามตามหาแหวนวงนั้นอย่างไรก็ไม่พบร่องรอยชุดเครื่องประดับอื่นนอกจากที่ปู่ป๋าส่งมอบให้เดชิโม่ ดังนั้นรูปลักษณ์ทั้งสองจึงเป็นสิ่งเดียวกัน คำถามคือ ทำอย่างไรให้แหวนโลหะกลายเป็นมณีหุ้มกรอบเหล็ก... ความลับของแหวนแห่งวองโกเล่มีมากกว่าการแบ่งเป็นสองซีก

    เหล่าผู้พิทักษ์ได้ยินเสียงที่ต่างกันออกไปจากดวงจิตในแหวนเพลิงธาตุของตนเอง เศษเสี้ยวของวิญญาณซึ่งสถิตในแหวนปรากฏขึ้นชั่วครู่เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของทายาทรุ่นปัจจุบัน

    ‘เดชิโม่ เราเองก็เห็นด้วยกับความคิดของเจ้า ด้วยเจตจำนงนั้นเราเองก็อยากจะส่งพลังให้แต่คงทำเช่นนั้นไม่ได้ ทว่า... เราสามารถปลดผนึกให้เจ้าจากพันธนาการนั่นได้’ สัญลักษณ์แฟมิลี่ฉายขึ้นหลังมือของสึนะ ตราที่บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่มาตลอดสิบรุ่น เงาร่างของชายผู้ยิ่งใหญ่แห่งวองโกเล่ จีอ๊อตโต้ผู้เป็นพรีโม่และเป็นผู้ก่อตั้งแฟมิลี่วองโกเลปรากฏกายขึ้นแม้จะพร่าเลือนราวกับวิญญาณ

    “อะไรกันเนี่ยผู้ชายที่อยู่ข้างสึนะคุง” เบียคุรันแม้จะแปลกใจแต่ก็ยังรักษาสีหน้ายิ้มแย้มเอาไว้ จะเพิ่มมาอีกสักคนสองคนกระแสเกมก็ไม่เปลี่ยนไป นั่นเป็นคาวมมั่นใจของเขา

    “วองโกเล่พรีโม่!” ยูนินั้นรู้จักใบหน้านั่นโดยสัญชาตญาณและอ้างอิงถึงเรื่องเล่าอันสืบทอดต่อกันมาของอัลโกบาเลโน่นภา

    “ในวินาทีสุดท้ายถึงกับเขียนโปรแกรมฉายภาพบรรพบุรุษเอางั้นเหรอน่าสงสารจริง ๆ” ชายผมเขาเค้นหัวเราะ

    “นั่นเป็นของจริงแน่นอน! ฉันเชื่ออย่างนั้น และมันก็เป็นสิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นในทรีนิเซตเต้ มาเล่ริงหรืออัลโกบาเลโน่ ปาฏิหาริย์เดียวของวองโกเล่ ปาฏิหาริย์ห้วงมิติแห่งการปกป้อง” ยูนิอธิบายสิ่งที่เหนือจินตนาการตรงหน้า

    “ปาฏิหาริย์?...”

    “ห้วงมิติแห่งการปกป้อง?” ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เธอกล่าวและพากันคับข้องในชื่อเรียกนั่น

    “มัน...ถูกจารึกในความทรงจำของฉันตั้งแต่เกิด ถ้อยคำที่สืบทอดต่อกันมา...” ยูนิถอนหายใจยาวและเอ่ยถึงสิ่งที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นของอัลโกบาเลโน่นภา

    “ท้องทะเลไพศาลไร้สิ้นสุด สายรุ้งจักกำเนิดและจางหาย กาบหอยที่มีอายุขัยรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่สืบทอดโดยคงรูปลักษณ์เดิมไว้” ยูนิลืมตาขึ้นจ้องมองทุกคน พวกเขามีสิทธิ์ที่จะรับรู้ถึงความหมายและอำนาจของหนึ่งในทรีนิเซตเต้ที่ต่างครอบครองเอาไว้

    “มาเล่หมายถึงทะเล ไพศาลไร้สิ้นสุดบ่งบอกถึงลักษณะพิเศษของแหวนซึ่งรับรู้ตัวตนในโลกคู่ขนาน เป็นแกนมิติในแนวนอน”

    “วองโกเล่คือหอยกาบ มีอายุขัยและสืบทอดรุ่นถัดไปโดยคงรู้ลักษณ์เดิมไว้คือการส่งต่อประเพณีจากรุ่นสู่รุ่นเป็นแกนมิติแนวตั้ง”

    “และอัลโกบาเลโน่คือสายรุ้ง ไม่มีจุดกำเนิดเป็นหลักแหล่งไม่ได้สืบทอดเป็นเส้นตรง แต่เป็นจุดเชื่อมต่อมิติ”

    ทั้งสามชุดเครื่องประดับทรงพลังนั้นสืบทอดอำนาจที่เอกลักษณ์และการใช้งานต่างกันออกไป

    “ในขณะที่เบียคุรันครอบครองพลังแห่งการเชื่อมต่อที่จะสื่อสารกับตัวเองในโลกคู่ขนาน คุณซาวาดะเองก็ครอบครองพลังแห่งกาลเวลาของวองโกเล่” คำอธิบายของยูนิทำให้พวกเขากระจ่างในข้อสงสัยต่าง ๆ

    “แต่ว่าฉันน่ะไม่เชื่อคำบอกเล่าพวกนั้นหรอกนะ เพราะตัวฉันเองที่ได้รับพลังนั้นมาในตอนแรกก็ยังไม่ได้ครอบครองแหวนเลยนี่นา” เบียคุรันยกยิ้มเผยมือออกข้างไม่เห็นว่าที่ยูนิพูดไปจะช่วยอธิบายสถานการณ์ของเขาได้

    “นั่นเพราะว่าคุณเป็นเจ้าของแหวนโดยชอบธรรมตั้งแต่แหวนได้เลือกคุณก่อนที่จะพบกันเสียอีกยังไงละคะ ก็เหมือนกรณีของพรีโม่แห่งวองโกเล่นั่นแหละ” ยูนิถอนหายใจเล็กน้อย

    ‘เอาล่ะ เดชิโม่เอ๋ย เช่นนั้นเราจักปลดเปลื้องโซ่เส้นนั้นให้เอง’

    “เขาพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ!” ดีโน่และคนด้านนอกบาเรียเองก็ได้ยินการสนทนาทุกถ้อยคำ

    “รูปลักษณ์ที่แท้... ไม่คิดว่าจะได้เห็นกับตา แหม ตัวผมในยุคสมัยนี้คงกัดลิ้นอิจฉาแย่~” ซีลอนระบายยิ้มเจ้าเล่ห์ตอบคล้ายไม่ตอบพลางจ้องมองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่วางตา ในเมื่อได้รับโอกาสที่จะเป็นสักขีพยานของการสืบทอดเจตจำนงแห่งวองโกเล่

    ‘ต่อแต่นี้ผนึกคงไม่จำเป็นอีกกับเจ้า ผู้ที่เข้าใจถึงความหมายของแหวนและเจตนารมณ์แห่งเรา เดชิโม่เอ๋ย’ เพลิงสีส้มห่อหุ้มมือทั้งสองของหนึ่งชายแห่งนภารุ่นแรกและชายแห่งนภาในรุ่นปัจจุบัน เปลวไฟที่ไม่ได้กัดกร่อนแผดเผาผิวหนังนั้นเผยให้เห็นถึงรูปร่างที่แท้จริงของแหวนวองโกเล่ แหวนอัญมณีหุ้มกรอบโลหะวาวสวย

    นี่หนึ่งในเหตุผลที่สึนะในยุคสมัยอนาคตไม่สามารถเอาชนะเบียคุรันได้ เขายังไม่ได้รับการสืบทอดพลังที่แท้ของแหวน เหล่าวองโกเล่ในอนาคตยังคงครอบครองแหวนโลหะธรรมดา

    ทั้งสึนะและผู้พิทักษ์ต่างตกใจกับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของแหวน พลังที่เอ่อล้นขึ้นมานั้นแตกต่างจากแหวนวงเก่าโดยสิ้นเชิง

    ‘เอาล่ะเดชิโม่เอ๋ย ทีนี้จงมอบบทเรียนให้กับเด็กแห่งมาเล่นั่นเถิด’ นี่เป็นคำพูดสุดท้ายจากพรีโม่ที่ก้มหน้าลงแตะบ่าเล็ก ๆ ของผู้สืบทอดเจตนารมณ์ตนเอง เดชิโม่ได้รับการยอมรับโดยเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของพรีโม่ที่สถิตอยู่ในแหวนแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องคงสภาพการปรากฏตัวนั่นอีก

    “ฮ่ะฮ่าๆๆ คุณที่มีบรรพบุรุษที่น่าสมเพ— !!” ในพริบตาสึนะอัดพลังไฟชกใส่แผ่นหลังของเบีนคุรันกระเด็นสูงขึ้นไปบนอากาศ

    “โฮ่... ดูเหมือนประสิทธิภาพจะดีขึ้นนิดนึงนะครับ” เขาแสยะยิ้มและหันกลับมาใช้อาวุธกล่องพุ่งโจมตีเด็กชายคนเดิมที่บรรยากาศเปลี่ยนไปเล็กน้อย

    “โว้ว” เบลเฟกอลร้องออกมาอย่างตื่นเต้นเมื่อสเกลพลังของสึนะต่างจากก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง ในสายตานักฆ่าทั้งเขาทั้งซีลอน ความเร็ว ประสิทธิภาพของพลังไฟ ความรุนแรงของการอัดพลังไฟเพิ่มระดับขึ้นสูงจากเดิมอย่างเทียมไม่ติด

    สึนะใช้ความได้เปรียบในช่วงที่อีกฝ่ายกำลังตื่นตะลึงสับหัวและกระชากปีกของเบียคุรันออก แต่ว่าแทนที่เขาจะหวาดกลัว ชายผมขาวคนนั้นกลับหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน

    “สุดยอดไปเลยสึนะคุง! รู้อะไรไหมในบรรดาโลกคู่ขนานทั้งหมดมีแค่นายที่ทำให้ฉันเลือดออกได้! แต่ฉันไม่เสียใจเลยล่ะ...เพราะอะไรรู้ไหม? อืมนั่นสินะ” ผู้นำมิลฟิโอเล่หัวเราะคล้ายกับเสียสติเงยหน้าขึ้นมองนภาแห่งวองโกเล่ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่ง รอยยิ้ม แววตา และพลังที่มืดมนทะลักออกจากรอยแผลฉีกที่หลังในตำแหน่งปีก

    “เ พ ร า ะ ว่ า นี่ เ ป็ น ค รั้ ง แ ร ก ที่ ฉั น จ ะ ไ ด้ สู้ แ บ บ เ ต็ ม กำ ลั ง ยั ง ไ ง ล่ ะ ! !”

     

    “พอเถอะนะยูนิจัง เธอไม่จำเป็นต้องเสียสละตัวเองเพื่ออัลโกบาเลโน่หรอกนะ!” สึนะร้องตะโกนออกไปหลังจากเศษพลังของเบียคุรันกระเด็นไปที่เธอแต่กถูกปัดออกด้วยพลังเพลิงนภาเข้มข้นที่ห้อมล้อมร่างกายเล็ก ๆ นั่นไว้

    “จำเป็นต้องทำสิคะ...” ยูนิเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้นภาที่อ่อนโยนคล้ายกับเธอ “การคืนชีพให้พวกเขาจะช่วยคนบริสุทธิ์ได้อีกมาก และทำให้พวกคุณกลับไปยังอดีตได้ เวลาที่ฉันจะได้แสดงพลังที่แท้จริงมาถึงแล้ว...มันเป็นสิ่งเดียวที่ฉันทำได้และเป็นชะตากรรมของฉัน...ที่ไม่อาจหลบหนี” เด็กสาวแห่งนภานั้นหลุบตาลงเปลวไฟสีส้มที่เป็นดั่งพลังชีวิตของตัวเองลุกไหวห้อมล้อมเธอและจุกนมอัลโกบาเลโน่ทั้งห้า

    “คิดว่าฉันจะยอมให้เธอตาย โดยที่ฉันไม่อนุญาตงั้นเหรอ!!” เบียคุรันเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นยูนิ สึนะไหวตัวทันและเข้ามาขวาง การต่อสู้ของพวกเขาโรมรันกันไม่จบไม่สิ้น

    ขณะนั้นเองที่ภายนอกบาเรียของนภาทั้งสามทั้งมุคุโร่และดีโน่ก็เสนอให้ทำลายบาเรียเพื่อดึงตัวยูนิออกมาและหยุดสิ่งที่เธอกำลังกระทำนั่นซะ

    “ไม่บอกก็ทำอยู่! แต่ว่าไอ้เขตแดนบ้านี่มันไม่กระเทือนสักนิด!” โกคุเทระหอบตัวโยนหลังใช้เพลิงวายุที่แรงที่สุด ยามาโมเองก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก

    “จะให้เจาะมันก็ได้อยู่หรอก...” ซีลอนเคาะบาเรียด้วยหลังมือแล้วลูบคางครุ่นคิด “ใช้พลังนอกระบบทรีนิเซตเต้สำหรับหนึ่งเดือนน่าจะพอทำอะไรได้บ้าง”

    “หยุดเดี๋ยวนี้เลยครับ คิดจะลดอายุขัยตัวเองอีกกี่ครั้งถึงจะพอใจ ช่วยเก็บไว้เป็นกรณีสุดท้ายทีเถอะนะ” มุคุโร่หันไปเอ็ดนักฆ่าหัวเงินกำลังมองหาตำแหน่งเหมาะ ๆ เพื่อทะลวงบาเรียเข้าไป

    “จบศึกนี้ก็ไม่มีฤกษ์ให้ใช้แล้วมั้ง?” ซีลอนแบมือออกข้างอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะถูกสายหมอกลากออกห่างจากบาเรีย

    ในวินาทีนั้นเองที่ยูนิคิดขึ้นว่าตนเองจะได้กลับไปอยู่กับครอบครัวของเธอ คุณแม่ และย่า... ความกลัวตายนั้นกลับผุดขึ้นมากลางใจของเด็กสาวทำให้ไฟนภาค่อย ๆ มอดเล็กลง น้ำตาของเด็กสาวไหลอาบสองข้างแก้ม ร่างเล็ก ๆ ทรุดลงกับพื้นกอดจุกนมอัลโกบาเลแต่ก็ปิดหน้าร้องไห้ทั้งร่างกายสั่นเทา

    ภาพของตัวเองที่เหลือแต่โครงกระดูก เธอจะไม่มีทั้งพรุ่งนี้และเรื่องราวต่อจากนั้น

    “ยูนิ...” รีบอร์นรู้สึกสงสารในชะตากรรมของอีกฝ่ายขึ้นมาแต่เขาเป็นนักฆ่า ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดและรู้สึกสิ่งใด กับมุมมองของเขานั้นไม่สามารถสัมผัสถึงความละเอียดอ่อนอย่างที่สุดจากคนธรรมดาได้ กลัวตายก็มีแต่ต้องรอดละหาหนทางอื่นเท่านั้น ทว่าในเส้นทางของยูนิมีมันแค่สองเส้นเดียวทอดยาวให้เดินไป... หนทางแห่งการสละตนเองเพื่อทำให้โลกนี้ไม่ล่มสลาย

    “กำลังรู้สึกหวาดกลัวต่อความตายอยู่สินะ” เบียคุรันพ่นหัวเราะออกมา

    “แหงอยู่แล้ว ถึงจะเป็นเจ้าหญิงแห่งอัลโกบาเลโน่น่ะยังไงเธอก็เป็นแค่เด็กหญิงธรรมดาอยู่เลยนะ” ทารกนักฆ่าเดาะลิ้น

    “พอเถอะยูนิ! เรามาหาทางออกอื่นกันเถอะนะ!” สึนะห้ามปรามแต่ถ้อยคำนั้นกลับเติมกำลังใจให้เด็กสาวแห่งนภา เธอเช็ดน้ำตาและลุกขึ้นยืน

    “ขอโทษค่ะ ฉันไม่เป็นไร... ฉันจะไม่เป็นอะไร... ขอบคุณนะคะทุกคน” ผู้นำอัลโกบาเลโน่ตัดสินใจเด็ดขาดเปลวไฟสีส้มนั้นขยายวงใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว หนทางอื่นที่จะสามารถเดินไปได้นอกจากนี้มันไม่มี ยูนิทราบถึงเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลยิ่งกว่าใคร ด้านนอกบาเรียทั้งฮารุ เคียวโกะ และเบียงกี้ต่างร้องห้าม แต่มันส่งไปไม่ถึงการตัดสินใจอันแน่วแน่ของยูนิ

    เสียงระเบิดสนั่นเกิดขึ้นโดยฝีมือบาจิลที่สั่งการให้อัลฟินประสานการโจมตีกับสัตว์กล่องทั้งหมดที่ยังมีแรง

    “บ้าจริงมันไม่ได้ผล! สร้างได้แต่รอยแตกเล็ก ๆ เอง!” บาจิลส่งเสียงไม่พอใจขึ้นมา ขนาดรวมพลังเพื่อใช้โจมตีไปยังจุดจุดเดียวก็ยังสลายบาเรียทั้งหมดไม่ได้

    “แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับฉันแล้วล่ะ” แกรมม่าเอ่ยขัดกระโจนเข้าไปในรอยแตกก่อนที่มันจะเชื่อมสมานกัน

    สายฟ้าสีม่วงผู้มีจิ้งจอกทมิฬเป็นอาวุธนั้นเดินไปยืนอยู่ต่อหน้าเด็กสาว แม้จะในสภาพไม่เต็มร้อยกลับดูผ่อนคลายมากกว่ายามอยู่นอกบาเรีย

    “ไงครับองค์หญิง”

    “แกรมม่า!” ยูนิกระชับอ้อมกอดของตน เธอไม่อยากถูกขัดขวางโดยเขาที่เธอไว้ใจที่สุด แต่สิ่งที่เธอได้ยินกลับต่างออกไป

    “นี่เป็นอีกครั้งแล้วนะที่ผมได้แต่ยืนมององค์หญิงจากไปทุกที แบบนี้ไม่ยุติธรรมเลยนี่...เพราะงั้นแล้วใช้พลังไฟของผมด้วยเถอะนะ” แกรมม่าสวมกอดร่างที่เล็กเพียงอกของตน ยูนิน้ำตาไหลออกมา เธอยังคงไม่ได้ให้คำตอบกับเขา ถ้อยคำที่กระซิบถามก่อนหน้านี้

    เธอรู้ดีว่าตัวเองไม่มีกระทั่งเวลาให้โตเป็นผู้ใหญ่

    “อ่าว ๆ เวลาแบบนี้อย่าร้องไห้สิครับ คุณแม่ท่านน่าจะสอนนี่นาสีหน้าที่ต้องทำเวลารู้สึกแบบนี้” ใบหน้าของแกรมม่าอ่อนโยนมากกว่าที่เคยเป็นมาเมื่อได้ยินดังนั้นยูนิจึงยิ้มอย่างมีความสุขออกมาจากใจ

    รอยยิ้มสุดท้ายของทั้งคู่ก่อนที่จะสูญสลายไปทั้งร่างกายทิ้งเอาไว้เพียงจุกยมอัลโกบาเลโน่ที่ร่วงลงพื้นทั้งหกชิ้น

    เบียคุรันเลือดขึ้นหน้า แผนการของเขาล่มไม่เป็นท่าเมื่อยูนิตายลงและทิ้งเอาไว้เพียงจุกนมอัลโกบาเลที่ไม่ส่องแสงอีกต่อไปแล้ว

    “แกทำบ้าอะไรลงไป? รู้ตัวบ้างไหมว่าได้ทำลายจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่ฉันพยายามเฝ้าตามหามาโดยตลอด แกทำให้ความพยายามของฉันสูญเปล่า! ความฝันที่จำสร้างทรีนิเซตเต้ที่ยิ่งใหญ่ทรงพลังมากกว่าโลกคู่ขนานไหน ๆ !!”

    “รู้บ้างไหมว่าทำบ้าอะไรลงไป!!!” เสียงตวาดของเบียคุรันส่งผลให้สึนะระเบิดคลื่นพลังออกมา

    เพราะในมุมมองของพวกเขาทุกคนแล้วหากว่าเบียคุรันไม่กำเริบเสิบสาน ยูนิก็จะไม่ต้องเสียสละตนเอง

    “นี่แกคิดว่าที่ยูนิต้องตายเป็นเพราะใครกัน... เพราะแกนั่นแหละที่ทำให้โลกเป็นแบบนี้ขึ้นมา จนทำให้ยูนิต้องสละชีวิตตัวเอง!” สึนะหันไปมองเบียคุรัน เขาจ้องเขม็ง

    “ฉันจะไม่มีวันยกโทษให้แกเบียคุรัน!” เพลิงนภานั้นสดใสและลุกโชนยิ่งกว่าก่อนหน้า การตัดสินใจของนภาที่อ่อนโยนนั้นจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับความเห็นแก่ตัวแสนชั่วร้าย

    ท่าไม้ตายของทั้งคู่ถูกปล่อยออกมาในเวลาเดียวกัน เพลิงสีส้มที่เผาผลาญนั้นมอดไหม้ให้ร่างของมาเฟียสีขาวผู้หนึ่งสิ้นสลายจนไม่เหลือเศษซากใด

     

    ในช่วงเวลาแห่งความตายผู้คนจะเห็นภาพย้อนอดีตเบียคุรันเองก็หวนนึกถึงจุดเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตตนเองเช่นกัน วันที่เชคเบคโล่มอบแหวนแห่งมาเล่ให้ ในเวลาที่เขาเบื่อหน่ายกับโลกมนุษย์ สังคมจอมปลอม เวทีฉากหนึ่งที่เขาแสดงได้อย่างสมบูรณ์แบบเสียจนไม่หลงเหลือความน่าสนใจอื่นใดอีกในชีวิต

    และในมุมมองที่ต่างขั้วกันมากนั้นเอง เขาที่เผลอทุ่มหมดหน้าตักเล่นสนุกไปบนเวทีแห่งนี้ก็เจอเข้ากับผู้เล่นตำแหน่งนภาที่ไม่ยอมเดินไปตามแผนการของเขา

    ทั้งหมดนี่มันสนุกมากเลยล่ะสนุกที่สุดในชีวิต แต่ว่าดูเหมือนคราวนี้เขาจะต้องลงจากเวที อย่างไม่มีหนทางได้กลับขึ้นมาอีกครั้ง

     

    มันจบลงแล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้น คิเคียวถูกเลวี่ทำร้ายซ้ำหลังจากไม่มีบอสคุ้มกะลาหัว เชลยศึกคนนี้ทางวาเรียจะจัดการคุมตัวไปแม้สึนะจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ห้ามพวกเขาไม่ได้

    จนกระทั่งรู้ว่าตัวตนของหกบุปผาอาลัยนั้นเป็นเพียงคนธรรมดาที่เบียคุรันเลือกให้มารับใช้ตน ช่วยพวกเขาจากโลกทั้งใบที่หันหลังให้มาทั้งชีวิต ทั้งหกจึงได้ภักดีกับเบียคุรันเสียขนาดนี้

    ซันซัสรำคาญอาการปากมากของคิเคียวจึงยิงเข้าขมับอีกฝ่ายตัดบท

    “ซันซัส!!” สึนะร้องห้ามไม่เป็นผล

    “มันหนวกหูน่า!” บอสใหญ่แห่งวาเรียเค้นเสียงออกจมูกหงุดหงิดและเดินจากไปทิ้งให้ตะวันของวาเรียจัดการฟื้นฟูคนเฉียดตายที่เหลือรอด

    สึนะล้มลงกับพื้นอย่างหมดแรงเขาชนะแล้วก็จริงแต่... “ถึงจะชนะมาได้แต่ก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว แบบนี้จะมีความหมายอะไรล่ะ” เด็กชายยังไม่เข้าใจถึงคำตอบเรื่องราวนี้ ทั้งเบียคุรัน หกบุปผาอาลัย เหล่าคนบริสุทธิ์มากมายและรวมไปถึงแกรมม่ากับยูนิ พ่อของยามาโมโตะ กับผู้สนับสนุนคนอื่น ๆ

    “ความหมายนั่นน่ะมีอยู่แล้วสิเว้ยเฮ้ย!” เสียงและคำสร้อยอันคุ้นหูตะโกนขึ้นด้วยความฮึกเหิม “ซาวาดะนายทำได้ดีมาก!” โคโลเนโร่เท้าเอวเอ่ยชม

    “พวกอัลโกบาเลฟื้นคืนชีพแล้ว!” โกคุเทระตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเขาทั้งสงสัยและตื่นเต้น สิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์! ตรงหน้าเขา!

    ความวุ่นวายและความยินดีก่อตัว กลายเป็นสิ่งที่อบอุ่นขึ้นมาในหัวใจครู่หนึ่ง สิ่งที่ทำลงไปไม่สูญเปล่าแต่ยังไงล่ะ? สึนะยังคงสับสน

    “พวกเรารู้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วยูนิบอกให้พวกเราฟังผ่านจุกนมนี่” โคโลเนโร่พูดพลางชูจุกนมแห่งนภาขึ้น

    “เธอบอกพวกเราหมดแล้วล่ะว่าหลังจากเอาชนะเบียคุรันได้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ฟงพูดต่อ

    “เพราะว่าเบียคุรันถูกกำจัดไปแล้วมาเล่ริงจึงสูญพลังทั้งหมดไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เบียคุรันใช้พลังของมาเร่ริงทำลายไป ความเสียหายพวกนั้นในโลกคู่ขนานก็จะหายไปด้วยเช่นกัน” โคโลเนโร่ยิ้มแป้น

    “หรือก็คือเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่เบียคุรันก่อ ก็จะหายไปชนิดไม่เหลือร่องรอยเลยเว้ยเฮ้ย!”

    “เอ๋! หมายความว่าคนที่ตายไป!” สึนะกำลังประมวลผลโคโลเนโณ่ก็เอ่ยขัดสรุปความให้เข้าใจง่ายขึ้น

    “ความตายพวกนั้นก็จะหายไปยังไงล่ะ!”

    “ด เดี๋ยวนะครับ ขอโทษที่ต้องขัดจังหวะแต่ที่บอกว่าแก้ไขในทุกทุกโลกใช้สูตรคำนวณไหนกับเรื่องพวกนี้เหรอครับ!” อิริเอะออกอาการตื่นเต้น หนึ่งในอัลโกบาเลนั้นสวมชุดคล้ายนักวิจัยไม่มากก็น้อยเขาก็น่าจะไขข้อข้องใจให้ตนเองได้ ในฐานะนักวิจัยด้วยกันแล้วจึงอยากถกเถียงเพื่อพัฒนาความรู้ของตนเอง

    “ไอ้เจ้าบ้านี่ สิ่งที่เกิดขึ้นโดยทรีนิเซตเต้น่ะมันเหนือความเข้าใจของมนุษย์ขึ้นไปอีกไม่รู้ตั้งกี่เท่า เรื่องนี้น่ะสำหรับมนุษย์แล้วแค่สูตรกับตัวเลขที่จะแทนลงไปเพื่อคำนวณยังไม่รู้ว่าจะต้องใส่อะไรลงไปเลยด้วยซ้ำ” เวลเด้อธิบายและยกมุมปากคล้ายแสยะ

    “สิ่งที่เกิดขึ้นจากทรีนิเซตเต้น่ะด้วยความรู้ในปัจจุบันของมนุษย์แล้วคงจำกัดความได้เป็นคำว่าปาฏิหาริย์ไม่ก็ความต้องการของใครบางคนละมั้ง?” เวลเด้เลิกคิ้วเอียงหัวเล็กน้อย เขาพยายามหาคำอธิบายที่เด็กพวกนนี้จะเข้าใจได้ง่ายและตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้กระชับที่สุดซึ่งก็ได้ออกมาเป็นประโยคดังกล่าว

    “แล้วถ้าเกิดมีคนอย่างเบียคุรันขึ้นมาอีกล่ะ แล้วถ้าคนคนนั้นคิดจะใช้พลังของมาเร่ริงขึ้นมาอีก...” สึนะมองไปไกลกว่านั้น แหวนนั้นเลือกเจ้าของ หากว่าแหวนนั้นมีเจตจำนงของตนเองเหมือนแหวนวองโกเล่ที่จะไม่ยอมรับคนนอกสายเลือดวองโกเล่แล้วมาเร่ริงล่ะ?

    “ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นจะไม่เกิดขึ้น เพราะเหตุนี้แหละยูนิจึงสละตัวเอง” ฟงเงยหน้าอธิบาย “ยูนิคงสภาพเปลวไฟแห่งชีวิตให้ส่องสว่างอยู่ตลอดไปโดยความช่วยเหลือของพวกเราเหล่าอัลโกบาเลโน่ ดังนั้นไม่ว่าจะอดีตหรืออนาคตพลังของมาเล่ริงก็จะถูกผนึกเอาไว้”

    “ที่เธอยอมสละตัวเองก็เพื่อสร้างความสงบสุขชั่วนิรันดร์ยังไงล่ะ” ฟงยิ้มและเล่าถึงเหตุผลที่แท้ของการใช้เพลิงนภาแห่งชีวิตแลกกับการฟื้นคืนชีพพวกเขาพร้อมกับคงสภาพไฟของจุกนมนภาตลอดไป

    “ยูนิบอกแล้วนี่ว่าอดีตที่พวกนายจะได้กลับไปคืออดีตที่สงบสุขน่ะ” รีบอร์นเอ่ยถึงสิ่งที่ผู้เป็นดั่งหลานสาวบอกเอาไว้

    พวกเขาได้แต่กล่าวขอบคุณเด็กสาวผู้เสียสละและไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้อีกแล้ว

    “ถ้าอย่างนั้น... ก็กลับไปยังอดีต กลับบ้านของพวกเรากันเถอะทุกคน!” สึนะยิ้มออกมาในท้ายที่สุด

     


     


     

    เรื่องราวอันวุ่นวายได้จบลงในอนาคตที่โกลาหล ทุกคนต่างไปหาคนในอนาคตที่อยากจะบอกลา เอ็มเอ็มเรียกโคลมจากอดีตมาแยกคุยส่วนตัว

    “ฉันตั้งใจจะมาเตือนเธอ เหตุผลที่มุคุโร่ใจดีกับเธอก็เพราะว่าต้องการใช้งานเธอ ทันทีที่เธอกลับไปเขาอาจจะใช้เธอเพื่อออกจากคุกวินดิเช่... นี่อย่าเข้าใจผิดล่ะฉันเตือนเพื่อเธอจะได้ไม่ต้องกังวล เขาเป็นคนที่น่ากลัว” เอ็มเอ็มมีสีหน้าจริงจังตั้งแต่ต้นจนจบ

    โคลมคล้ายกับลังเลเล็กน้อยแต่ไม่ใช่เพราะกลัว เธอตัดสินใจไปตั้งนานแล้ว

    “ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังคงจะสนับสนุนเขาค่ะ” สายหมอกหญิงแห่งวองโกเล่นั้นไม่มีแววตาแห่งความลังเลอยู่

    “บอกแล้วว่าเสียเวลาน่าเอ็มเอ็ม” ซีลอนกับมุคุโร่และกลุ่มโกคุโยยืนอยู่บนระเบียงด้านหลัง นักฆ่าหลังเก้าอี้หมุนอมยิ้มในมือรีบเคี้ยวมันก่อนที่จะกลับอดีตไป

    “นี่เพราะหวังดีหรอกนะ...” เอ็มเอ็มหันไปแยกเขี้ยวใส่คนจากอดีตอีกคนที่ยืนอยู่ข้างมุคุโร่ ซีลอนไหวไหล่แล้วเท้าระเบียงเพื่อโดดลงไปหาทั้งคู่มือหนึ่งคล้องไหล่โคลมอีกข้างพาดบ่าเอ็มเอ็ม

    “ดีกันไว้เถอะก็ทีมงานเดียวกันนี่ อีกอย่างบอกแล้วว่าโมเดลโคลมน่ะเหมือนผมอย่างน่าตกใจเชียวล่ะ” ซีลอนฉีกยิ้มแล้วหัวเราะในลำคอ

    “โมเดลเดียวกันอะไรยะ เธอมันน่ากลัวยิ่งกว่าโคลมอีกไม่รู้ตั้งกี่เท่า!” เอ็มเอ็มแยกเขี้ยวใส่ซีลอนในอดีต

    “อ๊ะ เป็นงั้นเหรอ~ ไม่เห็นรู้สึกเลยแฮะ แต่ว่าไม่ปรับปรุงตัวหรอกนะ~ เพราะว่ามุมมองความคิดที่ว่าปู่ป๋าเก็บผมมาเพราะงั้นชีวิตนี้ก็จะตายเพื่อปู่ป๋าน่ะเป็นความภักดีที่ผมมีให้ผู้มีพระคุณยังไงล๊า~” นักฆ่าหลังเก้าอี้อารมณ์ดีสุด ๆ หลังจากที่เฟสคอลกับฝาแฝดผู้ตื่นจากการหลับใหลเพื่อบอกลาก่อนที่จะกลับไป

    “เอ็มเอ็มกับยายโง่คุยกันเหรอ มัวทำอะรายอยู่เดี๋ยวก็ทิ้งไว้ซะหรอก!” เคนเอ่ยยานคาง มุคุโร่ยิ้มให้เด็กสาวผู้เป็นร่างสถิตสำรองของตน โคลมเองก็ส่งรอยยิ้มกลับคืนไปให้

    “รักษาตัวด้วยนะคะท่านมุคุโร่” เด็กสาวรวบรวมความกล้าเอ่ยออกไป เขาก็ตอบรับประโยคนั้นอย่างใจดี

    “ไว้เจอกันในอดีตนะครับโคลม แล้วก็ช่วยบอกคนหัวเงินข้าง ๆ ในอดีตให้ทีนะครับว่าช่วยใจดีกับผมในอดีตให้มากกว่านี้หน่อย” สายหมอกหนุ่มไม่วายแหย่ต่อมโมโหใครบางคนข้างโคลมไปที

    “ฝากบอกเจ้าผีไร้ร่างด้วยนะโคลมว่ายากจังเลย ไม่ทำดีกว่า” คนหัวเงินเปลี่ยนไปประสานมือหลังท้ายทอยถอนหายใจเซ็ง ๆ โคลมที่อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งคู่เลิ่กลั่กเล็กน้อย เธอระบายยิ้มออกมาและหัวเราะ สถานที่ของเธอ ผู้คนที่ยอมรับเธอเพิ่มขึ้นมาจากสมัยที่อยู่ตัวคนเดียว ท่านมุคุโร่เป็นคนที่ดึงเธอออกมาจากความเดียวดาย จากนั้นก็มีซีลอนที่คอยสอนสิ่งต่าง ๆ ให้แม้จะรวบรัดในเวลาไม่นานแต่ความเอื้อเฟื้อที่เธอไม่คุ้นชินนั้นทำให้ตัวเธอสามารถปรับตัวเข้ากับคุณฮารุและเคียวโกะได้ทีละนิด ทั้งคู่และเคนกับจิคุสะเองก็ต่างเป็นคนสำคัญของเธอ

    “ท่านมุคุโร่ฉันจะคอยเอาใจช่วยนะคะ!”

    “เอ๋! โคลมไม่เข้าข้างผมอ่อ ทำไมอ่ะ!”

    “หวาย ยายหมาหัวเน่า” เคนหัวเราะคิกคักมองซีลอนที่ตอนแรกดูเหมือนโคลมจะช่วยแต่กลายเป็นเข้าข้างท่านมุคุโร่ไปอีกคน

     

     

    พวกเขาส่งคนในอดีตกลับไปยังห้วงเวลาที่จากมาเหล่าคนในยุคสมัยนี้ก็ทยอยตื่นขึ้นจากการจำศีล คนแรกที่ซีลอนในยุคสมัยนี้หวังจะได้เห็นกลับไม่ใช่คนที่มารับ...

    “เห็นหน้านายตั้งแต่ตื่นละหงุดหงิดชะมัด...” นักฆ่าหลังเก้าอี้ยันตัวขึ้นลุกนั่งก่อนเพื่อปรับสภาพตัวเองหลังจากหลับอยู่นาน

    “พูดจาใจร้ายตั้งแต่ตื่นแบบนี้ไม่น่ารักเอาซะเลยนะครับ” มุคุโร่ถอนหายใจแล้วช่วยประคองให้เธอลุกขึ้นยืน

    “สึนะไปไหน?” นักฆ่าหัวเงินกวาดตาไปรอบ ๆ คนอื่น ๆ ยืนถัดออกไปและกำลังถกเถียงเรื่องการส่งอาวุธกล่องไปยังอดีตโลกคู่ขนานใบที่พวกสึนะวัยเด็กข้ามเวลามาช่วยจบงานทุกอย่างเพื่อเป็นคำขอบคุณ

    “คำถามแรกก็ถามหาคนอื่นอีกแล้วนะครับ...” สายหมอกเริ่มคิ้วกระตุก

    “หงุดหงิดอะไรของแก หน้าที่ฉันคือคุ้มกันสึนะก็ปกติที่จะต้องถามไม่ใช่รึไง ส่วนนายก็ดูปกติดีจะให้ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบเพื่อ?” ซีลอนหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างจับผิด ไม่รู้ว่าหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเพราะอยู่ใกล้หรือกำลังอยากประทุษร้ายชายตาสองสีแถวนี้ เธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนั่นแหละหัวใจทราบดีแต่สมองยังไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไหร่...

    “นั่นมันหน้าที่บอดี้การ์ดอย่างมือซ้ายกับมือขวาครับ คุณน่ะแค่เป็นเงามืดคอยเก็บกวาดงานเบื้องหลังให้เขาต่างหาก” สายหมอกถอนหายใจ “ไว้รอประชุมเสร็จก่อนนะครับ แล้วจะพากลับบ้านไปหาเอิร์ลสุดที่รักของคุณ จะได้อารมณ์ดีขึ้นหน่อย” มุคุโร่ลูบคางตัวเองเลิกคิ้วเหล่มองหญิงสาวที่ดูสภาพร่างกายปกติดีแล้ว

    “มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไหม?” คนที่ต้องอยู่รอเลิกงานเพื่อหอบหิ้วสมาชิกไปยังรังของตัวเองเพื่อเลี้ยงฉลองความสำเร็จสักมื้อถอนหายใจเล็กน้อย

    “อย่าถอนหายใจเยอะ” มุคุโร่เอ็ดเล็กน้อย

    “ไปประชุมไป๊!” เงาหลังเก้าอี้เหวไล่

    ครู่หนึ่งสึนะกลับเข้ามาพบทุกคนที่ชะง่อนผาหน้าเครื่องเคลื่อนย้ายทรงกลมขาวและรวมตัวกับเหล่าผู้พิทักษ์

    “ได้ฟังทุกอย่างระหว่างเดินกลับมาแล้วนะ ทุกสิ่งที่มีผลกระทบจากมาเล่ริงจะหายไปดังนั้นทุกคนที่ตายก็จะกลับมา ดีจัง แบบนี้ค่อยคุ้มค่าหน่อย” สึนะยิ้มแย้ม

    “พูดก็พูดเหอะ ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้นะฉันคงไม่ต้องนั่งเก็บงานเสียเนี๊ยบขนาดนี้ปล่อยตายไปเลยเดี๋ยวก็ฟื้น... เหมือนนั่นน่ะ” สาวหัวเงินชี้ข้ามหลังไปที่ทารกนักฆ่าผู้กลับมาจากความตาย

    “ฉันสอนแกออกจะบ่อยให้เตรียมการล่วงหน้าเพื่อป้องกันสิ่งไม่คาดฝัน ถ้ามันร้ายจะได้คุ้มค่าแรง ถ้ามันดีจะได้ไม่เสียอะไรไป แกยังจะบ่นแบบนี้อีก...สักเปรี้ยงดีไหมรู้สึกว่าแกจะไม่โดนลูกตะกั่วฉันนานแล้วสินะ?” รีบอร์นสับไกปืนเตรียมยิงเต็มที่

    “คร้าบ~ ทราบแล้วคร้าบ~ ทำงานหนักให้คุ้มค่า คุ้มมั่ก ๆ คุ้มจริ—” ไม่ทันให้ได้ต่อล้อต่อเถียงจบประโยคนักฆ่าที่ลำดับถดลงมากลายเป็นสิบเอ็ดเช่นเดิมก็ไหวหัวหลบกระสุนจริงของผู้เป็นอาจารย์ได้อย่างฉิวเฉียด

    “อ่าวแหม ฟื้นมาจากความตายแม่นน้อยลงป๊ะอาจารย์” ซีลอนหัวเราะร้ายได้ทีก็รีบซ้ำเติมทารกนักฆ่าตัวเล็ก

    “....ได้ แกไม่ชอบอยู่อย่างสงบสินะ” ก่อนที่รีบอร์นจะได้เปิดฉากยิงรัวใส่ซีลอนก็เป็นสึนะที่เข้ามาขวางหยุดการทะเลาะของพวกเขาเอาไว้

    “กลับมาคุยกันต่อทีเถอะ! อย่าเพิ่งชวนกันออกนอกเรื่องสิ!” นภาผู้อ่อนโยนอยากจะร้องไห้กับการไม่สามารถคุมใครต่อใครที่ทั้งดื้อทั้งปรามไม่อยู่

    “ถ้าบอสว่างั้นอ่ะนะ คุยกันต่อก็ได้เรื่องอะไรดี จะส่งกล่องไปให้เจ้าพวกนั้นฉันไม่มีปัญหาหรอกเพราะว่าอยู่กับฉันก็คงใช้ได้ไม่คุ้มค่าเท่าฉันในอดีตที่อุตส่าห์มา ใช้กล่องจ่ายเป็นค่าแรงให้คุ้มค่าหน่อยจะได้กระตือรือร้นในการช่วยคนฟรี ๆ เผื่อได้ของมาฟลุ๊ค ๆ ไงล่ะ” ปากคอนักฆ่าหลังเก้าอี้จิกกัดบอสของตนเองพอแสบ ๆ คัน ๆ กับการสัพยอกนิสัยพ่อพระของนภาแถวนี้

    “แล้วรุ่นพี่ไม่มีอะไรผิดปกติ...แน่นะ?” สึนะมองหญิงสาวอย่างเป็นห่วง

    “รู้เรื่องอีเธอร์แล้วสินะ” ซีลอนเลิกแสร้งทีเล่นทีจริงหันมองสึนะนิ่ง ๆ บรรยากาศที่ถูกดึงกลับมาให้จริงจังฉับพลันทำเอาผู้พิทักษ์รู้สึกสงสัยในเบื้องลึกของคำพูดจากเธอ

    “แล็บอีเธอร์มันทำไม?” โกคุเทระขมวดคิ้ว

    “นั่นเป็นผลของมาเล่ริง” ซีลอนกอดอกรวบรัดข้อมูลให้เหลือประโยคเดียว

    “เอ๋!!!” สึนะกับเรียวเฮร้องลั่น

    “แต่เดี๋ยวก่อนสิ ไทม์ไลน์มัน!” สึนะแย้งขึ้นมา ช่วงเวลาที่เบียคุรันสามารถติดต่อกับตัวเองในโลกคู่ขนานได้เป็นช่วงมหาวิทยาลัยบวกลบก็น่าจะก่อนหน้านั้นไม่กี่ปี แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในอีเธอร์นั้นเกิดมาก่อนหลายสิบปี

    “นี่บอส เข้าใจคำว่าผลกระทบของมาเล่แค่ไหนเนี่ย” นักฆ่าเริ่มกอดอกขมวดคิ้วบ้าง

    “ก็... อะไรที่เบียคุรันทำไม่ดีไว้จะหายไปทั้งหมด วิทยาการ สิ่งประดิษฐ์เพื่อทำลายคนอื่น ความตายของผู้บริสุทธิ์...” สึนะทวนสิ่งที่ตัวเองคาดการณ์เอาไว้ออกมา

    “ก็เข้าใจนี่นา... จำที่ยูนิบอกได้ไหมว่าแหวนมาเล่เลือกนายก่อนที่มันจะเจอกับเบียคุรันเสียอีก นั่นหมายถึงก่อนที่เบียคุรันจะใช้พลังติดต่อกับตัวเองในโลกคู่ขนานได้แหวนก็เลือกหมอนั่นอยู่นานแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ผลกระทบจากเจ้าของเพื่อมุ่งร้ายใส่คนอื่นจะหายไปเลยเหมารวมไปถึงก่อนพลังจะตื่นด้วย อันที่จริงแววอัจฉริยะของเจ้านั่นฉายตั้งแต่เด็กเลยนะ ก็เป็นลูกอีลีทนี่ แล้วก็ไอ้ความคิดแวบขึ้นมาว่า อ่า เรื่องนี้ถ้าวิจัยไปในทางนี้จะเป็นยังไงน่ะพวกนั้นน่ะเป็นเศษเสี้ยวเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนการกระตุ้นเพื่อสื่อสารข้ามโลกคู่ขนาน อีเธอร์เองเป็นผลจากความคิดที่ว่าวิทยาการของเราไปได้ไกลแค่ไหนโดยการโปรยข้อมูลลงไปให้พวกนักวิจัยกระหายการทดลองและอำนาจ... พอเข้าใจที่พูดไปมะ?” ซีลอนหันมามองบอสที่สูงน้อยกว่าพลางขมวดคิ้ว

    “หมายความว่าอีเธอร์เกิดจากข้อมูลรั่วไหลโดยจงใจของเบียคุรันที่สงสัยแต่ไม่ลงมือเอง?” สึนะประมวลผลข้อมูลที่ได้และรวบรวมเป็นประโยคขึ้นมาอย่างรวบรัด

    “แต่เธอที่เป็นผลิตผลของแล็บก็ยังยืนอยู่ตรงนี้นี่? ถ้าอย่างนั้นอะไรล่ะที่หายไป!?” สึนะรู้ว่าซีลอนเป็นผลลัพธ์จากการทดลองของแล็บอีเธอร์ทำให้เธอมีพลังมากขนาดนี้ แต่เธอไม่หายไป...ยังยืนอยู่กับทุกคนที่นี่

    “หัวไว แต่ไวได้กว่านี้อีกหน่อยก็จะดีมาก...” ซีลอนถอนหายใจ

    อิริเอะกับสปาน่าเห็นก็สงสัยและคิดตามไปด้วยอย่างสนอกสนใจ

    “แต่ไม่ต้องห่วง พลังของฉันแค่หายไปน่ะสึนะ พลังที่เกิดจากแล็บเฮงซวยนั่น” นักฆ่าเอียงหัวเล็กน้อย ไม่มีท่าทีเดือดร้อนอะไรแม้ว่าพลังอันเกิดจากการทดลองผิดศีลธรรมจะสูญสลายไปทั้งหมด

    “ไม่ให้เป็นห่วงได้ที่ไหนกันเล่า!!!/ไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไงล่ะครับ!!!” สึนะเหวลั่นใส่เงาหลังเก้าอี้พร้อมกับมุคุโร่ นักฆ่าหัวเงินเบ้ปากอุดหูแทบไม่ทันจากสองเสียงตะโกนระยะใกล้

    “พอดีว่าทำสกอร์อันดับไว้ดีน่ะ ถึงจะเสียพลังไปอันดับก็ไม่ร่วงหรอก... จริงไหมฟูตะ?” เธอหันไปพาดพิงแรงค์กิ้งของแฟมิลี่ ฟูตะยิ้มเจื่อนแล้วก้าวออกมาเพื่อประเมินลำดับความสามารถจากการติดต่อสื่อสารกับดวงดาว

    “ซีลอน เอเกียร์ สังกัดวองโกเล่แฟมิลี่ อันดับนักฆ่าจากวงการ ลำดับ 21”

    “บ้าเอ๊ย!!! ได้ยังไงฟะ!!” คนที่ลำดับไม่เคยตกมาก่อนหัวเสียที่สุดในชีวิตรองจากการเห็นเอิร์ลเกรย์บาดเจ็บล้มตาย

    แต่ก่อนที่คนอันดับร่วงจะได้เข้าไปเขย่ารุ่นน้องนักทำนายแห่งดวงดาวฟ้าฝนที่สว่างจางปางกลับมีฝนตกลงมาห่าใหญ่แบบไม่ทันให้ได้ตั้งตัว

    “ลักกี้! ลำดับผิดเพราะฝนนี่!” นักฆ่าหลังเก้าอี้แทบกระโดดเมื่อรู้ว่าพอยังมีลุ้นกับลำดับของตัวเองใหม่อีกครั้ง

    “ฝนเนี่ยสร้างคลื่นรบกวนกับดวงดาวนะครับ แต่ผมว่าพี่ซีลอนอย่าหวังให้มากดีกว่า...” ฟูตะเอารีบเอาหนังสือใส่กระเป๋ากันน้ำ

    “ไว้คุยต่อที่บ้านเถอะตากฝนนานเดี๋ยวจะป่วยเอา” นักฆ่าหลังเก้าอี้สละเสื้อคลุมนอกให้ฟูตะผู้อายุน้อยกว่า อันที่จริงก็อยากจะหาให้แรมโบ้ด้วยแต่สึนะถอดเสื้อคลุมนอกของตัวเองให้ผู้พิทักษ์ของตนแล้ว

    ก่อนที่พวกเขาจะออกวิ่งหลบฝนเสื้อนอกตัวหนักก็คลุมลงบนตัวเธออีกทอด

    “อยู่ใกล้ซาวาดะจนสมองเริ่มฝ่อไปอีกคนเหรอครับ...” มุคุโร่ไม่วายปากคอเราะรายใส่นักฆ่าที่สวมเพียงเชิ้ตสีดำวิ่งฝ่าฝนไม่คิดถึงตัวเอง

    “คนแถวนี้ก็น่าจะสมองฝ่อตามฉันไปติด ๆ” ซีลอนชะเลืองเสื้อนอกของสายหมอกที่คลุมหัวตัวเอง

    “เดี๋ยวได้ฝ่อจริงแน่ครับซีลอน ฝ่อกับดอกเบี้ยที่คุณค้างผมไว้เยอะแยะเลย” สายหมอกยิ้มร้าย ร้ายยิ่งกว่าที่เคยเมื่อรู้ว่าใครบางคนข้าง ๆ น่าจะสูญพลังจนสถานการณ์ที่เป็นมาตลอดพลิกกลับ

    RHETORIC หมายถึง ศิลปะการใช้ถ้อยคำ,วาทศิลป์, เชิงสำนวน, ศิลปะในการพูดชักจูงใจคน, เชิงคุยโว, เชิงโวหาร

    มาสายแบบไม่มีข้อแก้ตัว ปั่นไม่ทัน กรี้ดดดด ตอนหน้าน่าจะพักหายใจหายคอก่อนเข้าสู่ศึกกับเอ็นมะนะคะ U u U

    ระหว่างที่แต่งด้อมKHR ด้อมดาบก็ราวกับกวักมือเรียกกลับไปด้วยคิวาเมะมิทสึทาดะ เขาหล่อมาก จะตาย.../สูดยาดม

    ปล.คำว่าปากคอเราะรายถูกแล้วค่ะ ตกใจมากเหมือนกันปกติชินกับปากคอเราะร้ายแต่ที่ถูกต้องไม่มีไม้โท

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×