ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ฟิคKHR/Reborn]TRICK OR TREAT~ แต่ว่าผมน่ะยังไงก็เลือกหลอกล่ะนะ~

    ลำดับตอนที่ #15 : | 15 | MALINGER | พลิกกระดาน

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ค. 63



    “เวลาทุกอย่างที่เคลื่อนไปตามความต้องการของฉันนี่มันดีจังเลยนะ~| เอิร์ลเกรย์

    พวกเขาถูกเคลื่อนย้ายสถานที่มายังใจกลางเมืองอันเต็มไปด้วยตึกระฟ้าสูง พื้นที่แบบนี้ในระยะสิบกิโลเมตรนับว่าเป็นสนามประลองที่ทั้งกว้างและมีสิ่งกีดขวางเยอะเกินไป

    เบียคุรันเป็นผู้อธิบายและให้สึนะแตะมือกับเครื่องจักรบางอย่างเพื่อคัดเลือกตัวแทนที่จะลงมาสู้กัน ทั้งจำนวน ประเภทไฟธาตุ และคนที่จะต้องตกเป็นเป้าหมายในการกำจัดเพื่อชิงชัย

    ฝั่งของเบียคุรันเป็นเดซี่หนึ่งในผู้พิทักษ์มาเล่ริง ส่วนฝั่งสึนะคนที่ตกเป็นเป้าคืออิริเอะ

    พวกเขาดำเนินการตามแผนที่วางเอาไว้อย่างทุลักทุเลเพราะการขัดขวางของสมาชิกทีมฝ่ายตรงข้าม เกิดการสู้ซ่อมรอบสองระหว่างอัศวินมายาและยามาโมโตะ พวกเขาต่างพัฒนากลายเป็นนักดาบสี่เล่ม เป็นความบังเอิญอย่างยิ่งที่กระบวนท่าของยามาโมโตะกันไปคล้ายกับผู้พิทักษ์วรุณรุ่นที่หนึ่งของวองโกเล่เข้าให้

    ซีลอนจากอดีตนิ่งวิเคราะห์หารต่อสู้ของทั้งคู่จับจ้องไปที่แหวนมายาของเกนคิชิไม่วางตา สิ่งที่เธอได้รู้จากวิดิโอที่ตัวเองในอนาคตทิ้งเอาไว้ให้มาว่าจะทริกการต่อสู้ ประสบการณ์ภาคสนามที่อุตริอัดภาพเคลื่อนไหวเอาไว้ในสองมุมมองจากไหล่และห่างออกไปทำให้เธอซึมซับทักษะหลายอย่างจากตัวเองในอนาคตเข้ามาเป็นของตน

    รวมถึงเครือข่ายในยุคสมัยนี้ แฮกเกอร์อันดับที่ 4 ของโลกเบื้องหลัง อัลม่า อัชเชอร์ เพื่อนสายข่าวกรองที่ไม่รู้ว่าไปผูกมิตรเอาไว้อิท่าไหน ถึงจะเป็นคนนอกแก๊งแต่ก็ทำงานให้อยู่เนือง ๆ แต่พักหลังอันดับก็ตกลงเพราะโรคประจำตัวจนต้องถอยร่นไปซ่อนตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งถ้าไปสร้างบุญคุณไว้ให้ได้ก็คงจะเป็นการดีไม่ใช่น้อย สำหรับวองโกเล่ที่จะมีพันธมิตรอันแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกสักคน แต่ก่อนอื่นคงต้องเริ่มจากกลับไปสืบหาแหวนมายากระดูกก่อนที่จะไปอยู่กับเกนคิชิ

    “สายตามองเหยื่อแบบนั้นเกิดรู้สึกอะไรขึ้นมารึไง?” รีบอร์นขมวดคิ้วมองลูกศิษย์นักฆ่าที่มองการเคลื่อนไหวของอัศวินมายาไม่วางตา

    “เหอะ... ตลกละอาจารย์ สัญญามันร้าวตามกฎและเงื่อนไขของโลกฝั่งนี้ก็จริง แต่ผมนะไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นหรอกนะ ที่จ้องตาเป็นมันแบบนี้เพราะแหวนของหมอนั่นต่างหาก” ซีลอนเค้นยิ้มร้าย

    “แหวนมายากระดูกนั่น หนึ่งในหกแหวนมายาจากนรก ในยุคสมัยนี้มุคุโร่ครอบครองอยู่สองวง ฟรานหนึ่งวง เกนคิชิหนึ่งวง ไม่ทราบเจ้าของและตำแหน่งอีกสองวง เฮลริง เป็นแหวนพลังไฟธาตุสายหมอกที่อยู่ในระดับหายากมาก และมีหลงเหลืออยู่เพียง 6 วงเท่านั้น พวกมันถูกสร้างและเป็นที่รู้จักก่อนไฟดับเครื่องชนเสียอีกแต่ว่า...” ซีลอนเว้นคำพูดไปเธอนวดคางตัวเองอย่างไม่แน่ใจก่อนจะพูดบ่นไปเรื่อยต่อ

    “ได้ยินมาว่าเฮลริงทั้งหมดเป็นของจำพวกคำสาป มีพลังมหาศาลให้เจ้าของได้ใช้งานแต่ก็ต้องแลกบางอย่างจ่ายออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้” นักฆ่าหัวเงินสาวเหล่มองสคอวโล่ที่ติดมาในพื้นที่แห่งนี้ด้วยในเขตผู้ชม เธอแสยะยิ้มหันไปเปรยไม่เชิงถามใส่อีกฝ่ายเพราะรู้จากตัวเองในอนาคตที่ทิ้งข้อมูลมากมายเอาไว้ให้

    “อย่างแหวนอับโชคของฟราน มอบพลังสายหมอกให้อย่างมากก็จริงแต่เจ้าของแหวนจะพบกับโชคร้าย 666 ครั้งก่อนจะได้พบโชคดีเพียง 1 ครั้ง ทว่าเป็นโชคดีชนิดที่ว่าสามารถลบเลือนความโหดร้ายของการอับโชคทั้ง 666 ครั้งได้... เป็นแหวนที่ล่อลวงและอันตรายจริงๆ”

    “แกสนใจ?” สคอวโล่ทวนเสียงสูง เทียบศักยภาพกันถ้าจะให้สู้อย่างไม่ออมแรงผบ.แห่งวาเรียคิดว่ายัยเปี๊ยกนี้ต้องชนะฟรานได้อย่างแน่นอนแต่อาจจะอย่างหวุดหวิด เพราะในฐานะนักฆ่าสายหมอกฟรานเองก็ทำหน้าที่ในตำแหน่งนี้ได้อย่างเยี่ยมยอดสมเป็นผู้บริหารแนวหน้าชั้นหัวกะทิ

    “สนใจสิ แต่ไม่อยากได้หรอกนะ ผมน่ะทำสัญญากับปีศาจแล้วก็ได้แหวนจากปีศาจมาด้วยเพราะงั้นแค่แหวนจากอเวจีไม่อยากได้ให้ตัวเองมาใช้หรอก เดี๋ยวปีศาจขี้เหงาบางตัวจะน้อยใจเอาเสียเปล่า ๆ แต่ว่า...” ซีลอนหันไปที่มอนิเตอร์อีกครั้ง

    “อืม... อยากได้จริง ๆ นั่นแหละอเวจีมายากระดูกนั่น... อยากได้สุดๆ” ซีลอนแสยะยิ้มกว้าง แววตาประกายด้วยความบ้าคลั่ง สมองของเธอวิ่งวนไปด้วยแผนการต่าง ๆ เปี่ยมไปด้วยความละโมบ จะเอามาอย่างไร วิธีไหน และตอนไหน? เพราะว่าเธอคิดว่าสำหรับเบียคุรัน เกนคิชิก็เพียงหมากใช้แล้วทิ้งเท่านั้น จิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างหมอนั่นไม่มีทางเก็บเกนคิชิที่แพ้ถึงสองครั้งเอาไว้แน่ เพราะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มาอย่างเต็มที่แล้ว จะให้โอกาสอีกก็เปลืองทรัพยากรทางการแพทย์

    ซีลอนเริ่มพึมพำอีกครั้งหน้ามอนิเตอร์ รีบอร์นที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้แต่ถอนหายใจขยับปีกหมวกอาลัยแหวนวงนั้นในยุคสมัยนี้ ถ้าลูกศิษย์เขาหมายตาไว้อย่างแน่วแน่ ของสิ่งนั้นจะถูกพรากเอามาเป็นของตนแน่นอน ไม่ว่าด้วยกลวิธีไหนก็ตาม ซีลอนเองก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรขนาดที่จะเดินไปขอชาวบ้านอยู่แล้ว เธอเป็นนักฆ่า นักฆ่าที่เติบโตมาท่ามกลางหัวกะทินิสัยชั้นเลวในวาเรีย เอาแต่ใจ ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง และร้ายกาจมากเท่าที่จะร้ายได้

    “แหวนมายากระดูก เป็นที่สถิตของสิ่งชั่วร้ายสิงอยู่อยู่เป็นจำนวนมาก เล่าลือกันว่าถูกสร้างขึ้นมาจากจิตใจของมนุษย์ที่ตายไปแล้ว แต่ยังคงยึดติดและโหยหาการมีชีวิต และยังถูกลืออย่างหนาหูว่าหากพ่ายแพ้ให้กับวิญญาณที่โหยหาชั่วร้ายเหล่านั้นสุดท้ายก็จะตกลงไปเป็นหนึ่งในสิ่งชั่วร้ายในแหวนนั้นเสียเอง...” นักฆ่าหัวเงินตัวเล็กหัวเราะในลำคอ เธอกลอกตาไปมาและยิ้มอีกครั้ง มุมปากโค้งขึ้นอย่างคนที่ตัดสินใจเป็นมั่นเหมาะแล้ว

    “ผมจะเอามาให้ได้ แหวนกินกระดูกนั่น... หลังจบเกมนี้แหละ ยังไงก็ได้ลงไปในพื้นที่ใช่ไหม เจ้ากล้วยไม้ขาวอะไรนั่นไม่เก็บเกนคิชิเอาไว้หรอก หมดประโยชน์แล้ว แถมไม่ใช่ผู้พิทักษ์มาเล่ริงด้วยจะได้ไม่คุ้มเสียเอา” ซีลอนเปรยขึ้นเธอเหล่มองอาจารย์ข้างตัว เขาถอนหายใจทำเป็นไม่ได้ยิน

    “จะไม่ห้ามผมใช่ไหมอาจารย์~” เธอเหยียดยิ้มจนตาโค้งเป็นเสี้ยวจันทร์

    “เคยห้ามได้ที่ไหนไอ้ลูกศิษย์ดื้ออย่างแกน่ะ แต่คงไม่ได้จะเอาไปใช้เองใช่ไหม?” รีบอร์นเหล่กลับจ้องลูกศิษย์จอมซนตาขวาง

    “แหม~ ๆ วางใจได้ ผมมีแหวนที่ดีกว่าอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องใช้แหวนเพิ่มพลังหรอกนะ แค่อยากไปสร้างบุญคุณให้แฮกเกอร์อันดับ 4 ที่มีสัมพันธ์อันดีกับวองโกเล่มาหลายปีก็เท่านั้นเอง~ อัลม่าคนนั้นน่ะ เป็นโรค FOP ไม่คิดว่าแหวนอเวจีกระดูกจะกลายเป็นของกำนัลที่สร้างบุญคุณอันใหญ่หลวงให้เธอคนนั้นหรอกเหรอ~” ซีลอนยิ้มร้าย ตัวเธอที่ไม่ได้มอบหัวใจให้ผู้ใดนอกจากฝาแฝดทั้งนั้นมองแต่ผลประโยชน์อยู่เรื่อยมาก และนิสัยนั้นจะยังคงฝังรากลึกอยู่กับเธอจนกว่าจะถูกฝังลงไปใต้ดินอันเย็นชืด

    “ผู้ที่ใช้อำนาจแห่งแหวนจะถูกกัดกร่อนกระดูกไปทีละนิดจนกว่าจะตาย สำหรับนักมายาที่มีมวลกระดูกเหลือเฟือเป็นการจับคู่ที่ลงตัวสุด ๆ ไปเลยไม่ใช่รึไงครับอาจารย์~

    “แก...เข้าใจคิดดีจริง ๆ” รีบอร์นหัวเราะขึ้นจมูก

    “เดี๋ยวนะ หมายความว่ายังไงไอ้เปี๊ยกแกจะส่งแหวนให้คนนอกวองโกเล่เรอะ! แล้วไอ้โรคนั่นหมายความว่ายังไง!?” สคอวโล่รู้สึกว่ามันมากเกินไปสำหรับส่งมอบให้พันธมิตร

    “ไม่ต้องห่วงหรอกน่าพี่ชาย~ อัลม่าเป็นพันธมิตรสายข่าวที่แข็งแกร่งมากนะ สร้างบุญคุณไว้หน่อยไม่เสียหายหรอก และอีกอย่าง... การจับคู่แหวนกินกระดูกกับคนเป็นโรค fibrodysplasia ossificans progressive น่ะ เป็นซูเปอร์ลัคกี้ในประวัติศาสตร์เลยนะจะบอกให้ FOP เป็นชื่อย่อของกลุ่มอาการโรคที่กล้ามเนื้อและเอ็นในร่างกายจะแปรสภาพกลายเป็นกระดูกไปทีละนิดจนสุดท้ายก็ไม่สามารถขยับตัวได้และตายในที่สุด การกระแทกแม้เพียงเบาๆ ทำให้เจ็บปวดและกระตุ้นให้มวลกระดูกขยายพื้นที่กัดกินเพิ่ม ถ้าลามไปถึงข้อต่อก็เคลื่อนไหวไม่ได้ การฉีดยาหรือตัดเนื้อเยื่อไปก็ทำให้กระดูกงอกขึ้นมาเช่นเดียวกัน เพราะ-ฉะ-นั้น ผมจะไปขโมยมันมาแล้วใส่กล่องอย่างหรูส่งไปให้คุณพันธมิตรในสมัยนี้ก็แล้วกันน้า~ แล้วพอกลับไปก็จะพยายามค้นหามันและเอาไปให้อัลม่าเพื่อซื้อใจด้วย~ เจ๋งใช่ม๊า~ เอาล่ะ~ ได้เวลาชมแล้วน้า~ หรือให้อมยิ้มสักโหลก็ดี~” เจ้าตัวพูดเล่นทิ้งท้ายอย่างอารมณ์ดี

    “โอ๊ะ เจ้าพวกเชคเบคโลลงไปตรวจอาการทั้งสองฝ่ายแล้วเราก็ไปกันบ้างเถอะ ผมน่ะอยากลองวิชาใหม่มานานแล้ว” ซีลอนร้องขึ้นเมื่อดูเหมือนอิริเอะจะล้มลงไป พวกเธอต้องชนะเพื่อกลับไปในอดีต แต่ว่าตัวเธอในอนาคตได้เขียนเอาไว้ว่าศึกครั้งนี้ไม่ใช่จุดจบ มันจะปะทุการต่อสู้ใหม่ขึ้นมาพร้อมการแยกแฟมิลี่ จุดเปลี่ยนที่แยกตัวออกมาจากมิลฟิโอเล่

    “แกดูไม่ตกใจอะไรเลยนะ...” รีบอร์นที่เห็นสภาพอิริเอะก็ฉุกนึกขึ้นมา

    “แฮะ~ พอดีว่าตัวผมในอนาคตเขียนทิ้งท้ายเอาไว้ว่ารอบนี้แพ้ได้เพราะว่าเราจะได้กำลังเสริมใหม่มาเพิ่ม ไม่รู้ว่าไปรู้อะไรมาแต่ไม่ยอมเขียนไว้นี่สิ สงสัยว่าจะอยู่นอกเหนือสิ่งที่อนุญาตให้ผมในอดีตรับรู้แล้วละมั้ง~” ลูกศิษย์นักฆ่าประสานมือหลังท้ายทอยแหวนโซ่ไฟลุกทั้งสีม่วงและครามเทา เพลิงของเมฆาและสายหมอกสร้างตัวเธออีกคนขึ้นมาที่มีทุกอย่างเสมอเหมือนเธอ ทั้งการขยับท่าทาง รอยยิ้ม และเสียง

    “ฝากขโมยแหวนด้วยน้า~” ซีลอนต้นร่างยิ้มแย้มเสแสร้ง

    “ฝากคุ้มกันอาจารย์ด้วยน้า~” ซีลอนร่างมายาหัวเราะขึ้นจมูกและเท้าเอวสัพยอก

     



    “ฉันขอคัดค้าน! เบียคุรัน ในฐานะบอสของแบล็กสเปล! ฉันเองก็มีอำนาจครึ่งหนึ่งของมิลฟิโอเล่เหมือนกันนะอย่าลืมสิ” ในพื้นที่ต่อสู้หลังจากตัดสินว่าวองโกเล่เป็นฝ่ายแพ้ แม้อิริเอะ โชอิจิจะทวงถามถึงสัญญาจากชายผมขาวเขาก็ปฏิเสธว่าจำคำสัญญานั้นไม่ได้อย่างไม่ใยดี แต่ว่าเด็กสาวผู้สวมหมวกใหญ่ประดับพู่อันเป็นเอกลักษณ์ก็ก้าวเท้าเข้ามาแย้งการตัดสินใจของผู้นำมิลฟิโอเล่ฝั่งไวท์สเปล

    “ยูนิ... ทำไม” เบียคุรันเหงื่อเย็นไหล สีหน้าเปลี่ยนไปเคร่งเครียดในทันที

    “เอ๋! เด็กคนนั้นหัวหน้าอีกคนของมิลฟิโอเล่!?” สึนะตกใจในรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย ยูนิเป็นเพียงเด็กผู้หญิงเท่านั้นและดูไม่น่าจะอายุมากไปกว่าเขา

    “เป็นเธอจริง ๆ สินะ ขึ้นมากเลยนะยูนิ” รีบอร์นหันไปมองผู้เป็นดั่งหลานสาวของตนด้วยสีหน้าโล่งอกระคนชื่นชม

    “ค่ะ คุณลุง” เธอยิ้มให้ทารกนักฆ่าในสูทดำ สร้างความตกใจยิ่งกว่าเก่าให้สึนะที่ยังไม่เข้าใจถึงคำสาปแห่งจุกนมทั้งเจ็ดและร่างนักฆ่าอันแท้จริงของผู้เป็นอาจารย์คนปัจจุบันของตน เขาโวยวายและนึกสงสัยว่าอายุของรีบอร์นมีอะไรผิดปกติ ทารกจะไปเป็นลุงของอีกฝ่ายได้อย่างไร? กระนั้นสุดยอดลางสังหรณ์ของสึนะก็ไม่ได้ทำงานช่วยเขาในส่วนนี้เลย

    “นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกันะสินะคะ วองโกเล่ทุกท่าน” ยูนิหันไปยิ้มให้สมาชิกกลุ่มมาเฟียคู่แข่ง

    “ฮ่า~ เธอเซอร์ไพรส์ฉันมากเลยนะยูนิจัง~ ดูดีขึ้นเยอะเลยสงสัยจะแข็งแรงดีแล้วสิน้า~ น่าดีใจจัง~” เบียคุรันยิ้มแย้ม แววตาของเขาถูกซ่อนไว้เบื้องหลังเปลือกตาเป็นสัญญาณว่าบางทีอาจไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูดจริง

    “เธอเคยป่วยเหรอ?” เรียวเฮที่อยู่ช่วยปฐมพยาบาลอิริเอะกับโฮโลแกรมรีบอร์นทักขึ้นพลางมองตรงไปที่ยูนิ

    อิริเอะเบนสายตาไปยังบอสของกลุ่มแบล็กสเปลร่างเล็ก เขาค่อย ๆ อธิบายออกมาอย่างช้า ๆ “ไม่ครับ... เธอถูกคุณเบียคุรันควบคุม จิตวิญญาณของเธอเลยถูกทำลาย...”

    “ค ควบคุมงั้นเหรอ!” สึนะตกตะลึงไปหลังสิ้นคำกล่าวของอิริเอะ รีบอร์นเองก็เบิกตากว้างขึ้นจากเดิม ซีลอนที่ยืนสมทบได้ฟังเรื่องดังกล่าวก็ลอบยิ้มออกมา สิ่งที่เธอชอบที่สุดหลังจากมาที่นี่ก็คือการที่แผนของเบียคุรันมีตัวแปรที่จะใช้พลิกผันกระดานเกมนี้ดันล้มครืนลงไป

    เพื่อที่จะควบคุมคนของแบล็กสเปลทั้งหมด จึงต้องทำให้เธอเป็นหุ่นเชิด นั่นคือสิ่งที่อิริเอะเล่าให้ฟังในสิ่งที่เขาพอจะรู้

    “อย่าพูดอะไรน่ากลัวแบบนั้นสิโชจัง~ ยูนิจังน่ะตื่นกลัวกับเรื่องต่าง ๆ ฉันก็แค่ให้เธอกินยาระงับประสาทเท่านั้นเอง~” ชายผมขาวยิ้มแย้มและพูดออกมาโดยไม่รู้สึกผิด ไม่แม้แต่จะรู้สึกว่าสิ่งที่ตนทำนั้นร้ายกาจแค่ไหน

    “ไม่ใช่แค่นั้นหรอก ในการประชุมก่อนก่อตั้งมิลฟิโอเล่น่ะ ยานั่นส่งผลให้ยูนิทำตามคำสั่งของคุณแม้จะขัดกับความตั้งใจจริงของยูนิเองก็ตาม...” อิริเอะไม่คิดจะปิดบังอะไรอีกต่อไปหลังจากที่เขาเล่าเรื่องการข้ามเวลาและการพบกันของเขากับเบียคุรันรวมไปถึงตัวเขาเองที่กลายเป็นสิ่งกระตุ้นให้เบียคุรันในแต่ละโลกสามารถสื่อสารถึงกันได้

    “หุหุ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ เพราะจิตของฉันได้หนีไปซ่อนอยู่ในอีกโลกหนึ่ง จึงไม่เป็นอะไรมาก เบียคุรันดูเหมือนฉันเองก็ใช้ความสามารถแบบเดียวกับเธอได้นะ... เอาเถอะเข้าเรื่องเลยดีกว่า” ท่ามกลางความฉงนและตกใจเธอไม่เว้นระยะให้พวกเขาได้ทักท้วงอะไร ยูนิเอ่ยความต้องการของตัวเองต่อไปอย่างใจเย็น

    “ในฐานะบอสของแบล็กสเปล ฉันยอมรับให้มีการแข่งขันใหม่อีกหน ตามสัญญานั้น สัญญาที่เบียคุรันได้เคยให้กับอิริเอะ โชอิจิเอาไว้” ยูนิหันไปมองทุกคน แต่เบียคุรันลืมตาขึ้นมาสีหน้าจริงจัง เขามั่นใจมากว่าแผนของตัวเองจะไม่มีอะไรสามารถมาเปลี่ยนมันได้

    “ฉันก็ดีใจนะที่เธอมีชีวิตชีวาขึ้นน่ะยูนิจัง แต่ว่า...ถ้าฉันไม่มั่นใจหรือต้องการความเห็นก็จะขอให้เธอช่วย แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าได้ลืมไปเสียล่ะว่าตำแหน่งของเธอคือที่สองรองจากฉัน การตัดสินใจทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับฉัน” เขาย้ำให้เด็กสาวได้เข้าใจถึงอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอันเป็นของเขาเพียงผู้เดียวในมิลฟิโอเล่

    ยูนิหลุบตาลงอย่างไม่มีทางเลือก เธอจะก้าวต่อไปในทิศทางของเธอเอง “ช่วยไม่ได้นะคะ ถ้าอย่างนั้น... ฉันจะขอออกจากมิลฟิเล่”

    !!!

    “ซาวาดะ โยชิสึนะซัง ฉันมีอะไรอยากให้ช่วยค่ะ” ยูนิหันไปหาผู้นำรุ่นที่สิบของวองโกเล่

    “ช ช่วยเหรอ!?” เขาชะงักไป ทุกอย่างชวนสับสนไปหมด แบล็กสเปลและไวท์สเปลต่างก็ขึ้นตรงต่อมิลฟิโอเล่ไม่ใช่รึไง? แล้วทำไมบอสของแบล็กสเปลจึงขอถอนตัวง่ายดายนัก

    “ได้โปรดปกป้องฉันด้วยนะคะ” ยูนิกล่าวอย่างจริงจัง ในแววตาคู่นั้นไม่มีการล้อเล่นอยู่ สร้างความตกใจให้แก่สมาชิกทั้งสองฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงนั้น

    “ป ปกป้อง?! ต แต่ว่าเธอเป็นหัวหน้าของแบล็กสเปลนี่!?” สึนะประหลาดใจรีบส่ายมือเป็นพัลวัน

    “ไม่ใช่แค่ฉันนะ แต่รวมไปถึงจุกนมพวกนี้ด้วย” เด็กสาวหยิบบางสิ่งออกมา เหล่าสัญลักษณ์ของอัลโกบาเลโน่

    “นั่นมัน? ของอัลโกบาเลโน่!” สึนะร้องขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นของทารกนักฆ๋าทั้งหลายไม่ผิดแน่

    “เธอจะเอามันไปโดยที่ฉันไม่อนุญาตไม่ได้หรอกนะยูนิจัง แล้วก็ของพวกนั้นฉันจะใช้ในทรีนิเซตเต้” เบียคุรันยิ้มอีกครั้ง และยังคงซ่อนแววตาไว้ใต้เปลือกตาของตน

    “ผิดแล้วค่ะ ของพวกนี้เป็นสิ่งที่ฉันต้องเก็บเอาไว้ ไม่ว่านายจะมีมันหรือไม่ มันจะไม่มีทางเป็นทรีนิเซตเต้...ดูเอาก็แล้วกันค่ะ” ยูนิกุมพวกมันเอาไว้ในสองมือกลางอก แสงเปล่งประกายมากมายเล็ดลอดจากร่องระหว่างนิ้วมือทอประกายแสงตามธาตุของจุกนมเจิดจ้าออกมา “จุกนมจะไม่มีพลังอำนาจหากว่าสูญเสียจิตวิญญาณไป” เด็กสาวทอดสายตามองพวกมันด้วยความรัก

    เบียคุรันเข้าใจอะไรขึ้นมาได้ แม้ว่าเขาจะรวบรวมจุกนมของอัลโกบาเลโน่ในยุคสมัยนี้ไว้มากมายแต่พวกมันก็ไม่เคยสำแดงพลังอะไรออกมา

    “แบบนี้เองสินะ เข้าใจล่ะ เก่งมากยูนิจัง~ ถ้าพยายามก็ทำได้นี่นา เอาล่ะเธอน่ะเป็นสิ่งมีค่ากับฉันเสมอนะ ทีนี้เรามาคุยกันดี ๆ กันเถอะยูนิจัง” เขาลืมตาขึ้นมองอำนาจของจุกนมอัลโกบาเลที่เรืองอำนาจของพวกมันออกมาในสองมือจากเด็กสาว

    “อย่าเข้ามานะ! ฉันจะไม่ยอมให้นายทำอะไรกับจิตใจฉันเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว” ยูนิประกาศตนชัดเจน เธอจะไม่กลัวเขาอีกต่อไป ในเวลานี้มีวองโกเล่และคุณลุงนักฆ่าที่จะคอยปกป้องเธอแน่นอน มันจะไม่เหมือนกันครั้งที่ประชุมพันธมิตรแล้วเธอถูกทำลายจิตใจไปจนเกือบเสียท่าอีก

    “เดี๋ยวนี้กล้าขึ้นนะยูนิจัง ถ้าคิดจะหนีไปพร้อมของพวกนั้นละก็ไม่ว่าที่ไหนฉันก็จะตามเธอไปทุกที่... เอาล่ะกลับมาหาฉันซะ กลับมาเป็น ของของฉัน” เบียคุรันยื่นมือไปหาเด็กสาวและเริ่มสาวเท้าเข้าใกล้อย่างช้า ๆ

    “ช่วยเด็กคนนั้นทีสึนะคุง!” เคียวโกะตะโกนออกมา เธอไม่อาจทนเห็นยูนิถูกควบคุมบงการโดยชายผู้ชั่วร้ายที่สุดของยุคสมัยได้หรอก

    “ต แต่?” สึนะหันไป ให้เขาช่วยยูนิจากเบียคุรันเนี่ยนะ? ตัวเขาในตอนนี้มีพลังขนาดนั้นจริงเหรอ? เขาไม่มีความมั่นใจเลย


    ปัง!!


    เขม่าและกลิ่นดินปืนฟุ้งขึ้นหลังเสียงลั่นไก หนึ่งนัดเฉียดเข้าที่แขนของเบียคุรันจากกระบอกที่ถือโดยทารกนักฆ่าและเฉียดรองเท้าอีกนัดจากกระบอกลูกศิษย์นักฆ่า

    “รีบอร์น! ซีลอน!

    “คุณลุง!

    “หากว่านายทำอะไรทำอะไรกับหัวหน้าของอัลโกบาเลโน่ละก็ ฉันจะไม่ทนยืนอยู่เฉย ๆ เหมือนที่ผ่านมาหรอกนะ เบียคุรัน” รีบอร์นเปลี่ยนสีหน้าไป เขาพูดจริงและจะลงมือแน่หากอีกฝ่ายไม่เลิกรา

    “ตามที่อาจารย์ว่าละน้า~ พอดีว่าพอได้ฟังแล้วมันก็รู้สึกฉุนสุด ๆ ไปเลยว่ะ~” นักฆ่าอาจารย์กับศิษย์กล่าวต่อกันเป็นลูกคู่ ซีลอนเค้นยิ้มแล้วหัวเราะขึ้นลำคอ

    “อยากเป็นพระเอกสินะอัลโกบาเลโน่ตะวัน...” เบียคุรันตวัดสายตาไปมองทารกนักฆ่า คิเคียวที่ยืนอยู่เยื้องหลังก็รีบเอ่ยปากเพื่อลดอารมณ์ขุ่นมัวของผู้เป็นนาย

    “คุณเบียคุรันอย่ากังวลไปเลยครับ ผมจะจัดการและพาตัวคุณหนูยูนิกลับมาเอง” สิ้นคำเขากับลูกน้องจากหน่วยก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วพร้อมซาคุโร่ โจมตีพวกพ้องของสึนะด้วยลูกพลังรุนแรงที่หุ้มอาวุธสำหรับปาเอาไว้

    ทว่าพวกมันทั้งหมดถูกกำจัดด้วยกระสุนของสองศิษย์อาจารย์นักฆ่าและวิชาดาบเลื่องชื่อของสคอวโล่

    “โว๊ยยย ฉันจะเป็นคู่มือให้เอง! รอเวลานี้มานานแล้วเฟ้ย!” ฉลามคลั่งแห่งวาเรียขึ้นแนวหน้าพร้อมฮิบาริที่ใช้ทอนฟาเขี่ยแขนผบ.หน่วยนักฆ่า

    “อย่ามาเกะกะ...”

    “เดี๋ยวก่อนทั้งสองคน!” สึนะร้องห้ามออกไปก่อนที่อะไร ๆ จะบานปลายทว่าสคอวโล่กับฮิบาริไม่ได้ฟังที่เขาพูดแม้แต่น้อยซ้ำยังมีทีท่าจะทะเลาะกันอีก...

    เบียคุรันเหลือบมองพวกเขาเอ่ยปรามคิเคียวพยายามเกลี้ยกล่อมบอสแห่งอัลโกบาเลโน่ “...เอาแบบนี้ไหมยูนิจัง ถ้าเธอกลับมาอยู่กับฉันละก็ ฉันจะคืนวองโกเล่ริงให้พวกสึนะคุงไปดีไหม?”

    อิริเอะคิดว่ามันผิดปกติ ส่วนเบียคุรันเองก็ไม่ได้โกหก เพราะถึงจะคืนไปเขาก็มีพลังมากพอจะแย่งชิงกลับมาอีกครั้งอยู่แล้ว เพื่อชักนำให้ยูนิกลับมาพร้อมจุกนมอัลโกบาเลโน่ที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณพร้อมใช้งานในการสร้างทรีนิเซตเต้มันไม่ขาดทุนเลยแม้แต่น้อบ

    ยูนิสงบจิตใจตัวเองและเรียบเรียงคำพูดออกมาหลังจากไตร่ตรองดีแล้ว

    “ฉันเข้าใจดีค่ะว่าทำไมคุณถึงต้องการฉัน และเพราะเหตุผลนั้นทำให้ฉันไม่อาจกลับไปหาคุณได้อย่างเด็ดขาดค่ะ!

    “อืม~ ถ้างั้นวองโกเล่ริงก็จะตกเป็นของพวกเรา... และฉันจะไม่ยอมให้ยูนิจังไปหาศัตรูพร้อมอาวุธพวกนั้นหรอกนะ ดังนั้นเจ้าชายขี่ม้าขาววายร้ายก็จะบดขยี้ความหวังของยูนิจังลงซะ” เบียคุรันที่ยิ้มแย้มลืมตาขึ้นมาในประโยคสุดท้าย แววตาที่เปี่ยมไปด้วยคำสั่งสังหาร เขาไม่ได้พูดเล่น

    “วองโกเล่ริงไม่ใช่ของคุณหรอกค่ะคุณเบียคุรัน จุกนมเป็นของอัลโกบาเลโน่ วองโกเล่ริงเป็นของวองโกเล่แฟมิลี่ ตราบใดที่ฉันยังคงเป็นบอสแห่งอัลโกบาเล่โน่หนึ่งในทรีนิเซตเต้ขอปฏิเสธที่จะยอมรับศึกชิงทรีนิเซตเต้ค่ะ! ช้อยส์ถือเป็นโมฆะ!! พวกคุณสึนะไม่จำเป็นต้องส่งวองโกเล่ริงให้ค่ะ!” ยูนิสรุปออกมาสร้างเสียงหัวเราะให้เบียคุรันที่รู้สึกราวกำลังทะเลาะกับเด็ก

    “มันก็จริงที่เธอมีอำนาจเหนือ...แต่เธอคิดบ้างไหมว่าถ้าทำให้ฉันโมโหจะเป็นยังไง ในเมื่อบอสของแบล็กสเปลทรยศลูกน้องของเธอจะเป็นยังไงก็ได้...งั้นสินะ?” ชายผู้ควบคุมมิลฟิโอเล่เหล่มองด้วยสายตาแหลมคม เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ประหลาดใจในทางเลือกของเธอ ชื่นชมในความกล้าหาญของเด็กสาว และทั้งโกรธทั้งไม่สบอารมณ์ที่หมากตัวสำคัญดันมาพยศเอาตอนนี้

    “นั่นมัน ตัวประกัน!?” สึนะกำหมัดแน่น เขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เบียคุรันทำ ในเมื่อควบคุมคนคนหนึ่งไม่ได้ก็เอาคนสำคัญมาข่มขู่ มันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะมองผ่านและรู้สึกเมินเฉยต่อมันได้

    “ทุกคน...เข้าใจดีค่ะ” ยูนิตัดสินใจแน่วแน่ เธอเกิดและโตมาในครอบครัวมาเฟีย การตัดสินใจของบอสต้องมีเหตุผลและมองภาพรวมไปยังอนาคตเสมอ ไม่ใช่แค่ปกป้องในคนแฟมิลี่ แต่สำหรับจิสโลเนโรแฟมิลี่ผู้รักสงบแล้วการปกป้องคนบริสุทธิ์ผู้อยู่นอกเหนือโลกเบื้องหลังแต่ดันโดนลูกหลงลากเข้ามาเกี่ยวพันก็ถือเป็นสิ่งที่ต้องทำ

    สึนะที่ยังสับสนมองไปยังเด็กสาว ดวงตาของเธอทำให้เขารู้ว่ายูนิเตรียมใจกับการสูญเสียมาแล้ว เพื่อปกป้องผู้คนที่มากกว่าแค่แฟมิลี่ตัวเอง ทุก ๆ คนต่างเชื่อในตัวเอาที่ไม่เอาไหน เพราะฉะนั้น

    “มาหาพวกเราสิยูนิ! ทุกคนช่วยกันปกป้องยูนิกันเถอะ!” เดชิโม่แห่งวองโกเล่ได้เลือกเส้นทางหลังจากนี้แล้ว แน่นอนว่าเหล่าพวกพ้องที่คอยหนุนหลังสนับสนุนสึนะต่างเห็นด้วยกับการตัดสินใจนั้น

    “ท่านเบียคุรัน คำอนุญาตชิงตัวท่านยูนิ...” คิเคียวที่ลอยอยู่บนอากาศด้วยพลังไฟจากอุปกรณ์เสริมที่รองเท้าจับจ้องไปยังบอสแห่งจิสโลเนโรแฟมิลี่

    “ไปเอาตัวมา” บรรยากาศของเบียคุรันเปลี่ยนไปอย่างไม่เป็นมิตรทั้งยังออกคำสั่งทันที และเมื่อสิ้นคำคิเคียวกับซาคุโร่ก็เข้าปะทะเพื่อแย่งชิงสิ่งที่ผู้เป็นนายต้องการ

    “คิดว่าจะให้ทำได้เรอะ!” สคอวโล่ยิงดินปืนจากโกร่งดาบและเรียกสัตว์กล่องออกมารับมือซาคุโร่กับคิเคียว ในเวลาเดียวกันนั้นพวกสึนะกับยูนิก็ปรึกษาการหลบหนีออกจากสนามแข่งแห่งนี้โดยจะกลับไปที่เครื่องเคลื่อนย้ายเพื่อใส่พลังไฟโดยมีปลายทางเป็นนามิโมริ

    “ไม่ปล่อยให้ไปหรอก!” คิเคียวเปลี่ยนเป้าหมายไปทางสึนะด้านหลังสคอวโล่แต่พวกมันก็ถูก C.A.I SISTEMA ของโกคุเทระป้องกันเอาไว้

    “ที่นี่ปล่อยให้ผมจัดการเองครับท่านรุ่นที่สิบ!” ผู้ตั้งตนเป็นมือขวาตั้งใจจะแก้มือจากการแข่งขันคราวนี้เขาต้องขวางคิเคียวได้แน่

    “เข้าใจแล้วฝากด้วยนะ!” สึนะรีบวิ่งไปกับคนที่เหลือเพื่อกลับไปยังฐานที่ถูกย้ายมาพร้อมพวกเขา เบียงกี้มองไปบนฟ้าเครื่องส่งตัวยังคงอยู่ที่เดิม ในขณะที่พวกเขากำลังคิดเรื่องเพิ่มพลังไฟไปยังเครื่องนั้นสคอวโล่ก็ตามมาสมทบพร้อมลากฮิบาริและโกคุเทระขึ้นหลังฉลามของตนมาด้วย

    น่าเสียดายที่โกคุเทระไม่ได้ทำอะไรนักเพราะที่ถ่วงเวลาหนีมาได้ก็เพราะเม่นของฮิบาริที่ขยายตัวและเพิ่มบอลหนามจำนวนมากอุดเส้นทางเอาไว้

    “บอส!” โคลมออกมาจากโดมฐานเพื่อตามให้พวกเขารีบเข้าไปก่อนจะทำการเคลื่อนย้าย ทว่า

    “เบียคุรัน!!” พวกวองโกเล่ตะโกนออกมาเมื่อเห็นบอสของมิลฟิโอเล่ตามมาอย่างรวดเร็ว

    “พวกนายไปซะคราวนี้ฉันจะถ่วงเวลาให้เอง” ดีโน่ออกรับหน้าแทนในทันที สคอวโล่เดาะลิ้นนึกขัดใจในความช่างตื๊อทั้งที่ทิ้งระยะห่างมาขนาดนั้นแล้ว

    “จะให้ทิ้งคุณดีโน่ไว้ที่ที่ไม่ได้หรอกครับ!” สึนะแย้งขึ้นมา

    “แต่จำต้องมีสักคนคอยรั้งพวกมันเอาไว้! ไปซะก่อนหกบุปผาอาลัยจะตามมาทัน!” ดีโน่ดึงดันจะอยู่ให้ได้ ซีลอนเหลือบมองแล้วถอนหายใจ ถ้าดีโน่อยู่เธอจะอยู่ด้วยเพราะหลังจากยื้อเอาไว้แล้วเขาคงไม่สามารถออกจากที่แห่งนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว จากนั้นที่หอกของโคลมก็มีกลุ่มหมอกแผ่กระจายออกมา

    “ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ขวางฉันไม่ได้หรอก” เบียคุรันกระตุกยิ้ม

    “อ๊ะ!” โคลมที่เห็นหมอกมากมายเพิ่มพูนอย่างรวดเร็วก็ลิงโลดขึ้นมาเพราะตั้งแต่ข้ามยุคสมัยมาเธอยังไม่เคยพบเขาสักครั้งเดียว

    “ความรู้สึกแบบนี้มัน!” สึนะผงะแล้วหันหลังไปยืนยันความคิดตัวเอง

    “คุฟุฟุฟุฟุฟุ เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ไม่รู้หรอกนะครับ กับผมคนนี้” สายหมอกหนุ่มในอนาคตปรากฏตัวออกมาจากม่านละอองน้ำ

    “ท่านมุคุโร่!” โคลมตื้นตันใจเป็นอย่างมากที่อีกฝ่ายดูแข็งแรงดีหลังจากที่น่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับเขาจนคงสภาพอวัยวะภายในของเธอไม่ได้ระยะหนึ่ง

    สายหมอกแห่งวองโกเล่ใช้พิภพนรกเพื่อสร้างเสาเพลิงและสายบัวรัดตรึงร่างของเบียคุรันไม่ให้ขยับล้ำเข้ามาใกล้กว่านี้

    “นายมุคุโร่ในอีกสิบปี? ล แล้วที่บาดเจ็บหายดีแล้วเหรอ?!” สึนะโพล่งถามไปด้วยนิสัย

    “ฉันเองก็สงสัยเหมือนสึนะคุงเปี๊ยบเลยล่ะ~” เบียคุรันยืนยิ่งโดยไม่ได้รับบาดเจ็บจากภาพลวงตาเสมือนจริงอันร้อนระอุ “วิญญาณของนายน่าจะถูกฉันทำลายไปพร้อมกับร่างของลูกน้องฉันที่นายใช้สิงอยู่แล้วนี่นา”

    “หึหึหึ ก็จริงอยู่ที่ผมหมดหวังกับการตกหลุมพรางของคุณในห้องที่ปิดผนึกนั่น ถ้าหากว่ามีแค่ผมคนเดียวที่อยู่ที่นั่นน่ะนะ...” มุคุโร่ไม่ได้พูดทั้งหมด

    “หืม~ นายมีพรรคพวกที่ช่วยเปิดทางให้ออกมาข้างนอกสินะ หึ หนีออกมาจากวินดิเช่ให้ได้เสียก่อนค่อยเอาร่างจริงมาสู้กับฉันเถอะ” ชายผมขาวกล่าวเสียดสีสายหมอกไร้ร่างตรงหน้า

    “หึหึหึ ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกครับ วันที่ผมจะได้โค่นคุณด้วยมือของตัวเองคงอีกไม่นาน เพราะว่าพวกเราเริ่มเคลื่อนไหวกันแล้วที่เหลือก็แค่เวลา” มุคุโร่พูดเป็นปริศนาเอาไว้

    “แหม แต่ที่ต้องรีบเนี่ยก็เพราะมีใครบางคนบอกว่ามากกว่ากอดให้ใช้ร่างจริงละนะครับคุฟุฟุฟุ~” เขาดูอารมณ์ดีขึ้นมาเมื่อได้พาดพิงถึงใครบางคน สายหมอกเหลือบมองนักฆ่าหลังเก้าอี้แล้วคลี่ยิ้มออกมา

    “หา? ผมเนี่ยนะ ไม่มีทางอ่ะ” ซีลอนขนคอลุกชันทำหน้ารังเกียจอย่างไม่ปิดบังก่อนจะประมวลความเป็นไปได้ ถ้าเพื่อหลอกใช้มุคุโร่ก็ไม่แน่หรอก แต่ยังไงหล่อนก็รู้สึกพิลึกอยู่ดี “เดี๋ยวนะ... ผมในอีกสิบปีเนี่ยนะ!? ได้ยังไงวะ!?”

    “อีกอย่างขอแค่ผมถ่วงเวลาคุณให้ติดแหง็กอยู่ที่นี่ได้ก็ถือว่าชนะแล้วล่ะครับ” มุคุโร่หันไปแสยะยิ้มใส่เบียคุรันไม่สนใจเสียงด่าทอข้างหลัง

    “เอาล่ะเวลาไม่คอยท่ารีบพาอัลโกบาเลโน่กลับไปที่นามิโมริได้แล้วครับ ซาวาดะ สึนะโยชิ” สายหมอกหนุ่มเร่งให้อีกฝ่ายไปเสียแต่ตอนนี้

    “ต แต่ว่า!

    “ปล่อยให้มุคุโร่คุงจัดการที่นี่เถอะสึนะ” ดีตัดบทและคว้าแขนเดชิโม่เอาไว้ ซีลอนคว้าแขนอีกข้างของสึนะและโคลมไม่ให้เดินไปหามุคุโร่ใกล้กว่านี้

    “ทำในสิ่งที่ทำได้ รักษาตัวเองเอาไว้เพื่อเจอกันอีก” นักฆ่าหัวเงินแปลคำพูดของมุคุโร่ในบริบทที่ต่างออกมา

    “มุคุโร่!! พวกเราจะได้เจอกันอีกใช่ไหม?” สึนะถามคำถามสุดท้าย

    มุคุโร่หันไปยิ้มซุกซ่อนความจริงบางอย่างหลังเปลือกตาของตนเอง “แน่นอนสิครับ ผมยอมให้คนอื่นนอกจากผมครองโลกไม่ได้หรอกนะ เข้าใจรึเปล่า...ซาวาดะ สึนะโยชิ” ดวงตาสองสีลืมขึ้นทอประกายความจริงจังออกมา “คุณจะต้องไม่ให้เบียคุรันแตะต้องยูนิ อัลโกบาเลโน่แห่งนภาเด็ดขาด

    เบียคุรันเห็นว่าพวกเขาจะหนีก็ใช้มือหุ้มเพลิงนภาทะลวงอกมุคุโร่ที่มีแค่ร่างมายา เมื่อเห็นท่าไม่ดีสึนะจึงต้องรีบบอกให้ทุกคนยิงพลังไปยังเครื่องเคลื่อนย้ายก่อนที่แสงสว่างจะกลืนพวกเขาหายไปหมดและไร้ร่องรอยการอยู่ตรงนั้น

    “เสียเวลาเปล่าน่ามุคุโร่คุง ก็แค่ยืดเวลาตายเท่านั้น” เบียคุรันยิ้มแย้มไม่เห็นถึงประโยชน์ที่อีกฝ่ายทำลงไป

    “ถ้าเป็นเขาในสิบปีข้างหน้าก็ใช่ แต่ตอนนี้กระแสเกมมันเปลี่ยนแล้วครับ... แล้วก็จุดประสงค์ของผมน่ะแค่ทำให้คุณแตะต้องอัลโกบาเลแห่งนภาไม่ได้ก็เพียงพอแล้วครับ”

    “พูดอย่างกับว่ารู้อะไรอยู่เลยนะ...” กล้วยไม้ขาวจ้องไปยังดวงตาสองสี สายหมอกของวองโกเล่ฆ่ายากกว่าที่เขาคิดไว้ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนไป

    “ยังไงก็ตาม... ฉันจะเอาตัวยูนิกลับมา ด้วยวิธีของมาเฟียที่นายเกลียดที่สุดยังไงล่ะ” เบียคุรันกระตุกรอยยิ้มและอัดพลังไฟใส่ร่างมายาตรงหน้า มุคุโร่ทิ้งท้ายรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เอาไว้ก่อนจะสลายไป

     



    จะให้เบียคุรันได้ตัวยูนิไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะมุคุโร่รู้... รู้ถึงพลังของยูนิและเรื่องของจุกนมต้องสาปนั่น เรื่องราวที่แท้และทำเป็นไม่ทราบอะไร อมพะนำความจริงเอาไว้กับนักฆ่าหลังเก้าอี้ในยุคสมัยนี้

    มุคุโร่กลับไปยังร่างที่ให้เขาร่วมอาศัยเพื่อพักฟื้นพลังลูบใบหน้าที่คล้ายกับหญิงสาวคนหนึ่งมาก

    ไปทำซีลอนอารมณ์เสียอะไรมาน่ะ... เอิร์ลเกรย์ถามชายหนุ่มที่กำลังใช้ร่างเขาอยู่ในห้วงความคิด

    “ถึงจะเป็นตัวตนคนละห้วงมิติเวลาก็ยังรับรู้ถึงอารมณ์สุดโต่งของฝาแฝดเหรอครับ? ช่างเป็นสายสัมพันธ์ที่น่าพิศวงเหลือเกิน”

    เพราะว่าลางสังหรณ์ของฉันจะแม่นเป็นพิเศษถ้าเป็นเรื่องของซีลอนยังไงล่ะ แล้วก็นะ...ถ้าเพื่อปกป้องเธอแล้วไม่ว่าจะเป็นในมิติเวลาไหน ซีลอนก็คืออีกครึ่งของฉันในยุคสมัยนั้นอยู่ดี พวกเราที่ต่างยึดติดกับตัวเองอีกคนมากมายขนาดนี้...ไม่มีทางที่จะละเลยเรื่องของอีกฝ่ายหรอกนะ เอิร์ลเกรย์ตอบออกมา

    “แหม แต่คุณก็พร้อมจะตายตลอดเลยนี่ครับ ย้อนแย้งเหลือเกิน” มุคุโร่ไหวไหล่และหัวเราะออกมาในลำคอ พลังของเขากลับมาเกือบหมดแล้ว เป็นเรื่องที่น่ายินดี

    เพราะว่าฉันอยากจะให้อีกครึ่งของฉันมีชีวิตที่สมกับเป็นมนุษย์ที่สุดน่ะ... ซีลอนที่ยิ้มแย้มเป็นภาพที่ฉันชอบที่สุดเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มแบบไหนก็ตาม ฝาแฝดผู้ร่างกายหลับใหลแต่ดวงจิตยังคงรู้สึกตัวตลอดเวลาคลี่ยิ้มออกมาในห้วงมิติเบื้องลึกของจิตใจ

    และฉันก็พนันกับอลันเดย์เอาไว้ ดูท่าว่าจะชนะได้อย่างไม่ยากเย็น เหลือแค่รอเท่านั้น ดีจังที่เป็นคนชอบวางแผน เวลาทุกอย่างที่เคลื่อนไปตามความต้องการของฉันนี่มันดีจังเลยนะ~’ รอยยิ้มร้ายกาจแสนเจ้าเล่ห์ที่ไม่เคยมีใครเห็นของเอิร์ลเกรย์ตกเป็นความลับระหว่างพวกเขาสองคน ระหว่างเจ้าของร่างและสายหมอกที่มาสิงอาศัยชั่วคราว

    MALINGER หมายถึง แกล้งป่วย, เสแสร้ง, แกล้งทำ
    และใช่ค่ะ จริงๆแล้วเอิร์ลเกรย์ก็ร้ายไม่แพ้ซีลอนหรอก เขาแค่ถนัดใช้รูปลักษณ์ที่แสนใจดีทำให้ทุกคนช่วยเหลือเขาง่ายๆโดยไม่ต้องข่มขู่ยังไงล่ะ! 55555
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×