ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เส้นทางสู่ตำแหน่งมเหสี

    ลำดับตอนที่ #1 : พระสนม-1

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ย. 64


           ข่าวการเกิดเหตุการณ์เครื่องบินพุ่งชนภูเขาต่างเป็นที่สนใจของประชาชนและต่างได้วิพากย์วิจารณ์กันทั่วเมืองว่าทางต้นสังกัดของเครื่องบินสายนี้อนุญาตให้เด็กฝึกงานที่พึ่งเรียนจบเข้ามาขับโดยไม่ได้มีผู้ที่มีความรู้ความชำนาญที่มากพอจนทำให้เกิดเหตุการณ์สลดในครั้งนี้

     

     

          "แม่หนู!แม่หนูเฮ้ย?"เสียงสั่นเครือของหญิงชราที่ยื่นจองมองตัวเธอด้วยความประหลาดใจ

     

     

          "ที่นี้ที่ไหนค่ะ?แล้วคุณเป็นใครคะ?" ตกอกตกใจที่เห็นหญิงชราจองมองตัวเองอยู่

     

     

          "ฮ่าๆข้าสิที่ควรต้องถามเจ้าว่าเป็นใครแล้วมาจากที่ไหน?ถึงได้ไปนอนป่วยใกล้คองม้าของฉันได้ละจ๊ะ?" เสียงสั่นเครือเนื่องด้วยชรามาก

     

       

            "นะ หนู!หนูชื่อหลิวหลี่คะ?มาจากเมืองปักกิ่งเพื่อไปยังเมืองเสฉวนนะคะ? 

     

            "แล้วเหตุใดถึงได้มานอนใกล้ๆคอกม้าฉันได้ละจ๊ะแล้วนี้หนูเดินทางคนเดียวหรอจ๊ะ?ไม่เห็นมีใครมาด้วยเลย?"เดินไปยกแก้วน้ำพร้อมทั้งจามอาหารร้อนๆมาวางไว้ใกล้ๆเตียงของหลิวหลี่

     

     

            "หะ หนูนั่งเครื่องบินค่ะ?"พูดจบนิ่งสักพักคึดอยู่ภายในใจว่าเหตุใดตนจึงได้มาอยู่ที่นี้พร้อมกับหญิงชราผู้นี้ทั้งที่ตนก็ได้นั่งอยู่บนเครื่องบินและยังจำได้ว่าเครื่องบินของตนได้ชนกับภูเขาจนทำให้ระเบิดและทำให้ทุกคนบนเครื่องบินตายหมด

     

         

            "เอ๊ะ?แม่หนู!ไอเครื่องบินที่ว่านี้คือไรหรอ?ฉันไม่เคยยินและเคยเห็นเลยจ๊ะ?" พูดทั้งที่ยังงงๆและประหลาดใจกับคำพูดของเธอ

     

     

           "นะ หนูไม่รู้จริงๆค่ะ?ตะ แต่ว่าหนูนั่งเครื่องบินจริงๆนะคะ?"ลุกยืนขึ้นจากเตียงนอนพร้อมทั้งจับมือของหญิงชราแล้วมองหน้า

     

     

           "หนูเอ่ย?ยุคนี้ไม่มีเครื่ององเครื่องบินอะไรหรอก?ฉันเกิดมาก็ไม่เคยได้ยินว่ามีเครื่องบิน ถ้าจะพูดว่าเป็นหมูหมากาไก่ก็จะพูดกันรู้เรื่องอยู่หรอก?" หญิงชราคึดภายในว่าหญิงผู้นี้ไม่มีเหตุอันควรแห่งการกระทำร้ายต่อตัวเอง เนื่องจากเธอคนนี้เป็นหมอดูดวงอนาคตและยังเป็นอำมาตในวังอีกด้วยการที่ดูคนตามตำรายอมสามารถดูได้อย่างง่ายๆ

     

     

           "เอ่อ...แล้วที่นี้คือที่ไหนหรอค่ะ?"รีบวิ่งออกจากเตียงไปยืนกลางแสงแดดที่กำลังร้อนระอุและได้วิ่งกลับมาถามด้วยความแปลกประหลาดใจ

     

     

           "ที่นี้คือเมืองหนานชิง?แล้วแม่หนูล่ะเป็นคนที่ไหน?แล้วเหตุใดถึงได้แต่งตัวแปลกประหลาดกว่าคนอื่นนัก?!" 

     

     

             "เอ่อ...คือว่า?แล้วปีนี้ปีที่เท่าไหร่หรอคะ?" ก้มมองดูเสื้อผ้าร่างกายของตัวเองแล้วช่องมองดูเสื้อและการแต่งกายของหญิงชราที่แต่งกายราวกับหญิงโบราณ

     

     

            "เหตุใดถึงถามเช่นนี้เหล่า?ปีนี้ก็ถังไท่ปีที่13ไงจ๊ะ"

     

           

           "เอ๊ะ?แล้วราชวงศ์ในปัจจุบันชื่อว่าอะไรหรอคะ?" เธอรีบถามกลับหญิงชราในทันควัน

     

     

           "ที่นี้คือราชวงศ์ไท่จ๊ะ?แม่หนูนี้เป็นใครเนี่ยถึงลืมสิ้นเสียได้ ฮ่าๆ?" 

     

     

           "เเล้วคุณยายชื่อว่าอะไรหรอคะ?" ถามหญิงชราที่ยืนทำความสะอาดม้าอยู่บริเวณด้านนอกคอก

     

     

           "ฉันชื่อหลินเฟ่งจ๊ะ" ยิ้มแล้วถามหลินหลี่กลับ

     

        

           "แล้วแม่หนูละชื่อว่าไรหรอจ๊ะ?"

     

     

           "หนูชื่อหลินหลี่ค่ะ" ยืนมองหลินเฟ่งทำความสะอาดม้าอยู่บริเวณคอกม้า

     

          "แล้วเหตุใดคุณยายถึงมีม้าเยอะจักละคะ?"

        

         คอกม้าของหลินเฟ่งมีจำนวนมากถึง10ตัว และถือว่าหลินเฟ่งมีม้าเยอะที่สุดในเมืองสืบด้วยเนื่องกฎหมายที่กำหนดให้ประชาชนคนธรรมดาในเมืองสามารถมีม้าเป็นพาหะได้ไม่ถึง5ตัว ส่วนเหล่าขุนนางสามารถมีได้ไม่เกิน10ตัว

     

          แต่ด้วยราคาม้าต่อตัวที่ชาวบ้านและชาวต่างชาติเข้ามาขายให้ต่างมีราคาแพงพอสมควรเหล่าประชาชนธรรมดาและเหล่าขุนนางต่างไม่สามารถซื้อไว้ใช้ส่อยได้มากนัก เหตุผลที่หลินเฟ่งสามารถซื้อม้าได้มากถึง10ตัวโดยมีราคาม้าต่อตัวแพงถึง50ตำลึงทองสืบด้วยเนื่องจากเธอได้รับสมบัติมรดกตกทอดจากต้นตระกูลของเธอที่เป็นพ่อค้าขายทำให้เธอมีเงินมากถึงหนึ่งในสามของเงินพระคลังสมบัติของประเทศ

     

     

        โดยเธอได้ซื้อม้าธรรมดาในราคาตัวละ50ตำลึงทองจำนวน5ตัว และม้าเทพที่มีลายสวยงามทั้งยังวิ่งได้อย่างคล่องตัวอีก5ตัวตกตัวละ100ตำลึงทอง เธอได้สร้างโรงทานเพื่อบริจาคอาหารคนจนในเมืองอยู่หลายแห่งจนทำให้เหล่าคนในเมืองต่างให้ความเคารพนับถือในตัวของเธอเป็นอย่างมาก

     

     

         เธออาศัยอยู่ตัวลำพังคนเดียวโดยที่สามีของเธอได้ทอดทิ้งเธอไปมีคนใหม่ขณะมีลูกน้อยด้วยกันถึง2คนเธอต้องทำงานและยังต้องมาดูแลลูกทั้งสองคนด้วยตัวลำพังจนลูกทั้งสองโตขึ้นจนถึงอายุ15ปีและ17ปีก็ได้รับเลือกให้เป็นพระสนมและพระชายาในองค์ฮ่องเต้ถังไท่และพระอุปราชจนให้กำเนิดพระราชโอรสและพระราชธิดาให้แก่กษัตริย์ถังไท่และอุปราช

     

         พระอุปราชทรงสิ้นพระชนษ์ด้วยพระชันษาเพียง33พรรษาทำให้ตำแหน่งพระอุปราชวางลงไประยะหนึ่งจนถึงปลายรัชสมัยทรงสถาปนาแต่งตั้งพระราชโอรสอันเกิดจากพระสนมขึ้นดำรงตำแหน่งพระอุปราชสืบต่อราชย์บัลลังก์

     

       

        เมื่อเสด็จสวรรคตพระอุปราชได้ขึ้นสืบต่อราชย์บัลลังก์ทรงพระนามว่า ฮ่องเต้ถังไท่ลำดับที่13 เดิมที่พระองค์จะทรงสถาปนาขึ้นให้มีพระเกียรติยศสูงขึ้นแต่พระสนมขึ้นนั่นกับปฏิเสธิเนื่องจากอยากใช้เวลาในปลายชีวิตให้คุ้มค่า  


     


     

        "ที่ท่านเหล่ามานี้?พระสนมคนนั้นเป็นใครหรอคะ?"ชักถามหลินเฟ่งด้วยความสงสัยและแปลกใจกับเรื่องราวที่เธอเล่าให้ฟัง      

     

         

        "พระสนมผู้นั้นก็คือ...?

     

           

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×