ภูตทนาย - นิยาย ภูตทนาย : Dek-D.com - Writer
×

    ภูตทนาย

    เสียงแหบพร่าดังมาจากด้านข้าง สิ่งที่เขาเห็น ชายสูงอายุในชุดสูท รูปร่างสูงใหญ่ เสื้อเชิ็ตมีคราบสีแดงเปื้อนอยู่ไม่สม่ำเสมอ ใบหน้าขาวซีด ธัญ สะดุ้งสุดตัว ตัวแข็ง ขนลุกลามไปถึงหนังหัว

    ผู้เข้าชมรวม

    156

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    156

    ความคิดเห็น


    7

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  สืบสวน
    จำนวนตอน :  4 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  30 เม.ย. 66 / 11:33 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูรายการอีบุ๊กทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                                               จากสำนักงานสู่ต้นไทร

     เวศ  เภรี หนุ่มใหญ่วัย 60 ปลายๆ รูปร่างสูง จมูกโด่งเป็นสัน รูปหน้าสี่เหลี่ยมกรามใหญ่ ตาลึกเหมือนคนสมัยโบราณ สีผมดำแซมขาวประปราย เวศ เภรี ชอบคุยเล่นคุยหัวสนุกสนาน เป็นคนใจดีและเป็นกันเองในหมู่เพื่อนฝูงใครถ้าได้ลองเจราจาพาทีกับเขาแล้วโดยเฉพาะในวงสุรา เป็นได้เฮฮาครื้นเครงกันร่ำไป

    เวศ เภรี ประกอบอาชีพทนายความ มามากกว่า 30 ปี เขาจบนิติศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากได้รับใบอนญาตให้เป็นทนายความแล้ว ทนายเวศ รับว่าความในเขตจังหวัดกำแพงเพชร และพื้นที่ปริมลฑลใกล้เคียงมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดตาก สุโขทัย พิษณุโลก หรือนครสวรรค์ 

     ทนายเวศ เช่าห้องซึ่งอยู่ตรงข้ามสถานีตำรวจภูธรเมืองกำแพงเพชร   แต่เป็นเป็นของลูกความเก่าในตลาดแบ่งเป็นสองส่วนส่วนด้านหน้าใช้เป็นสำนักงานส่วนหลังกั้นไว้เป็นห้องพักส่วนตัวสร้างด้วยไม้สักตามแบบบ้านไม้สมัยโบราณพื้นเดิมเป็นพื้นซีเมนต์ เขาต้องจ้างช่างมาปูกระเบื้องใหม่ พร้อมกับตีฝ้าลอยเนื่องจากสภาพเดิมเป็นห้องโล่ง ถ้าเงยหน้าขึ้นก็เห็นหลังคาซึ่งทำด้วยสังกะสีเวลาหน้าร้อนแทบจะอยู่กันไม่ได้ เขาให้เพื่อนที่เป็นครูสอนศิลปะ ทำป้ายสำนักงานให้แล้วนำมาติดไว้ด้านบนตรงช่องว่าระหว่างหลังคากับประตูทางเข้าสำนักงานซึ่งเป็นบานพับปิดเปิด เขาใช้ชื่อว่า

    สำนักงาน เวศ เภรี ทนายความ

    ถึงแม้ทนายเวศจะเป็นคนที่มีอัฌยาศัยดี แต่ก็ไม่เกี่ยวกับเล่ห์เหลี่ยมในการว่าความที่ต้องยอมรับกันได้เลยว่า ทนายเวศ เป็นทนายความมือหนึ่งในจังหวัดกำแพงเพชร และโดยเฉพาะหากรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าคดีที่รับมานั้นมีการใช้อิทธิพลหรือมีความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการยุติธรรม ก็จะกลายเป็นเสือเวศ พร้อมกระโดดเข้าขย่ำทันที

    วันนี้ทนายเวศ ไม่มีนัดว่าความที่ศาล เขาออกจากสำนักงานเวศ เภรี ทนายความ เนื่องจากต้องไปพบลูกความที่อำเภอคลองขลุง  เขาขับรถออกสู่ถนนสายเอเชียเรื่อยมาจนเข้า

    เขตอำเภอคลองขลุง จนถึงจุดที่จะต้องกลับรถเพื่อย้อนกลับมายังเส้นทางเดิมประมาณ 500 เมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนสายทางเข้าหมู่บ้านดอนชะโงกของลูกความซึ่งเป็นถนนสองเลน สองข้างทางเป็นทุ่งนา ต้นข้าวสูงเท่าหัวเข่าแทบจะทุกแปลง เขาขับต่อมาได้ประมาณ 3-4 กิโลมีรถสวนมาเพียงคันเดียว   “นี่ละนะที่เขาเรียกว่าถนนสายเปลี่ยว” เขาพูดกับตัวเอง

    “ ทุ่งนาแดนนี้ไม่มีความหมาย เหลือเพียงกลิ่นโคลนสาปควาย เห็นคราดคันไถแล้วเศร้า ..” เสียงเพลงรอยไถแปร ของนักร้องในอดีตก้าน แก้วสุพรรณ ศิลปินลูกทุ่งรุ่นเก่า ที่ทนายเวศ ให้ลูกสาวก็อปนำมาลงไว้ไดรฟ์เพื่อเปิดฟังในรถ ดังก้องพร้อมกับเสียงคนขับร้องคลอไปกับเพลง “ เห็นนาที่ร้างนั้นมีแต่ฟางแทนรวงข้าว  ..” ขณะที่เขาปล่อยอารมณ์ไปกับบทเพลง

    ทันใดนั้นเอง.. ทนายเวศต้องถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแตรรถบีบไล่มาจากข้างหลังอย่างกระทันหัน ด้วยความตกใจ เขาหักพวงมาลัยเข้าชิดเลนด้านซ้ายพร้อมกับยกคันเร่งชะลอความเร็วลงโดยไม่ทันได้มองกระจกหลัง ทันใดนั้นรถยนต์กระบะสีดำทมึน ก็ค่อย ๆ เร่งเครื่องยนต์แซงออกด้านขวา ..

    ขณะที่จะพ้นตัวรถของทนายเวศ คนขับรถกระบะก็ได้ผ่อนคันเร่ง เขาหันไปมอง ปรากฎชายหนุ่มสวมหมวกไอ้โม่งสีดำ เสื้อชุดลายพรางแขนสั้นของทหารท่อนแขนข้างขวามีรอยสักรูปขวานสีดำยาวประมาณครึ่งฟุต นั่งอยู่ในกระบะตอนท้ายของรถยนต์ถืออาวุธปืนกลลักษณะคล้ายเอ็ม 16 จ้องเล็งมาทางเขา 

    ทนายเวศสะดุ้งสุดตัว เขาทำได้แค่นั้น ชายชุดดำเหนี่ยวไกปืนสาดกระสุนเจาะทะลุกระจกเข้าหาร่างทนายเวศเสียงดังสนั่นทุ่ง คนขับรถกระบะเหยียบคันเร่งขับบึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทนายเวศฟุบคาพวงมาลัย   รถยนต์เมื่อไร้คนควบคุมเสียการทรงตัววิ่งลงไหล่ทางข้างซ้ายและหยุดลงเมื่อชนเข้ากับต้นไทรใหญ่ขนาด 7-10 คนโอบ 

    ทนายเวศ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝัน  เขามองเห็นตัวเองกำลังลอยอยู่ในอากาศ เท้าไม่ได้สัมผัสพื้น  เขาหันมามองรถยนต์ที่จอดสงบนิ่งอยู่โคนต้นไทร สิ่งที่รับรู้ได้คือ..ภาพของตัวเขาเองที่หน้าฟุบคาพวงมาลัยพร้อมกับเลือดที่ไหลรินจากรอยคมกระสุนตามร่างกาย.. “กูยังไม่ตาย กูยังไม่ตาย” ทนายเวศตะโกนสุดเสียงเมือนคนที่ขาดสติ “กูยังไม่ตาย ฮือ..” เขารับรู้แต่เสียงตัวเองเรี่ยวแรงหายไปหมดเขายืนพิงต้นไทร พร้อมกับรำพึงออกมา “ อิงอร ลูกพ่อ ..” ..เราตายแล้วรึนี่ ..”  

    ทำไมถึงยังเหมือนว่าตนเองไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดยังมีสัมผัสที่ยังรับรู้ถึงความมีตัวตน  แต่ไม่สามารถจับต้องได้ เขามีห่วงที่ผูกพันหนักหนาก็คือ อิงอร บุตรสาว และโสพิศ ภริยา นั้นคือความรัก และความแค้นที่ทำให้เขาต้องจบความเป็นมนุษย์เช่นนี้ ..ใครต้องการให้เขาตาย

    ไม่นานเสียงไซเรนจากรถมูลนิธิก็มาพร้อมกับอุปกรณ์พิจารณาสภาพแล้วลงความเห็นว่า เสียชีวิต  เจ้าพนักงานตำรวจก็ตามมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง 

    ทนายเวศ ยืนมองเจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บข้อมูลภาพถ่ายภาพของเขา วัตถุพยานในที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะปลอกกระสุน จำนวนหลายสิบปลอก..แล้วเจ้าหน้าที่มูลนิธิจึงนำร่างของเขาออกจากรถแล้วนำผ้าดิบสีขาวมาทำการห่อร่างของเขา เพื่อนำไปชันสูตร และติดตามหาตัวผู้กระทำความผิดต่อไป..

    “กูต้องรู้ให้ได้ว่าใครทำ” ทนายเวศบัดนี้เป็นวิญญาณที่สิงสถิตย์อยู่ที่ต้นไทรแห่งนี้ไปเสียแล้ว

    คดีเป็นข่าวคราวโด่งดังอยู่หน้าหนังสือพิมพ์เพียงแค่อาทิตย์กว่า ๆ แล้วก็เงียบหายไป ..แต่ทนายเวศยังอยู่ที่เดิม ณ จุดที่ถูกยิงเพื่อรอบางสิ่งบางอย่าง…

    สองปีผ่านไป…


     


     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น