ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (BL) White daisy and Brown guitar (Femboy)

    ลำดับตอนที่ #2 : Page1 : Paddle

    • อัปเดตล่าสุด 23 ธ.ค. 63


    คำเตือน : อาจจะมีถ้อยคำหรือเหตุการณ์บางอย่างที่กระทบกระเทือนจิตใจ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ
     

    ใครหลายคนมักพูดว่าเดี๋ยวเวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง

    แต่ไม่มีใครเคยบอกว่ามันต้องใช้เวลาเท่าไหร่

    เทียนหอมกลิ่นน้ำทะเลคละเคล้ากับดอกเดซีสีขาวในอ่างอาบน้ำ ฟองสบู่มากมายปกคลุมร่างกายอันเปลือยเปล่าและความคิดที่ปล่อยไปดั่งสายน้ำไหล

    เสียงเพลงจังหวะเชื่องช้าเข้ามาในโสตประสาท เสียงไวโอลิน เปียโนหรือเครื่องอะไรก็ช่างแต่พอฟังแล้วมันกลับชวนให้นึกถึงคุณอย่างน่าประหลาดราวกับภาพปลายนิ้วที่มีแหวนสีเงินอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายกดเปิดเทปคลาสเซตผ่านวิทยุเครื่องโปรดก่อนนั่งตัดโมเดลอย่างที่เคยทำ

    พอคิดแบบนั้นแล้วก็เผลอจับแหวนสีเงินที่สร้อยคออย่างลืมตัวพร้อมกับหลับตาค่อยๆ จมดิ่งอยู่ภายใต้กระแสน้ำจนเอ่อล้นออกมายังพื้นห้องอย่างห้ามไม่อยู่ก่อนจะรีบทะลึ่งตัวขึ้นมาตอนอากาศใกล้จะหมดปอด

    ‘ไม่ได้…ทำไม่ได้อีกแล้ว’

    เรานั่งหอบหายใจก่อนจะลูบใบหน้าที่เปียกชื้นด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย เสียงไวโอลินที่เชื่องช้าราวกับมีดที่เฉือนลงตัดขั้วหัวใจเมื่อถึงคราวที่คุณหลับใหลและไม่ตื่นขึ้นมานับจากครานั้น เสียงเปียโนดังไล่ขึ้นมาราวกับน้ำตาที่รินไหล

    ไม่รู้ว่าคุณจะได้ยินไหมแต่หากมีโอกาสเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะพบเจอกัน เราก็อยากจะพูดคุยกับคุณอีกสักครั้ง จับมือคุณอีกสักหน่อย สบสายตาพร่ำบอกความในใจที่เก็บซ่อนเอาไว้

    ถ้อยคำต่างๆ เกิดขึ้นมากมายและถ้าย้อนเวลากลับไปได้เราจะบอกคุณทุกอย่างว่าเรารู้สึกอย่างไรจะไม่เงียบจะไม่เก็บไว้คนเดียวอีกแล้ว จะไม่ขี้หึงไม่เอาแต่ใจ จะไม่ทำให้คุณเสียน้ำตาอีกแล้ว

    แต่อย่างที่เคยได้ยินมาว่าคนเราจะรู้สึกว่าอะไรสำคัญก็ในเมื่อสิ่งนั้นได้จากเราไปแล้ว

    เราก็เช่นกัน

    เรารู้สึกว่ารพีสำคัญที่สุดก็ในตอนที่เราสูญเสียเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ ในตอนที่สายตาของเราประสานและมีหยาดน้ำตาของเขาไหลรินออกมา ในตอนที่ริมฝีปากไม่อาจแย้มยิ้มที่เราชื่นชอบได้อีก ในตอนที่ปลายนิ้วของเขาไม่สามารถกำมือเราเอาไว้ได้

    และในตอนสุดท้ายที่สัญญาณชีพจรของเขาสิ้นสุดลง

    เราจำวินาทีได้อย่างแม่นยำราวกับภาพที่ฉายอยู่ในหัวเราซ้ำๆ ว่าทำไมพระเจ้าถึงโหดร้ายกับเรามากขนาดนี้ถึงปล่อยให้คนที่เรารักที่สุดจากไปหรือเพียงเพราะรพีเป็นคนดีจนพระเจ้าไม่อาจให้เขาทนอยู่ในสังคมที่บิดเบี้ยวแบบนี้ได้อีกแล้วถ้าเกิดเป็นแบบนั้นจริง

    ทำไมพระเจ้าไม่รับเราไปด้วยหรือเพราะเรามีบาปหนักจนพระเจ้าไม่แยแสกันแน่

    เสียงสะอื้นปะปนกับน้ำตาที่ไหลอีกครั้งตอนเปิดฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านร่างกายที่สั่นเทิ้มก่อนจะหยิบเสื้อคลุมสีขาวมาใส่กันความเหน็บหนาวที่เริ่มเกาะกุมหัวใจ

    แต่ไม่ใช่ร่างกายแต่เป็นจิตใจต่างหากที่สั่นสะท้านไปทั้งดวง ถึงรู้ว่าเราอาจจะเป็นเด็กไม่ดีที่ไม่เชื่อฟังคุณแต่ขอเถอะนะครั้งนี้เราไม่ไหวจริงๆ ขอโทษนะรพีที่เราร้องไห้อีกแล้ว แต่เราห้ามไม่ให้น้ำตามันไหลไม่ได้

    เราห้ามไม่ให้ตัวเองคิดถึงคุณไม่ได้จริงๆ

    ชุดเดรสสีขาวสะอาดถูกหยิบขึ้นมาสวมใส่พร้อมกับหยิบน้ำอุ่นขึ้นมาดื่มหวังว่ามันจะช่วยขจัดความหนาวสั่นได้ไม่มากก็น้อย

    ‘เวลาหนาวก็ควรจะดื่มน้ำอุ่นๆ หรือไม่จะเอาเป็นนมอุ่นไหม’

    คุณเคยพูดแบบนั้นกับเราเมื่อตอนที่อยู่หอด้วยกันแล้วเราก็มักจะอ้อนโดยการให้คุณทำนมอุ่นให้เราดื่มในฤดูฝนพรำและมันก็เป็นไปตามที่คุณบอกมันช่วยให้เราอบอุ่นขึ้นแต่ก็ไม่เท่ากับอ้อมกอดของคุณหรอก

    มันทดแทนกันไม่ได้จริงๆ

    ‘ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน’ เสียงในความทรงจำดังขึ้นทำให้เราหลุดออกจากภวังค์พร้อมกับหันไปดูต้นเสียงและมันก็อยู่ที่เตียงพอดิบพอดีพร้อมกับวางแก้วลงบนโต๊ะเพื่อรีบเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ

    ‘หูฝาดอีกแล้วสินะ’

    ถ้าคุณยังอยู่คุณก็คงพูดแบบนี้นั่งคอยบนเตียงกระทั่งเราแต่งตัวเสร็จเพื่อที่จะออกไปดูพระอาทิตย์ด้วยกัน ไม่ว่าเราจะงอแงทำหน้าบูดบึ้งเพราะนอนไม่พอคุณก็ไม่ถือสาอะไรอีกทั้งยังพูดให้เราใจเย็นและยิ้มออกมาเกือบทุกครั้ง

    “ไปสิ” เราพูดตอบพร้อมกับหยิบยางมัดผมรูปโบสีขาวเข้าชุดมารวบผมเอาไว้พร้อมกับเปิดประตูห้องออกไป สงสัยคนอื่นยังไม่ตื่นล่ะมั่ง หลอดไฟในบ้านถึงมืดสนิทขนาดนี้ แต่จะว่าไปตั้งแต่เรามาที่นี่มันก็เริ่มมีอะไรที่เปลี่ยนไป

    สิ่งแรกก็คือเสียงของรพีในความทรงจำที่เรามักจะได้ยินในหัวทุกครั้งไป...

    ไม่ว่าในตอนเราเหม่อหรือตอนที่เรากำลังคิดอะไรเพลินๆ เสียงนี่ก็ดังขึ้นมาทุกครั้งจนเราสงสัยว่าเพราะอะไรหรือถ้อยคำที่หมอดูเคยบอกไว้จะเป็นความจริงขึ้นมา

    “ช่วงนี้ก็ระวังตัวไว้บ้างอย่าให้อะไรมากระทบจิตใจของเราได้ง่าย ช่วงนี้ดวงเราตกอยู่พวกภูตผีสางอาจอยากได้เราไปอยู่ด้วยนะ แต่คงไม่มีอะไรหรอกเพราะเราก็มี’ คนของเรา’ คอยดูแลอยู่นะ”

    หรือไม่เราก็อาจจะคิดไปเองทั้งนั้นพวกหมอดูหมอเดาอะไรพวกนี้คงเชื่อถือไม่ได้หรอก

    รูปภาพใบเก่าถูกหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าสตางค์ ผู้ชายเจ้าของรอยยิ้มสดใสและอ้อมกอดอบอุ่นยิ่งกว่าฤดูร้อนที่มีใบของต้นเมเปิ้ลหล่นเรียงรายอยู่เต็มพื้น ข้างกันก็มีเราในตอนที่ยังผมสั้นกุดเพราะยังไม่มีความมั่นใจพอที่จะไว้ผมยาวแล้วก็รวมถึงสังคมที่ยังไม่ค่อยจะเปิดกว้างเท่าไหร่เราก็เลยได้แต่ใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ

    แต่ก็ยังดีที่พ่อแม่ของเราทั้งคู่เข้าใจและเคารพในสิ่งที่เราเป็นเลยทำให้ความรักของเราค่อยๆ เติบโตราวกับเมล็ดพันธุ์ที่เตรียมพร้อมสำหรับการเติบโต เราหมั่นรดน้ำใส่ปุ๋ยพรวนดินกันด้วยความรักและความเอาใจใส่หล่อหลวมจนต้นไม้เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ จนแผ่กิ่งก้านสาขาเพื่อให้ร่มเงา

    และก็มาใจสลายเมื่อรู้ข่าวว่าเขาป่วยและอาจจะใช้ชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน

    เขาเพิ่งมาบอกพร้อมกับรอยยิ้มที่เจือไปด้วยความเศร้าพร่ำบอกว่าอย่าคิดมาก หมอเขาก็พูดแบบนี้มานานแล้วแต่เราก็ยังอยู่ได้ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย

    ทั้งที่ถึงขั้นนั้นแท้ๆ แต่คุณก็พยายามทำให้เราสบายใจก็เพราะคุณเป็นแบบนี้ เพราะคุณดีกับเราขนาดนี้

    เราถึงยิ่งรู้สึกผิดกับคุณมาก ว่าทำไม...

    ทำไมเราถึงไม่รู้อะไรเลย ทำไมเราถึงไม่ใส่ใจคุณให้มากกว่านี้หรือเพียงเพราะเราอยู่ด้วยกันมากเกินไปเราถึงหลงลืมรายละเอียดเล็กน้อยของกันและกัน

    และเราก็เชื่อว่าหากเราไม่ไปพบกับถุงยาซองนั้นคุณก็ยังไม่ปริปากพูดออกมาหรอกจริงไหม

    คุณนะชอบทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลาจนชอบลืมไปว่าคนเราเองก็อ่อนแอเป็น

    ไม่มีใครจะเข้มแข็งหรืออ่อนแอไปตลอดหรอกนะรพี

    แสงอาทิตย์รวมถึงท้องฟ้าที่เริ่มสว่างดึงความสนใจให้เราละสายตาจากรูปถ่ายก่อนจะเก็บมันลงกระเป๋าสตางค์พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเก็บภาพบรรยากาศเอาไว้

    แชะ!

    ว่าครั้งหนึ่งเราได้มาดูทะเลที่นี่ในที่แห่งความทรงจำของเรา

    คุณดูสิไม่ว่าเราจะหันไปมองทางไหนก็มีแต่ภาพเก่าที่มีเราอยู่ข้างกันไปเสียทุกทีแล้วแบบนี้เราจะเลิกรักได้ยังไง

    “มาดูพระอาทิตย์ไม่เรียกผมเลยนะ”

    คุณนี่ขี้โกงชะมัด..ขนาดเราไม่เจอคุณตั้งนานแล้วยังรักคุณอยู่เลย

    “พี่กลัวเราเมายังไม่สร่างไง” ผมตอบสมอล์ น้องชายตัวแสบที่เดินอวดแผงอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามพร้อมกับรอยสักรูปมายด์เมโลดี้ที่สีข้างดูไม่เท่ากันเลยสักนิด

    ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนไปสัก คิดอะไรอยู่แต่ก็ช่างเถอะน้องอาจจะชอบก็ได้ใครจะรู้

    “อะไร พี่นี่ดูถูกผมเกินไปแล้วนะ”

    “แล้วพี่ไมล์ล่ะ” ผมเอ่ยถามถึงพี่ชายคนโตที่เป็นตัวตั้งตัวตีจัดทริปนี้ขึ้นมาพักผ่อนในช่วงเดือนสุดท้ายของหน้าร้อน

    “ยังไม่ตื่นข้าวใหม่ปลามันก็งี้”

    หรือไม่ก็อาจอยากมาฉลองหรือไม่ก็ฮันนีมูนกับพี่ดาวเรืองไปในตัวในวันครบรอบสองเดือนที่ใกล้จะมาถึง

    ปล่อยเขาไปเถอะกว่าจะจีบกว่าจะคบกันก็กินเวลาไปร่วมครึ่งชีวิตเข้าไปแล้ว...

    ให้เขาหน่อย

    “แล้วทำไมพี่แต่งตัวบางขนาดนี้ไม่หนาวเหรอ” เขาถามต่อทำให้เราส่ายหน้า ทีตัวเองยังไม่ใส่เสื้อเลยทำไมถึงมาถามกันก็ไม่รู้ “นี่สมอล์...ช่วงนี้พี่ดูแปลกๆ ในสายตาเธอไหม” เราลองถามทำให้เขานิ่งไป

    “แปลกเหรอ...” เขาพึมพำกับตัวเองราวกับกำลังใช้ความคิด “ไม่นะ...แต่มีบางช่วงที่พี่ชอบสะดุ้งบางทีที่ดูแปลก”

    “ว่าแต่พี่ถามผมทำไมเหรอ” เขาถามทำให้เราส่ายหน้าก่อนจะหลุบตาต่ำวาดทรายเล่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

    “ไม่...มันต้องมีพี่บอกผมนะ”

    “สมอล์...” เราเรียกชื่อเขาอีกครั้งแต่เขาก็ยังนั่งนิ่งไม่ไปไหนพร้อมกับแววตาคาดคั้นทำให้เราค่อยๆ เล่าถึงความผิดปกติที่เราพบเจอให้เขาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ “ผมว่าอาจจะจริงครึ่งหนึ่งก็ได้นะ” เขาแสดงความคิดเห็น “เพราะถ้าพี่ดวงตกรวมกับเสียงที่พี่ได้ยินก็น่าจะตรงอยู่ว่าช่วงนี้พี่ต้องระวังตัวเอง”

    “...”

    “แต่ไอ้เรื่องที่บอกว่าคนของพี่ดูแลอยุ่นี่ผมไม่เข้าใจเลยนะ...”

    ใช่...พี่ไม่เข้าใจหรือว่าตอนนี้ข้างตัวเรามีวิญญาณอย่างงั้นเหรอ คิดแบบนั้นก็ยิ่งระแวงเข้าไปหใญ่รวมถึงมาพักในที่ที่ไม่ใช่บ้านตัวเองอีก “หรือว่าเขาหมายถึงพี่รพี” อะไรนะ รพีเหรอ? แต่รพีเขาหายไปแล้วนะ

    เป็นไปไม่ได้หรอกว่าเขาจะตามเราอยู่จริงๆ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเราก็ต้องฝันถึงเขาสิ

    ไม่ใช่หายจากกันไปแบบนี้...

    “พี่ว่าไม่ใช่รพีหรอก” คนอย่างเขาน่ะ

    คงไม่มีอะไรติดค้างเอาไว้แล้วล่ะ คนดีแบบเขาตอนนี้ก็คงนั่งมองเราจากสวรรค์นู่นแหละถึงจะเหมาะสม ไม่ใช่วิญญาณที่จะมาเร่ร่อนคอยตามเราแบบนี้ “งั้นช่วงนี้พี่มานอนกับผมไหมหรือว่าถ้าไม่สบายใจก็บอกพี่ไมล์”

    “ไม่เป็นไรหรอก พี่โอเค” จะให้ทุกคนที่กำลังสนุกสนานรีบกลับเพราะความระแวงในสิ่งที่เรามองไม่เห็นแบบนี้นะเหรอ ดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ล่ะมั่ง “โอเคแน่นะ”

    “แน่สิ” เรายืนยันพร้อมกับส่งยิ้มก่อนจะปล่อยให้ความเงียบเข้ามาปกคลุมจนได้ยินเสียงคลื่นกระทบชายฝั่ง สายลมที่พัดพาทำให้เราค่อยๆ หลับตาแล้วความคิดก็เริ่มการทำงานของมันอีกครั้งหนึ่ง

    ถ้าเป็นอย่างที่สมอล์บอกมันก็น่าคิดเหมือนกันเพราะเราได้ยินรพีไม่ใช่คนอื่นไกลแต่อีกใจก็ขออย่าให้เป็นเขาเพราะเราไม่อยากให้คนที่เรารักต้องมาวนเวียนอยู่แบบนี้

    แต่ถ้าเป็นเขาจริงๆ แล้วเราก็อยากจะมองเห็นอยากพูดคุยอีกครั้งว่าทำไมเขายังอยู่ที่นี่ ร้านดอกไม้ที่คุณเคยออกแบบและตัดโมเดลเอาไว้ตอนนี้มันก็เป็นจริงแล้วนะถึงแม้จะไม่ค่อยระเอียด รอบคอบเหมือนคุณก็ตาม สถานที่หรือร้านอาหารอะไรที่คุณอยากพาเราไป เราก็ไปชิมแล้วนะถึงจะไม่อร่อยเท่าตอนที่มีคุณอยู่ด้วยมันก็พอทดแทนกันได้

    ด้วยถ้อยคำที่คุณบอกว่าไว้ไปด้วยกันอีกนะแต่ใครจะรู้ว่านั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้ทำอะไรๆ ด้วยกัน

    เราคิดไม่ออกจริงๆ ว่าอะไรจะเป็นเหตุผลที่ฉุดรั้งเขาเอาไว้

    ‘เธอ’

    เราเหรอ? เสียงรพีดังขึ้นมาจนเราสะดุ้งเผลอมองรอบตัวอีกครั้งด้วยความหวาดระแวง

    “ช่วงนี้ก็ระวังตัวไว้บ้างอย่าให้อะไรมากระทบจิตใจของเราได้ง่าย ช่วงนี้ดวงเราตกอยู่พวกภูตผีสางอาจอยากได้เราไปอยู่ด้วยนะ แต่คงไม่มีอะไรหรอกเพราะเราก็มี ‘คนของเรา’ คอยดูแลอยู่นะ”

    เสียงของหอดูที่ดังขึ้นมาอีกครั้งทำให้เราเริ่มตีความจนเบิกตากว้าง หรือนั้นจะไม่ใช่รพีแต่เป็นภูตผีตนอื่นที่อยากให้เราไปอยู่ด้วยกันแน่นะ เพราะคนอย่างรพีต้องไม่ทำให้เรากลัวแน่ๆ

    ‘ถ้าเราตายก่อนเราจะไม่มาหาเธอหรอก เธอกลัวผีจะตายไป’

    เขาเคยพูดกับเราตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ตอนนั้นเราเอ็ดเขาแทบตายว่าทำไมถึงพูดแบบนั้นออกมา

    ใช่...ต้องใช่แน่ๆ เจ้าผีร้ายถึงแกจะมาหลอกมาใช้เสียงของแฟนฉันยังไงฉันก็จำได้นะ

    และไม่มีวันหลงกลเธอเด็ดขาด...

     

    +++++

    Talk : สิ่งที่มองไม่เห็นกับความเหงาที่มันทำให้เราคิดไปเองมันมีเส้นบางๆกั้นอยู่

    #กลิ่นของคุณกี

    @Choloris_

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×