จากหนึ่งถึงร้อยและเป็นพัน ตอน หนีแม่เที่ยวมะเล - จากหนึ่งถึงร้อยและเป็นพัน ตอน หนีแม่เที่ยวมะเล นิยาย จากหนึ่งถึงร้อยและเป็นพัน ตอน หนีแม่เที่ยวมะเล : Dek-D.com - Writer

    จากหนึ่งถึงร้อยและเป็นพัน ตอน หนีแม่เที่ยวมะเล

    โดย C.lanatus

    ไม่ว่าความรัก..จะเกิดขึ้นมาในรูปแบบใดก็ตาม "รักก็คือรัก"

    ผู้เข้าชมรวม

    76

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    76

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    2
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  6 พ.ค. 61 / 23:34 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    "เมื่อความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา เป็นเหตุผลักดันให้ 'ตุลย์' หนุ่มน้อยหน้ามนคนหน้าหวานมานั่งรถเมล์กินลมชมวิวเป็นพระเอกเอ็มวี ข้างในจิตใจเสียใจจนบอบช้ำกับปัญหาที่คาราคาซังไม่เลิกเสียที ทำให้ความรู้สึกเดิมๆที่เคยมี หลั่งไหลออกมาเป็นหยดน้ำตา..ตุลย์ จะก้าวผ่านความรู้สึกนี้ไปได้เช่นไร เขาจะหาคำตอบให้หัวใจอย่างไรดี ออกค้นหาคำตอบไปพร้อมๆกับตุลย์ได้ใน..จากหนึ่งถึงร้อยและเป็นพัน"


    *เหตุการณ์  สถานที่ และตัวละในเนื้อเรื่อง เกิดจากจินตนาการของผู้เขียน มิได้มีเจตนาในการล้อเลียน หรือลอกเลียนแบบใครมา หากมีข้อผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย (เป็นนิยายวายเรื่องแรกที่แต่ง ติชม คอมเม้นได้นะจ้ะ ;-)  )     
    *ขอบคุณรูปภาพสวยๆจากเจ้าของภาพนะคะ





    จากหนึ่งถึงร้อยและเป็นพัน ตอน หนีแม่เที่ยวทะเล

    สายลมที่พัดผ่านหน้าเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ผมต้องฝืนลืมตาขึ้นมามองข้างทางที่เต็มไปด้วยรถรามากมาย วิ่งสวนทางกันไปมาไม่หยุดหย่อน ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ช่างต่างกันนักกับจิตใจของผมตอนนี้ มันรู้สึกหน่วงๆ อยู่ภายในใจ เจ็บแปลบทุกครั้งที่นึกถึงคนๆ นึง เขาที่เคยเป็นดั่งแสงสว่าง เป็นรอยยิ้ม เป็นเสียงหัวเราะ เป็นหมอนให้หนุนนอนยามเมื่อยล้า เป็นแทบทุกอย่างในชีวิต แต่วันนี้...กลับไร้ซึ่งตัวตนเคียงข้างกาย

                    สองข้างทางที่ต้องเดินต่อ ยังคงโรยด้วยขวากหนามเช่นเดิม แต่เมื่อก่อนยังมีใครอีกคนคอยขจัดขวากหนามไปด้วยกัน...วันนี้ มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว ผมต้องเดินไปข้างหน้าเพียงลำพัง จัดการและแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยทำ...เพียงแต่ ผมไม่เคยชินเสียทีที่ต้องเดินคนเดียว

                    กริ้งงงงงง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แม้ในใจจะอยากให้เป็นใครคนนั้นแต่ความจริงมันไม่อาจเป็นไปไม่ได้

                    “ครับ...” ผมตอบรับปลายสายด้วยน้ำเสียงเฉื่อยๆ

                    (นี่มึงอยู่ไหนแล้วคร้าบบบบบ  ปล่อยให้พี่ๆ รอไม่ดีนะครับคุณน้อง) เสียงร่าเริงของผู้ชายคนหนึ่งตอบกลับผมมา ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาได้ แม้เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวก็ตาม

                    “ใกล้จะถึงแล้วครับ เนี่ยอยู่หน้าประตูเลย ลงมารับด้วยนะ” ผมตอบเสียงเบา เพราะเริ่มหมดแรงที่จะพูดจากับใคร หากก็ยังฝืนหัวเราะหน่อยๆ เพราะไม่อยากให้ใครเป็นห่วง

                    “อยากต่อว่าฟ้าดิน ที่ให้เราพบเจอ แต่ไม่ยอมจับเราคู่กัน ฟ้าดินจงใจแกล้งเรา เธอว่าหรือเปล่า ทำไมนะต้องห้ามรักกัน ความเหมาะสมน่ะหรือที่ยืนยาว ถึงในใจ มันค้าน สุดท้ายต้องยอมจำนน เสียงเพลงดังขึ้นเมื่อพี่ไลท์เปิดประตูบ้านออกมารับผม แม่ง! น้ำตาจะไหล แต่ต้องฝืนทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น..ทรมานใจดีชิบหาย!! ทำไมต้องมาเปิดเพลงนี้ฟังตอนผมมาถึงบ้านพอดีด้วยนะ

                    “ว่าไงน้องรัก เดินมาเหนื่อยเหรอวะ? ทำไมหน้าซีดเซียวแบบนั้น” เมื่อเห็นหน้าผมก็ทักทายด้วยการโอบไหล่และฟาดฝ่ามือมาตบด้วยความเอื้อเอ็นดู

                    “เจ็บครับพี่ มือหรือตีน? หนักชิบหาย” ผมบ่นพร้อมกับผลักมือพี่ไลท์ออก แต่ก็ไม่สำเร็จ ซ้ำยังโดนลากคอเข้าไปในบ้านด้วยความทุลักทุเลอีก

                    “เอ้าไอ้นี่ กูว่าไม่ได้เป็นไรหรอกด่ากูได้แบบนี้น่ะ” พี่ไลท์พูดยิ้มๆ พอลากผมเข้ามาในบ้านได้แล้วก็ปล่อยผมไว้ที่โซฟาคนเดียว ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว

                    ก่อนถนนของเราแยกกัน ก่อนความฝันของเราสิ้นลง แค่อยากพบกับเธอสักหน สบตาอีกครั้ง แค่ให้ฉันได้บอกเธอสักคำ พูดในวันที่จะต้องจาก อยากให้รู้ว่ารักเธอมาก และจะรัก รัก ตลอดไปเสียงเพลงที่วนซ้ำกับความทรงจำที่ไหลผ่านเข้าในหัว ทำให้ทำนบน้ำตาที่พยายามกลั้นมาตลอดทางของผม พังทลายลงมาพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้เบาๆ อย่างปวดร้าว นี่สินะความเจ็บปวด นี่สินะความทรมาน สะใจตัวเองรึยังหัวใจ!!

                    ภาพฉายซ้ำวนเวียน เสียงหัวเราะ ใบหน้ายิ้มแย้ม การหยอกล้อเล่นหัว ความสนุกในวันวาน ไหลผ่านเข้ามาสร้างความปวดใจให้ผมจนต้องยกมือขึ้นมากุมอกซ้ายเอาไว้ หยาดน้ำใสไหลออกมาอย่างเชื่องช้าแต่แฝงไปด้วยความรวดร้าวจนยากที่จะหยุดความรู้สึกนั้นได้ ผมไม่อาจลบความทรงที่เจ็บปวดไปจากใจ...และไม่สามารถลืมความสุขต่างๆ เมื่อครั้งก่อนได้เลย

                    “เฮ้ย! ปล่อยไว้คนเดียวไม่เคยได้เลย” พี่ไลท์ที่เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้เสียงเพลงที่บีบหัวใจได้เงียบหายไปแล้ว เหลือเพียงแค่อ้อมกอดจากพี่ไลท์ที่โอบกอดผมเอาไว้ แม้จะอบอุ่น...แต่ก็ไม่เท่าอ้อมกอดของใครคนนั้น...คนที่อยู่ในความทรงจำไม่เคยจางหายไปไหน

                    ป้าบ!!

                    “เวร! ตบมาซะขนาดนี้อย่าเรียกกูว่าพี่เถอะไอ้เสาไฟฟ้า!!” พี่ไลท์สบถภาษาพ่อขุนใส่คนที่บังอาจฟาดฝ่ามืออรหันใส่แขนแก พร้อมกับโวยวายใส่ด้วยใบหน้างอง่ำที่พี่แกคิดว่าน่ารัก

                    “มือพี่มือ  ขอร้องอย่าโอบกอดแนบแน่นขนาดนั้น  ผมหวง”

                    “หวงบ้าหวงบออะไรกับพี่กับเชื้อ”

                    “ก็คนนี้..ของผมนี่ครับ” คนในความทรงจำอันแสนสั้นของผมผลักพี่ไลท์ออกไปห่างๆ ก่อนจะแทรกตัวเองมานั่งลงข้างผมพร้อมกับโอบกอดผมไว้แทนพี่ไลท์

                    “ทะเลาะอะไรกันอีกวะ คนนึงก็น้ำตาไหล  อีกคนก็ขู่ฟ่อๆอย่างกับหมาบ้า”

                    “เป็นอะไรครับ งอนอะไรพี่? บอกพี่หน่อยคนดี..พี่ไม่อาจหยั่งรู้ไปถึงจิตใจส่วนลึกของน้องได้นะครับ” คนตัวสูงหาได้สนใจฟังเสียงบ่นประชดประชันของพี่ไลท์ไม่ ซ้ำยังหันมาลูบแก้มผมเบาๆ พร้อมส่งคำถามกวนบาทามาให้ผมตอบอีก ถามแบบนี้ใครจะอยากตอบวะ!

                “ไม่ได้เป็นไร..แม่ง ไม่น่าคิดถึงเลยวะ” ผมตอบเสียงแผ่วเบา และบ่นพึมพำในลำคอกับตัวเองในประโยคสุดท้าย...ไม่อยากให้เขารู้เลยว่าผมงี่เง่าคิดถึงเขา...ที่จากกันไปในเวลาเพียงไม่กี่ชั่งโมงเอง!

    “ให้ตายเถอะหัวใจ...

    คิดถึงอะไรมากมายขนาดนี้

    หยุดทรมานตัวเองเสียที

    หยุดคิดถึงเขาแบบนี้ได้หรือเปล่า?”

                    “เนี่ย...พองอนก็จะทำแก้มป่องแบบนี้ ชอบคิดเองเออเอง อยากรู้อยากฟังอะไรก็ถามพี่สิครับ อย่าเดาสุ่มมัว อย่ายั่วให้รัก มันเหนื่อยนะที่รัก หยุดพักเรื่องเธอไม่ได้เลย”

                    “ฮิ้วววววว” มาเป็นลูกคู่กันกีนักเชียวไอ้ตัวสูงพูดจบ ไอ้พี่ไลท์ก็เป็นลูกคู่รับส่งมุกให้ นี่ดีนะที่ผมแอบแต่งกลอนในใจไม่ออกเสียงให้ใครได้ยิน ไม่เช่นนั้นผมคงโดนแซวยับเลยแหละ

                    “พอแล้ว..เลิกลูบแก้มได้แล้วมันจั๊กจี้” ผมปัดมือคนข้างๆออกเบาๆ แต่เขาก็เฉย ยิ่งปัดออกยิ่งกลับมาลูบไว ยิ่งโดนปัดเรื่อยๆไป ยิ่งกลับมาใกล้เหมือนเดิม

                    “ตุลย์ครับ เป็นอะไร  บอกพี่มาเถอะครับ” เสียงทุ้มถามอย่าออดอ้อน

                    “ก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรไง” ผมพยายามตอบด้วยเสียงห้วนๆ  อย่าใจอ่อนนะโว้ย..จะให้รู้ไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร รู้แล้วอายตายเลย

                    “เนี่ยๆๆ แบบนี้แหละเป็น มึงเชื่อกูไอ้ธาม” ไอ้พี่ไลท์ครับ...นี่น้องเอง อย่าไปเข้าข้างคนอื่นมาซักฟอกน้องสิ!

                    “ตุลย์ พี่เห็นร้านกาแฟน่ารักๆ เปิดใหม่หน้าปากซอย...เราไปหาขนมพร้อมเครื่องดื่มอร่อยๆทานกันมั้ย?” เมื่อเห็นว่าซักยังไงผมก็คงไม่ยอมตอบ พี่ธามเลยเอาของกินมาล่อหลอกให้ผมออกไปข้างนอกด้วย

                    “อะไรว้า ถ้าจะเห็นพี่เป็นหัวหลักหัวตอก็อย่ามา เห็นบ้านเป็นทางผ่านก็ไปนัดเจอกันที่อื่น..เซ็งเว้ย!”เสียงไอ้พี่ไลท์บ่นกระปอดกระแปด ถามว่าสนใจมั้ย? ไม่ครับ!

                    “ไปได้เหรอ ไม่ดีหรอกผมออกไปกับพี่ไลท์ พี่ป๊อปดีกว่า เดี๋ยวคนอื่นเห็นมันไม่ดี” ผมรีบปฏิเสธแม้ว่าในใจลึกๆจะอยากออกไปกับพี่ธามก็ตามที แต่ถ้าออกไปกันสองคนเกิดเรื่องแน่ๆ ไม่ดีเลย

                    “อึดอัดเรื่องนี้ใช่มั้ย? พี่ขอโทษนะที่ทำให้เราชัดเจนมากกว่านี้ไม่ได้ จับมือกันแบบนี้แน่นๆไม่ได้นาน ต้องห่างเหินกันแม้ว่ารักมากแค่ไหนก็ตาม อยากโอบกอดแบบนี้ก็ทำไม่ได้ อยากจูบ อยากหอมก็ต้องอยู่แค่สองต่อสองหรือลับตาคนแบบนี้ น้อยใจเรื่องนี้ใช่มั้ย?”

    เสียงทุ้มแฝงความเศร้าของคนที่กอดผมอยู่เอ่ยออกมาช้าๆ พร้อมกับทำทุกอย่างตามที่พูดทั้งกอดทั้งหอม และจูบเบาๆอย่างอ้อยอิ่ง ทุกๆการกระทำของเขา บอกผมเสมอว่า..เขาหนักแน่นและชัดเจนทุกอย่าง เพียงแต่ข้อห้ามและขอบเขตในการแสดงออกของเราสองคนต้องอยู่ลับตาผู้คนเสมอ แสดงออกมากก็ไม่ได้ แสดงออกน้อยไปก็ไม่ดี

    “เปล่า..แค่คิดถึง และเหนื่อยที่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร ต้องแสดงออกว่าเราไม่ได้ติดต่ออะไรกันเลย  ทั้งๆที่เราคุยกันทุกคืน อยู่ด้วยกันทุกวัน..แต่ต้องทำเป็นเมินเชยต่อกันแบบนี้ อยากผ่านช่วงนี้ไปไวๆ จัง” ผมพูดเบาๆ พร้อมกับโอบกอดคนข้างๆไว้แน่นๆ อยากจะกอดแบบนี้โดยไม่ต้องหลบๆซ่อนๆจัง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะทำได้

    “พี่สัญญาว่าอีกไม่นาน เราสองคน..ไม่สิ  เราหกคนจะกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม”

    “เออ..ดี แม่งกูนึกว่าตัวเองเป็นอากาศไปซะแล้ว...ทำอะไรไม่เกรงใจสายตาและหัวใจกูเลย อิจฉาเว้ยยยยยย”

    “พี่จะอิจฉาทำไม คู่พี่ก็อยู่ด้วยกันทุกวัน..คู่ผมน่าสงสารที่สุดแล้ว”

    “ใช่พี่ธามพูดถูก”

    “ไม่ต้องเลยไอ้ตุลย์ ทุกวันนี้แกน่ะแย่งป๊อปปี้ของฉันไปครองแล้ว”

    “ก็พี่ป๊อปของผม”

    “เฮ้ย!! ไม่ได้ๆ” สองเสียงประสานกันอย่างตกใจ

    “ไอ้ธามเอาคนชองแกไปไกลๆเลยนะเว้ย..ก่อนที่กูจะถีบมันสักป้าบ”

    “ตุลย์ครับ การกระทำที่ผ่านมาของน้องนั้นพี่จะไม่พูดถึง แต่น้องต้องสัญญากับพี่ว่าต่อไปนี้ห้ามไปกอดใครอื่นนอกจากพี่”

    “ไม่ได้หรอก..น้องเหงา  น้องจะเอาป๊อปปี้”

    “โว้ย!! ไอ้ธามมึงเคลียร์กันให้เรียบร้อยกูจะไปเคลียร์กับป๊อปปี้เอง” ว่าแล้วไอ้พี่ไลท์ก็กดโทรศัพท์หาพี่ป๊อปปี้ทันที ก่อนจะเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงจากไป

    “ตุลย์ มองตาพี่..พี่รู้ว่าตุลย์น้อยใจและเครียดกับสถานะของเราตอนี้ พี่เข้าใจตุลย์ดีว่ารู้สึกยังไง พี่ก็ไม่ชอบใจเท่าไหร่นักกับความคลุมเครือตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา แต่พี่สัญญาว่านับจากนี้ไปพี่จะไม่มีวันปล่อยมือคู่นี้เด็ดขาด เราจะก้าวผ่านปัญหาต่างๆไปพร้อมกัน ตุลย์พร้อมจะไปกับพี่มั้ย? รึว่าอยากจะหยุดพักแล้วพอแค่นี้ดี?”

    “ไม่เอา..เราผ่านมาได้ตั้งเป็นปี เรื่องแค่นี้ทำไมจะต้องปล่อยมือ แค่งอนป่ะล่ะ แค่น้อยใจป่ะ แค่อยากให้ง้อ แค่อยากอ้อนอ่ะ” โอ๊ย..อิพี่ธามบ้า เข้าใจอารมณ์คนอยากอ้อนหน่อยซื่อบื้ออยู่ได้!

    “ครับๆ นี่พี่ก็ง้ออยู่รู้ป่ะ” ฟอด...หอมแก้มไปอีก เขินหน้าแดงไปอีก

    “อากาศมันร้อนๆเนาะ มดก็เยอะ ยุ่งก็ชุม..เราหนีไปพักร้อนที่ทะเลกันดีมั้ยพี่คริส” เสียงบ่นประชดประชันดังขึ้นที่หน้าประตู ผมเห็นพี่ไลท์ พี่ป๊อปปี้ พี่คริส และคนที่บ่นคือพี่เคน ยืนมองเราสองคนั่งสบตากันบนโซฟาด้วยสายตาเอ็นดู

    “เออ...เข้าใจกันก็ดี แกก็ดูแลน้องมันดีหน่อยๆ ยิ่งไม่ค่อยมีเวลาหวานๆซึ้งๆเท่าไหร่ เด็กมันก็คิดมากสิวะ เดี๋ยวนานๆไปมาแย่งป๊อปปี้กูไปกูก็ซวยสิครับ”

    “ใครบอกว่าตุลย์มันแย่ง ผมนี่เต็มใจไปหาน้องมันเองครับ” ว่าแล้วพี่ป๊อปปี้ก็เดินมาขยี้ผมเบาๆ ก่อนจะทำท่าก้มลงจะหอมแก้มผม ผมก็เอียงแก้มใครแต่โดนมือของคนตัวสูงผลักหน้าพี่ป๊อปปี้ออกเบาๆ เลยอดกันไปตามๆกัน เซ็งครับ!

    “น้อยๆหน่อยครับคุณ ไอ้พี่ไลท์มาเก็บเด็กพี่สิ ทางนี้ก็หัดเกรงใจกันบ้าง” พูดสั่งพี่ไลท์เสร็จก็หันมาเขกกบาลผมเบาๆทีหนึ่ง “นั่งหัวโด่อยู่นี่ไม่ใช่เสาหลักเสาตอ..ไอ้เด็กแสบ” ขยี้วนไป เสียทรงหมดหล่อแล้วหัวผม

    “เฮ้ย...พี่อยากไปทะเลจริงๆนะ ว่าแต่มีใครสนใจไปด้วยกันมั้ย?” เสียงพี่คริสดั่งระฆังพักยกขึ้นมาช่วยชีวิตผมได้ทันเวลาพอดี

    “ไปๆครับพี่” ทุกคนส่งเสียงออกมาพร้อมกัน

    “ได้เหรอวะธาม แม่มึงจะไม่ว่าอะไรเหรอ?” พี่เคนถามคนตัวสูงด้วยคำถามที่ผมก็สงสัยเช่นกัน

    “ไม่เป็นไรหรอกพี่ ถ้าจะเป็นก็ปล่อยๆไป อย่างน้อยก็แค่โดนบ่น”

    “เฮ้ย...มึงโดนตัดค่าขนมมาจะทำไงวะ?” ไอ้พี่ไลท์ก็สงสัยเช่นกัน

    “ก็ไม่เป็นอะไร แค่ทำงานฟรี” คนตอบยักไหล่สบายๆ แต่ผมคิดหนักแทนครับ

    “ไม่ได้ๆ ถ้าพี่โดนตัดค่าขนมแล้วใครจะมาเลี้ยงผมล่ะ” เรื่องกินเรื่องใหญ่ครับ

    “เด็กแสบ..ห่วงแต่เรื่องกิน ห่วงความรู้สึกพี่บ้าง พี่ก็อยากไปเที่ยวพักผ่อนกับทุกคนนะครับ” ขยี้หัวผมอีกแล้ว มันเขี้ยวอะไรนักหนาวะครับ

    “เออๆ เอาไงก็เอา ตามใจมึงล่ะกันเดี๋ยวพวกกูจะดึงดูดความสนใจให้ จะได้ไม่มีภาพมึงสองคนเล็ดรอดออกไป โอเคตามนี้นะ”

    “โอเคครับ เป็นความคิดที่ดีมากเลยพี่คริส”

    “ทีกับคนอื่นล่ะเสียงอ่อนเสียงหวาน ทีกับเราแล้วทำเป็นเกรี้ยวกราด..อะไรวะ โลกช่างไม่ยุติธรรมกับคนหล่อแบบไอ้เลยเว้ย!

    “ก็หัดทำตัวให้น่ารักหน่อยดิวะ เผื่อคนเสียงอ่อนเขาจะใจอ่อนให้ด้วยอ่ะพี่”

    “เออเว้ย...ไอ้เคนพูดถูก มาหอมแก้มทีนึงดิ”

    “ได้ไงครับคุณ..คนนี้ของผมครับ”

    “หวงใหญ่ แม่งมีแต่คนให้กูอิจฉา ใช่สิ..กูมันหมาหัวเน่านี่”

    “ไหนๆๆ” คนตัวเล็กกว่าพูดพร้อมกับดึงศีรษะคนที่ตัวสูงกว่าเขาไปดม “ก็ไม่เห็นเหม็นเน่าอะไร หอมอยู่นะ”

    “นี่ๆ นี่...ป๊อปปี้หอมหัวพี่เหรอ...น่ารักอะไรเบอร์นี้...น้ำตาจะไหล ขอทิชชู่ที”

    “โอ๊ย...เล่นใหญ่ไปได้..ไปทุกคนเตรียมตัวเดินทาง ปล่อยให้คนแก่พูดมากอยู่เฝ้าบ้าน”

    เสียงหัวเราะดังทั่วบ้าน ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายไปเก็บของเตรียมตัวขึ้นรถ การออกเดินทางไปพักผ่อนในครั้งนี้ อาจจะเริ่มต้นด้วยความไม่เข้าใจ แต่ทุกอย่างก็จบลงที่ความเข้าใจกันดี แม้จะมีน้ำตาเจือปนในตอนแรกแต่สุดท้ายก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุขของความรัก ลอยอบอวลรอบๆตัวของพวกเขาทั้งหกคน

    หนีแม่เที่ยวกับพวกเรามั้ย...สนุกนะครับทุกคน

     

    …end…


    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×