Badbuddy (so short) Fanfiction : End of the beginning - Badbuddy (so short) Fanfiction : End of the beginning นิยาย Badbuddy (so short) Fanfiction : End of the beginning : Dek-D.com - Writer

    Badbuddy (so short) Fanfiction : End of the beginning

    โดย tammypk83

    แค่เพื่อนครับเพื่อนเพิ่งจบ แต่เราอยากให้ครบบริบูรณ์

    ผู้เข้าชมรวม

    55

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    55

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  23 ม.ค. 65 / 16:28 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีดำสนิทก้าวลงมาจากตึกใหญ่ สีหน้าสดชื่นแจ่มใสพลอยทำให้หัวหน้าพนักงานต้อนรับที่คุ้นเคยกันมาพักใหญ่อดจะยิ้มตามไม่ได้ ด้วยความที่เห็นกันมาตั้งแต่เธอยังประจำอยู่ที่หน้าเคาเตอร์ และ เขายังเป็นหนุ่มน้อยนักศึกษาที่ตามเพื่อนมาเสนอโปรเจค แล้วเมื่อทางนั้นสังเกตว่าเธอมองมาก็เข้ามาทักทายอย่างคนอัธยาศัยดี

    “ หวัดดีครับพี่ ผมมาออกบ่อยเดี๋ยวนี้ไม่เจอพี่เลย ถามน้องหน้าเคาเตอร์เห็นเค้าว่าพี่ไปทำ back office แล้ว เลยได้แต่ฝากขนมไปให้ ”

    ว่าแล้วเจ้าตัวก็หยิบถุงใบไม่เล็กนักออกมาจากกระเป๋าเอกสาร

    “อันนี้ เพื่อนผมฝากมาให้ครับ ”

    “ พี่ยังจำได้มั้ยฮะ ไอ้คนนั้นที่มันมาด้วยกันกับผมสมัยเรียนตอนโน้นนนน  ”

    คนพูดลากเสียงยาว

     “ขอบคุณนะจ๊ะ”

    คนฟังกระพริบตานิด ๆ ทำท่าระลึกตรึกได้ก่อนยื่นมือมารับของ อ่อ

    “ น้องคนนั้นใช่มั้ย ที่ท่าทางเนี้ยบ ๆ ทำอะไรอยู่ที่ไหนละคะ หลายปีแล้วนะไม่เจอกันเลย

    เห็นแต่ชื่อเราที่มาติดต่องานที่นี่บ่อย ๆ”

    และ ผลตอบรับถือว่าดีเลยทีเดียวแหละ ถึงจะคนละสายงานแต่ก็สัมพันธ์กัน เป็นประชาสัมพันธ์หูตาต้องไวกว่าปกติ ใครเข้าพบได้ไม่ได้ ต้องจำแนกให้ออกจัดการให้ได้ และ รายนี้อยู่ในจำพวกไฟเขียวผ่านฉลุย คุยกันไว้ก็ไม่เสียหาย 

    “ อ้อ ตอนนี้มันเป็นเต็คอยู่สิงคโปร์ครับพี่ ไปได้สามสี่ปีแล้ว ไม่มีวี่แววว่าจะกลับเลย ”

    หรือจะทิ้งกิจการพ่อมันเสียก็ไม่รู้ ภัทรคิดในใจ ก่อนจะหันไปคุยกับพี่เขาอีกเล็กน้อยก่อนเอ่ยคำลา

    รถคันงามสมฐานะออกตัวจากลานจอดรถไม่นานเท่าไหร่ สัญญาณคอลไลน์ก็ดังขึ้น ภัทรมองหน้าจอรอยยิ้มสว่างไสว ใต้แสงแดดอ่อนยามสนธยาที่ทอดเข้ามาในตัวรถ

    “ ยังไงมึง คราวนี้กลับเมื่อไหร่ กูไม่ลืมละนะว่ามึงลงที่สุวรรณภูมิอ่ะ ”

    เจ้าตัวหักพวงมาลัยออกถนนใหญ่พลางโต้ตอบกับอีกฝ่าย

    “ ภัทร …”

    เสียงตอบกลับมามีความร้อนรน ผิดกับปราณคนเดิมที่เยือกเย็นอยู่เสมอ

    “ มึงไปดูแม่กูให้หน่อย พ่อกูออกไซต์ต่างจังหวัดแม่กูอยู่บ้านคนเดียว เมื่อกี๊กูโทรคุยกับแม่ เสียงเหมือนคนล้ม ”

    “ กูโทรกลับแล้ว แม่ไม่รับโทรศัพท์เลย  ภัทร … ”

    น้ำเสียงอีกฝ่ายขาดไปเหมือนกำลังรวบรวมสติ

    เรื่องไม่คาดฝันฟาดเข้ามาถึงกับสะดุ้ง ภัทรกวาดตามองถนนช่วงเย็นตอนสิ้นเดือนที่คราคร่ำไปด้วยยานพาหนะก็ร้อนใจไม่แพ้ปลายสาย ทำยังไงล่ะรถแน่นออกขนาดนี้ไม่อยากบอกให้อีกคนใจเสียเลย 

    “ มึงไม่เป็นไรนะมึง มึงใจเย็น ๆ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เดี๋ยวกูจัดการเอง ”

    “ กูกำลังกลับบ้านนะมึง มึงอย่าเพิ่งโทรหาแม่มึงก่อน ให้โทรศัพท์ว่าง ๆ ไว้ เดี๋ยวกูจะหาคนไปดู ที่บ้านกูคนเยอะแยะ ”

    พูดไปก่อนนั่นแหละ ถ้าจะอยู่บ้านจริง ๆ ก็คือ “ป๊า” เย็น ๆ แบบนี้ สิ้นเดือนวันเที่ยวของม๊าคงออกไปซื้อของ ภามันก็ออกกองหนังอะไรของมันตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว

    “ กูฝากด้วยนะ ภัทร กูไม่รู้แม่เป็นไงบ้าง แม่ง ถ้ากูอยู่บ้านซักคนนึงอ่ะมึง ”

    เสียงเหมือนจะร้องไห้แล้วโทษตัวเองแบบนั้น ทำให้คนฟังใจไม่ดีเอาเลย

    “ มึงอย่าเพิ่งคิดในแง่ลบสิวะ มึงไม่ได้ไปเหลวไหลที่ไหน มึงก็ไปทำงานไง งานก็ดีเงินก็ดี งานมึงก็แลนด์มาร์คตรงมาริน่าเบย์ไงวะ ไม่ได้ผิดอะไรเลยมั้ย ปราณมึงหายใจลึก ๆ นะ ทำใจให้สงบไว้ก่อน ”

    “เชื่อกูนะปราณ กูจัดการได้ เดี๋ยวกูติดต่อกลับไป ขอเวลาไม่เกิน 15 นาทีนะมึง ”

    จะเอายังไงดีวะ ยังไม่เคยพูดกับพ่อแม่เป็นจริงเป็นจังซักทีว่าจริง ๆ แล้วยังคบหากันอยู่ ทั้ง ๆ ที่ก็พอจะรู้ว่า ผู้ใหญ่เขารู้นั่นแหละ ว่าไม่ได้เลิกกันอย่างที่ปากพูด ชีวิตลับ ๆ มันก็ดำเนินมาจะเข้าปีที่ 7 อยู่นี่แล้ว เขายังขึ้นทางด่วนฟรีพาสจะร่วงหลังคาตกมาคอหักตายอยู่ทุกทีที่ปราณกลับบ้าน พอ ๆ กับเสียงกีต้าร์และเสียงหัวเราะที่สุดท้ายแล้วดังลงไปข้างล่าง โดยที่แม่ของปราณทำหูทวนลมราวกับไม่ได้ยินอะไรเลยอยู่เสมอ 

    เอาวะ มันมาถึงขนาดนี้แล้ว คงต้องลองดูซักตั้ง อย่างน้อยเรื่องนี้มันชีวิตคน

    เจ้าตัวตัดสินใจกดโทรศัพท์ มือเริ่มเย็นขึ้นมานิด ๆ

    “ ว่าไงไอ้ภัทร ”

    เสียงปลายสายที่คุ้นเคยดังขึ้น

    “ ป๊า ม๊าอยู่บ้านมั้ย ”

    เผื่อไว้แหละ ถ้าเกิดอยู่ก็ดียังสะดวกใจกว่าถ้าจะพูดเรื่องนี้กับม๊า

    “ เออ ถามแปลก ก็รู้ สิ้นเดือนวันชอปปิ้งม๊ามึง ขับรถออกไปตั้งแต่บ่ายละ แล้วถ้าจะคุยกับม๊าแล้วโทรหาป๊าทำไมก่อน”

    อีกฝ่ายตอบกลับมาเจือเสียงกลั้วหัวเราะ หากอีกฝ่ายไม่หัวเราะด้วย

    “ ป๊า ป๊าเข้าไปดูแม่ปราณให้หน่อยได้มั้ย ”

    น้ำเสียงคนเป็นลูกเจือด้วยความไม่แน่ใจแต่ก็ร้อนใจ เอาวะเป็นไงเป็นกัน

    “ ปราณมันโทรมาจากสิงคโปร์ มันโทรคุยกับแม่แล้วมีเสียงล้ม สายตัดไป มันโทรหาแม่มันไม่ติดเลย คุณอาผู้ชายไปต่างจังหวัด ไม่มีใครอยู่ ป๊าไปดูให้หน่อย ”

    “ นะป๊านะ ”

    ก่อนที่ถ้อยคำชักแม่น้ำทั้งห้าเท่าที่คิดเอาไว้จะหลุดจากปาก ภัทรกลับได้ยินคำตอบที่ตัวเองก็ไม่ได้คาดคิดเหมือนกัน

    “เออ เดี๋ยวจะเข้าไปดูให้ ”

    คำตอบเรียบ ๆ ไม่มีคำถาม ภัทรทั้งแปลกใจและโล่งใจ หากในเวลารีบด่วนแบบนี้ก็ไม่ได้มีใจจะไถ่ถามเหตุผล เจ้าตัวจึงรีบตอบกลับไปด้วยความรวดเร็วราวกลัวอีกฝ่ายเปลี่ยนใจ

    “ งั้นภัทรโทรบอกปราณก่อนนะ ว่ามีคนเข้าไปดูให้แล้ว ยังไงป๊าบอกภัทรด้วยนะว่าแม่มันเป็นไงบ้าง ตอนมันโทรมาเสียงสั่นหงิง ๆ เป็นลูกแมวเลย ”

    ชายวัยกลางคนก้าวเท้าเร็ว ๆ ไปยังบ้านข้าง ๆ ความตะขิดตะขวงและทิฐิในใจถูกวางเอาไว้ก่อน ปลอบใจตัวเองว่าเราเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว เอาหูเอานาเอาตาไปไร่มาเข้าปีที่เท่าไหร่แล้วนะ นับตั้งแต่ภัทรมันบอกว่าเลิกกับเด็กคนนั้น รู้ตั้งแต่กลับมาบ้านแล้วล่ะว่าเลิกไม่จริง และ เขาคิดว่าอิษยาก็คงรู้เหมือนกัน ใจที่คิดอยากดึงลูกให้ห่างออกจากกันมันยังมี แต่ก็อีกสายตาที่ลูกมองมาวันนั้น สายตาผิดหวังและบาดเจ็บเหลือแสนก็ทำให้เขาได้ฉุกคิด การหนีหายไปเป็นอาทิตย์ของภัทรทำให้เขาเย็นลง ที่สุดแล้วไม่ว่าเขาอยากจะให้ลูกเป็นอะไรก็เถอะ แต่มันก็มาลงเอยที่คำว่า “ความสุขของลูก” 

    เมื่อคิดว่าชีวิตของลูกควรเป็นของลูก ทุกสิ่งในหัวก็เบาลงเยอะ เขาไม่เคยแสดงออก หรือ รับรู้ถึงการมีตัวตนของเจ้าเด็กปราณข้างบ้านอย่างชัดแจ้งก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าไอ้เจ้าภัทรมันทำอะไร ทุกครั้งที่ปราณกลับบ้านทำไมถึงจะไม่ได้ยินล่ะว่าลูกเรามันยึดอาชีพตีนแมวเป็นอาชีพรอง ไต่กำแพงเป็นสไปเดอร์แมนเลยนะมึง ซักวันตกมาแข้งขาหักจะสมน้ำหน้าเสียให้ ตอนแรกก็ทำใจยากซักหน่อยแต่ปีนไปบ่อย ๆ คนเป็นพ่อก็ชักจะชิน แค่กลัวว่าวันไหนมันจะถูกปัสตันยิงตกลงมาตายก็เท่านั้นเอง ยัยอิษยายิ่งยิงปืนแม่น ๆ อยู่

    ดูเข้า รั้วเร้ออะไรก็ไม่ล็อค โจรเข้ามาหักคอตายซักวันละเธอเอ๋ย เจ้าตัวคิดในใจเมื่อผลักประตูรั้วเข้าไปได้โดยง่าย แต่ก็ดี ไม่งั้นเรียกใครมาช่วยไม่ได้ก็จบกัน ตายคาบ้านจะหัวเราะไม่ออก แก่เฒ่ากันป่านนี้แล้ว

    “ อิษ ”

    คนที่บุกเข้ามาในบ้านตะโกนเรียก

    “ เธออยู่ไหนวะ ? ”

    เสียงตอบไม่มี แต่ดูเหมือนมีเสียงขยับเก้าอี้เบา ๆ ในห้องรับแขก

    “ อิษยา เฮ้ย !! ”

    เจ้าของชื่อนอนแอ้งแม้งคว่ำหน้าอยู่กับพื้น

    “ เธอ เฮ้ย เธอเป็นอะไร ”

    ความเจ็บปวดทำให้คนที่นอนอยู่บนพื้นลืมปัจจุบันหากหวนกลับไปหาอดีต เช่นดียวกับอีกฝ่าย

    “ หมิง แก ชั้นปวดท้อง ”

    เจ้าตัวไขว้คว้าจับมืออดีตเพื่อน อีกฝ่ายก็บีบมือที่จับไว้แน่นเหมือนเวลา 30 กว่าปีที่แล้วหวนกลับมา

    “ ไม่เป็นไรนะแก เดี๋ยวชั้นพาแกไปหาหมอนะ แป๊บนึง แกลุกขึ้นนั่งไหวมั้ยวะ ”

    หมิงในชุดนักเรียนเคยไต่ถามประโยคเดียวกันนี้นี่แหละยามให้เพื่อนรักเพื่อนแค้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ไปคลีนิกในวันก่อนเก่า

    “ เออ ไม่ต้องลุกแล้ว เธอนอนอยู่แบบนั้นแหละ ไหนกุญแจรถเธออยู่ไหน เดี๋ยวไปกันเลย ”

    กว่าจะลากถูกันไปถึงโรงพยาบาลได้ก็พอดีลูกน้องอิษยาผ่านมาส่งบัญชีให้ซ้ออิษที่บ้านเลยช่วยกันหอบหิ้วไปได้ในที่สุด

    “ ไช้ไม่ต้องอยู่หรอก เดี๋ยว เฮียอยู่ให้เอง ลูกยังเล็กไปเหอะ ”

    เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ได้เวลาโทรรายงานที่บ้าน และ ลูกชายตัวดีเป็นคำรบที่ 3 หลังจากบอกมันไปก่อนหน้าแล้วว่าส่งแม่ “เพื่อน” ของมัน เข้าโรงพยาบาลเรียบร้อย

    “หมอเขาว่าคุณอาเป็นอะไรอ่ะป๊า ภัทรจะได้รายงานปราณมันถูก ถามยิก ๆ เลย”

    เท่านั้นเองอีกฝ่ายก็เล่ายืดยาวตามประสาหัวหน้าห้องเก่า ช่างจัดช่างแจง

    “ เขาว่าไส้ติ่งน่ะ ไม่มีอะไร ”

    คนช่างเล่าพยักเพยิดไปทางคนที่นอนอยู่บนเตียงในห้องพิเศษ

    “หมอเขาถาม ยัยอิษเขาก็ว่าเขาปวดท้องมาหลายวันเหมือนกัน แต่นึกว่าโรคกระเพาะ ก็นั่นละนะ โรคประจำตัวตั้งแต่เรียนมัธยมแล้ว เครียดไม่ได้เรื่อง ยัยคนนี้ ”

    “ ก็บอกไปละกันว่าไม่มีอะไร นี่ก็ฝากไอ้ไช้ไปรายงานสามียัยอิษเขาแล้ว บอกว่าไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวจะดูให้ แก่ ๆ กันหมดแล้ว รีบไปรีบมาพอดีเกิดอุบัติเหตุกลางทาง ไม่ใช่เด็ก ๆ ทำงานหามรุ่งหามค่ำได้ นี่ไอ้เจ้าปราณมันไม่คิดจะมาช่วยพ่อช่วยแม่มันมั่งเหรอ ให้วิ่งท่อม ๆ ออกงานต่างจังหวัดอยู่ได้ ถ้าป๊าไม่อยู่บ้านมาเจอยัยอิษเข้า แม่มันไม่ตายคาบ้านเรอะ ”

    “โถ่ป๊า มันเรียนเต็คมา จะมาทำผู้รับเหมาก็ใช่ที่มั้ยล่ะ เนี่ย มันทำงานที่สิงคโปร์ แลนมาร์คตรงมาริน่าเบย์ตอนนี้ก็มันออกแบบ มันเก่งนะป๊า”

    ต่างฝ่ายต่างเจื้อยแจ้วไปอย่างลืมตัวถึงข้อมูล “เลิกกันแล้ว” ที่เคยเข้าใจและทำท่าว่าเป็นอย่างนั้นกันมาโดยตลอด

    “ โอ๊ย เสียงดัง ”

    เสียงแหวไม่เบานักดังมาจากเตียงพิเศษ แต่ก่อนจะมีใครพูดอะไร คนที่นอนบนเตียงก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

    “ คุยกะลูกแกอยู่เหรอ ”

    อีกฝ่ายพยักหน้า

    “ อือ แล้วเธอจะทำไม ”

    “ ชั้นขอคุยด้วยหน่อยสิ ”

    คนเป็นพ่อประเมินด้วยสายตาแล้วคงไม่มีอะไร ถึงได้ยื่นโทรศัพท์ให้

    “ นี่ วันหลังถ้าจะเข้ามาบ้าน ก็เข้าทางประตู ไม่อยากให้ตกลงมาคอหักตายก่อน ”

    พูดจบเจ้าตัวก็ส่งโทรศัพท์คืนให้ อีกฝ่ายปรายตามองคนบนเตียงซักแป๊บแล้วค่อยพูดกับลูกตัวเองต่อ

    “ ถ้าปราณมันกลับมา ก็บอกมันหน่อยละกัน ว่ามาก๊งเหล้าด้วยกันหน่อย บลูฯ ที่มันซื้อมาให้นั่นแหละ ได้อบรมกันนิดนึงว่ามาช่วยงานที่บ้านได้แล้ว ”

    เจ้าตัวตัดสายไม่รอให้ลูกชายที่อึ้งรับประทานไปแล้วตอบกลับมา

    คงถึงเวลาแล้วมั้ง สายตาของชายวัยกลางคนทอดไปที่คนบนเตียง น่าแปลกที่เงาของเด็กผู้หญิงท่าทางจริงจัง ดวงตาคมดุซ้อนทับเข้ามาตรงสตรีที่เขากำลังประจันหน้า

    “ อิษ แกอยากฟังมั้ยวะ ว่าตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น ”

    อีกฝ่ายเสหันไปมองม่านหน้าต่างสีเรียบ ๆ ราวกับมีอะไรชวนให้พิจารณาหนักหนา หากเสียงของอีกฝ่ายทำให้เธอนึกถึง เด็กผู้ชายช่างจัดการเมื่ออดีตก่อนเก่า ปากจึงกลับบอกไปว่า

    “ แกก็ … เล่ามาดิ ”

     

    The End

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×