มันเป็นวันธรรมดาๆวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนอนอยู่ในบ้านไม้หลังเก่า ซึ่งอยู่ใกล้กับสวนสาธารณะประจำเมือง จริงๆมันแทบไม่ต่างจากวันอื่นๆ ที่เขามักจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่นอนอยู่บนเตียงหลังนี้ เขาไม่อยากจะขยับตัวไปไหน ไม่อยากสุงสิงกับใคร เค้าไม่ได้เจอผู้คนมานานเท่าไหร่แล้วเขาเองก็จำไม่ได้
เขาพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงหลายหน จนมาหยุดอยู่ที่ท่าตะแคง สายตาของเขามองทะลุออกไปนอกหน้าต่าง มองเห็นอนุสาวรีย์เก่าแก่ที่อยู่กลางสวนสาธาณะ เค้ารู้จักรูปปั้นของชายผู้นั้นดี มันเป็นรูปปั้นของท่านแม่ทัพผู้สัตย์ซื่อ
ผู้คนต่างลือกันว่า ท่านแม่ทัพได้ถูกฝ่ายกบฏจับเป็นเชลยร่วมปี เนื่องจากความกล้าหาญกอปรกับฝีมือการรบที่เลื่องลือ หัวหน้าฝ่ายกบฏสนใจในตัวเขา และพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาแปรพรรค แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ หัวหน้าฝ่ายกบฏยอมแพ้ต่อคุณธรรมในตัวเขาจึงไว้ชีวิตและส่งตัวกลับมา
และเมื่อแม่ทัพเสียชีวิตลง ผู้คนจึงต่างพากันสร้างอนุสรณ์สถานนี้ไว้เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา
ข้อความที่ปรากฏด้านล่างรูปปั้นนั่นมีใจความว่า
'คำพูดไร้แก่นสาร ดั่งสายลมผ่านผัน สัจจะโจษจัน ดั่งภูผานิรันดร'
เป็นคำพูดที่เขาได้เอ่ยไว้ในวันที่เขารอดชีวิตกลับมาซึ่งเป็นเวลากว่าร้อยปีมาแล้ว ในยุคที่ผู้คนยังบูชาสัจจะ ต่างจากปัจจุบันที่ผู้คนในเมืองต่างใช้วาจาอันมิชอบเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง ไม่มีใครสนใจการพูดความจริงอีกต่อไป ไม่ต่างจากสภาพของรูปปั้นที่ไร้คนสนใจในตอนนี้ มันเต็มไปขี้นก รวมถึงเถาวัลย์ที่เกาะกุมจนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม
ดวงตาของชายผู้นอนตะแคงยังจดจ้องอยู่ที่รูปปั้น เขากำลังใคร่ครวญถึงบางสิ่ง
เช้าวันต่อมาได้เกิดเรื่องราวประหลาดขึ้น เมื่อรูปปั้นนั้นหายวับไปกับตา แต่กลับมาอยู่ในบ้านของเขา ภายใต้ผ้าคลุมผืนใหญ่เกือบจะมิดชิด หากยังสังเกตเห็นมือหนึ่งซึ่งทำด้วยเหล็กผสมทองแดง มันเป็นมือของท่านแม่ทัพที่กำลังชี้นิ้วโผล่ออกมานอกผ้าคลุมนั่นไปยังเขาซึ่งกำลังหลับอยู่บนเตียง ผู้คนต่างพากันร่ำลือกันว่า เขาอาจจะเป็นตัวแทนของท่านแม่ทัพที่มาจุติในยุคนี้
ตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าเค้าจะทำอะไรที่ไหนก็มีแต่คนจับตา เขาเริ่มออกนอกบ้าน ว่ากันว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเข้าไปในร้านอาหาร แล้วบอกกับบริกรอย่างสุภาพว่าในตัวเขานั้นไม่มีเงินเลยสักแดงเดียว เจ้าของร้านนั้นประหลาดใจกับคำพูดประเภทนี้ยิ่งนัก ทำให้เขาทานมื้อนั้นได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินเลย
เค้าพูดน้อยครั้ง แต่ทุกคำพูดที่ผ่านมาจากปากของเขา ผู้คนต่างให้ความสนใจ เพราะมันเป็นสิ่งใหม่ และเชื่อกันว่าอาจจะเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากท่านแม่ทัพในตำนาน
ผู้คนต่างเรียกขานเขาในนาม 'ชายผู้ไม่เคยโกหกใคร' ตามชื่อที่ผู้คนในอดีตใช้เรียกท่านแม่ทัพ
เรื่องราวของเขาจะจบเพียงเท่านี้ หากขุนนางท่านหนึ่งไม่เล่าเรื่องราวข้างต้นให้พระราชินีฟัง
พระราชินีผู้เป็นที่รักของพระราชา ต้องการจะทราบถึงความเห็นเกี่ยวกับการแต่งตัวไปงานเลี้ยงเฉลิมฉลองซึ่งกำลังจะมีขึ้น
ที่แล้วมา พระราชินีตรัสถามใครๆก็จะได้คำตอบเหมือนๆกันว่า 'ท่านงดงามมาก' แต่คำตอบเหล่านั้นไม่ทำให้ท่านพอพระทัยเลย เพราะท่านไม่ทราบเลยว่านั่นเป็นความจริง หรือคำโกหกเพียงเพื่อเอาตัวรอด
ในขณะที่บรรดาคนใกล้ชิดพระราชินีก็ทราบดีว่า หากมีใครพูดความจริงว่า ชุดที่พระนางใส่อยู่นั่น 'เชยสิ้นดี' หัวของผู้นั้นคงหลุดออกจากบ่า ด้วยคำสั่งอันเด็ดขาดของพระราชาผู้ทรงถนอมพระหฤทัยพระนางอันเป็นที่รัก
พระราชินีมีรับสั่งให้ทหารเรียกตัวเขามาพบโดยเร่งด่วน
การเผชิญหน้าที่กำลังจะมีขึ้นของเขากับพระราชินี กลายเป็นที่กล่าวถึงในวงกว้าง เกิดการรวมตัวของผู้คนในเมืองนับหมื่นบริเวณรอบนอกราชวัง เพื่อเฝ้าดูความเป็นไปของเขา 'ชายผู้ไม่เคยโกหกใคร'
พระราชินีต้องการได้รับการแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาจากเขา ในที่สุดเขาก็ถูกพาตัวเข้ามาในห้องส่วนพระองค์ ในห้องแห่งความลับนี้ยังมีองครักษ์ผู้สัตย์ซื่ออีกนายหนึ่ง ซึ่งยืนอยู่เคียงข้างพระที่นั่ง ร่างของเขาไม่ไหวติง หากแต่เฉพาะดวงตาที่กำลังขยับไปจ้องแขกผู้มาเยือนที่กำลังคุกเข่าลงตรงเบื้องหน้า
พระราชินีตรัสขึ้นทันทีว่า
"ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านมาช้านาน 'ชายผู้ไม่เคยโกหกใคร' ถึงตอนนี้ข้าต้องการได้ล่วงรู้ถึงสัจจะที่แท้จากปากของเจ้า จากนั้นเจ้าอยากได้อะไรก็ว่ามา ข้าหาให้เจ้าได้ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ เอาหล่ะ เจ้าจงเผยความจริงกับข้า การแต่งตัวของข้าในขณะนี้ เจ้าเห็นเป็นเช่นไรบ้าง?"
ชายผู้คุกเข่านิ่งคิดอยู่พักใหญ่ก่อนที่เขาจะเอ่ย 'ตอบ'
พระราชินีมีสีหน้าพอพระทัยในคำตอบ ผิดกับองครักษ์ที่ถึงกับเปลี่ยนอากัปกิริยา หันหน้ามามองเจ้าของเสียงด้วยความประหลาดใจ เพราะมันเป็นคำตอบที่เกินความคาดหมาย
ประตูวังถูกเปิดออก ทหารในวังจัดขบวนเป็นแนวยาว เคลื่อนออกมาด้านนอกวัง กลางขบวนทหารปรากฏโลงศพมะฮอกกานีสุดหรูโดดเด่น ประดับด้วยดอกไม้สีขาวงดงาม ด้านท้ายของหีบศพสลักชื่อของเขา'ชายผู้ไม่เคยโกหกใคร' งานศพของเขาถูกจัดขึ้นโดยพระราชาอย่างสมเกียรติ
ก่อนหน้านี้ประชาชนที่มารอฟังผล ต่างพากันพูดคุย วิพากษ์วิจารณ์กันต่างนานา แต่สิ่งที่เห็นคงเป็นข้อสรุปของทั้งหมด
ผู้คนในเมืองบ้างก็ร้องไห้คร่ำครวญ บ้างก็ก้มลงสวดภาวนาให้วิญญาณของเขา และทุกคนที่มารอนั้นต่างพากันยกย่องในการรักษาคำสัตย์ของชายผู้จากไป แม้นั่นจะเป็นประโยคสุดท้ายที่มีโอกาสได้กล่าว
หลังจากนั้นไม่นานจึงเกิดการรวมตัวกันของประชาชนในเมือง เพื่อสร้างอนุสาวรีย์ของเขา 'ชายผู้ไม่เคยโกหกใคร' ในสวนสาธารณะหน้าบ้านหลังเก่าของเขาเอง ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นพิพิธพัณฑ์
บ่ายแก่วันหนึ่งในร้านอาหาร หญิงบริกรกำลังรอเก็บเงินค่าอาหาร เขาเป็นชายผู้สวมผ้าคลุมแต่ยังพอทราบได้ว่าเป็นคนมีฐานะดี สังเกตได้จากรองเท้า และจานอาหารจำนวนมากบนโต๊ะ เขากำลังจะขยับปากพูดอะไรบางอย่าง แต่เปลี่ยนเป็นการล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุม หยิบเงินขึ้นมาจ่ายกับบริกรสาว เงินดังกล่าวมีจำนวนมากกว่าที่หญิงคนนั้นเอ่ยถึงสองเท่า เขาพูดก่อนที่หญิงบริการจะได้ถาม
"ที่เหลือคือทิป"
หญิงบริการเดินจากไปแล้ว แต่เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม คิดถึงชีวิตที่ผ่านมา เสียงความคิดในหัวของเขาดังขึ้นว่า
'นี่คงเป็นครั้งแรกที่ข้าพูดความจริง'
---------------------------------------------------------------------------------
Jacob 's Fanpage : www.facebook.com/jacob.writer
---------------------------------------------------------------------------------
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น