คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1+2 เริ่มต้น...การแก้แค้น
Kanashii iro no jikyu…part 2
ตอนที่ 1 เริ่มต้น...การแก้แค้น
โลกของพวกเรานั้นมืดมิด...โลกที่เราไม่ได้เป็นคนเลือก แต่เป็นฝ่ายที่ถูกเลือกให้มีชีวิตอยู่
...บนโลกใบนี้
เมื่อ 4 ปีก่อน ในงานเลี้ยงระหว่างกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั้ง 4 ตระกูล อันประกอบด้วย วองโกเล่ คาบัคโรเน่ ฮิบาริและโรคุโด บรรดาลูกหลานของทุกตระกูลต่างมารวมตัวกันเพื่อเปิดตัวผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการ ตัวแทนวองโกเล่คือ สึนะโยชิ ทายาทสายตรงเพียงผู้เดียว ตัวแทนคาบัคโรเน่คือ ดีโน่ หลานชายคนโตของประธานคนปัจจุบัน และเป็นเพื่อนร่วมรุ่นมหาลัยกับแซนซัส อาของสึนะ ตัวแทนฮิบาริคือ เคียวยะ ลูกชายคนรองของตระกูลฮิบาริที่มารับช่วงแทนพี่ชายที่เสียไปแล้ว และตัวแทนของโรคุโดกรุ๊ป กลุ่มธุรกิจหน้าใหม่ในวงการ โรคุโด มุคุโร่ ลูกชายคนโตของตระกูล ซึ่งเพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตาและความสามารถ การเผชิญหน้าของทั้ง 3 คนดูจะไม่มีปัญหาอะไรนัก เพราะอายุรุ่นเดียวกัน ยกเว้นก็แต่สึนะโยชิที่ยังเด็กมาก
“ตัวแค่นี้ก็กลายเป็นผู้สืบทอดแล้วนะเรา เก่งนี่หว่า” ดีโน่พูดเล่นหัวกับรุ่นน้องอย่างสนุกสนาน มุคุโร่ก็เพียงแค่หัวเราะน้อยๆ ส่วนเคียวยะนั้นหน้านิ่งไร้อารมณ์
“ฉันสิ ดันถูกเรียกตัวกลับจากเยอรมันด้วยเรื่องสืบทอดเนี่ย เซ็งสุด”
“คุณดีโน่ไม่อยากรับช่วงตระกูลเหรอครับ” สึนะมองหน้าอีกฝ่ายเชิงอยากรู้ ดีโน่ยืนกอดอกพยักหน้างึกงัก
“อืมๆ ก็ไม่น่ะสิ ฉันอยากเป็นวิศวกรธรรมดามากกว่า” ดีโน่ว่า “อุตส่าห์ถ่อไปเรียนตั้งเป็นปีๆ จู่ๆ ก็ให้กลับมา เรียนยังไม่ทันจบเลย แล้วจะมายัดให้เรียนบริหารอีก โอยยย เซ็ง”
“บ่นมากนักก็หนีไปซะเลยสิ ทิ้งทุกอย่างที่นี่ให้น้องชายนายรับต่อไปเลย” ฮิบาริ เคียวยะเปิดปากพูดเป็นครั้งแรก ด้วยสีหน้าคงเดิม
“แบบนั้นก็ไม่ดีอีก เพราะน้องฉันก็มีความฝันของมันน่ะ”
“งั้นนายก็ก้มหน้ารับชะตากรรมไปซะ” ทั้งสองคนเริ่มปะทะคารมกันอย่างเมามัน เพราะเคยเป็นเพื่อนเก่ากันมาก่อนเลยพูดตรงๆ ได้แบบนี้ สึนะได้แต่มองสองคนเถียงกันไปมาอย่างละเหี่ยใจ แต่จู่ๆ ก็มีมือมาคว้าตัวเขาให้ออกจากวงสนทนานั้น เป็นมุคุโร่นั่นเองที่พาเขาออกมาจากสถานการณ์น่าอึดอัด
“พวกนั้นก็อย่างนี้ทุกทีล่ะครับ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็กอดคอพากันไปดื่ม” มุคุโร่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เจอคนใจดีด้วย สึนะก็เลยคลายความอึดอัด
“เห็นคุยเรื่องสืบทอด ผมก็คิดว่าสึนะโยชิคุงเก่งจริงๆ นะ”
“เอ๋? ไม่หรอกครับ ที่จริง...” สึนะลดเสียงลง “ควรจะให้คุณอาสืบทอดก่อนผมมากกว่า”
“คุณอา?” มุคุโร่เอ่ยอย่างสงสัย
“ครับ คุณอาเป็นลูกบุญธรรมของปู่น่ะฮะ เป็นคนเก่งมาก แล้วก็เท่สุดๆ ผมน่ะอยากเป็นอย่างคุณอา แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ แล้วจะให้สืบทอดตระกูลเนี่ย...”
“อ้อ” มุคุโร่ส่งเสียงคล้ายจะเข้าใจเรื่องที่เด็กหนุ่มร่างเล็กพูด
“คุณอากำลังเรียนอยู่ที่ต่างประเทศ แต่วันนี้ก็อุตส่าห์มากับพวกผมด้วย” เด็กหนุ่มร่างเล็กพูดคุยกับมุคุโร่อย่างเป็นกันเอง คงเพราะรอยยิ้มของชายหนุ่มที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สึนะโยชิเล่าเรื่องราวของคุณอาที่ว่าให้ฟังเป็นระยะอย่างชื่นชม ดูท่าว่าจะหลงใหลได้ปลื้มอาบุญธรรมคนนี้เสียเหลือเกิน
“อ๊ะ! คุณอานี่นา เดี๋ยวผมแนะนำให้รู้จักนะพี่มุคุโร่” สึนะหันมายิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งไปหาคุณอาของตน
“คุณอาฮะ อาแซนซัส!”
แซนซัส
มุคุโร่มองตามร่างเล็กที่วิ่งไปหาชายร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีเข้ม แม้อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายก็ยังโดดเด่นในสายตาของเขา ทั้งเรือนผมสีดำสนิทและดวงตาสีชาด รวมทั้ง...รอยแผลเป็นเหล่านั้น
.
.
.
แซนซัส
“คึหึหึ...ในที่สุด ก็เจอจนได้”
“คุณอาผมมีคนจะแนะนำ...อ้าว?” ร่างเล็กยกมือเกาหัวแกรกๆ ด้วยความงุนงงเมื่อเดินกลับมาแล้วไม่พบใครยืนอยู่ที่ตรงนั้นเลย มุคุโร่หายไปเสียแล้ว
“สงสัยไปเข้าห้องน้ำมั้งฮะ งั้นผมพาคุณอาไปทักทายพวกพี่เคียวยะก่อนละกัน” แล้วสึนะก็ดึงแขนคุณอาคนโปรดไปทางสองหนุ่มที่ยังยืนคุยกันออกรสไม่หยุด แซนซัสยิ้มแย้มทักทายพวกเขา โดยไม่รู้ตัวถึงสายตาคมกริบสองสีที่จดจ้องมาทางตนอยู่ไกลๆ
“อีกไม่นาน...เราคงได้พบกันอีกนะครับ แซนซัส”
และครั้งต่อไปที่พบกัน...ผมจะเป็นคนทำลายรอยยิ้มนั่นเอง
*********
หลังจากประธานโรคุโดคนเก่าเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างกะทันหัน โรคุโด มุคุโร่ ทายาทเพียงคนเดียวก็รับช่วงประธานบริษัทต่อด้วยวัยเพียง 25 ปี แต่ความสามารถของเขานั้นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าไม่แพ้รุ่นปู่หรือพ่อเลย แทบจะดีกว่าเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่...มีข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับเขาคนนี้ค่อนข้างเยอะ ทั้งเรื่องที่ว่าวางแผนฆ่าพ่อตัวเองเพื่อตำแหน่ง และเรื่องที่นิสัยไม่ปกติด้วย
“คุณพี่คะ ถ้าเหนื่อยก็พักบ้างนะคะ” โคลม น้องสาวที่ตอนนี้เรียนจบจากอเมริกามาหมาดๆ ได้กลับมาช่วยงานพี่ชาย เธอเห็นมุคุโร่โหมงานเกินตัวแทบทุกวี่ทุกวันจนอดเป็นห่วงไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอก เธอจะพักก่อนก็ได้นะ พี่จะอยู่อีกสักหน่อย” เขาแตะมือน้องสาวที่วางบนบ่าให้คลายความกังวล
“มีเรื่องเร่งด่วนอะไรขนาดนั้นเหรอคะ” โคลมชะโงกหน้าดูเอกสารในมือพี่ชาย ดูท่าจะสำคัญมากด้วย เพราะเห็นมุคุโร่นั่งตรวจสอบตั้งแต่หัวค่ำจนเกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้วยังไม่วางมันลงเลย
“อ๋อ เรื่องฮุบกิจการของบริษัทอื่นน่ะ ตอนนี้ดำเนินการไปได้สวยเลย”
“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะคะ โคลมไม่เคยเห็นคุณปู่หรือคุณพ่อทำ”
“แต่พี่จะทำ...เพราะพี่ต้องการ” ชายหนุ่มกระตุกยิ้มเยือกเย็น ดวงตาสองสีกวาดมองทุกตัวอักษรในเอกสารนั้น พวกมันสว่างวาบเพียงชั่วครู่เท่านั้น ครู่เดียวที่โคลมไม่ทันสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของพี่ชาย ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เธอก็มองเห็นแค่คุณพี่ที่ทั้งหล่อทั้งเก่งและอบอุ่นใจดีเท่านั้น
“งั้นโคลมไปนอนก่อนนะ คุณพี่ก็รีบนอนนะคะ” น้องสาวจุมพิตราตรีสวัสดิ์บนแก้มของพี่ชายคนเก่ง และมุคุโร่ก็จูบที่หน้าผากของน้องที่แสนน่ารักของเขาอย่างอ่อนโยนเช่นกัน
หลังจากที่โคลมเข้านอนแล้ว มุคุโร่ตรวจสอบเอกสารสักพักก็เสร็จเรียบร้อย เขาวางมันลงบนโต๊ะทำงานราคาแพงแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ อีกไม่นานวองโกเล่กรุ๊ปจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโรคุโดอย่างเต็มตัว และเขาจะขึ้นเป็นประธานใหญ่ของวองโกเล่ เพื่อสิ่งที่ต้องการเพียงหนึ่งเดียว...
...ชีวิตของนาย...แซนซัส
แน่นอนว่าบริษัทใหญ่และเก่าแก่อย่างวองโกเล่ย่อมต้องไม่ยอมสูญเสียฐานธุรกิจของตนเองง่ายๆ และเขาก็เริ่มเปิดการเจรจาอย่างลับๆ กับรองประธานคนปัจจุบัน ซาวาดะ อิเอมิสึ ด้วยข้อตกลงว่าจะยอมให้วองโกเล่เป็นอิสระต่อไป แต่ต้องส่งตัวน้องชายไม่แท้ที่ชื่อแซนซัสให้เขาเป็นการแลกเปลี่ยน อิเอมิสึมีทีท่าลังเลอยู่นาน แต่สุดท้ายความเป็นวองโกเล่ก็ค้ำคอจนต้องตกลง และทั้งคู่ก็เริ่มแผนการหลอกล่อให้ประธานคนปัจจุบันกับแซนซัสตกหลุมพราง แม้ว่าอิเอมิสึจะไม่เต็มใจนักก็ตาม
“ทำแบบนั้นแล้ว คุณจะยอมปล่อยวองโกเล่ไปแน่นะครับ” อิเอมิสึเอ่ยย้ำทางโทรศัพท์กับมุคุโร่อีกครั้งก่อนวันที่แซนซัสจะเดินทางกลับญี่ปุ่น
“ครับ ผมจะทำหนังสือรับรองให้แน่นอน” น้ำเสียงราบเรียบจริงจังส่งผ่านมาจากปลายสาย อิเอมิสึมีสีหน้าที่ดีขึ้นเล็กน้อยจากความเคร่งเครียดและกังวล
“ถ้างั้นก็ตามนี้นะ ขอบคุณมาก คุณโรคุโด”
หลังวางสายไปแล้ว มุคุโร่กระตุกยิ้มให้กับตัวเอง เขายกแก้วไวน์ขาวที่โปรดปรานขึ้นจิบอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่นึกถึงใบหน้าแสนเจ็บปวดของคนที่เขาอยากบดขยี้ให้ไม่เหลือชิ้นดี
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่คำนวณไว้
อา...แซนซัสของผม
จากนี้ไป
...สินะ...
ตอน 2
ร่างโปร่งบางไร้อาภรณ์ปกปิดนอนตะแคงหันหลังซบหน้ากับหมอนสีขาวที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อและน้ำตาของตน แผ่นหลังบางสะท้านไหวด้วยแรงสะอื้นไห้เป็นระยะ แม้จะไม่ได้ยินสียงร้องใดๆ เลยก็ตาม
“ร้องไห้อีกแล้วหรือครับ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยติดรำคาญ นัยน์ตาสองสีเหลือบมองทางหางตา ในขณะที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าของตนอยู่ข้างเตียง
“จะร้องให้ได้อะไรขึ้นมาล่ะครับ” ร่างสูงนั่งลงตรงขอบเตียง แรงยวบที่ผืนเตียงนุ่มทำให้ร่างบางตรงหน้าถึงกับสะดุ้ง
“หันมาสิครับ แซนซัส” มือแกร่งคว้าไหล่บางให้พลิกตัวมาทางตน แต่แซนซัสก็พยายามขัดขืน
“เฮ้อ...คุณอยากทำให้ผมหงุดหงิดอีกรึไง” ชายหนุ่มผมน้ำเงินถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย แซนซัสยังคงนอนหันหลังให้เขา เสียงร้องไห้ค่อยๆ สงบลง
“เดี๋ยวผมจะออกไปบริษัท ถ้าต้องการอะไรก็เรียกจิคุสะกับเคนนะครับ” ชายหนุ่มขยับเนคไทสีหม่นให้เข้าที่ก่อนจะหยิบสูทมาสวมแล้วเดินออกจากห้อง
มุคุโร่สั่งให้จิคุสะคอยเฝ้าดูแซนซัสที่อยู่ในห้อง คอยระวังอย่าให้หนีออกไปหรือทำอะไรบ้าๆ ได้ เพราะหมู่นี้ร่างบางที่แสนน่ารักของเขาค่อนข้างอารมณ์แปรปรวนไม่น้อย เดี๋ยวก็โกรธเดี๋ยวก็ร้องไห้ สาเหตุที่พอคิดได้ก็คงเพราะเรื่องคราวก่อนที่เขายิงไอ้หมอนั่นปางตาย ตั้งแต่วันนั้นแซนซัสก็ดื้อดึงไม่ยอมให้แตะต้อง แต่เขาก็บังคับเอาจนได้ แล้วจากนั้นก็จบลงที่เสียงร้องไห้ของแซนซัสทุกครั้ง
จงเจ็บปวด...สูญเสียและทรมานให้พอ
เพราะผมจะไม่มีวันปล่อยคุณไป...
*********
กลางดึกของคืนวันที่ 18 กันยายน ราว 10 ปีก่อน คืนวันเกิดของมุคุโร่ที่ช่างไม่น่าจดจำเอาเสียเลย เด็กหนุ่มร่างสูงในชุดสำหรับงานปาร์ตี้เพิ่งกลับจากงานเลี้ยงวันเกิดของตน เขากำลังอารมณ์ดีเพราะมีเพื่อนๆ มาร่วมอวยพรมากมาย หลังจากสั่งให้คนขับรถเอาของขวัญที่ขนมาไปเก็บให้แล้ว เจ้าตัวก็เดินฮัมเพลงเข้าไปในบ้าน แต่น่าแปลกที่คืนนี้เงียบเชียบและมืดสลัว
“คุณพ่อคุณแม่ไปไหนกัน? ทำไมมืดแบบนี้” มือเอื้อมไปหยิบรีโมทมาเปิดไฟ แสงไฟสว่างวาบ และสิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าก็คือ...
ร่างของคนคนหนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหินอ่อนเย็นยะเยียบ ท่ามกลางรูปถ่ายของพ่อกับผู้หญิงอีกคนและลูกชายของหล่อน
“ค...คุณแม่!!!” เด็กหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปประคองร่างนั้นขึ้นมาแนบกาย เขาส่งเสียงร้องตะโกนให้คนรับใช้เตรียมรถออก และอุ้มร่างของแม่ที่ไม่ไหวติงแล้วไปยังรถ เพื่อพาแม่ไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ในมือข้างหนึ่งของเขายังกำรูปที่ตกอยู่บนพื้นใบหนึ่งไว้แน่น
หลังจากพาแม่ไปส่งโรงพยาบาลเรียบร้อย เขาโทรบอกโคลมให้รีบมา น้องสาวของเขากระหืดกระหอบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาเขาที่นั่งรอการตรวจอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน พร้อมกับ...พ่อ
“เพราะคุณ! ทุกอย่างเป็นความผิดของคุณ!!” ทันทีที่เห็นใบหน้าของพ่อ มุคุโร่ลุกพรวดขึ้นกระชากคอเสื้อชายร่างสูงที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับตน นัยน์ตาสองสีเอ่อคลอด้วยน้ำตา
“ถ้าคุณไม่ทำอย่างนี้ คุณแม่ของผมก็คง...” เด็กหนุ่มโยนรูปที่ติดมือมาใส่หน้าพ่อของตน
“ใจเย็นๆ ค่ะ คุณพี่ ปล่อยคุณพ่อเถอะ” โคลมรีบเข้าไปห้ามด้วยการรั้งมือพี่ชายออก พ่อของเขาก้มหน้านิ่ง รู้สึกผิดต่อทุกคน
“พ่อขอโทษ...มุคุโร่”
ยังไม่ทันได้พูดอะไรมากกว่านั้น หมอก็เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมกับข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของสองพี่น้อง แม่ของพวกเขาเสียชีวิตแล้ว เพราะอาการช็อคอย่างกะทันหัน เนื่องจากเป็นโรคหัวใจ ตอนที่มุคุโร่พามาก็หัวใจหยุดเต้นแล้ว แม้จะพยายามปั้มหัวใจกันอย่างไรก็ไม่ยอมฟื้นขึ้นมา...ราวกับอยากหายไปเสียให้พ้นๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องรับรู้ถึงความเจ็บปวดอีกต่อไป
วันเกิดที่แสนเลวร้ายที่สุดในชีวิตผ่านไปพร้อมกับงานศพของแม่ที่พวกเขารัก ตั้งแต่วันนั้น มุคุโร่ ก็แทบไม่พูดคุยหรือมองหน้าพ่อของเขาอีกเลย วันคืนอันน่าอึดอัดผ่านไปเนิ่นนาน โคลมเองก็เครียดที่ต้องอยู่ในบรรยากาศมืดมนของพ่อกับพี่ชายจึงมักจะออกไปค้างที่อื่น ยิ่งทำให้บ้านมีแต่ความร้อนระอุมากขึ้น
ในหัวของมุคุโร่เอาแต่คิดเคียดแค้นสองแม่ลูกที่นำพาหายนะมาสู่ครอบครัว พวกมันจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่พวกมันได้ทำให้เขาต้องสูญเสียครอบครัวอันอบอุ่นนี้ไปแล้ว ทำให้เขาต้องสูญเสียแม่ไปตลอดกาล พวกมันจะต้องได้ลิ้มรสความสูญเสียและเจ็บปวดเช่นเดียวกับเขา
และในคืนวันคริสต์มาสอีฟปีเดียวกัน ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่มุคุโร่คาดหวัง เขาเป็นคนจุดไฟแผดเผาทุกสิ่งที่เขาจงเกลียดจงชังด้วยมือคู่นี้ ในคืนที่ทุกคนกำลังสนุกสนานกับงานเทศกาลในเมือง ใครบางคนจะต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์ เขาจะบดขยี้ทุกสิ่งที่ทำลายชีวิตสงบสุขของตนให้เกลี้ยง ไม่ว่าจะด้วยวิธีเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม...
แต่น่าเสียดาย...ที่ลูกชายของผู้หญิงคนนั้นรอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหาริย์ มีคนใจดีช่วยเหลือและรับไปเลี้ยง ทำให้เขาต้องพยายามตามหาอยู่นานกว่าจะรู้ที่อยู่ใหม่ของเด็กคนนั้น แต่เจ้านั่นก็ดันไปเรียนต่างประเทศอีก เขาเฝ้ารอจนในที่สุดก็ได้พบในงานเลี้ยงประกาศผู้สืบทอดของแต่ละตระกูล
ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยรอยแผลเป็นจางๆ ดูงดงามราวกับภาพวาดสีน้ำมันราคาแพง ริมฝีปากบางได้รูปที่แย้มยิ้มดูช่างมีความสุขกับชีวิตใหม่เสียเหลือเกิน
ทั้งที่คุณเป็นคนพรากสิ่งสำคัญไปจากชีวิตผม และทั้งๆ ที่คุณเองก็สูญเสียสิ่งสำคัญไปเพราะผม
แต่คุณกลับมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแบบนั้นได้...เพราะอะไรกัน
อยากจะบดขยี้ริมฝีปากนั่น...อยากจะฉีกกระชากวิญญาณในร่างนั้น
อยากเห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยน้ำตา
อยากได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างทรมานของคุณ...ยามที่ถูกผมย่ำยี
ผม...อยากให้คุณเป็นของผม
ทันทีที่พ่อของเขาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน มุคุโร่ได้ขึ้นเป็นประธานบริษัทโรคุโดรุ่นที่ 3 และบริหารงานอย่างเฉียบคมเด็ดขาด ใครกีดมือขวางเท้าเป็นต้องถูกเก็บหมด ความโหดเหี้ยมและเย็นชาของเขาเป็นที่ประจักษ์ไปทั่ววงการ แต่ถึงอย่างนั้น ความสามารถของเขาก็เป็นของจริงอยู่ดี จึงมีคนนับหน้าถือตาและหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อย ดังนั้น เขาจึงใช้วิธีนี้กดดันวองโกเล่กรุ๊ป ซึ่งเป็นของบ้านซาวาดะ ที่รับแซนซัสไปอยู่ด้วย
แซนซัส ลูกชายของผู้หญิงที่แย่งพ่อไปจากพวกเขา ทำให้แม่ของเขาต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เขาจะทำให้มันต้องเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แม้จะคิดเช่นนั้น แต่ยามที่ได้จ้องมองใบหน้างามที่แต้มรอยแผลนั้นใกล้ๆ ยามที่ได้สัมผัสความอบอุ่นจากร่างบอบบางแต่แข็งแกร่งนั้น ยามที่ได้ครอบครองเรือนร่างนั้น...ในอกของเขากลับเจ็บปวดเสียเอง
“มีคนบอกว่าผมเหมือนพ่อ” จู่ๆ ชายหนุ่มผมน้ำเงินก็เปรยขึ้นมาในขณะที่กำลังกอดรัดร่างโปร่งบางไว้ในอ้อมแขน แซนซัสนอนหันหลังให้ แต่เขารู้ว่ายังไม่หลับ
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง” ร่างโปร่งเอ่ยตอบ แล้วก็หลับตาลงนอนต่อ
“นั่นสิครับ” มุคุโร่หัวเราะในลำคอ
ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาหรือความสามารถ ทุกอย่างถอดแบบพ่อมาหมดไม่มีผิดเพี้ยน ใช่...เขาคงจะเหมือนพ่อมากอย่างที่ใครๆ ว่ากัน แม้แต่...จิตใจก็คงไม่ต่างกัน
พ่อที่หลงใหลแม่ของแซนซัส ผู้หญิงที่เป็นรักครั้งแรก เธอทั้งสวยและฉลาด ดูอบอุ่นใจดี เธอเองก็รักพ่อไม่ต่างจากแม่ของเขา
กับเขา...ที่หลงใหลในตัวของแซนซัส ลูกชายของผู้หญิงคนนั้น ร่างโปร่งบางนัยน์ตาสีแดงคมกล้าที่มักจะสะท้อนภาพเขา
มุคุโร่กระชับวงแขนที่โอบกอดร่างโปร่ง เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอทำให้รู้ว่าแซนซัสหลับสนิทแล้ว
“ถ้าเราไม่พบกันในสภาพนี้...ผมคง...” ชายหนุ่มพึมพำในความเงียบ ก่อนจะหลับตาลงและค่อยๆ เข้าสู่นิทรา
ความคิดเห็น