[SF EXO #ChanBaek] Just Say You Love Me แค่บอกมาว่ารักกัน - [SF EXO #ChanBaek] Just Say You Love Me แค่บอกมาว่ารักกัน นิยาย [SF EXO #ChanBaek] Just Say You Love Me แค่บอกมาว่ารักกัน : Dek-D.com - Writer

    [SF EXO #ChanBaek] Just Say You Love Me แค่บอกมาว่ารักกัน

    คำบอกรักจะไม่มีความหมายอะไร ถ้าคนคนนั้นที่เราจะบอกเค้าไม่อยู่ให้เราบอกแล้ว..

    ผู้เข้าชมรวม

    708

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    708

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    19
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 ก.ย. 56 / 19:19 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

     

     
     

    ผมไม่เคยนอนก่อนแบคฮยอนกลับได้เลย ถ้าไม่ได้ยินเสียงร้องหงิงๆ ก่อนนอนของเค้าผมจะนอนไม่หลับ

    ผม... ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าเริ่มเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

    .
    ...
    ....

     

    “มันก็สมควรแล้วที่แบคฮยอนจะโกรธ ทั้งการกระทำและคำพูด ชานยอลทำเกินไปจริงๆ แต่แบคฮยอน

    ไม่คิดบ้างหรอว่าทำไมชานยอลถึงทำแบบนั้น... คุยกับเค้าสิแบคฮยอน อย่าเอาแต่หนีแบบนี้”

     

    “ตอนนี้แบคฮยอนกำลังสับสน สิ่งเดียวที่จะช่วยแบคฮยอนได้คือเวลา... แต่อย่าให้นานเกินไปนะ

    เพราะเวลาไม่เคยคอยใคร อย่ารอจนถึงวันที่ไม่มีเค้าแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นถึงจะรู้ใจตัวเอง

    มันก็ไม่มีความหมายอะไรอีก"

     

    B B
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


      [SF EXO #ChanBaek] Just Say You Love Me แค่บอกมาว่ารักกัน

       
      ✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵✵

       

       

      (Baekhyun Part)

       

      คุณเคยรออะไรนานๆ นานจนคุณท้อและคิดว่าคงไม่มีวันนั้นแล้วมั้ยครับ ในขณะที่คุณท้อขั้นสุด

      แล้วจู่ๆ ก็มีแสงสว่างเคลื่อนเข้ามาใกล้ๆ ... และแสงสว่างนั้นคือโอกาส ผลลัพธ์มันจะต่างออกไป

      ถ้าหากวันนั้นเกิดคุณท้อและคุณก็หยุดทุกอย่างลงกลางคัน คุณก็จะไม่มีวันได้พบกับแสงสว่างนั้นเลย...

      ผมแค่อยากจะบอกว่าท้อได้แต่อย่าถอยครับ เหนื่อยก็พักแล้วพรุ่งนี้ก็สู้ใหม่

      ความพยายามและความมุมานะไม่เคยทำให้ใครล้มเหลว

       

      และผมก็ได้พิสูจน์ความจริงที่ว่านั้นด้วยตัวของผมเองแล้ว ในวันที่ผมรู้ว่าผมคือหนึ่งในกลุ่มที่จะได้เดบิวต์

       ผมมือไม้สั่นไปหมด ต้องหลับตาและตั้งสติอยู่นานกว่าจะควบคุมตัวเองได้ ผมดีใจ ดีใจแทบบ้า!

      ความฝันตั้งแต่ ป. 6 ของผมเป็นจริงแล้ว! สิ่งแรกที่ผมทำคือกดโทรศัพท์ไปที่บ้าน

      แม่รับโทรศัพท์ผมและเป็นคนแรกที่รู้.....

       

      ตามมาด้วยเสียงร้องลั่นบ้านด้วยความดีใจของพี่ชายผม ผมนึกภาพออกเลยแหล่ะ = =’

       และคนสุดท้ายคือพ่อของผม พ่อบอกให้พี่เงียบแล้วแย่งโทรศัพท์จะจากแม่มาคุยกับผม ...

      พ่อตะโกนใส่หูผม จนผมหูแทบแตก!

      “พ่อบอกแล้วว่าแกต้องทำได้! ทำได้ดีมากลูกพ่อ! H#!^Y%&}{%%$#*)IY^$#$W@!@#!!....

      มันคือศึกแย่งโทรศัพท์กันครับ.. ผมต้องรีบเอาโทรศัพท์ออกให้ห่างก่อนที่แก้วหูผมจะแตกจริงๆ

       

      ไม่ต้องตกใจครับนี่เป็นเรื่องปกติของบ้านผม.. ผมชินละ(?) พอทุกอย่างเงียบลงเป็นสัญญาณบ่งบอก

      ว่าสงครามได้เริ่มสงบลงแล้ว ผมจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง

       “แค่นี้ก่อนนะครับ แม่ครับ พ่อครับ พี่ครับ รักษาสุขภาพด้วย แล้วผมจะโทรไปใหม่”

       

      ผมเอาโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋ากางกางก่อนจะมุ่งหน้าไปยังหอพักที่ทางบริษัทจัดไว้ให้.. พวกเค้าบอกผมแล้วล่ะว่า

      จะต้องพักกับใคร ก็ไม่ใช่ใครหรอกครับ รูมเมทของผมก็คือ ปาร์ค ชานยอล 

       

      ถึงผมจะมาเป็นเด็กฝึกที่นี่ได้ไม่ถึงปีแต่ผมก็ไม่ใช่คนอัธยาศัยแย่อะไร

      ผมก็พอรู้จักเด็กฝึกด้วยกันอยู่หลายคนเหมือนกัน และปาร์ค ชานยอลก็คือหนึ่งในนั้น

      ก็แค่รู้จักครับแต่ไม่ได้สนิทกันหรอก เขาเป็นเด็กฝึกมาสี่ปีแล้วล่ะ..  เค้าก็คงมีฝันไม่ต่างจากผม

       

      ในเมื่อเรามีเป้าหมายเดียวกันอยู่แล้ว ก็คงเข้ากันได้ไม่ยากหรอกจริงมั้ย ผมสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด

      แล้วปล่อยมันออกมาหมดในคราวเดียว กระชับสายสะพายเป้ใบโปรดแล้วเดินไปต่อ..

      วันนี้ผมอารณ์ดีมากเลย ต่อให้มีใครมาเคว้งกระป๋องใส่หัวผม ตอนนี้ผมก็ไม่โกรธ ฮ่าๆ (^.^)

      .

      ..

       

      เป๊ง!

      “โอ๊ย!  ผมยกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วหันไปมองที่มาของกระป๋องน้ำอัดลมนั้นทันที

       ฮึ่ยไอ่โหย่ง ไอ่ฟันเยอะ ไอ่หูกาง ไอ่ตาโปน ไอ่ ไอ่ ไอ้ โว้ยย!! ผมไม่ได้พูดมันออกมาหรอกครับ.. แค่คิดในใจ

       

      “อ่าว นั่นแบคฮยอนใช่มั้ย? หวัดดี.. เอ่มโทษทีนะ คือเราเห็นกระป๋องน้ำอัดลมมันตกอยู่ก็เลยจะเตะ

      ให้มันลงถังขยะอ่ะ.. แต่นายก็โผล่มาพอดีก็เลย.. ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ”

       

      ไม่ใช่เคว้งแต่มันเตะเลยเหอะ! มึงคิดว่ามึงเป็นปาร์คจีซองหรือไงครับ..

       แต่ก็ไม่เป็นไรครับมันขอโทษผมแระ แต่เดี๋ยวนะ..

      สรุปว่าผมผิดที่มาขวางทางมัน!? ฮึ่ย อยากจะเอานิ้วสวยๆ ของผมจิ้มตาโตๆ ของมันนัก!

       แต่ผมก็มีความฉลาดทางอารมณ์มากพอ ผมหลับตานับหนึ่งถึงสิบ.. สิบรอบ

      ผมไม่ควรให้ความโกรธมาทำลายการเริ่มต้นดีๆ ในวันแรกของการอยู่ห้องร่วมกัน

       

       

      “แบคฮยอนนายเจ็บมากรึเปล่า ไหนขอดูหน่อย ให้เราพาไปหาหมอมั้ย?

      หลังจากที่เงียบอยู่นานเพราะต้องรอผมนับหนึ่งถึงร้อยจนเสร็จ ชานยอลก็เดินเข้ามาถามผมซะจนใกล้แค่คืบ

       

      “ไม่เป็นไรมากหรอก ทายาเดี๋ยวก็หาย ว่าแต่.. หวัดดีนะเราพยอนแบคฮยอนฝากเนื้อฝากตัวด้วย”

      ผมยิ้มฝืนๆ ให้แต่ผมกลับได้รับรอยยิ้มกว้างที่จริงใจตอบกลับมา..

       

      “อ่อ เราปาร์คชานยอลยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน เราดีใจนะที่ได้เป็นรูมเมทกับแบคฮยอน”

       

      จบการสนทนาเพียงแค่นี้ดีกว่าครับ ผมรู้สึกร้อนๆ ที่แก้มไงก็ไม่รู้ ผมตัดบทแล้วเอ่ยชวนชานยอลก่อน

      เราพากันเอาของไปเก็บที่ห้องเพื่อจะได้ไปเข้าร่วมประชุมต่อ วันนี้พวกเราจะได้เจอทีมของพวกเรา

      เป็นครั้งแรกครั้ง รวมทั้งโปรดิวเซอร์ สไตล์ลิส และผู้จัดการเพื่อวางแนวทางในการทำงานของพวกเรา

      .

      .

      .

      .

      .

       

      -3- คิ้วสีเข้มรับกับดวงตาคมสวย จมูกโด่งเป็นสัน ปากเรียวเล็กสีแดงระเรื่อ ลำคอแกร่ง ไหล่กว้างหน้าซบ

      นิ้วมือยาวเหมือนลำเทียนหมุนปากกาไปมาบ้าง จดขยุกขยิกบ้าง หน้าตาที่ดูจริงจังมันยิ่งทำให้เค้าเท่ห์คูณพัน -3-

       

      ผมเผลอมองพี่คริสอย่างลืมตัว หลังจากที่ฟังในส่วนของตัวเองเสร็จแล้วผมก็เอาแต่จ้องลีดเดอร์

      ซึ่งได้รับการเลือกจากทุกคนในวง และผมก็คิดว่าพี่คริสคือคนที่เหมาะกับตำแหน่งนี้ที่สุด

       

      “แบคฮยอน.. แบคฮยนอน!” เสียงทุ้มเข้มพร้อมกับแรงกระตุกที่แขนทำให้ผมได้สติขึ้นมา

       

      “ฮ่ะ ฮ๊ะ อะไรหรอ!” ผมหันไปมองรูมเมทที่นั่งเก้าอี้ถัดจากผมด้วยหน้าตาตื่น

       

      “ประชุมเสร็จแล้วเราไปหาไรกินกันเหอะ หิวจะแย่แล้ว กินแต่คุกกี้กะน้ำส้ม เราไม่อิ่มอ่ะ”

      ชานยอลเอ่ยชวน  มือใหญ่ลูบหน้าท้องแบนของตัวเองป้อยๆ อย่างกะเด็กน้อยกำลังหิวข้าว

      ทำเอาผมอดสงสารไม่ได้ ดูจากรูปร่างแล้วเค้าคงไม่ใช่คนกินน้อยแหล่ะนะ

      .

      .

      .

       

      (Chanyeol Part)

       

      หลังไปทานมื้อดึกเสร็จทุกคนต่างก็แยกย้ายกันเข้าห้องพักเพราะมันดึกมากแล้ว ตารางซ้อมของพวกเรา

      จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป วันนี้พวกเรายังไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่เลยครับยังเขินๆ กันอยู่

      แต่ผมเชื่อว่าอีกไม่นานเพวกราจะต้องสนิทกันแน่ๆ โดยเฉพาะกับรูมเมทตัวเล็กของผม ^______^

       

      “นี่ชานยอล นายกับพี่คริสเป็นแร็ปเปอร์เหมือนกัน พวกนายก็ต้องไปซ้อมด้วยกันบ่อยๆ ใช่ป่ะ..”

      คนตัวเล็กกับเสื้อยืดสีขาวคอคว้าง กางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีดำ กับกลิ่นครีมอาบน้ำและแชมพูเด็กนั่น

      มันเขย่าใจผมจนสั่นไปหมด.. ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ ผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นคือ ผมก็แค่คิดว่า

      น่ารักครับ น่ารักดี...

       

      ความจริงผมมองแบคฮยอนมานานแล้วล่ะ เค้ามาจากปูซานมาตามหาความฝันของเค้า

      แบคฮยอนเข้ามาเป็นเด็กฝึกทีหลังผม แต่ทักษะการร้องของเค้าเหนือกว่าผมมากครับ

      และโดยเฉพาะใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนหมาน้อยนั่นมันเรียกรอยยิ้มจากผมได้ทุกครั้งที่ได้พบ

       

      เสียงอันไพเราะที่สะกดคนฟังได้ราวกับต้องมนต์ นอกจากความสามารถแล้วแบคฮยอน

      ถือได้ว่าเป็นคนที่มีความพยายามอย่างมากเลยล่ะครับ

       

      คืนนั้นผมนึกได้ว่าลืมว่าโทรศัพท์ไว้ที่ห้องซ้อมเต้น ผมเป็นคนติดโทรศัพท์มากครับ เรียกว่าขาดไม่ได้เลยก็ว่าได้

      เกือบตีสามแล้วล่ะแต่ผมก็ยังดั้นด้นไปเอา.. เสียงรองเท้าเสียดสีกับพื้น กระแทกเบาบ้างหนักบ้างเป็นจังหวะ
      ผมแปลกใจที่ยังมีคนใช้ห้องซ้อมอยู่ทั้งที่ดึกป่านนี้แล้ว... เร็วกว่าความคิด พอรู้ตัวอีกทีก็มายืนจ้อง

      คนตัวเล็กซ้อมเต้นอยู่หน้ากระจกแล้วล่ะ และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้คุยและทักทายกับแบคฮยอน

      เราก็ทักทายกันปกติแหล่ะครับแต่ผมกลับจดจำทุกคำพูด ทุกความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างดี

       

      “ชานยอล ชานยอล.. ไอ้หยอย!!!!” เสียงแหลมเล็กกระแทกแก้วหูผมอย่างจัง

       

      “เฮ้ย! ตกใจหมดเลย จะตะโกนทำอ่ะ” ผมเอามือมากุมหน้าอกตัวเอง

       

      “การเราถามตั้งนาน ชานยอลก็ไม่ยอมตอบ เอาแต่เหม่อไรก็ไม่รู้ พอเรียกก็ยังไม่ได้ยิน..”

      แบคฮยอนยู่ปากใส่ผมอย่างเสียอารมณ์

       

      “อ่า โทษทีเราคิดอะไรเพลินๆ น่ะ เมื่อกี้ถามเรื่องพี่คริสใช่มะ.. คือใช่แล้วล่ะ เรามีตารางซ้อมด้วยกัน

      ว่าแต่แบคฮยอนมีอะไรรึเปล่า ดูท่าทางสนใจเป็นพิเศษเลยนะ”

      ถามเองเจ็บเอง ผมสังเกตเห็นตั้งแต่ห้องประชุมแล้วล่ะครับ แบคฮยอนเอาแต่จ้องพี่คริส

      แล้วมันก็ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด

       

      “ปะ เปล่าหรอก คือเห็นพี่เค้าเท่ห์ดี เลยอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับพี่เค้าอ่ะ จะได้สนิทกันเร็วๆ ไง

      ไหนๆ ก็อยู่วงเดียวกันแล้วใช่ป่ะ” แบคฮยอนตอบแบบไม่ยอมสบตาผมแถมแก้มยังขึ้นสีอีก

      ผมรู้สึกเหมือนหายใจไม่ค่อยออก ผมเลยลุกไปหน้าระเบียงดื้อๆ
      สูดอากาศสักหน่อยคงจะดีขึ้น
      ไม่นานนักแบคฮยอนก็ตามผมออกมา

       

      “พี่คริสเป็นคนจีนน่ะ นายคงรู้แล้ว แต่พี่เค้าไปอยู่ที่แคนนาดาตั้งแต่เด็ก ผ่านออดิชั่นแล้วก็เข้ามาเป็น

      เด็กฝึก.. ตอนแรกก็มีปัญหาเรื่องการสื่อสารนิดหน่อย เพราะเค้าไม่ได้เกาหลีเลย เค้าอาจลำบากกว่าพวกเรา..

      แต่เค้าก็ไม่เคยท้อ ตอนนี้พี่คริสเก่งขึ้นมากแล้วล่ะ อ่อดูเค้าจะสนิทกับพี่เฮนรี่กับแอมเบอร์มากด้วยนะ

       

      สุดท้ายผมก็ต้องเล่าทั้งหมดที่ผมรู้ให้คนตัวเล็กฟัง เพราะทนโดนรบเร้าไม่ไหว

      แบคฮยอนยังคงรอฟังอย่างตั้งใจ ลูกหมาตาแป๋วกำลังทำผมเริ่มหายใจอึดอัดอีกครั้ง

       

      “เรารู้แค่นี้แหล่ะ ถ้ารู้อะไรเพิ่มจะมาบอกแล้วกัน หรืออาจไม่จำเป็นก็ได้ เพราะยังไงพวกเราก็ต้องสนิทกัน

      ในไม่ช้าอยู่แล้ว” คนตัวเล็กยังจ้องผมนิ่ง ทำหน้าเป็นหมาน้อยงงอยู่ได้..

       

      “ไปนอนได้แล้ว ดึกมากแล้วนะหมาน้อย” อดไม่ได้ที่จะขยี้ผมนุ่มนั่นเบาๆ แต่ไม่นานก็โดนปัดออก

       

      “นี่ชานยอล เราเกิดก่อนนายตั้งหลายเดือนเลยนะ เรียกเราว่าหมาน้อยมันถูกแล้วหรอ

      นายต้องเรียกเราว่าพี่สิ!” แบคฮยอนบอกผมแกมดุนิดๆ น่ากลัวตายล่ะครับ


      “รู้ครับ รู้ แต่เราเรียกแบคฮยอนว่าพี่ไม่ได้จริงๆ เพราะแบคฮยอนน่ารักเกินไป.. ก็เลยคิดว่า

      ต่อไปจะเรียกหมาน้อยแทน ฮ่าๆๆ” วันนี้ผมชมว่าเค้าน่ารักไปสองครั้งแล้วนะ หวังว่าเค้าคงไม่ทันสังเกตอะไรนะ

      ผมควรเนียนกลับเข้าห้องไปนอนดีกว่า

       

      “เออก็ได้ งั้นเราก็จะเรียกชานยอลว่า ไอ้ หยอย เหมือนกัน ไอ้หยอย ไอ้หยอย แบร่ๆๆๆ”
      เสียงแบคฮยอนไล่หลังผมมา
      พร้อมกับร่างเล็กที่ล้มตัวลงนอนข้างๆ ผม

       

      หมาน้อยครางหงิงๆ อยู่นาน เอ่อ ผมหมายถึงร้องเพลงน่ะครับ แบคฮยอนฮัมเพลงจนกระทั่งหลับไป

      เมื่อเห็นว่าเค้าหลับสนิทแล้วผมก็เลยดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้..

       

      ผมนึกถึงคำพูดของยูรา พี่สาวของผม “ยอลเชื่อเรื่องพรหมลิขิตหรือเปล่า คนเราเจอกันได้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

      และจากกันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเหมือนกัน สักวันยอลจะต้องได้เจอคนที่ใช่จริงๆ

       เลิกเศร้าแบบนี้ได้แล้ว โลกนี้ยังมีอะไรรอนายอีกเยอะแยะ พระเจ้าไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นหรอกนะน้องชาย”

      นั่นคือคำปลอบใจจากพี่สาวตอนที่ผมอกหักครั้งแรก มันเป็นคำพูดที่แสนธรรมดา

      แต่มันกลับทำให้ผมได้คิดและมายืนอยู่ตรงจุดๆ นี้ได้

       

      “แล้วคนคนนี้ละครับ.. อยู่ห้องเดียวกัน ได้เจอกันก่อนนอน ได้ตื่นมาเจอกันทุกเช้า

      คนที่ทำให้ผมใจเต้นได้ทั้งวันแบบนี้ จะเรียกว่าอะไรล่ะพี่ยูรา  เค้าจะใช่พรหมลิขิตของผมหรือเปล่า..”

      ผมสลัดหัวตัวเองไปมา เพื่อไล่ความคิดที่คอยรบกวนให้ออกไป

       

      “เฮ้ออออออ ปล่อยให้มันเป็นไปตามโชคชะตาเถอะ หน้าที่ของเราคือต้องซ้อมให้หนัก ทำให้ดีที่สุด

      ไฟท์ทิ่งงงงงง เอาหล่ะ นอนได้แล้วปาร์ค ชานยอล” ผมพูดกับตัวเอง ก่อนจะล้มตัวลงนอน

      หันหน้าเข้าหาคนตัวเล็ก ผมจ้องหน้าแบคฮยอนอยู่อย่างนั้น.. จนกระทั่งหลับไป

      .

      .

      .

       

      หลังจากประชุมเมื่อวาน วันนี้พวกเราก็เริ่มฝึกซ้อมกันอย่างหนัก ผมเห็นความมุ่งมั่นในแววตาของทุกคน

      โดยเฉพาะรูมเมทตัวเล็กของผม แบคฮยอนมักจะอยู่ซ้อมเต้นเป็นคนสุดท้ายแทบทุกครั้ง

      พอกลับห้องมาก็ร้องปวดบ้างเมื่อยบ้าง ไม่วายขอให้ผมช่วยนวดให้ แต่ก็นะ.. ผมเต็มใจทำให้อยู่แล้วล่ะครับ

       

      ผมไม่เคยนอนก่อนแบคฮยอนกลับได้เลย ถ้าไม่ได้ยินเสียงร้องหงิงๆ ก่อนนอนของเค้าผมจะนอนไม่หลับ

      ผม... ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าเริ่มเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

       

      วันเวลาที่ผ่านไปทำให้พวกเราสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ผม แต่ตอนนี้พวกเราสนิทกันทุกคน

      รวมถึงแบคฮยอนกับพี่คริสด้วย

       

      ผมจะรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ที่อกซ้ายทุกครั้งที่เห็นสองคนนั้นใกล้กัน กับพี่คริสก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ

      ผมมองผู้ชายด้วยกันออกว่าพี่เค้าคิดกับแบคฮยอนแค่น้องชายเท่านั้น แต่ไอ้หมาน้อยของผมนี่สิ

      ดูจะดี๊ด๊าไปซะทุกครั้งที่ได้คุยกับสุดหล่อขวัญใจของมัน

       

      และผมก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างระหว่างพี่ชายเชื้อชาติจีนทั้สองของผม พี่คริสกับพี่ลู่หาน

      ผมมั่นใจว่าพี่สองคนนี้ต้องมีอะไรซ่อนอยู่ในใจแน่ๆ มีอะไรที่พวกเค้ารู้กันแค่กันสองคน

       

      ผมมองแต่แบคฮยอน แบคฮยอนก็มองแต่พี่คริส พี่คริสก็มองพี่ลู่หาน

      ส่วนพี่ลู่หานก็ทำเป็นไม่สนใจ.. พอพี่คริสหันไป ก็แอบมองเค้าซะงั้น

      นึกภาพออกกันมั้ยละครับ.. น่าปวดหัวเนอะ ไม่เอาละๆ ซ้อมต่อดีกว่า

       

      ……

       

      สำหรับผมตอนนี้ทุกอย่างกำลังไปได้สวย ทั้งการแร็ป การร้องและการเต้นของผม มันพัฒนาขึ้นมากเลยแหล่ะ

      ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติที่ควรจะเป็นเช่นทุกวัน จนวันหนึ่ง

      วันที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของผมและแบคฮยอนได้เริ่มต้นขึ้น

       

      พวกเรามีปาร์ตี้เล็กๆ กันที่หอ ก็เมากันตามระเบียบล่ะครับ

      นอกจากพี่คริสกะไอ้ดำ ก็มีผมก็เป็นอีกคนที่อาการค่อนข้างหนัก

      แบคฮยอนต้องแบกผมเข้าห้องอย่างทุลักทุเล

      ผมรู้ทุกอย่างนะแต่แค่รู้สึกว่าโลกมันหมุนติ้วๆ จนผมยืนไม่ไหวแค่นั้นเอง

       

      .

      .

      .

       

      (Baekhyun Part)

       

      ดีนะที่ผมดื่มไปไม่ค่อยเยอะงั้นคืนนี้คงไม่มีใครดูแลใครได้หรอกครับ ดูไอ้หยอยตอนนี้สิ

      เฮ้ออออ ผมส่ายหน้าไปมากับสภาพที่ดูไม่ได้ของมัน ผมเผ้าพะลุงพะลัง

      ใบหน้าแดงก่ำ เอาแต่พร่ำเพ้ออะไรของมันก็ไม่รู้ จะอะไรก็ช่างมันเหอะ

      ขอแค่อยากอ้วกออกมาก็พอ ให้ผมเช็ดอ้วกมันนี่ก็ไม่ไหวนะ ผมคงได้อ้วกไปกับมันอีกคนแน่ๆ

       

      “มะ .. หมา หมาน้อย น่ารัก น่า   ... รัก ฮึก ฮ่าๆๆๆๆ”

      ชานยอลไม่เพ้อเปล่าตอนนี้มือไม้มันเริ่มอยู่ไม่สุขแล้วครับ

      ผมอุตส่าห์มีน้ำใจเช็ดตัวให้แล้วดูมันสิครับ.. มันแกล้งผมรึเปล่าเนี่ย

      อยากจะเอาผ้าเช็ดตัวยัดปากกว้างๆ ของมันนัก!

       

      ฟอดดดดดดดดดดดด!

      จู่ๆ ชานยอลก็โน้มคอผมเข้าไปใกล้จนผมแทบหงายหลัง

      แล้วมันก็หอมแก้มผมแรงๆ หลายครั้งจนช้ำไปหมด

       

      “ไอ่ ไอ้บ้า ฮึ่ย ปล่อยชั้นนะ ปล่อย!!!!

      ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ โอเคผมรู้ว่าชานยอลเมาแต่ผมไม่คิดว่ามันเมาแล้วจะหื่นขนาดนี้

      แววตาดุดันแต่แฝงไปด้วยอะไรบางอย่างนั่น ทำเอาผมต้องกลืนก้อนเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก

      แล้วไอ้สายตาแบบนั้นคืออะไรผมไม่เข้าใจจริงๆ

       

      ในขณะที่ผมกำลังใช้ความคิดอยู่ก็ต้องสะดุ้งจนเกือบตกเตียงเป็นรอบที่สอง

      เพราะชานยอลโน้มลงมาไซร้ซอกคอผม จนผมขนลุกไปหมด ไม่พอ! มือใหญ่ของยังมันพยายามถอดเสื้อผมอีก

       

      แคว่ก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

       

      หมดกันเสื้อยืดตัวเก่งของผม

      ผมก้มลงไปมองศพเสื้อยืดของผม ก่อนจะหันไปเตรียมด่าไอ้ฆาตกรเต็มที่แต่..

      “อุ๊บ อ่อยอ๊ะไอ้อ้า(ปล่อยนะไอ้บ้า)!

       

      ลิ้นอุ่นๆ ขมปร่าคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ล้วงล้ำเข้ามาในโพลงปากผมอย่างถือวิสาสะ
      ผมพยายามถอยหนีแต่ชานยอลก็ตามมาเกี่ยวรัด ต้อนจนผมมุม

      เค้าจูบเก่งมากจริงๆ เล่นเอาผมสติกระเจิงไปหมด...  ผมไม่รู้ว่าร่างกายมันทรยศผมตั้งแต่เมื่อไหร่

      พอรู้ตัวอีกทีมือที่เคยผลักไส กลับคล้องคอชานยอลหน้าตาเฉย

      .

      .

       

      สำหรับชานยอลแล้ว มันคือความเมาขาดสติ แต่สำหรับผม.. ผมไม่รู้จริงๆ ว่ามันคืออะไร

      ถ้าจะขัดขืนจริงๆ ผมก็คงทำได้ แต่ ผม..  ผมไม่รู้จริงๆ ผมเป็นอะไรไป ฮืออออออTT

      แล้วจะกล้ามองหน้ากัน จะอยู่ด้วยกันได้ยังไง ในเมื่อทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

       

      “แบคฮยอนนายมันคนใจง่าย หน้าอายที่สุด” ผมกร่นด่าตัวเองด้วยความโมโห

      เวลานี้ผมรู้สึกเกลียดตัวเอง เกลียดตัวเองจริงๆ

       

      เช็ดน้ำตาออกให้หมด สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด แล้วพยายามลากสังขารตัวเองไปเข้าห้องน้ำ

      เพื่อชำระคราบต่างๆ ออกให้หมด

       

      ผมเดินไปห้องน้ำอย่างยากลำบากทั้งที่เคยเดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึง แต่ตอนนี้ผมต้องใช้เวลาเกือบห้านาที

      กว่าจะเดินไปถึง ไม่ต้องสงสัยหรอกครับทำไมผมถึงเป็นแบบนี้.. สามรอบในคืนเดียวสำหรับครั้งแรก

      ถ้ายังมียังปกติดีอยู่ก็ซุปเปอร์แมนแล้วล่ะครับ =.=”

       

      เปิดน้ำจากฝากบัวให้แรงสุด ให้สายน้ำช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย

      หันไปมองตัวเองในกระจก.. คนใจร้ายทิ้งร่องรอยเอาไว้มากมาย พยามยามถูเผื่อว่ามันจะจางหายไป

      แต่เปล่าเลยมันกลับยิ่งแดงขึ้นกว่าเดิม จู่ๆ น้ำอุ่นๆ ก็ไหลอาบแก้มผมอีกครั้ง

      .

      .

      .

      (Chanyeol Part)

       

      เหมือนมีใครเอาก้อนกินมหึมามาวางบนหัวผม มันหนักอึ้งไปหมด ควานหาร่างบางข้างกาย

      ทั้งที่ตายังปิดอยู่.. แล้วผมก็ต้องลืมตาขึ้นทันที เมื่อรู้สึกว่าแบคฮยอนไม่ได้อยู่บนเตียงกับผมแล้ว

       แบคฮยอนหายไปไหน.. นั่นคือคำถามแรกที่ผุดขึ้นในหัวผม ความกลัววิ่งแล่นเข้ามาในใจผม

      พยายามยันร่างตัวเองขึ้น ถลกผ้าห่มขึ้นเพื่อลุกไปใส่เสื้อผ้าแล้วจะได้ออกไปตามหาแบคฮยอน

       

      คราบของเหลวสีขาวขุ่นปนกับสีแดงสดที่เปรอะเปื้อนผ้าปูที่นอนสีขาวบริสุทธิ์

      มันทำให้ผมรู้สึกปวดปร่าในอกซ้าย ใช่ครับเมื่อคืนผมเมาจริงๆ แต่ผมก็รู้ตัวว่าทำอะไรไปบ้าง

      เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ผมใจกล้าหน้าด้านทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ทำลงไปโดยไม่สนว่าแบคฮยอน

      จะต้องการด้วยหรือเปล่า  ไม่สนว่าแบคฮยอนจะเจ็บแค่ไหน ชานยอลไอ้คนเลว..
       

      ผมเคว้งหมัดลงบนเตียงอย่างแรง.. คุณอยากให้ผมไปชกกำแพงอย่างบ้าคลั่งล่ะสิ ไม่เอาหรอกมันเจ็บ =.=

      เก็บแรงไว้ไปตามหาแบคฮยอนดีกว่า ป่านนี้จะหนีไปไหนแล้วก็ไม่รู้

       

      ใส่กางเกงเสร็จแล้วกำลังจะหยิบเสื้อยืดมาใส่ต่อ.. แล้วเสียงเปิดประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น

      ผมหันไปตามเสียงนั้นทันที ภาพที่เห็นคือร่างบางในผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนเดียว เนื้อตัวที่เต็มไปด้วยรอยแดง

      มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดหนักเข้าไปอีก... แบคฮยอนพยายามเอามือขึ้นมาปิด แล้วรีบไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่

       

      “แบคฮยอน.. เราขอโทษ เรา..”

      ผมคว้าแขนเล็กของแบคฮยอนเอาไว้ พยามพูดคุยกับเค้าแต่..

       

      “พอเถอะ เราไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงๆ เราเป็นผู้ชายนะ เรา.. ไม่คิดมากหรอก”

      แบคฮยอนพูดทั้งทีไม่ยอมมองหน้าผมเลยสักนิด

       

      ผมรู้ทันทีว่าเค้าโกหก ตายังแดงแถมบวมปูดแบบนั้น คงแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำมาสินะ

       

      “แบคฮยอน โกรธเราได้ แต่.. อย่าเกลียดเรา อย่าเกลียดชานยอลได้มั้ยครับ”

      ผมจับไหล่บางให้หันมาเผชิญหน้ากับผม สบเข้าไปในดวงตาสวยที่สั่นระริก

       

      “หึ เกลียดหรอ เราเกลียดตัวเองมากกว่า พอซะทีเถอะชานยอล เรื่องเมื่อคืน.. เพราะมันเกิดจากความไม่ตั้งใจ
      เราจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกัน อย่าห่วงไปเลย ทำเหมือนที่เคยทำเถอะ

      แล้วถ้ามันอึดอัดมากเราก็อาจจะขอแยกไปแชร์ห้องกับคนอื่น...”

       

      “ไม่! ไม่มีทาง เราจะไม่ยอมให้แบคฮยอนอยู่กับคนอื่นเด็ดขาด”

      ผมฟังแบคฮยอนพูดจนเกือบจบ แต่ความอดทนของผมก็หมดลง เมื่อได้ยินคำว่าจะไปอยู่กับคนอื่น!

       

      “นายมีสิทธิ์อะไร ชีวิตเป็นของเรา เราจะไปอยู่กับใครก็ได้!

      แบคฮยอนแผดเสียงแหลมเถียงผมจนหน้าแดงก่ำไปหมด

       

      “อุ๊บ!

      ผมไม่ปล่อยให้แบคฮยอนพูดต่อ ผมคว้าร่างบางเข้ามากอดรัดและกดจูบลงไป

      อย่างไปปราณี มือข้างหนึ่งก็ล็อกคอเล็กเอาไว้ไม่ให้หนี จนได้กลิ่นคาวและรสเข็มๆ จากมุมปากของแบคฮยอน

      จึงผละออก แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อย

       

      “สิทธิ์หรอ? นายก็รู้อยู่แล้วนี่ ก็สิทธิ์ของความเป็นผัวนายไง! อย่าคิดว่าจะไปหนีร่านกับใครได้อีก!

      ชานยอล ไอ้ปากหมา ไม่ต้องรอให้ใครมาด่าผมหรอกครับ ผมด่าตัวเองในใจไปแล้ว

       

      ผั๊วะ!!

      ผมหันไปตามแรงฝ่ามือของแบคฮยอน เจ็บครับแต่มันก็ไม่เจ็บเท่าคำพูดของเขาต่อจากนั้น

       

      “ชั้นเกลียดนาย ได้ยินมั้ยชั้นเกลียดนาย!!!

       

       

      แบคฮยอนโมโหจนตัวสั่นไปหมด ผมอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก สิ่งที่ผมกลัวที่สุดในชีวิต

      มันเกิดขึ้นแล้ว แบคฮยอนเกลียดผม แบคฮยอนเกลียดผมแล้ว..

       

      แบคฮยอนคว้าแจ็คเก็ตตัวโปรดของเขามาใส่ หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายอย่างเร่งรีบแล้วเดินออกจากห้องไป

      แบคฮยอนออกไปแล้ว.. ห้องเงียบสะงัดในทันที เหลือแต่ผม กับ น้ำตา น้ำใสๆ ที่ไหลนองหน้าของผม

      ผมไม่คิดจะเช็ดมัน ปล่อยให้มันไหลออกมาเผื่อว่ามันจะช่วยล้างความเลวของผมได้บ้าง

       

      แบคฮยอนคิดว่าผมทำเพราะขาดสติ ผิดแล้วครับ ผมยอมรับว่าเมาแต่ก็ไม่ได้ถึงกับ

      ควบคุมตัวเองไม่ได้ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมตั้งใจ... ความคิดชั่วๆ ของผมก็คือ..

      ความสัมพันธ์ทางกายจะเป็นพันธะสัญญาที่จะทำให้แบคฮยอนไปจากผมไม่ได้

       

      แบคฮยอนเป็นคนน่ารัก ก็ไม่แปลกที่ทุกคนจะรัก และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น

      ทั้งพี่คริส ไอ้เทา หรือไอ้ดำ ไม่ว่าหน้าไหนผมก็ไม่ยอมทั้งนั้น

       

      แค่ไอ้เทาบอกว่าจะจีบแบคฮยอนก็เล่นเอาผมอยู่ไม่สุขเลย กระวนกระวายทั้งวัน

      แล้วยิ่งไอ้เด็กนั่นเป็นคนพูดจริงทำจริงด้วยแล้ว..  แบคฮยอนเองก็ดีกับเค้าไปทั่ว ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเค้าคิดอะไรอยู่

      ผมกลัว กลัวว่าสักวันจะต้องเสียแบคฮยอนให้ใครไปจริงๆ และนั่นคือที่มาของแผนชั่วๆ ของผม  

       

      คนเห็นแก่ตัวอย่างผม ก็สาสมแล้วล่ะ ผมรู้แค่ว่าแบคฮยอนต้องเป็นของผมคนเดียว

      จนลืมนึกไปว่าเขาเป็นคน ไม่ใช่สิ่งของ และการที่ผมรักแบคฮยอนก็ไม่ได้หมายความว่า

      แบคฮยอนจะต้องรักผม.. ในเมื่อคนเราต่างจิตต่างใจ เรื่องแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้

       

      ครับ ผมรักแบคฮยอน ตอนแรกก็แค่ชอบ แต่พอยิ่งได้ใกล้ก็ยิ่งรัก

      หายใจเข้าออกก็มีแต่เค้า และผมก็อยากจะดูแลเค้าไปตลอดชีวิตของผม..

      แต่ตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อ.. แบคฮยอนเกลียดผมแล้ว

       

      ผมจะทำยังไงดีครับ ผมควรปล่อยเค้าไป หรือจะรั้งเค้าไว้ด้วยเหตุผลบ้าๆ นั่นดี

      ผมควรทำยังไง... ผมสับสนไปหมดแล้ว

      .

      .

      .

      .

       

      (Beakhyun Part)

       

      วันนี้หลังจากซ้อมเสร็จผมก็ยังไม่ได้กลับห้องเลยครับ... ผมยังไม่อยากกลับ

       แค่ทำใจให้ซ้อมด้วยกันทั้งวันได้ ผมก็จะแย่อยู่แล้ว

      ผมทนมองชานยอลไม่ได้ ผมโกรธเค้ามากจริงๆ ไม่ใช่เรื่องเวอร์จิ้นที่เสียไปหรอก

      แต่ผมโกรธเค้าที่เค้าไม่เหลือไว้ให้เกียรติผมได้ภาคภูมิใจในตัวเองเลยสักนิด

       

      “สิทธิ์หรอ? นายก็รู้อยู่แล้วนี่ ก็สิทธิ์ของความเป็นผัวนายไง! อย่าคิดว่าจะไปหนีร่านกับใครได้อีก!

       

      ชานยอลใช้คำว่าร่านกับผม เค้าเป็นเป็นแรกของผมแล้วก็มาบอกว่าผมร่านอย่างนั้นหรอ....

      ชานยอลที่คอยยิ้มให้ผม คอยอยู่เคียงค้างผมเสมอ ชานยอลที่อบอุ่นและใจดีคนนั้นหายไปไหน

       

      “อ๊ะ”

      กระป๋องน้ำอัดลมเย็นเฉียบสัมผัสกับผิวแก้มของผมจนผมต้องสะดุ้ง

       

      “อ่าวพี่ลู่หาน มาทำอะไรครับ”

      ผมเอ่ยถามรุ่นพี่หน้าสวยของผม

       

      “พี่ลงมาซื้อขนม ดีโอกับเซฮุนกลับไปนอนบ้าน คืนนี้เลยเหงาๆ อ่ะ แล้วเราล่ะมาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ หื้ม?

      พี่ลู่หานยิ้มอบอุ่น แล้วจับหัวผมโยกไปมาเบาๆ

       

      “ไม่มีไรฮะ แค่อยากมาสูดอากาศ”

      ผมตอบทั้งที่สายตาทอดมองไปที่สระน้ำกว้าง

       

      “เป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้พี่เห็นแบคฮยอนซึมๆ ไปนะ ไม่เหมือนแบคฮยอนคนเดิมเลย”

       

      ทำนบกั้นน้ำตาของผมต้องพังลงเพราะคำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของพี่ลู่หาน
      ผมเล่าไปร้องไห้ไป พี่ลู่หานก็คอยปลอบ คอยให้กำลังใจผมตลอด..

       ผมระบายให้พี่ลู่หานฟังจนรู้สึกสบายใจขึ้น เสร็จแล้วจึงตัดสินใจกลับห้อง

       

       

      “มันก็สมควรแล้วที่แบคฮยอนจะโกรธ ทั้งการกระทำและคำพูด ชานยอลทำเกินไปจริงๆ แต่แบคฮยอน

      ไม่คิดบ้างหรอว่าทำไมชานยอลถึงทำแบบนั้น... คุยกับเค้าสิแบคฮยอน อย่าเอาแต่หนีแบบนี้”

       

      “ตอนนี้แบคฮยอนกำลังสับสน สิ่งเดียวที่จะช่วยแบคฮยอนได้คือเวลา... แต่อย่าให้นานเกินไปนะ

      เพราะเวลาไม่เคยคอยใคร อย่ารอจนถึงวันที่ไม่มีเค้าแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นถึงจะรู้ใจตัวเอง

      มันก็ไม่มีความหมายอะไรอีก”

       

      ระหว่างเดินกลับห้องพักผมก็นึกถึงคำพูดของพี่ลู่หานไปตลอดทาง

      ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเคาะประตูห้อง..

      แต่ไม่มีเสียงตอบรับ นานจนผมคิดว่าชานยอลคงหลับไปแล้ว ผมจึงค่อยๆ ไขกุญแจเข้าไป

       

      ห้องมืดสนิท แอร์ก็ไม่ได้เปิด ผมเอื้อมมือไปกดสวิตช์ไฟแล้วก็พอว่า..ห้องว่างเปล่า

      ความรู้สึกแรกของผมคือใจมันโหวงๆ ดึกป่านนี้แล้วชานยอลหายไปไหน

       

      ผมเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อหาน้ำเย็นๆ ดื่ม

       

      “นายขี้หนาวแต่ก็ชอบดื่มน้ำเย็น อย่าดื่มน้ำเย็นให้มากนักรู้มั้ย”

      ผมอ่านโพสอิทสีชมพูเข้มที่แปะหน้าตู้เย็นแล้วก็ขยำมันลงขยะไป

       

      เสร็จแล้วก็เปิดตูเย็นเพื่อดูว่ามีอะไรเหลือให้กินบ้าง

      .

      .

      ทั้งอาหารสำเร็จและผลไม้ถูกแพ็คไว้ในกล่องอย่างดี มันมากพอที่ผมจะทานได้เป็นอาทิตย์

      รวมถึงขนม ช็อคโกแล็ต นม และอาหารเสริมถูกจัดเรียงตามวันไว้สำหรับหนึ่งอาทิตย์อย่างเรียบร้อย

      ผมปิดตู้เย็นแล้วเดินไปเพื่อเปิดแอร์

       

      “นายชอบเร่งแอร์ตอนเปิด พอมันเย็นแล้วก็ขี้เกียจมาปรับ ฉะนั้นเปิดแค่ 25 องศาก็พอ”

       

      ผมเดินต่อไปที่ตู้เสื้อผ้า

       

      “นายชอบยันผ้าห่มออกตอนนอน เราไม่อยู่คงไม่มีใครคอยดึงผ้าห่มมาห่มให้ คืนนี้ใส่เสื้อหนาๆ หน่อยนะ”

       

      “อาบน้ำสระผมเสร็จต้องเช็ดตัวให้แห้งก่อนแล้วก็เป่าผมให้แห้งด้วย อย่านอนทั้งที่ยังเปียกแบบนั้น
      มันจะทำให้นายไม่สบายได้”

       

      “ก่อนนอนเช็คประตูหน้าต่างด้วย ทุกครั้งที่นายเข้าห้องทีหลัง นายลืมล็อกประตูทุกทีเลยรู้มั้ย”

       

      ผมเดินไปมุมห้องที่มีตู้หนังสือและเก้าอี้ที่ชานยอลชอบนั่งเล่นกีตาร์อยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว..

      ผมไล่อ่านกระดาษโพสอิทหลากสีที่แปะเต็มผนังทีละแผ่น

       

      “แบคฮยอนขี้บ่น แต่ก็น่ารัก”

       

      “แบคฮยอนขี้โมโห แต่ก็น่ารัก”

       

      “แบคฮยอนขี้ลืม แต่ก็น่ารัก”

       

      “แบคฮยอนชอบครางหงิงๆ ก่อนนอน แต่ก็น่ารัก”

       

      “แบคฮยอนกินจุ แต่ก็น่ารัก”

       

      ผมอ่านไปพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตาและต้องปล่อยโฮออกมาลั่นห้องเมื่อได้อ่านสามแผ่นสุดท้าย

       

      “ขอโทษสำหรับทุกอย่าง ขอโทษจริงๆ”


      “เราจะไม่อยู่ให้แบคฮยอนต้องรู้สึกอึดอัดอีก”

       

      “ถึงแบคฮยอนจะเกลียดชานยอลแล้ว แต่ยังไง.. ชานยอลก็รักแบคฮยอนนะครับ”

       

      ผมวิ่งออกห้องไปทั้งที่ไม่ได้ใส่ร้องเท้า ภาวนาขอให้ชานยอลไปได้ไม่ไกล

      ผมตามหาชานยอลไปทั่วจนเหนื่อย

       

      “ชานยอลนายอยู่ไหน ชานยอลนายอยู่แถวนี้รึเปล่า”

      ผมกวาดสายตาไปทั่วบริเวณแต่ก็มีแต่ความว่างเปล่า จึงวิ่งไปที่สวนสาธารณะใกล้ๆ ตึก

      ที่ที่ผมและชานยอลเคยไปด้วยกันบ่อยๆ

       

      “ชานยอลนายอยู่ไหน ฮึก ทำไมชั้นโทรไปแล้วไม่รับฮึก ฮึก”

      ผมกำโทรศัพท์แน่นแล้ววิ่งหาชานยอลต่อเหมือนคนบ้า

       

      “ชานยอลไอ่คนบ้า!!!!!!!!!! นายจะทิ้งชั้นไปแบบนี้ไม่ได้นะฮือออ!!!

      ผมปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย อยู่ดีๆ เข้งขามันก็อ่อนไปหมด ผมทรุดลงนั่งกับพื้น

       

      “ชั้นฮึก ฮึก.. รักนาย ชั้นรักนายนะชานยอล”

      เหมือนพี่ลู่หานบอก คำๆ นั้นมันจะไม่มีความหมายอะไรเลยหากคนที่เราอยากจะบอก.. เค้าไม่อยู่แล้ว

      ใช่ ผมอาจจะเจอเค้าตอนทำงานแต่จะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว จะเป็นได้แค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น..

      หัวใจของผมเหมือนโดนมือล่องหนบีบรัด ปวดหนึบจนหายใจไม่ออก เหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้

       

      (Chanyeol Part)

       

      หลังซ้อมเสร็จผมก็กลับห้องทันที ผมรู้ดีว่าแบคฮยอนไม่มีทางกลับห้องถ้าผมยังอยู่

      ผมโทรหาพี่ยูรา เธอบอกให้ผมกลับไปอยู่บ้านก่อนสักพักแล้วค่อยดูสถานการณ์ต่อไป

      จะเปลี่ยนเมทหรือจะแยกห้องก็ต้องคุยกับทุกคนก่อน และที่สำคัญต้องหาเหตุผลที่เข้าท่าให้ได้ก่อนด้วย


      ผมคงทนอยู่ให้แบคฮยอนเกลียดผมแบบนี้ไม่ได้หรอกครับ ผมก็เจ็บเป็นนะ

      อย่างน้อยก็ขอกลับไปทำใจที่บ้านก่อน..

       

      ผมเตรียมอาหาร ผลไม้ นม ขนมของโปรดและวิตมินให้แบคฮยอนไว้หมดแล้ว คงได้สักอาทิตย์

      หมาน้อยของผม ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ของผม... เค้าชอบกินแต่บะหมี่สำเร็จรูป เพราะมันง่ายและเร็วดี เค้าบอกแบบนั้น

      ทั้งข้าวทั้งนม อาหารที่มีประโยชน์ ถ้าผมไม่เตรียมให้คงไม่มีทางหามากินเองแน่ๆ

      คิดแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ไหนจะชอบลืมล็อกประตูอีก.. เฮ้อ~ แต่ตอนนี้ผมคงทำได้แค่นี้จริงๆ

       

      ผมค่อยๆ เดินต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงสวนสาธารณะใกล้ตึกที่ผมกับแบคฮยอนชอบมาด้วยกันบ่อยๆ

      ผมนั่งเสียบหูฟังและปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลง จนรู้สึกง่วงจึงถอดหูฟังออก

      แล้วล้มตัวนอนตามแนวยาวของม้านั่ง แน่นอนครับว่าผมต้องหดขาลงให้พอกับความยาวของมัน

       

      “ชานยอลนายอยู่ไหน ทำไมชั้นโทรไปแล้วไม่รับฮึก ฮึก”

       

      “ชานยอลไอ่คนบ้า!!!!!!!!!! นายจะทิ้งชั้นไปแบบนี้ไม่ได้นะฮือออ!!!

       

      ผมต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงที่คุ้นหู มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ผมอยู่ในมุมมืดแบคฮยอนคงมองไม่เห็น

      หมาน้อยวิ่งหาผมไปทั่ว ร้องเรียกชื่อผมไม่หยุด

       

      ผมมองภาพนั้นแล้วยิ้มทั้งน้ำตา แบคฮยอนมาตามหาผม เค้ามาตามหาผมจริงๆ ผมไม่ได้ฝันไป

       

      ผมค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้อย่าเบาที่สุด

      แบคฮยอนทรุดนั่งแล้วพูดอะไรบางอย่าง.. มันเบามาก แต่ก็ไม่เบาเกินกว่าผมจะได้ยิน

      เพราะมันดึกจนเงียบสงัด และตอนนี้ผมก็มายืนอยู่ตรงหน้าเค้าแล้ว

       

      “ชั้นฮึก ฮึก.. รักนาย ชั้นรักนายนะชานยอล”

       

      ผมปล่อยให้แบคฮยอนก้มหน้าร้องไห้อยู่แบบนั้น โดยไม่คิดจะเรียกให้เงยหน้าขึ้นมา

      เพราะถ้าเค้าเงยหน้าขึ้นมาตอนนี้ เค้าคงได้เห็นน้ำตาผมแน่ๆ

       

      ผมเช็ดน้ำตาตัวเองจนแห้งหมดแล้วจึงนั่งยองๆ ลงไป

      แบคฮยอนช้อนตามขึ้นมา เค้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะรัวกำปั้นน้อยๆ ใส่ผม

       

      “ไอ่บ้า นายหายไปไหนมาห๊า ชั้นตามหานายตั้งนานรู้มั้ย อยากเห็นชั้นเป็นบ้าตายหรือไงห๊า! ฮือออ ฮืออ”

       

      ผมปล่อยให้แบคฮยนอนทุบผมจนพอใจ ทั้งร้องไห้ทั้งด่าผมเป็นชุด สักพักกำปั้นเล็กๆ ก็ตกลงข้างลำตัว

      ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้ แล้วเอาแขนเสื้อตัวเองเช็ดเท้าเปล่าที่เปอะเปื้อนให้แบคฮยอน

      แบคฮยอนพยายามชักเท้าเล็กของเค้าหนีแต่ผมก็ขืนเอาไว้แล้วเช็ดต่อจนสะอาด

       

      “ขอโทษครับ เราจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว.. ตอนนี้เรากลับห้องได้แล้วใช่มั้ย”

      ผมถามแบคฮยอน ประคองใบหน้าสวยให้หันมาสบตากัน

      แบคฮยอนไม่ตอบเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ แต่แค่นี้ก็ทำให้ผมยิ้มกว้างได้แล้วล่ะครับ

       

      ผมลุกขึ้นแล้วย่อเข่าหันหลังให้แบคฮยอนปีนขึ้นมาแล้วยันตัวลุกขึ้นเดินไปตามทางที่มีแสงไฟสลัวสองข้างทาง

       

      “เท้านายเป็นแผลนิดหน่อย กลับไปต้องให้เราทำแผลให้ด้วยนะ”

      ไม่มีเสียงตอบกลับ แต่ผมก็รู้สึกถึงแรงพยักหน้ารับคำนั้น เพราะคางมนที่ชนกับไหล่ผมเบาๆ

       

      “แบคฮยอน แบคฮยอนครับหลับแล้วหรอ”

      ผมหันหน้าไปถามคนตัวเล็กบนหลังผมเมื่อเห็นว่านิ่งไปนาน..  คงหลับไปแล้วจริงๆ

       

      “ชานยอลรักแบคฮยอนนะครับ รักมากด้วย หวงมากด้วย..”

      ผมพูดคนเดียวแล้วยิ้มกว้างออกมาเหมือนคนบ้า แบคฮยอนหลับคาหลังผมไปแล้วคงไม่ได้ยินแล้วล่ะ

       ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมก็จะอยู่เคียงข้างแบคฮยอนตลอดไป ผมจะไม่มีวันปล่อยมือจากแบคฮยอนเด็ดขาด

      จากวันนี้ไปแบคฮยอนคือหัวใจของผม

       

      (Baekhyun Part)

       

      ผมไม่ได้แกล้งหลับนะครับ ผมแค่หลับตาเพราะรู้สึกเหนื่อยเฉยๆ อ่ะ

      แต่ชานยอลกลับคิดไปเองว่าผมหลับ... ช่วยไม่ได้ คิคิ

       

      นี่ถ้าไม่แกล้งหลับก็คงไม่ได้ยินอะไรดีๆ แบบนี้หรอก

       

      เหมือนพี่ลู่หานเคยบอก คำบอกรักจะไม่มีความหมายอะไร

      ถ้าคนคนนั้นที่เราจะบอกเค้าไม่อยู่ให้เราบอกแล้ว ผมรู้ซึ้งแล้วครับว่ามันเป็นยังไง

      ขอบคุณพระเจ้าที่ยังให้โอกาสผม

       

      ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้ามีชานยอลอยู่ข้างๆ ต่อให้ทางข้างหน้า

      จะยากลำบากสักแค่ไหนผมก็พร้อมจะฝ่าฟันมันไป มีความรักมันดีแบบนี้นี่เอง

      อ่า.. ผมแกล้งหลับต่อดีกว่า >///<


       

      -END-

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×