ตำนานวัน วาเลนไทน์ - ตำนานวัน วาเลนไทน์ นิยาย ตำนานวัน วาเลนไทน์ : Dek-D.com - Writer

    ตำนานวัน วาเลนไทน์

    ตำนานวัน วาเลนไทน์

    ผู้เข้าชมรวม

    442

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    442

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 มี.ค. 51 / 10:54 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ตำนานวัน วาเลนไทน์

      ตำนานวันวาเลนไทน์ "วันวาเลนไทน์" หรือ "วันแห่งความรัก" หวนกลับมาสร้างสีสันให้กับชีวิตของคนไทยในเมืองใหญ่ของประเทศไทย ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี แต่ที่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่า "วันวาเลนไทน์" มีที่มาที่ไปอย่างไร นอกจากรู้ว่าคือวันเวลาที่จะบอก "รัก" หรือส่งข้อความเป็นนัยๆ ให้อีกคนรู้ว่าในใจของเราคิดยังไงในความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบวันนี้ แต่วันวาเลนไทน์ก็ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในกิจกรรมของสังคมไทยบางส่วน และมีแนวโน้มที่จะขยายความรับรู้ออกไปเรื่อยๆ มากกว่าจะลด คงเป็นเพราะความรักเป็นความงดงาม ผู้คนจึงคล้อยตามได้ง่าย ย่อมไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรที่เราจะรับรู้ตำนานความเป็นมาของ "วันวาเลนไทน์" ตราบเท่าที่สังคมไทยบางส่วนยังใจใส่กับมันอยู่ จากการศึกษาค้นคว้าพบว่า "วันแห่งความรัก" เป็นประเพณีของชาวโรมันที่มีก่อนที่จะมีศาสนาคริสต์ จนกระทั่งศาสนาคริสต์อุบัติขึ้น พิธีนี้ก็ยังมีอยู่ ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ชาวโรมันจะจัดงานฉลองวันแห่งความรักและเรียกงานนี้ว่า "ลูเปอร์คาเลีย" เหตุที่เรียกดังนี้ เพราะเป็นเทศกาลบูชาเทพเจ้า "ลูเปอร์คัส" ของชาวโรมัน ในงานนี้ชาวโรมันจะฆ่าสัตว์บูชายัญถวายเทพเจ้าลูเปอร์คัส มีนักบวชเดินถือแส้หวดผู้หญิงที่อยากมีลูก ชาวโรมันเชื่อกันว่าถ้าผู้หญิงคนไหนถูกแส้หวดในพิธีนี้จะมีลูก นอกจากนี้ก็มีพิธีจับคู่ของสาวชาวโรมัน โดยใช้วิธีเขียนชื่อหญิงสาวให้หนุ่มจับฉลากจับได้ชื่อใครก็อยู่กับคนนั้นไปหนึ่งปี ถ้าถูกใจกันก็แต่งงานกัน แต่ถ้าชะตาไม่ต้องกัน ฝ่ายชายก็จะจับฉลากหาหญิงคนใหม่ในปีถัดไป พิธีบูชาเทพเจ้าลูเปอร์คัส หรือ "วันแห่งความรัก" นี้เป็นที่นิยมของชาวโรมันมาก จนคริสตจักรแห่งกรุงโรมเห็นว่าต้องหาทางเปลี่ยนความนิยมชมชอบของชาวโรมันให้ได้เพราะเพราะเทพเจ้าลูเปอร์คัสที่ชาวโรมันบูชาเป็นเทพเจ้านอกจากศาสนาคริสต์ ในปี ค.ศ. 1239 พระสันตปาปาเกลาลิอุส จึงออกประกาศให้ชาวโรมันเลิกบูชาเทพเจ้าลูเปอร์คัสและเลิกพิธีจับฉลากหาคู่ พร้อมกับกำหนดพิธีขึ้นมาใหม่ให้เขียนชื่อนักบุญของศาสนาคริสต์แล้วให้หนุ่มสาวมาจับฉลากชื่อนักบุญ ใครจับได้ชื่อนักบุญคนใด หนุ่มสาวผู้นั้นต้องดำเนินชีวิตเหมือนนักบุญคนนั้นหนึ่งปี ปรากฏว่าพิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมของหนุ่มสาว ผู้คนก็ยังหันไปบูชาเทพเจ้านอกศาสนาคริสต์ ในที่สุด สันตปาปาเกลาลิอุส ก็เสนอชื่อ นักบุญวาเลนไทน์ ที่มีประวัติเกี่ยวกับความรักที่งดงามให้ชาวโรมันบูชาในวันแห่งความรัก และประกาศให้วันแห่งความรักของชาวโรมันเป็นวันแห่งนักบุญวาเลนไทน์ ชาวโรมันเมื่อทราบถึงประวัติเกี่ยวกับความรักของนักบุญวาเลนไทน์จากศาสนาคริสต์ก็นิยมชมชอบ จนเลิกบูชาเทพเจ้านอกศาสนาคริสต์ "ลูเปอร์คัส" ประวัติความรักของนักบุญวาเลนไทน์ถูกบันทึกไว้ว่า เมื่อปี ค.ศ. 813 จักรพรรดิโคลดิอุส แห่งจักรวรรดิโรมัน มีคำสั่ง ห้ามผู้ชายผู้หญิงแต่งงานกัน ด้วยพระองค์คิดว่า ผู้ชายแต่งงานมีครอบครัวเป็นทหารที่ดีไม่ได้ เพราะจิตใจจะผูกพันกับลูกเมียมากกว่าจะอุทิศตัวเพื่อทำสงคราม ปรากฏว่านักบุญวาเลนไทน์ซึ่งครอบครองดินแดน "อินเตอแรมนา" แห่งจักรวรรดิโรมัน ฝ่าฝืนคำสั่งขององค์จักรพรรดิ จัดพิธีแต่งงานให้หนุ่มสาวต่อไปตามปกติ เพราะนักบุญวาเลนไทน์เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึง ความรักของมนุษย์ ความรักที่บริสุทธิ์ของหนุ่มสาวย่อมยืนยาวต่อไปด้วย การตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว การห้ามไม่ให้ชายหนุ่มหญิงสาวสองคนอยู่ด้วยกันจึงเป็นสิ่งที่ท่านรับไม่ได้ เมื่อความเข้าใจในความรักของนักบุญวาเลนไทน์รู้ไปถึงจักรพรรดิจึงถูกตัดสินประหารชีวิต ขณะถูกคุมขังอยู่ในคุกเพื่อรอวันประหาร นักบุญวาเลนไทน์ ได้มีความรักกับหญิงสาวตาบอดชื่อ "แอสทีเรียส" ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุม ด้วยความรักที่มีต่อหญิงสาวตาบอด นักบุญวาเลนไทน์อยากให้เธอได้มองเห็นโลกเช่นคนอื่นๆ และแน่นอนที่สุด อยากให้เธอมองเห็นนักบุญวาเลนไทน์ด้วย ด้วยแรงศรัทธาแห่งรัก นักบุญวาเลนไทน์เฝ้ารักษาดวงตาของเธอจนสามารถมองเห็นเช่นคนทั่วไป แต่เธอก็มองเห็นนักบุญวาเลนไทน์ได้ไม่นานนัก นักบุญวาเลนไทน์ก็ต้องจากเธอไปสู่หลักประหาร เขาถูกตีและตัดศีรษะจนเสียชีวิตในปี ค.ศ. 813 นั่นเอง ก่อนเดินทางสู่หลักประหาร นักบุญวาเลนไทน์ได้เขียนข้อความถึงหญิงสาวที่เขารักสั้นๆ ว่า "จาก.....วาเลนไทน์ของเธอ" ตำนานความรักที่งดงามนี่เองที่ทำให้สันตปาปาเกลาลิอุส ประกาศให้วันแห่งความรักของชาวโรมันสมัยนั้นเป็นวันแห่งนักบุญวาเลนไทน์ เมื่อมีการกำหนดวันแห่งความรักขึ้นมาในยุคสมัยนี้ จึงมีชื่อของนักบุญวาเลนไทน์มาเป็นวันแห่งความรัก เรียกว่า "วันวาเลนไทน์" แต่ทำไมคนยุคนี้จึงเลือกเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันวาเลนไทน์ ไม่มีอะไรบ่งบอกชัดเจน ทั้งๆ ที่วันเกิดและวันจากไปของนักบุญวาเลนไทน์ไม่ได้ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ มาถึงวันนี้ คงไม่มีใครสนใจจะค้นหาหรอกว่าทำไมถึงต้อง 14 กุมภา วันวาเลนไทน์ เพราะวันวาเลนไทน์ ได้กลายเป็นเทศกาลชีวิตของคนกลุ่มหนึ่งไปเรียบร้อยแล้ว เป็นเทศกาลความรัก ที่ปักลงกลางใจของใครต่อใครหลายคนในโลกนี้ อย่างที่บอกไปแล้วว่า ไม่ว่าคุณจะรู้ที่มาที่ไปของวันวาเลนไทน์หรือไม่ไม่สำคัญ ขอให้คุณรู้เท่าทันเท่านั้นก็พอ

      เหมือนเช่นคุณรู้เท่าทันรัก ความรักก็จักมีในหัวใจคุณตลอดไป

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×