มารู้จัก...สะตอกันเถอะ - มารู้จัก...สะตอกันเถอะ นิยาย มารู้จัก...สะตอกันเถอะ : Dek-D.com - Writer

    มารู้จัก...สะตอกันเถอะ

    มารู้จัก...สะตอกันเถอะ

    ผู้เข้าชมรวม

    562

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    562

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 มี.ค. 51 / 10:38 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ชื่อวิทยาศาสตร์ Parkia speciosa Hassk.
      ชื่อสามัญ  Stink bean  

                                                                            

      สะตอ เป็นพืชผักยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดในภาคใต้ของประเทศไทย ปัจจุบันสะตอจัดเป็นพืชผักเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง ที่มีความสำคัญ เพราะมีผู้นิยมบริโภคทั่วไป สะตอเป็นพืชผักที่มีรสชาติดี สามารถนำมารับประทานสด และปรุง อาหารได้หลายชนิด มีคุณค่าทางอาหารสูง และมีคุณค่าทางสมุนไพรด้วย คือช่วยลดความดันโลหิตและช่วยลดน้ำตาล ในเลือด

      ผลผลิตของสะตอในอดีตได้จากการเก็บจากป่าและเกษตรกรปลูกแซมกับพืชหลักชนิดอื่น ๆ แต่ในปัจจุบันมีผู้นิยมรับประทานสะตอกันมากขึ้น จึงทำให้ความต้องการบริโภคสะตอมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้มีผู้สนใจปลูกสะตอกันอย่างแพร่หลายเกือบทุกภาคของประเทศ

      สภาพดินฟ้าอากาศ

      สะตอชอบที่ที่มีความชื้นสูง ดินควรเป็นดินร่วนมีความอุดมสมบูรณ์สูง ดินค่อนข้างเป็นกรด คือ pH 5.2-6.5 ระบายน้ำได้ดีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยประมาณ 1,500-2,000 มิลลิเมตรต่อปี สามารถขึ้นได้ดีในที่สูงถึง 2,000 ฟุตจากระดับน้ำทะเล อุณหภูมิ 20-30 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 75-80 เปอร์เซนต์

      พันธุ์

      พันธุ์ สะตอมี 2 ชนิด คือ

       
      สะตอข้าว ลักษณะฝักเป็นเกลียว ยาวประมาณ 31 ซม. กว้างประมาณ 4 ซม. จำนวนเมล็ดต่อฝักประมาณ 10-20 เมล็ด จำนวนฝักต่อช่อประมาณ 8-20 ฝัก เมล็ดมีกลิ่นไม่ฉุนเนื้อเมล็ดไม่ค่อยแน่น อายุการให้ผลผลิต 3-5 ปี หลังปลูก

       
      สะตอดาน ฝักมีลักษณะตรงแบนไม่บิดเบี้ยว ยาวประมาณ 32 ซม. ความกว้างกว้างกว่าสะตอข้าวเล็กน้อย มีเมล็ดต่อฝักประมาณ 10-20 เมล็ด จำนวนฝักต่อช่อประมาณ 8-15 ฝัก เมล็ดมีกลิ่นฉุนรสเผ็ด เนื้อเมล็ดแน่น อายุการเก็บเกี่ยว 5-7 ปี

      การขยายพันธุ์

       
      1. เพาะเมล็ด การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด เป็นวิธีการที่ทำได้ง่าย และได้ต้นพันธุ์จำนวนมาก โดยการนำเมล็ดจากฝักที่แก่ขนาดที่ใช้รับประทาน แกะเมล็ดแล้วนำไปเพาะลงถุง ประมาณ 2-3 เดือน ก็นำไปปลูกได้ แต่ต้นที่ปลูกจะมีลำต้นสูงใหญ่ มีการกลายพันธุ์ได้และให้ผลผลิตช้า

      2. การติดตา การขยายพันธุ์โดยวิธีการนี้ เป็นวิธีการที่นิยมกันในปัจจุบัน เพราะต้นสะตอ ที่นำไปปลูกมีลักษณะให้ผลผลิตเร็วตรงตามพันธุ์ ลำต้นไม่สูง สามารถปฏิบัติดูแลรักษาและเก็บเกี่ยวได้ง่าย

      การปลูก

      สะตอสามารถปลูกและเจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพพื้นที่ แต่ต้องไม่มีน้ำท่วม

       
      การปลูกสามารถปลูกเป็นพืชเดี่ยวหรือปลูกร่วมกับพืชชนิดอื่น ๆ ได้ ควรปลูกในร่องต้นฤดูฝน ประมาณเดือนพฤษภาคม - มิถุนายนโดยใช้ระยะปลูกระหว่างแถว 9-10 เมตร ระยะห่างระหว่างต้น 9-10 เมตร ขุดหลุมขนาด 50x50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักก่อนปลูก เมื่อปลูกแล้ว ปักไม้แนบลำต้น ผูกเชือกรดน้ำให้ชุ่ม และทำร่มเงาทิ้งไว้ประมาณ 1 ปี

      การดูแลรักษา

      การปฏิบัติดูแลรักษา

      การให้น้ำ ในระยะเริ่มปลูกรดน้ำ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์

      การใส่ปุ๋ย ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักร่วมกับปุ๋ยเคมี 2-3 เดือนต่อครั้ง ตั้งแต่เริ่มปลูก โดยใส่ปุ๋ยเคมี ดังนี้

      ช่วงการเจริญเติบโต ก่อนการให้ผลผลิต หลังการเก็บเกี่ยวและตัดแต่งกิ่ง ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15

      ช่วงก่อนการออกดอก ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 12-24-12 หรือ 9-24-24

      ช่วงก่อนการเก็บเกี่ยว 1 เดือน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 หรือ 0-0-50

      การตัดแต่งกิ่ง

      ตัดยอด เมื่ออายุ 1-2 ปี หรือสูง 2-3 เมตร เพื่อให้มีการแตกทรงพุ่มและลำต้นไม่สูง

      ตัดแต่งกิ่ง หลังเก็บเกี่ยวผลผลิต เพื่อให้ทรงพุ่มโปร่งและไม่ให้สูงเกินไป

      การป้องกันกำจัดวัชพืช

      เมื่อสะตอยังเล็กอยู่จำเป็นต้องมีการกำจัดวัชพืช โดยใช้มีดหรือจอบถางหรือใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช เมื่อสะตอโตแล้ว การกำจัดวัชพืชก็น้อยลง

      การเก็บเกี่ยว

      การให้ผลผลิตของสะตอจะมีมากในช่วงเดือนมิถุนายน -สิงหาคม อายุของฝักสะตอที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวฝักเพื่อนำมา บริโภค คือ 48-54 วันหลังดอกบานโดยประมาณ โดยสังเกตจากมีลักษณะสีของฝักมีสีเขียวเข้ม มันแวว ตรงเมล็ดจะนูน เห็นเด่นชัดสะดุดตา เปลือกหุ้มเมล็ด เมื่อแกะดูด้านในที่บริเวณขั้วของเปลือกมีสีเหลืองเข้ม

       
      ส่วนใหญ่จะใช้มีดผูกกับปลายไม้แล้วสอยลงมา

      เกษตรกรจะมัดฝักสะตอเป็นช่อๆละ 100 ฝัก ขายส่งพ่อค้าคนกลาง ราคาประมาณ 80 - 1,000 บาท ขึ้นอยู่กับช่วงฤดูกาลของสะตอ ว่ามากหรือน้อย ราคาขายปลีกในฤดูกาล ราคาฝักละ 2-5 บาท นอกฤดูกาล ราคาฝักละ 8-10 บาท
       
      สรรพคุณทางยา

       

      - ผลต่อความดันโลหิต
      - ผลต่อการแบ่งตัวของเซลล์
      - ผลยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
      - ผลยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา
      - ผลของการเกาะกลุ่มของเม็ดเลือดแดง
      - ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด
      - ฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้

      ของฝากเมนูอาหารจ้า

       

      มีใครชอบทานสะตอกันบ้างมั้ยจ๊ะ ลองเอาสูตรนี้ไปทำตามกันได้นะจ๊ะ ง่ายๆ นิดเดียว อร่อยทีเดียว

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×