{จบแล้ว} Once Upon a time of love
กาลครั้งหนึ่ง.........ของเรื่องราวความรักที่สวยงาม
ผู้เข้าชมรวม
1,080
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
มีนาคม เมลเบิร์น ออสเตรเลีย, 2010
.
.
.
“เอานี่ไปด้วยสิ เจ้าของร้านเขาบอกว่าถ้าขายไม่หมด เราก็เอากลับบ้านได้ เพราะที่นี่ขนมปังจะขายวันต่อวัน” ผู้จัดการร้านใจดียื่นห่อขนมปังสีน้ำตาลใบใหญ่ให้เด็กหนุ่มตัวเล็ก ที่ค่อยๆยื่นมือไปรับอย่างสุภาพ
“ขอบคุณนะครับ คุณโจ…”
“เหนื่อยหน่อยนะอูฮยอน แต่ที่นี่ก็ดีกว่าอีกหลายๆร้าน เพราะที่นี่มีแต่คนเอเชียเท่านั้น ถึงแม้เจ้าของร้านจะเป็นฝรั่ง แต่เขาก็เป็นลูกครึ่งเกาหลีด้วย”
“…..”
“ฉันรู้ว่าการตัดสินใจมาเรียนต่อคือความฝันสำคัญของนาย แต่เราทุกคนที่นี่ก็เข้าใจนะว่าการเรียนไปทำงานไปมันเหนื่อย เพราะงั้นถ้ามีอะไรก็บอกฉันได้เลย”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณมากจริงๆ “ รอยยิ้มบางส่งไปให้เจ้าของคำพูดใจดี
ในบ้านเมืองที่แสนกว้างใหญ่นี้ เพราะคุณโจ – อูฮยอนก็เลยรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้บ้างหลังจากวันที่รู้ว่าตัวเองต้องมาเรียนต่อและทำงานพาร์ททามไปด้วยที่นี่เพราะปัญหาที่บ้าน
“’งั้นผมขอตัวนะครับ” หัวเล็กก้มลงโค้งให้คนตรงหน้าอีกครั้งพร้อมกับเดินออกจากร้านมา
อาจเป็นเพราะอากาศที่หนาวมาก อ้อมแขนเล็กจึงกอดกระชับห่อขนมปังไว้แน่นแล้วเดินไปตามทางที่คุ้นเคยเพื่อไปขึ้นรถไฟใต้ดินกลับไปยังหอพักใกล้กับมหาวิทยาลัยที่เรียน
ความคิดต่างๆล่องลอยเข้ามาในหัวเล็กๆ เรื่องเรียน เรื่องเงิน เรื่องการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวที่นี่ ไม่ว่าต่อให้คิดไปอีกเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนร่างเล็กนี้จะทำได้แค่ถอนหายใจออกมายาวๆเท่านั้น สามปีกับการต่อสู้ยาวนาน แต่นี้เพิ่งเริ่มเท่านั้นเอง สองอาทิตย์เท่านั้นที่เขามาอยู่ที่นี่…
“ เห้ยย หยุดนะโว้ย สตอป ! สตอปปปป!! ย่าห์!!!!”
ขณะที่เขากำลังจะเลี้ยวลงบันไดเพื่อไปขึ้นรถไฟอย่างที่ควรจะเป็น กลับกลายเป็นว่าอยู่ดีๆ ก็มีเสียงตะโกนไล่หลังมา พร้อมกันกับที่มีของแข็งตรงเข้ามากระแทกกับร่างบางอย่างจัง!
“อั่กก…”
ร่างของนัมอูฮยอนที่เดินอยู่นั้นถูกชายฝรั่งร่างสูงชนกระเด็นไปไกลจนล้มกลิ้งลงกับพื้น ขนมปังเกลื่อนกระจัดกระจายเต็มไปหมด
“ Ahhh what the hell ? Fuck !!” นัมอูฮยอนได้ยินฝรั่งสบถออกมา
ขณะที่กำลังจะลุกขึ้น ก็มีชายอีกคนสาวเท้ายาวๆผ่านหน้าเขาไปเสียเฉยๆ นั่นทำให้ตากลมต้องหันไปค้อนมองอย่างไม่เข้าใจ
“แก มานี่เลย ลุกขึ้นมา กล้าดียังไงมาขโมยกระเป๋าตังค์ฉัน ฉันเป็นนักท่องเที่ยวนะโว้ย เดี๋ยวจับส่งตำรวจแม่งเลย เอากระเป๋าฉันคืนมา เร็วเซ่!!”
คนที่นั่งพับเพียบอยู่บนพื้นพอจะเข้าใจอะไรๆแล้ว แต่เพราะฝรั่งขี้ขโมยนั้นนอกจากจะโดนยกตัวลอยขึ้นมายังทำหน้างงอย่างแรงกับภาษาเกาหลีที่ชายร่างสูงคนนี้กำลังพ่นใส่อีกด้วย ทั้งหมดนั่นจึงทำให้อูฮยอนหัวเราะขำออกมาเบาๆ
“เร็วเซ่ ไอ้เบื๊อกนี่ ฉันส่งตำรวจจริงๆนะโว้ย ฮึ่ย ซวยจริงๆ มาถึงวันแรกแม่งก็ซวยเลย”
มือเล็กหยิบกระเป๋าเงินที่ตกลงอยู่กับพื้นแล้วค่อยๆเดินอย่างทุลักทุเลเพราะข้อเท้าแพงไปแล้ว เพื่อเอากระเป๋าส่งให้อีกคนที่ตอนนี้ยังโวยวายเขย่าคอเสื้อหัวขโมยไม่เลิก
“คุณ คุณครับ…”
“ไว้ก่อนนะ ฉันจะชดใช้ค่าเจ็บให้แต่ขอให้ฉันได้กระเป๋าคืนก่อน” เสียงทุ้มยังคงพูดโดยที่ไม่หันมามองหน้าอีกคนเลย
“ผมแค่จะบอกว่ากระเป๋าเงินคุณ ….”
“…..”
“….อยู่นี่”
อูฮยอนยื่นกระเป๋าเงินให้ และพอเห็นว่าเป็นกระเป๋าของตัวเอง ตาเรียวเล็กนั่นก็เบิกโพลงขึ้นอย่างดีใจ มือก็พลันปล่อยคอเสื้อหัวขโมยจนมันล้มก้นจ้ำเบ้าแล้วรีบวิ่งหนีหายไปเลย
“ขอบใจนะ ขอบใจจริงๆ” คนตัวสูงกว่าประคองโอบมือเล็กที่ถือกระเป๋าเงินเอาไว้แล้วเขย่าอย่างดีใจสุดๆ
“เอ่อะ… งั้นผมขอตัวนะครับ”
อูฮยอนถอนมือออกมาช้า อีกคนพอรู้ว่าออกจะแสดงความดีใจจนออกนอกหน้าไปหน่อยจึงผละมือออกเช่นกัน จริงๆก็เป็นการไม่สมควรหรอกกับการถูกเนื้อต้องตัวคนที่เพิ่งรู้จักได้ไม่กี่นาที
“ เดี๋ยวสิ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วที่นายพูดภาษาเกาหลี เป็นคนเกาหลีหรอ”
ร่างสูงถามทั้งที่หน้าตาแบบนี้ของอีกคนจะเป็นเชื้อชาติอื่นไม่ได้เลย ตัวเล็กๆ ผิวที่ขาวอมชมพูแตกต่างจากฝรั่งแบบนี้ แถมอาการที่ชักมืออกแบบหวงตัวนั่นอีก
“ครับ ผมเป็นคนเกาหลี เดาว่าคุณเองก็คงเป็นคนเกาหลีใช่ไหมครับ?”
“ก็แน่หล่ะสิ หน้าอย่างฉันจะเป็นใครไปได้ นี่ดูตาฉันซะก่อน เกาหลีแท้เลยแหละ “
อยู่ดีๆอุฮยอนก็หัวเราะขำออกมาอีกครั้ง กี่ครั้งแล้วนะที่เขาหัวเราะเพราะคนๆนี้ นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้หัวเราะออกมา…
ร่างสูงพอเห็นอูฮยอนหัวเราะ ก็ทำหน้ากวนๆ งงๆ แต่ก็อดหัวเราะออกมาด้วยไม่ได้เพราะเรื่องจริงที่ดวงตาเรียวเล็กของเขานั้นไปที่ไหนก็เหมือนมีป้ายไฟติดหน้าผากเขาว่า “ไอแอมโคเรียน” ตลอดเวลา
“ แล้วนายพักอยู่ที่ไหน ดึกแล้วฉันพานั่งแท็กซี่ไปนะ ถือซะว่าตอบแทนเรื่องนี้”
อูฮยอนก้มลงมองขาตัวเอง ตอนนี้ความเจ็บแล่นปราดเข้ามาที่ข้อเท้าอย่างหนัก จะทำยังไงดี จะไปเรียนไปทำงานได้ยังไงกัน …
“ มีอะไรหรอ ไม่ต้องเกรงใจน่าไปเถอะ ป่ะ” คนตัวสูงหันซ้ายไปทางฟุตบาทแล้วเดินนำหน้าไปเพื่อที่จะเรียกแท็กซี่แต่พอเห็นอีกคนไม่เดินตามมาก็ เดินกลับมาคว้าแขนบางไป
“ อ๊ะ!!” หน้าอ่อนหวานขมวดคิ้วย่น ฟันขาวกัดปากแน่นเพราะความเจ็บ
“ อะไรหน่ะ นายเจ็บข้อเท้าทำไมไม่บอกฉันหล่ะ ไปโรงบาลไหม ไปเถอะ”
“ผมไม่เป็นไร “ อูฮยอนพูดขัดขึ้นตอนที่กำลังจะโดนพาไปโรงพยาบาล ไม่ใช่อะไรหรอกนะ เขาไม่มีเงิน แล้วอีกอย่างข้อเท้าแพงหน่ะมันปฐมพยาบาลเองได้ ทำไมคนๆนี้ถึงทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปได้
“ ถ้างั้นฉันจะพาไปส่ง มาสิ” พูดจบ ร่างสูงก็ย่อตัวลงแล้วหันหลังให้ ทำท่าราวกับจะให้อูฮยอนขี่หลังอย่างงั้นแหละ
“ เอ้า ขึ้นมาสิ ฉันต้องรับผิดชอบเรื่องนี้นะ ฉันต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ฉันทำกับนาย”
ดวงตากลมมองไล่แผ่นหลังกว้างของอีกคน คำพูดที่คนพูดอาจไม่ได้ตั้งใจหรือรู้สึกอะไร แต่นั่นกลับทำให้หัวใจดวงน้อยที่โดดเดี่ยวรู้สึกถึงความอบอุ่นขึ้นมาได้อย่างประหลาด
เขาตัดสินใจเดินตรงไปแล้วค่อยๆขึ้นขี่หลังของอีกคนอย่างระมัดระวัง เมื่อเข้าที่แล้ว ร่างสูงก็กระชับต้นขาเล็กไว้แน่น แล้วเดินไปเรียกแท็กซี่ แต่ยืนอยู่นานแล้วก็ไม่มีแท็กซี่วิ่งมาเลยสักคัน บทสนทนาฆ่าเวลาจึงเริ่มขึ้น
อูฮยอนได้รู้ว่าคนๆนี้มีชื่อว่า คิมซองกยู มาจากโซล เหตุผลที่มาก็เพราะอยากแบคแพคมาเที่ยว เพราะเบื่อเกาหลี แต่อูฮยอนก็ไม่โง่พอที่จะไม่ทันสังเกตในน้ำเสียงที่อึดอัดใจนั้น
….. มากกว่าอยากหนีมาเที่ยว ผู้ชายคนนี้กำลังหนีอะไรอยู่เป็นแน่…
“ไม่หนักหรอครับ ให้ผมลงก่อนไหม?” เพราะท่าทางที่ใกล้ชิด เวลาปากอิ่มยื่นไปกระซิบที่ใบหูของอีกคน จึงทำให้หัวใจเต้นแรงมากจนอูฮยอนนึกเกลียดตัวเอง ทั้งที่อีกคนออกจะนิ่งมากแท้ๆ
“นายตัวเบาจะตาย ตัวก็เล็กอย่างกับผู้หญิง ฉันยกนายมือเดียวยังได้เลย”
เสียงทุ้มนุ่มพูดออกมา แต่เพราะเขาหันหลังให้ อูฮยอนจึงไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มของอีกคนเช่นกัน
“โอ๊ะ นั่นแท็กซี่ แท็กซี่!!” เพราะมือหนึ่งต้องยกเรียกรถ ทำให้เกิดจังหวะที่ไม่ตั้งใจขึ้น อูฮยอนเกือบหงายหลังตก นั่นทำให้ซองกยูต้องระวังมากขึ้นแขนแกร่งรัดกระชับขาเรียวอีกคนให้แน่น ส่วนอูฮยอนเอง ตามสัญชาติญาณก็โผกอดเข้าที่ต้นคอขาวของออีกคนทันทีพร้อมกับที่แก้มนิ่ม ชนเข้ากับแก้มสากขาวของอีกคน !
ต่างคนต่างหอบหายใจเพราะความตกใจ หัวใจดวงน้อยที่แนบแผ่นหลังกว้างของอีกคนดังโครมครามอย่างน่าอาย อูฮยอนแค่หวังว่าอีกคนจะไม่รู้และไม่ได้ยินมัน…
“กะ เกือบไปแล้ว …” ซองกยูพูดขึ้น อูฮยอนจึงรีบคลายกอดและขยับแก้มออกทันที
นานมากที่รอรถ… แต่เขาสองคนก็โชคยังเข้าข้าง มีแท็กซี่มาจอดรับ แล้วทั้งสองก็ขึ้นรถไป อุฮยอนบอกปลายทางเป็นแมนชั่นที่ตัวเองพักอยู่ พอไปถึง ซองกยูอาสาเป็นม้าให้อูฮยอนขี่ขึ้นไปถึงที่ห้อง ร่างสูงรีบกุลีกุจอหาน้ำแข็งและผ้ามาทำการปฐมพยาบาลให้ อูฮยอนไม่ได้ว่าอะไรเพราะเข้าใจว่าทั้งหมดที่ซองกยูทำไปนั้นคือเพราะความรู้สึกผิด หลังจากนั่งคุยกันสักพัก ซองกยูก็ถามไถ่เกี่ยวกับชีวิตของนัมอูฮยอนอย่างอยากรู้ เพราะคนตัวเล็กนี่คือเพื่อนคนแรกที่เขารู้จักตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาที่ประเทศนี้
“แล้วนายไม่เหงาหรอ?”
ซองกยูถามเจ้าของห้องหลังจากที่รู้ว่าครอบครัวอูฮยอนเป็นหนี้จนเจ้าหนี้ตามราวี ดีที่เขาสอบได้ทุนจึงได้มาเรียนที่นี่โดยที่ไม่มีเงินติดตัวมาสักบาท จนต้องมาหางานทำแล้วก็เรียนไปด้วย แถมยังต้องเก็บเงินส่งไปให้ทางบ้านใช้หนี้อีกด้วย คนตัวเล็กไม่เคยห่างอ้อมอกพ่อแม่ไปไหนเลย ตั้งแต่ลืมตาดูโลกมา นี่คือครั้งแรกที่ต้องออกมาเผชิญโลกกว้างอย่างโดดเดี่ยวและสุดเหงาแบบนี้
“ผมเลือกไม่ได้หรอก ไม่มีทางเลือก” อูฮยอนตอบเสียงเครือ ไม่ใช่เพราะรู้สึกชีวิตรันทด แต่รู้สึกคิดถึงเกาหลี คิดถึงที่ที่เรียกว่าบ้าน..
ซองกยูนิ่งไปสักพักเมื่อเห็นอีกคนเสียงสั่นน้ำตาคลอหน่วง เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่คนตัวเล็กจะร้องไห้ออกมาจริงๆ
“ แล้วขาเป็นแบบนี้ จะทำยังไง”
“ผมก็ยังไม่รู้เลย”
“เอางี้ ฉันจะรับผิดชอบทั้งหมดนี่เอง” อูฮยอนที่นั่งอยู่บนเตียงส่งสายตาสงสัยมายังอีกคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางห้อง
“ไหนๆฉันก็ไม่มีอะไรทำ มาเที่ยวเล่นเฉยๆ มาถ่ายรูป มาอ่านหนังสือ แทนที่ฉันจะหาความสุขใส่ตัวคนเดียวแบบไร้ความรับผิดชอบ ฉันจะดูนายจนกว่าจะหายดีไหม”
“……”
“ถ้าไม่มีนาย อูฮยอน ฉันก็คงจะได้กลายเป็นคนพเนจรไปแล้วเพราะไอ้หัวขโมยนั่น ให้ฉันตอบแทนนายบ้างเถอะ”
คิมซองกพูดยืดยาวเพราะรู้ว่าอูฮยอนต้องปฎิเสธแน่อยู่แล้ว ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าเด็กคนนี้ขี้เกรงใจ อ่อนโยน และมารยาทดีขนาดไหน…
“คุณ จะรับผิดชอบยังไง เอ่อ ผมหมายถึง ยังไงที่คุณพูดว่าจะรับผิดชอบหน่ะครับ..” แก้มกลมขึ้นสีแดงเพราะความอาย เขาไม่เคยพูดทวงออกไปแบบนี้มาก่อนเลย
“ ฉันก็จะไปทำงานแทนนาย เข้าเรียนแทนนายไง”
“ไม่ได้หรอกครับ เข้าเรียนแทนกันไม่ได้”
“อ่าว งั้นหรอ งั้นฉันก็จะคอยพยุงนายไปเรียน ไปเข้าห้องน้ำ ไปกิน ไปอาบน้ำ…”
“คุณซองกยู…!!” คนตัวเล็กขัดขึ้นเพราะอีกคนพูดสิ่งน่าอายออกมากลางห้องแบบนี้
“อ้าว ก็ทำไมอ่ะ ถ้านายลำบาก ฉันจะอาบให้ เป็นผู้ชายด้วยกันอย่าอายเลย..”
“คุณไม่อาย แต่ผมอายนะครับ!!”
“อุ่ย หน้าแดงด้วย ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” หน้าหล่อคมหัวเราะออกมา ทำให้ดวงตาที่เล็กอยู่แล้วยิ่งเล็กเข้าไปอีก
“พอเถอะครับ…แล้วนี่คุณพักที่ไหนหรอ”
“ไม่รู้เลย ยังมีที่นอนอ่ะ กะว่ามาถึงจะมาหาเอาแถวนี้ นายมีแนะนำไหมอ่ะ เอาแบบนี้ก็ได้แบบห้องนายอ่ะ เช่ารายปีเลยนะ”
“กี่ปีครับ?” อยู่ดีๆอูฮยอนก็แทรกขึ้นทันที เขาหล่ะอยากตบปากตัวเองจริงๆ จะอยากรู้ไปทำไมนะว่าคนๆนี้จะอยู่ที่นี่กี่ปี
“สัก…สองปี”
.
.
.
.
;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;; Once Upon a time of love :;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;
.
.
.
.
.
กุมภาพันธ์ เมลเบิร์น ออสเตรเลีย, 2012
มือเล็กค่อยๆเปิดประตูแมนชั่นเข้ามาอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะการเรียนปีสองที่หนักขึ้น ถุงขนมปังที่เขาหอบกลับมาถูกวางลงบนโซฟาอย่างเบามือ ทุกครั้งจะเป็นอีกคนที่ทำหน้าที่ถือมัน
… แต่ก่อนที่มือเล็กจะเอื้อมไปกดสวิทส์เพื่อเปิดไฟ ให้ห้องเล็กแต่อบอุ่นนี้สว่างขึ้น กลับมีกลิ่นหอมที่คุ้นเคยลอยมาใกล้พร้อมกับอ้อมกอดแข็งแกร่งที่โอบกระชับเอวบางของเขาอย่างนุ่มนวล
“ สุขสันต์วันเกิดนะครับ ที่รัก….”
“พี่ซองกยู…..”
ไม่ทันที่อูฮยอนจะได้ทำอะไรหรือพูดอะไร ร่างบางก็ถูกพลิกให้หันมาเผชิญหน้า ลมหายใจของคนตัวสูงกว่าเป่ารดแก้มใส ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นจะทาบทับลงบนกลีบปากอิ่มของเขาอย่างทะนุถนอม และสลับกับร้อนแรงอย่างที่อีกคนเป็นอยู่เสมอ คิมซองกยูอบอุ่น ร้อนแรงเหมือนเปลวไฟ ที่เข้ามาเป่าไล่ความเหน็บหนาวออกไปจากหัวใจของนัมอูฮยอน…
“อ่ะ อื้ม…” เสียงครางเล็ดลอดออกมาทวงลมหายใจที่กำลังจะขาดห้วงไป
ปากหนาค่อยๆถอนจูบออกมา ในขณะที่แขนแกร่งของตนยังคงโอบรัดเอวบางของคนรักเอาไว้แน่น
“ ขอให้ตัวเล็กของพี่มีความสุข แข็งแกร่ง และมีรอยยิ้มที่สดใสแบบนี้ตลอดไปนะครับ…”
เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยบอกอย่างจริงจัง ดวงตาสองคู่มองประสานกันเนิ่นนาน
แต่คำว่าตลอดไปนั้นจะนานแค่ไหน ….แค่ไหนกันเหรอ ระหว่างนัมอูฮยอนกับคิมซองกยู
เป็นเวลาเกือบสองปีแล้วที่คิมซองกยูถือหัวใจของนัมอูฮยอนไว้ และนัมอูฮยอนก็เช่นกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาห้องเล็กๆนี้เป็นดั่งสถานที่บ่มเพาะความรักและทุกๆอย่างระหว่างคนสองคนให้เติบโตขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ไม่มีวันไหนเลยที่นัมอูฮยอนจะรู้สึกว่าคนคนนี้จะอยู่ข้างๆเขาได้ตลอด ได้ตลอดไป…..
ถึงแม้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาร่างกาย และหัวใจสองดวงนี้ใช้ไปด้วยกันเกือบทุกเวลา ทุกนาที ถึงแม้ว่าตั้งแต่ที่มีคิมซองกยูเข้ามาในชีวิตนัมอูฮยอนก็ไม่เคยกลัวหรือต้องเผชิญกบความเหน็บหนาวในหัวใจอีกเลย
ถึงอย่างนั้น …. เวลาสองปีที่คิม ซองกยูเคยพูดเอาไว้นั้น….กำลังจะมาถึงในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้แล้ว
ซองกยูไม่เคยบอกเล่าอะไรไปมากกว่าที่เคยบอกนัมอูฮยอนในวันแรก ถึงแม้ว่าเขาพยายามจะถาม แต่อีกคนก็มักจะบ่ายเบี่ยงตลอดมา ระหว่างเขาสองคน จึงเหมือนมีเส้นบางๆที่อูฮยอนไม่สามารถก้าวข้ามไปได้เลย…
“ อย่าร้อง ไม่ร้องนะ …” มือหนายกขึ้นมาปาดน้ำตา น้ำตาแห่งความอึดอัด และความหวาดกลัวที่ไหลออกมารดแก้มใส
“ฮึ่กก….ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างที่พี่ทำให้ผมนะครับ พี่ซองกยู”
“อูฮยอนอา…..”
“พี่เคยพูดเอาไว้ว่าจะอยู่ที่นี่สองปี เดือนหน้าแล้วใช่ไหมครับ ที่พี่จะต้องกลับไป”
หน้าหล่อคมเปลี่ยนสีหน้าเศร้าลงเพราะคำพูดที่ตรงไปตรงมาของคนตัวเล็ก ที่ตลอดมาเขาสองคนเองก็พยายามลืมมันไป ในใจซองกยูกลับรู้สึกผิดบาปที่ตัวเองกล้าดีเข้ามาสร้างต้นไม้แห่งความรักให้คนตัวเล็กทั้งที่รู้ว่าอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเขาต้องกลับไป กลับไปทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับครอบครัว…
… แต่จะทำอย่างไรได้ ก็ในเมื่อเขาเองก็รักนัมอูฮยอน รักมากซะจนยอมกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้
“ไม่เอาหน่ะ วันนี้วันเกิดนายนะ ดูสิพี่เตรียมอาหารกับไวน์ไว้ด้วย มากินกันนะ “
อย่างที่เคยเป็น ซองกยูพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะพูดเรื่องที่เป็นดั่งเข็มที่คอยทิ่มแทงหัวใจของทั้งคู่ แต่นัมอูฮยอนจะรู้บ้างไหมนะ ว่าภายใต้ท่าทีแบบนี้ น้ำตาของอีกคนก็ไหลตกอยู่ในหัวใจดวงช้ำไม่แพ้กันเลย….
เจ็บ….. ไม่แพ้อูฮยอนเลยสักนิดเดียว
หลังจากใช้เวลากับการกินอาหารและเป่าเค้กวันเกิดไปสักพัก อูฮยอนยังคงมีแต่รอยยิ้มเศร้าในวันเกิดของตัวเอง คิมซองกยูจึงเดินตรงเข้าไปพาร่างบางอันเป็นที่รักมาที่เตียง ที่มีกล่องใบเล็กจิ๋ววางอยู่
มือใหญ่เปิดกล่องใบเล็กและหยิบสร้อยสีเงินวาววับขึ้นมา…. สร้อยเส้นเล็กบาง ที่มีจี้รูปกุญแจดอกเล็กห้อยอยู่
หลังจากบรรจงสวมให้ นัมอูฮยอนน้ำตาไหลรินออกมาอีกครั้ง เหลือเวลาอีกนานแค่ไหน ที่เขาจะได้รับความอบอุ่นแบบนี้จากคิมซองกยู….
มือใหญ่เชยปลายคางเล็กขึ้นมารับจูบที่เป็นเหมือนการปลอบประโลมแบบที่ซองกยูทำตลอดมา ใบหน้าขาวนวลสะท้อนแสงไฟ หยดน้ำตาพร่างพราวระยิบโต้แสงไฟ อูฮยอนยังคงร้องไห้พร้อมกับรับมอบรอยจูบอันหอมหวานไปด้วย ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากคนสองคน ปากหนาเลื่อนไปจูบซับน้ำตาของคนรักอย่างนั้นเนิ่นนาน มือใหญ่ดันร่างบางให้นอนลงกับเตียงอย่างช้าเนิบ พร้อมกับตรงเข้าไปคร่อมทับร่างอีกคน อูฮยอนยังคงร้องไห้ นั่นทำให้เรียวคิ้วเศร้าของซองกยูขมวดเข้าหากันอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง
เวลานี้….คำปลอบใจใดๆคงไม่มีผลอีกต่อไปแล้ว การกระทำอันอ่อนโยนทางกายแบบที่เขาเคยทำเท่านั้นจึงจะสามารถหยุดน้ำตาของอูฮยอนได้
และวินาทีนี้แหละที่เขาจะบอกว่ารักคนตัวเล็กมากแค่ไหน ผ่านทางร่างกายของเขาเอง…..
.
.
.
.
.
.
.
.
มีนาคม เมลเบิร์น ออสเตรเลีย, 2012
วันนี้ทั้งวันอูฮยอนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ทำของตกทั้งวัน ว้าวุ่นตลอดเวลา และพอเลิกงานเขาจึงรีบตรงกลับไปที่ห้องทันที……ห้องที่คิมซองกยูอยู่ และเมื่อเช้าพูดเอาไว้ว่า จะทำพายส้มแบบที่คนตัวเล็กชอบเอาไว้ให้ทาน ….
มือเล็กกระชากประตูออกแรง แล้วความรู้สึกข้างในนั้นก็ทำให้อูฮยอนต้องตะโกนเรียกอีกคนอย่างไม่รู้ตัว!
หัวใจดวงเล็กหล่นวูบ…..เมื่อไม่มีเสียงสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่ในห้อง
อูฮยอนรีบเดินตรงไปเปิดดวงไฟ มือเล็กสั่นเทาอย่างน่าสงสาร …
ภาพของห้องเล็ก ที่ไม่มีข้าวของของคิมซองกยูอยู่ทำให้เข่าของอูฮยอนทรุดลงทันที
ดวงตากลมเหม่อลอยอยู่อย่างนั้นราวกับไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น มันเจ็บปวดเหลือเกิน ราวกับอยากให้สิ่งที่ เห็นนี้เป็นดั่งความฝันไปซะ…
เสียงร้องไห้ดังและเบาสลับกันอยู่ในห้อง 4012 นาน เนิ่นนาน ความอบอุ่นเดียวในชีวิตของนัมอูฮยอนหายวับไปแล้ว หายไปอย่างที่ไม่รู้ว่าจะไปตามกลับมาได้อย่างไรอีก หากเป็นอย่างนี้ เขาจะอยู่ได้อย่างไรต่อไป…..
“พี่ซองกยู…..ฮึกกกก อึ่ก ฮือออออออ ใจร้าย….”
มือเล็กกำจี้รูปดอกกุญแจเอาไว้แน่นแล้วพร่ำพูดประโยคซ้ำๆออกมา
“ ฮึกกก ฮืออออออ ใจร้าย คนใจร้าย……ต่อไปผมจะอยู่ยังไงหล่ะครับ พี่ซองกยู … อึ่ก ฮืออออ ”
ร่างบางสั่นไหวเพราะร้องไห้หนัก เขาไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นยืนอีกแล้ว แต่ในขณะหนึ่ง ดวงตากลมมองผ่านม่านน้ำตาไปเห็นสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ อูฮยอนจึงรีบพาร่างของตัวเองไปตรงนั้น แต่สิ่งที่เห็นนั้นกลับทำให้เขาเจ็บเจียนตายลงไปตรงนั้น…
พายส้มหน้าตาประหลาด ที่ดูยังไงก็รู้ว่าเป็นคิมซองกยูที่ตั้งใจทำเอาไว้ให้
อัลบัมรูปถ่ายที่รวบรวมรูปภาพของนัมอูฮยอนเพียงคนเดียวในอากัปกิริยาต่างๆ คนตัวเล็กสวยงามเหลือเกินเพราะซองกยูถ่ายมันด้วยหัวใจทั้งหมด และรอยยิ้มสวยที่นัมอูฮยอนไม่ได้ยิ้มให้กล้อง แต่ยิ้มให้กับคนหลังกล้องนั้นยิ่งทำให้รูปออกมางดงามอย่างที่ช่างภาพคนไหนก็ไม่อาจถ่ายอูฮยอนออกมาสวยแบบนี้ได้ นอกจากช่างภาพที่ชื่อคิมซองกยู…..
มือเล็กสั่น ยังหยิบจดหมายในซองสีชมพูอ่อนออกมาและพยายามอ่านมันทั้งที่ม่านน้ำตาหนาบดบังอยู่
‘ อย่าร้องไห้ ที่รัก …นายร้องมามากพอแล้ว
อย่านอนดึก เพราะตื่นมานายจะอ่อนเพลีย
อย่าตากฝนเพราะนายจะป่วย
อย่าอดข้าว ต้องกินอาหารดีๆเพราะนายผอมแล้วก็ตัวเล็กเหลือเกิน
อย่าท้อแท้ เพราะยังมีพี่ที่จะอยู่ข้างๆนายเสมอ
ใช้ชีวิตที่แสนดีของนายอย่างมีความสุข ความสุขในชีวิตพี่ก็คือนาย
มีสิ่งหนึ่งที่นายต้องรู้ไว้….ว่านับตั้งแต่ที่พี่เจอนาย หัวใจของพี่ ก็ให้นายเก็บเอาไว้แล้ว
.
.
.
อูฮยอนอา….. พี่ รั ก น า ย’
.
.
.
.
สิงหาคม โซล , 2012
กว่าห้าเดือนแล้วที่ซองกยูจากคนที่เป็นดั่งหัวใจมา เขาจำเป็นต้องกลับมาทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับคนเป็นพ่อและแม่ สัญญาที่เขา ผู้ที่เป็นทายาทนักธุรกิจชื่อดังในแวดวงสังคมไฮโซต้องแต่งงานกับดาราสาวไฮโซ ที่พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ช่างมันเถอะ ใครจะทำอะไรก็ทำไป เขาในตอนนี้ไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้คิมซองกยูที่ยืนอยู่ในพิธีแต่งงานแห่งนี้คือคนที่ไร้ซึ่งหัวใจไปแล้วนับตั้งแต่วันที่เขาจากอูฮยอนมา….
เพี๊ยะ !!!!!!!!!!!!!
“ ฮ่ะ นายกล้าพูดต่อหน้าคนเป็นร้อยได้ยังไงว่าจะไม่รับฉันเป็นภรรยา คิมซองกยู บ้าไปแล้วหรอ!!” ฮานซูจอง หญิงสาวสวยสง่าในชุดเจ้าสาวตะโกนใส่หน้าหล่อเหลาของอีกคนในชุดเจ้าบ่าว
“ฉันขอโทษนะซูจอง แต่หัวใจของฉันไม่ได้อยู่ที่ตัวฉันอีกต่อไปแล้ว”
“อะไรนะ นายหมายความว่ายังไง “
“เราสองคนแต่งงานกันเพราะธุรกิจและชื่อเสียงก็จริง ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันอาจจะทนทำได้ แต่ว่าตอนนี้….”
“ฮ่ะ ….นายนี่จริงๆเลย!!”
“ตอนนี้ฉันทำแบบนี้ไม่ได้แล้ว ฉันทำผิดต่อคนที่ฉันรักต่อไปไม่ได้แล้ว…” ดวงตาคมเรียวเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกฝ่ายอย่างจริงจัง
“ เธอเป็นใคร “
“…..”
“ฉันถามว่าเธอคนนั้นหน่ะเป็นใคร คิมซองกยู!!??”
.
.
.
.
.
.
.
ธันวาคม โซล , 2013
ท่าอากศยานนานาชาติ อินชอน
“โอ๊ะ อูฮยอนอา…..ทางนี้!!” สองสามี ภรรยาโบกมือทักทายทันทีที่เห็นลูกชายคนเดียวเดินออกมาจากทางออกของผู้โดยสาร นัมอูฮยอนยิ้มกว้างแล้ววิ่งเข้ามากอดพ่อกับแม่แน่น
“คิดถึงจังเลยครับพ่อ แม่….”
“ไอกู เราก็คิดถึงลูกนะ ขอโทษที่ต้องทำให้ลำบาก ตัวเล็กของแม่”
“อะไรกันครับ อย่าพูดแบบนั้น ตอนนี้ผมเรียนจบแล้วนะ ใช้หนี้หมดแล้วด้วย”’
“ไอกู….. ตอนแรกที่แม่ส่งลูกไป ก็คิดว่าต้องร้องไห้โยเยกลับมาแน่เลย แต่ลูกไปเอาความเข้มแข็งพวกนี้มาจากไหนนะ ดูสิครอบครัวเรามีวันนี้กันได้ก็เพราะลูก”
คนเป็นแม่ไม่ทันได้สังเกตเลยว่ารอยยิ้มเศร้าที่สุดถูกส่งออกมาจางๆ เพียงแค่นัมอูฮยอนหวนนึกไปถึงความแข้มแข็งเดียวที่เขามี พระอาทิตย์ดวงนั้น….ที่ตอนนี้คงใช้ชีวิตคู่อยู่ที่ ไหนสักที่ในโซล กับคุณฮานซูจอง
นับจากวันนั้นวันที่ซองกยูจากมา นัมอูฮยอนใช้ชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวันอย่างยากเย็น ค่ำคืนที่ไร้อ้อมกอดของอีกคนนั้นช่างยาวนานราวกับชั่วกัปกัลย์ หนึ่งปีกับอีกเก้าเดือน ที่ไม่มีวันไหนเลย ที่ลมหายใจของอูฮยอนไม่มีคิมซองกยู….
หลังจากที่ซองกยูกลับโซลไปได้ห้าเดือน นัมอุฮยอนก็ได้รู้เหตุผลที่แท้จริงที่เขาอยากรู้มานาน ว่าทำไมซองกยูต้องจากเขาไป เด็กๆในร้านขนมปังที่เป็นชาวเกาหลีต่างพากันลือให้แซ่ดเกี่ยวกับงานแต่งงานระดับชาติ และวันนั้นเอง ที่อูฮยอนได้รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น เขาอยู่กินและรักกับคิมซองกยู คู่หมั้นของดาราสาวฮานซูจอง…..
“ โอ้ แม่ๆ ดูสิ ฮานซูจองนี่สวยระดับนางงามเลยนะเนี่ย….”
คนเป็นพ่อพูดขึ้นเสียงดังเมื่อมองไปเห็นบิลด์บอร์ดขนาดใหญ่ของดาราสาว
ดวงตากลมโตได้แต่มองตาม มากกว่าสิ่งอื่นใดคือความคิดถึงใครบางคนสุดหัวใจจนน้ำตาหยดใสต้องไหลออกมาอีกครั้ง ทั้งที่เขาอุตส่าห์ปฎิญาณกับตัวเองไปแล้วนับตั้งแต่วันที่รู้ข่าวการแต่งงานว่าจะไม่ร้องไห้อีก
"อา แต่ข่าวครั้งนั้น....." อยู่ดีๆคนเป็นพ่อก็พูดขึ้นมาเกี่ยวกับข่าวดังในตอนนั้น
“อูฮยอนอา แล้วบริษัทที่ทาบทามเราไว้ติดต่อมาว่ายังไงบ้าง”
“ก็นัดเซ็นสัญญาพรุ่งนี้ครับแม่ ที่ตึกJL “
“ โอ๊ะ นั่นมันตึกใหญ่ที่มีแต่บริษัทดังๆอยู่นี่ ต้นสังกัดของฮานซูจองด้วย”
คนตัวเล็กตกใจพร้อมกับเสียวปลาบที่หัวใจเพียงแค่คิดว่าจากนี้ต่อไปเขาอาจจะได้เจอกับคนๆนั้นอีกครั้ง เพราะซองกยูในตอนนี้คือสามีของฮานซูจอง…
.
.
.
.
.
;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;; Once Upon a time of love :;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;
เป็นเวลากว่าสามเดือนแล้วที่นัมอูฮยอนเข้ามาทำงานเป็นการตลาดที่บริษัทออแกไนซ์ชื่อดัง แต่ไม่มีสักครั้งที่เขาจะได้พบเจอกับใครคนนั้น หรือแม้แต่ฮานซูจอง แต่ป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะหากวันไหนที่เขาเจอคนทั้งสองอยู่ด้วยกัน เขาเองก็ไม่รูจะทำหน้าหรือห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลได้อย่างไร
“คุณนัม โปรเจคใหม่นี้ดาราที่เราต้องทำงานร่วมด้วยคือฮานซูจองนะ งานนี้ต้องระมัดระวังให้มาก เธอค่อนข้างจะเป็นคนตรงต่อเวลาและเนี้ยบมาก”
“ครับ” คนตัวเล็กรับคำ แต่หัวใจนั้นเต้นโครมครามไปแล้ว ทำไมความรู้สึกของเขาเหมือนกับว่าได้เข้าใกล้คนๆนั้นขึ้นมากทุกทีนะ
.
.
.
.
.
เมื่อวันประชุมมาถึง เบื้องหน้าของอูฮยอนคือดาราสาวระดับชาติ เธอสวย หุ่นดี และสง่างาม
คนอ่อนแอขบเม้มปากแน่นเพียงแค่คิดว่าคนสวยที่อยูตรงหน้านี้คือคนรักปัจจุบันของคิมซองกยูไม่ใช่อดีตอย่างเขา นัมอูฮยอนบอกตัวเองว่าอย่ามองเรื่อนร่างสวยที่คงผ่านมือของซองกยูมานับไม่ถ้วนแล้ว บอกตัวเอง ว่าอย่ามองริมฝีปากบางสวยของคุณซูจองที่อาจถูกซองกยูจูบมาแล้วเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่ถึงแม้จะบอกตัวเองแบบนั้นก็ยังอดที่จะมองไม่ได้เพราะเห็นฮานซูจอง ก็เหมือนเห็นคิมซองกยู….
แต่อาการทั้งหมดนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาคมของเธอไปได้ ….เด็กหนุ่มตรงหน้านี้มองเธอราวกับอยากจะถามอะไรงั้นหรือ แล้วทำไมมองเธอแล้วถึงได้มีดวงหน้าเศร้าแบบนั้นกัน….
หลังจากประชุมเสร็จ ทั้งหมดก็โค้งให้กัน จนดวงตาสองคู่ของอูฮยอนและซูจองประสานกันอย่างบังเอิญอีกครั้ง เธอจึงเดินเข้ามาหาอย่างเป็นมิตรเพียงเพราะอยากถามว่าอูฮยอนเป็นอะไรหรือเปล่าหรือยังไม่เข้าใจรูปแบบงานที่เธอต้องการ แต่มินอาที่เป็นเพื่อนอูฮยอนนั้นเดินปรี่เข้ามาก่อน
“ อูฮยอน ! ย่า นัมอูฮยอน เที่ยงนี้เราไปกินอะไรดี?”
ซูจองชะงักไปในทันทีที่ได้รู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ชื่ออะไร เธอบบรรจงถอดแว่นตาออกแล้วไล่มองตั้งแต่ดวงหน้าอ่อนเยาว์ ไปจรดปลายเท้าของอูฮยอน
“นาย ชื่อนัมอูฮยอนเหรอ?? “ เธอถามเสียงสั่นเครือ
คนตัวเล็กเองถึงแม้จะยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็พยักหน้ารับอย่างสุภาพ
“เย็นวันนี้ฉันอยากเจอเธอ อยากคุยกับเธอ จะได้ไหม?”
อูฮยอนชะงักไปสักพัก แต่เพราะคิดว่าเธออาจจะอยากคุยเรื่องงานจึงตอบรับนัดไป
.
.
.
เมื่อเวลานัดมาถึง …
บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมหรู มีเด็กหนุ่มตัวเล็กในชุดสูท หน้าตาอ่อนหวานแต่แววตาเศร้า นั่งอยู่ตรงข้ามกับดาราสาวสวย
และเธอนั่นเองเป็นคนเปิดบทสนทนาขึ้นมาอย่างไม่รีรอ
“นาย รู้จักคิมซองกยู…. .ใช่ไหม?”
“…..คะ คุณซูจอง”
“ พวกนายสองคนรักกัน “
“ ก็แค่ เคย หน่ะครับ….”
คำพูดเย็นชาหลุดออกมาจากปากของอูฮยอน ทั้งที่หัวใจเจ็บเจียนตายอยู่แล้ว เขากำลังกลั้นน้ำตามากมายอยู่ในตอนนี้ หากมันล้นออกมาจากหัวใจเมื่อไหร่ คุณซูจองอาจจะได้เห็นน้ำตาของเขาก็เป็นได้
“ แต่คุณซูจองไม่ต้องห่วงนะครับ ผมกับเค้าไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว เพราะงั้นช่วยลืมผมไป แล้วใช้ชีวิตคู่ให้มีความสุขเถอะครับ”
“ อะ อะไรนะ ชีวิตคู่เหรอ?”
“ครับ” นัมอูฮยอนก้มหน้าข่มน้ำตาที่รื้นขึ้นมาเอาไว้ มือเล็กประสานจิกแน่น ไหล่บางเริ่มสั่นเทา จนซูจองสัมผัสมันได้ทุกอย่าง
ก่อนมาที่นี่ซูจองสอบถามประวัติอูฮยอนมาจากออแกไนซ์ต้นสังกัดแล้ว เธอรู้ว่าอูฮยอนไม่เคยกลับมาที่โซลเลย จนกระทั่งก่อนหน้านี้สามเดือนเท่านั้น
“ เธอ คิดถึงเขาใช่ไหม ….จนตอนนี้ เธอก็ยังรักเขา”
อูฮยอนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ซูจองทำราวกับเธอเป็นแม่พระ ถ้าเขาบอกว่าใช่ เธอจะยกซองกยูให้อย่างนั้นหรือไง
“ ….. อย่าพูดถึงเรื่องราวที่มันผ่านมานานมากแล้วเลยครับ ผม….”
“ซองกยูเขาก็คิดถึงเธอ…..”
ได้ยินแบบนั้นอูฮยอนก็หมดความอดทน จึงรีบเงยหน้าขึ้นมาถามว่าซูจองต้องการอะไรกันแน่
“ ฉันไม่ได้ต้องการอะไร….นัมอูฮยอน”
“…..”
“ฉันแค่จะบอกเธออีกครั้ง ว่าซองกยู เขาเอง…. ก็คิดถึงเธอมากเช่นกัน..”
“……”
“พรุ่งนี้ ฉันจะขับรถไปรับนายที่บ้านเพื่อไปหาซองกยู… ”
.
.
.
.
.
:::::::: Last part :::::::::::::::
สายลมหนาวแวะเวียนมาให้หัวใจหนาวเหน็บอีกครั้ง มือเล็กล้วงเข้าไปในเสื้อโค๊ทตัวหนา พร้อมกับอีกข้างที่กุมสร้อยรูปกุญแจเอาไว้แน่น…..
“กุญแจดอกนี้ ผมใช้มันไขล๊อคความทรงจำระหว่างเราเอาไว้แล้วครับพี่ซองกยู”
“หัวใจของผมเหมือนหีบใบใหญ่ที่เก็บทุกๆอย่างของเราเอาไว้……”
เสียงใสพูดกับตัวเองก่อนที่จะเดินฝ่าหิมะขึ้นรถแท็กซี่ไปยังที่ๆเขาตั้งใจจะไปหาอีกคนในวันนี้
ตลอดทางผู้โดยสารนัมอูฮยอนเอาแต่จัดแจงทรงผมและเสื้อผ้า ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จนคนขับต้องมองลอดกระจกมาดู
เมื่อมาถึงจุดหมาย เสียงรถแท็กซี่จอดลง พร้อมกันกับที่รอยยิ้มกว้างของนัมอูฮยอนส่งไปให้อีกคนอย่างอบอุ่นที่สุด
…… อูฮยอน ยังคงเป็นอูฮยอนเสมอในสายตาขอคิมซองกยู สดใส สว่างเจิดจ้า เป็นนัมอูฮยอนที่เขารัก และเป็นห่วงเสมอมา
“ วันนี้หนาวจังเลยนะครับ พี่ซองกยู …..”
“พี่หล่ะครับ หนาวไหม??....”
..
.
.
.
.
.
.
“…..คิดถึงจังเลยนะครับ ……… คนดีของผม…”
.
.
.
.
ครืดดดด
ครืดดดดดด
“ เออ ว่าไง ?”
……………………….
“ฉันหรอ ฉันมาส่งผู้โดยสารที่สุสานชานเมืองเนี่ย…. “
………………………
“โอ้ยยย แถวนี้มันหาแท็กซี่ยากเขาเลยให้ฉันรอ
...............................
เอ้ยรอได้สิวะ จ่ายเงินดีนี่หว่า…”
……………………………..
“ เออ เนี่ย เขากำลังคุยกับคนรักอยู่มั้ง เศร้าหว่ะ เออๆๆ วางละแค่นี้แหละ”
.
.
.
หลังจากวางโทรศัพท์ คนขับแท็กซี่สูงวัยหรี่ตาแล้วมองไปที่หินอ่อนสีขาวที่มีหิมะปกคลุมอยู่… เขามองมือเล็กของผู้โดยสารกวาดกองหิมะนั่นออกจนทำให้เห็นชื่อที่สลักลงไปบนนั้น
.
.
.
อย่างไม่ได้ตั้งใจ คนขับแท็กซี่นั้นเผลอขานชื่อบนหินสลักออกมาเบาๆ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ คิ ม
ซ อ ง
ก ยู …...”
.
.
.
.
.
.
.
.
Special part . . .
หญิงสาวร่างผอมบางได้สัดส่วนเปิดประตูบ้านหลังใหญ่เข้ามาอย่างช้าๆ หลังจากที่เธอกลับจากพบเด็กหนุ่มคนหนึ่ง … ในใจก็หยุดคิดเรื่องที่กำลังคิดอยู่ไม่ได้สักที ท่าทางน่าเป็นห่วงนี้ยังหนีไม่พ้นสายตาของคู่ชีวิตป้ายแดงที่เธอเองเพิ่งตกลงปลงใจแต่งงานไปด้วยหมาดๆเมื่อหกเดือนที่แล้ว
มันไม่ง่ายเลยที่เธอจะผ่านมรสุมคำครหานินทาในเรื่องที่คู่หมั้นเก่าของเธอเสียชีวิตลงเมื่อหนึ่งปีกับอีกสี่เดือนที่แล้ว-- แล้วมาแต่งงานกับ คังจุนดาราหนุ่มใหญ่ดีกรีทายาทธุรกิจโรงแรมอันดับหนึ่งในเกาหลี
ชายคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตรงหน้าเธอ มีคุณสมบัติดีทุกอย่างไม่แพ้คู่หมั้นเก่า เพียงแต่สิ่งหนึ่งที่คู่หมั้นเก่าของเธอไม่มีนั้น คือความรัก และหัวใจที่รักในตัวเธอนั่นเอง….
หญิงสาวเดินมานั่งตรงโซฟากว้างแววตายังคงเหม่อลอยไปทางเบื้องหน้า เมื่อสามีเห็นสิ่งผิดปกติจึงถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“ ที่รัก…ซูจองอา วันนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
หน้าสวยหันมาเผชิญกับใบหน้าหล่อของสามี
“ ฉัน …ฉันเจอเขาแล้ว “
“ อะไรนะ.?”
“ฉัน …นัมอูฮยอน ฉันเจอเขาแล้ว”
คังจุนได้อึ้งแล้วมองหน้าของภรรยาด้วยความงุนงง ไม่ใช่ว่าคังจุนจะไม่รู้เรื่องนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาซูจองเป็นคนเย่อหยิ่ง รักศักดิ์ศรี และยากที่ใครจะชนะหัวใจของเธอได้จริงๆ แต่เพราะคังจุน กำแพงหัวใจของเธอจึงถูกทำลายลง หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เธอก็ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ตัวเองอีกเลย ไม่ใช่เพราะเธอรักคู่หมั้นเก่ามาก แต่เพราะเธอถูกบอกเลิกในขณะที่กำลังจะได้เป็นเจ้าสาว พอคังจุนเริ่มเข้ามา ซูจองรู้สึกถึงความจริงใจที่เธอไม่เคยได้รับ เธอจึงค่อยๆเล่าเรื่องทุกอย่าง อย่างที่เธอไม่เคยเอ่ยปากตอบใคร โดยเฉพาะนักข่าวจอมจุ้นพวกนั้น
“ ดีจังนะ… เขาสองคน จะได้เจอกันสักที” คังจุนพูแผ่วเบา
หน้าสวยเฉี่ยวส่งยิ้มเศร้าให้สามีของเธอ น้ำตาเริ่มคลอเบ้าออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“ ที่ผ่านมา ฉันพยายามแล้ว พยายามตามหาเด็กที่ชื่อนัมอูฮยอนมาโดยตลอด เพราะซองกยูรักเขามาก เพราะมีแค่ฉันเท่านั้นที่รู้ เพราะมีแค่ฉัน มีแค่ฉัน.. อึ่ก ฮืออ….”
ร่างหนาของอีกคนขยับเข้ามาใกล้และโอบกระชับร่างของภรรยาที่สั่นเทาเพราะร้องไห้ไว้อย่างรักใคร่และเป็นห่วง
หลังจากวันที่ซูจองโดนปฎิเสธไป เธอเองก็ต้องใช้เวลาเหมือนกันกับการเคลียร์ทุกๆอย่าง ถึงแม้จะรู้สึกเสียหน้าและเสียใจ แต่ช่วงระยะเวลาที่เธอได้ฟังเหตุผลจากคิมซองกยู เธอเองก็เริ่มเข้าใจ และมากไปกว่านั้นซองกยูสอนให้เธอได้รู้ว่าการได้รักใครสักคน หรือการที่ได้ทำให้คนที่ตัวเองรักมีความสุขนั้นเป็นยังไง เธอรับรู้ได้ จากรอยยิ้มและคำพูดที่อดีตคู่หมั้นมักจะบอกเล่าให้เธอฟังเสมอ
… จนกระทั่งวันนั้น วันที่เรื่องทุกอย่างเงียบลง และซองกยูเอง กำลังตัดสินใจจะเดินทางไปออสเตรเลีย เพื่อตามหัวใจของตัวเองไป …
…วันที่คิมซองกยูกำลังจะเดินทางไปหาคนรักของเขา-- นัมอูฮยอน แต่โชคชะตากลับเล่นตลก พรากพวกเขาสองคนออกจากกัน ตลอดกาลด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ก่อนทางเข้าสนามบินเพียงแค่สองกิโลเมตรเท่านั้น…
“ฉันได้แต่จมอยู่กับความผิดหวัง และเอาแต่ขอโทษเพื่อนเก่าที่แสนดี—ซองกยู ฉันแค่อยากให้พวกเขาได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง”
“.ซูจองอา… แล้วเป็นยังไบ้าง เด็กคนนั้น?”
“วันนี้ฉันไปเจอเขามาค่ะ เด็กคนนั้นอ่อนโยน อ่อนหวาน … ‘หัวใจ’ของคิมซองกยู สวยงามมากจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่เขารักเด็กคนนี้มากเหลือเกิน”
“แล้วได้บอกเขาไหมว่า…”
“ยังค่ะ เด็กคนนี้เพิ่งกลับมาได้แค่สามเดือน แล้วเขาเองก็ยังคงไม่รู้เรื่องนี้ ฉันเชื่อว่าอูฮยอนยังคงรักซองกยูอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง และคิดว่าวันนี้เขาคงยังไม่พร้อมฟังเรื่องอะไรแบบนั้น ฉันเองก็ด้วย ไม่พร้อมที่จะเล่าจริงๆ”
“แล้วยังไงหล่ะ ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องรู้เรื่องนะ…”
“พรุ่งนี้ค่ะ วันพรุ่งนี้ ฉันจะไปรับเขาที่บ้าน เพื่อพาไปพบคิมซองกยู …”
“…..”
“ที่รักคะ….ฉัน.....”
“คุณทำสิ่งที่ดีและสวยงามที่สุดแล้ว ซูจองอา…”
-The end-
ผลงานอื่นๆ ของ เสี่ยวหมาน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ เสี่ยวหมาน
ความคิดเห็น