“Tall and tan and young and lovely
The girl from Ipanema goes walking
And when she passes each one she passes goes…ah”
เสียงเพลงครวญแผ่วเบา เคล้าคลอบรรยากาศทางขึ้นเขาคดเคี้ยวที่มีสีเขียวของต้นไม้ขนาบสองข้างทาง ชวนให้ผ่อนคลายในความรู้สึกของ อรณิชา
นานๆครั้งเธอจึงมีโอกาสได้ขับรถออกมาทำงานนอกเมือง เพราะคนมีชื่อเสียงในสาขาใดๆ ที่เธอต้องไปสัมภาษณ์ลงนิตยสาร ส่วนใหญ่ก็มักจะมีที่พำนักหรือทำงานอยู่ในกรุงเทพแทบทั้งนั้น
แต่เพราะนัดคราวนี้ค่อนข้างพิเศษ เธอจึงต้องพาตัวเองมาถึงจังหวัดเพชรบูรณ์...ใจกระหวัดคิดถึงแผนที่ที่ทางสำนักงานส่งมาให้ อีกไม่ไกลเธอน่าจะได้เห็นทางแยกที่มีป้อมตำรวจแล้วนะ...
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นแทรกแซงห้วงความคิด หญิงสาวกดปุ่มเล็กๆ ที่อุปกรณ์ติดใบหูเพื่อรับสาย
“ฮัลโหล แก้ม”
“ลินนี่ วันนี้แกจะไปงานกี่โมง? แวะมารับฉันก่อนได้รึเปล่า? พอดีพี่ฉันมันต้องใช้รถ”
เสียงใสในหูฟังทักอย่างกระตือรือร้น ทวงถามถึงงานเลี้ยงรุ่นที่จะจัดขึ้นที่โรงแรมดังริมแม่น้ำ ในเวลาอีกประมาณ...สี่ชั่วโมงข้างหน้า
“เหอๆๆ ซอรี่ค่ะคุณเพื่อน ฉันติดงานอ่ะ เนี่ยมาถึงเพชรบูรณ์แล้ว”
“อ้าว ตกลงนัดได้แล้วเหรอ ผู้กำกับเลสฯ ที่ได้รางวัลคนนั้นใช่ไหม?”
“ช่ายแล้ว มานัดได้วันนี้พอดีเลย เฮ้อ...ถ้ารู้แต่แรกก็ดีหรอก จะได้ไม่ต้องเหนื่อยไดเอ็ท”
อรณิชาว่าพลางทำปากยื่นอย่างเจ็บใจเมื่อนึกถึงชุดสวยที่เธอไม่มีโอกาสได้ใส่ ขณะเดียวกันนัยน์ตาคู่ใสก็ทำหน้าที่ชะเง้อมองหาป้อมตำรวจไปด้วย เสียงเพื่อนสาวแว่วเข้าหูอีกครั้ง
“......ว่าแต่ไปสัมภาษณ์เค้าสองต่อสองน่ะ ระวังโดนจีบเอานะ อะฮึๆๆๆ”
“บ๊า! ฟ้าจะได้ผ่าเอาน่ะสิยะ นี่ฝนยิ่งตั้งเค้าอยู่ด้วย”
“เหรอ งั้นกลับไปขับรถดีๆ เถอะแม่คุณ บ๊ายบายน้า”
ร่างบางหลังพวงมาลัยบอกลาตอบแล้วกดวางสาย เป็นเวลาเดียวกับที่ฝนเริ่มลงเม็ดพอดี
เอาแล้วไงล่ะ ฝนยุค 2012....บทจะมาก็มาดื้อๆ เสียอย่างนั้น เธอคิด เผลออมลมจนแก้มป่องด้วยความหัวเสีย
“แล้วนี่......ป้อมตำรวจมันอยู่ที่ไหนกันล่ะว้อยยยยย”
ภัครินทร์ ยืนกอดอกมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง...เธอกำลังรอคอย
ฝนด้านนอกกำลังพร่างพรมพาให้ทุกอย่างดูมืดครึ้ม ลมเย็นๆ พัดลอดกันสาด หอบเอากลิ่นไอดินและใบหญ้ากรุ่นเข้ามาปะทะใบหน้าเป็นครั้งคราว
หูสองข้างยินเสียงตีของนาฬิกา บอกว่าขณะนี้ล่วงเลยเวลานัดมาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว โดยปกติหญิงสาวนิยมคนตรงต่อเวลา แต่ด้วยเส้นทางที่ค่อนข้างซับซ้อนบวกกับสภาพอากาศเช่นนี้ก็น่าเห็นใจคอลัมนิสต์คนนั้นอยู่ไม่น้อย
นึกถึงตรงนี้ เธอก็เห็นแสงจากไฟสูงเคลื่อนตัวเข้ามาในอาณาบริเวณบ้าน พอจะเห็นเป็นเค้ารถเก๋งสีเงินรางๆ
มาถึงจนได้สินะ
นิ้วเรียวเกี่ยวดึงที่รัดผมออก เสยผมยาวรุ่ยร่ายของตัวเองแล้วรวบมันกับขึ้นไปใหม่เพื่อความเรียบร้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
อรณิชายิ้มหวานให้ผู้หญิงหน้านิ่งที่นั่งอยู่อีกฟากโต๊ะ
หล่อนไม่ได้ว่าที่เธอมาสาย...อันที่จริงหล่อนไม่ได้ว่าอะไรเลยนอกจากทักสวัสดีตามมารยาท แล้วเดินนำเธอมาที่มุมรับแขกตรงนี้ จะมีก็แต่เธอที่เป็นฝ่ายขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่
“ดิฉันหลิน อรณิชา จากนิตยสารเอ็มซีค่ะคุณภัครินทร์ หลินจะขออนุญาตคุณภัคบันทึกเสียงให้สัมภาษณ์ไว้ได้ไหมคะ?”
“เชิญเลยค่ะ” หล่อนตอบพร้อมรอยยิ้มจางๆ ช่วยให้คนมาใหม่รู้สึกใจชื้นขึ้น
“ทางเรามีเตรียมคำถามมาทั้งหมดสิบกว่าข้อ บางข้อก็มาจากนักอ่านที่เป็นแฟนผลงานของคุณภัค ถ้ามีตรงไหนที่คุณไม่อยากตอบหรือไม่อยากให้ลงก็บอกได้นะคะ” อรณิชาเกริ่นนำคร่าวๆ พลางหยิบสมุดบันทึกพร้อมเครื่องบันทึกเสียงขนาดเล็กออกมาเปิดใช้งาน เธอบอกวันเวลา สถานที่ และชื่อผู้ให้สัมภาษณ์ ก่อนจะเริ่มถามคำถาม
“คุณภัคช่วยพูดถึงรางวัลที่ได้รับจากงานเทศกาลหนังนานาชาติหน่อยสิคะ?”
“ฉันค่อนข้างพอใจนะคะ” ผู้กำกับสาวตอบขรึมๆ “เพราะพวกเราทุกคน...ทั้งทีมนักแสดงและสตาฟร่วมกันทำงานกันอย่างหนักมาก สิ่งที่ได้รับในครั้งนี้ก็นับเป็นประสบการณ์ที่ดี และยังเป็นแรงเสริมให้ทุกคนพยายามรักษามาตรฐานของตัวเองให้งานออกมาดีที่สุดในครั้งต่อๆ ไปด้วย”
ผู้หญิงคนนี้ เวลาพูดเรื่องงานดูแววตามีชีวิตชีวายิ่งกว่าเวลาปกติเสียอีกแฮะ อรณิชาตั้งข้อสังเกตในใจ หรือว่าคนที่จะประสบความสำเร็จได้นี่ ต้องมีความเป็น Workaholic กันแทบทั้งนั้น?
“ถึงแม้ว่าจะทำหนังอาร์ทมาหลายเรื่องแล้ว แต่นี่ถือเป็นเรื่องแรกที่ตัวละครหลักเป็นหญิงรักหญิง และยังเป็นเรื่องแรกที่คุณเขียนบทเองทั้งหมดอีกด้วย?”
“ใช่ค่ะ”
“มีที่มาหรือเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ?”
นัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์ทางเพศของฉันอย่างที่คุณคงจะทราบอยู่แล้วนะคะ...ฉันเคยเขียนโครงเรื่องทิ้งไว้นานแล้วตั้งแต่สมัยที่ยังกำกับหนังสั้นเป็นหลัก แต่ต่อมาติดงานอื่นๆ ก็เลยต้องพับเก็บไว้ก่อน โดยส่วนตัวถ้าเป็นไปได้ก็อยากที่จะสร้างหนังให้กลุ่มคนดูที่เป็นคนส่วนใหญ่ในสังคมได้เห็นและเข้าใจถึงความสัมพันธ์ในด้านนี้มากขึ้น เพราะแต่ไหนแต่ไรเรื่องรักร่วมเพศถูกจำกัดขอบเขตให้อยู่แต่ในมุมมืด อะไรก็ตามที่มันอยู่ในความมืดก็ชวนให้อึดอัดทั้งนั้น เพราะคนมองมาไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร...ที่เราทำก็แค่จุดเทียนเล่มเล็กๆ ขึ้นมา....”
พูดถึงตรงนี้สายตาของหล่อนแลดูอ่อนโยน...เป็นครั้งแรก
“ฉันอยากให้คนมองและตัดสินสิ่งเหล่านั้นหลังจากที่ได้รู้ว่า จริงๆ แล้วมันคืออะไร มากกว่าจะรู้สึกต่อมันผ่านมายาคติ* น่ะค่ะ”
คนสัมภาษณ์กระพริบตาปริบๆ รู้สึกเหมือนมองเห็นอีกตัวตนหนึ่งของอีกฝ่ายที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเย็นชานั้น
แล้วแบบนี้เธอจะถามข้อต่อไปนี้ดีไหมเนี่ย?
“แล้วไม่กลัวว่าจะกลายเป็นหนังเฉพาะกลุ่มไปหรือคะ เพราะคนส่วนใหญ่พอรู้ว่าเป็นหนังเกย์ก็จะหมดความสนใจ สุดท้ายกลุ่มคนที่มาดูก็จะเป็นกลุ่มเดิมๆ มากกว่าหรือเปล่า?”
“แต่มันก็ไม่ได้ออกมาเป็นแบบนั้นนี่คะ”
อรณิชากระพริบตาปริบๆ อีกครั้ง กับท่าทีมั่นใจของผู้หญิงตรงหน้า
โอเค เธอยอมรับว่าหนังได้รับการตอบรับอย่างดีทั้งจากนักวิจารณ์และคนดู ด้วยการใช้นักแสดงที่กำลังเป็นที่นิยม การดำเนินเรื่องน่าสนใจ อีกทั้งยังสื่อออกมาด้วยมุมมองแบบกลางๆ ทำให้รู้สึกว่าไม่ถูกยัดเยียด แล้วยังแต่ละฉากและมุมกล้องที่จัดวางอย่างพิถีพิถันที่ทำให้ในหนังมีฉากสวยๆ ให้เห็นมากมายนั่นอีก
ถ้ามันสะกดให้คนดูถึงกับลืมหายใจได้ ใครจะไปสนว่ามันเป็นหนังเกย์หรือเปล่า
นั่นเป็นคำพูดจากนักวิจารณ์ท่านหนึ่ง ที่ได้ชื่อว่าปากจัดเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทยเชียวนะหลิน จะแปลกอะไรถ้าหล่อนจะมั่นใจจนดูเหมือน....หยิ่งยโสไปสักนิด
เปลี่ยนเรื่องดีกว่ามั้งเรา เอาคำถามนี้ดีกว่า เหอๆ คนสวยยังอยากกลับไปแบบครบสามสิบสองค่ะ
“แล้วเรื่องถัดไปที่มีข่าวว่าจะไปถ่ายทำที่เกาหลี...ฯลฯ”
“อะไรนะคะ! ดินถล่ม?”
อรณิชาทวนคำแม่บ้านอย่างตระหนก คำคำนั้นดูเหมือนจะเป็นคำเดียวที่เธอพอจะจับใจความได้จากบทสนทนาระหว่างเจ้าของบ้านกับแม่บ้านเมื่อครู่ จนภัครินทร์ที่คุยค้างอยู่ต้องหันมาตอบ
“ยังไม่ถล่มค่ะ....แต่ปีก่อนที่ฝนหนักๆ ก็เคยมีเหตุการณ์แบบนั้นอยู่เหมือนกัน เพื่อความปลอดภัยคุณควรรออยู่ที่นี่สักระยะดีกว่านะคะ นี่มันก็เริ่มเย็นแล้วด้วย”
“แปลว่า...อาจต้องค้างหรือคะ?” หญิงสาวถามต่อ หางคิ้วลู่หล่นอย่างวิตกกังวล
เจ้าบ้านสาวนึกขันอากัปกิริยาที่เปิดเผยความรู้สึกอย่างเหลือเกินนั้น....
“ก็จนกว่าถนนหนทางจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้งน่ะค่ะ...ฉันจะให้คนเตรียมของใช้ที่จำเป็นเอาไว้ให้ แล้วจะให้แม่บ้านพาคุณไปที่ห้องพักนะคะ”
เธออดไม่ได้ เผลอสัพยอกทั้งๆ หน้าตายว่า
“อ้อ แล้วฉันก็เป็นเจ้าบ้านที่ดี...ไม่ล่วงเกินแขกหรอกค่ะ อย่าห่วงไปเลย”
“...............”
เห็นคู่สนทนาได้แต่เลิกคิ้วอยู่อย่างนั้น ภัครินทร์จึงหันเหความสนใจกลับไปจัดการธุระที่เหลืออยู่ต่อ โดยมอบหมายให้แม่บ้านจัดห้องพักสำหรับแขกไว้ ส่วนตัวเองกดโทรศัพท์หาสายที่เธอไม่ได้รับในช่วงที่ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้
ทิ้งให้ผู้ที่เหลืออยู่ได้แต่ยืนอึ้ง งงกับมุกล้อเล่นแต่อิงจริงอย่างไม่น่าให้อภัยนั้นอยู่ครู่ใหญ่
“ตกใจหมดเลย นั่นเขาเล่นมุกเหรอ?.....อุ๊ย!”
รู้สึกถึงสัมผัสนุ่มๆ ที่ชนเข้าที่กลางหลัง เธอหันกลับไปมอง
“ขอโทษค่ะคุณ พอดีป้ามองไม่เห็น”
แม่บ้านคนเมื่อครู่ว่าแล้วหัวเราะร่วน หล่อนกลับมาพร้อมกับหอบสัมภาระเครื่องนอนกองสูงระดับศีรษะ คงจะเอามาจัดห้องให้เธอนั่นเอง
หญิงสาวรีบเปิดทางให้แม่บ้านผู้สามารถ เธอมองตามแล้วตัดสินใจตามหล่อนไปต้อยๆ อย่างไม่รู้จะทำอะไรได้ดีกว่านั้น ระหว่างทางสองตาพยายามสอดส่องซ้ายขวา ทำความคุ้นเคยกับที่ทางในบ้าน
เพราะทำเลที่ค่อนข้างเข้าถึงยากและอยู่ใจกลางธรรมชาติ ทำให้ตอนแรกเธอเข้าใจว่านี่บ้านหลังนี้เป็นเหมือนบ้านพักตากอากาศทั่วๆ ไป แต่พอสังเกตดีๆ เธอก็เห็นร่องรอยของการอยู่อาศัย ด้วยเครื่องเรือนที่ครบครันและข้าวของเครื่องใช้สารพัดสารพันตามมุมต่างๆ
การออกแบบของตัวบ้านมีกลิ่นอายสมัยเก่า โครงสร้างที่โล่งกว้างเน้นเพดานสูงและตำแหน่งของหน้าต่างทำให้อากาศถ่ายเทเย็นสบาย เครื่องเรือนที่ทำด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ช่วยให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย ราวกับเธอกำลังพักอยู่ที่รีสอร์ทกลางหุบเขาที่ไหนสักแห่ง
แต่ว่าบ้านใหญ่ขนาดนี้ แล้วเธอต้องถูกแยกมานอนอยู่ฟากนี้คนเดียวเนี่ยนะ? จะว่าไปมันก็ดูเป็นส่วนตัวดีอยู่หรอกถ้าไม่ติดที่ว่า...
เธอน่ะกลัว...ผี....มาก เข้าขั้นได้โล่เลยน่ะสิ
ขณะรอแม่บ้านจัดห้อง อรณิชาชวนอีกฝ่ายคุยเรื่อยๆ ตามประสาคนชอบโอภาปราศรัย โดยเฉพาะกับคนที่เป็นมิตรเช่น ‘ป้าใจ’ ผู้นี้น่าจะช่วยให้วันเวลาที่ต้องมาติดอยู่ในบ้านหลังใหญ่กลางป่าเขาดูไม่วังเวงเท่าใดนัก
“อีกประเดี๋ยวป้าก็จะกลับแล้ว คุณจะเอาอะไรเพิ่มอีกไหมคะ?”
ราวกับถูกกลั่นแกล้ง ประโยคของป้าได้ดับแสงแห่งความหวังของเธอลงทันที
โธ่เอ๋ย สุดท้ายก็ต้องอยู่ตามลำพังอยู่ดีนะเรา
อรณิชาถอนใจเนือยๆ เกือบจะส่ายหน้าอยู่แล้วแต่ก็ฉุกคิดขึ้นได้ กับอาการตึงๆ บริเวณหน้าอกที่รบกวนใจเธอมาตั้งแต่เช้า
ในกระเป๋าเธอจะใช้หมดไปแล้วหรือยังนะ เหมือนครั้งสุดท้ายที่หยิบเธอจะยังไม่ทันได้เตรียมชิ้นใหม่เลย
“คือ...” เธอลังเล ด้วยความเขิน “ป้าพอจะหาผ้าอนามัยให้หน่อยได้ไหมจ๊ะ?”
ป้าใจรับปากยิ้มๆ อย่างเข้าใจ หล่อนเดินหายหน้าไปครู่หนึ่ง ก็กลับมาพร้อมกับของที่เธอต้องการหนึ่งห่อ และ ‘ของแถม’ เป็นแผงบรรจุยาเม็ดสีเหลืองรูปวงรีที่ผู้หญิงหลายๆ คนรู้จักดี
“พอดีเมื่อครู่สวนกับคุณภัค เธอเลยให้เอายานี้มาให้ด้วยค่ะ” แม่บ้านอธิบายเมื่อเห็นสายตาคำถามของเธอ
เห...เอาใจใส่คนอื่นดีเหมือนกันนี่นา นึกว่าจะเย็นชาเหมือนหน้าตาเสียอีก หญิงสาวคิดอย่างแปลกใจ
บางทีเธออาจจะมองผู้หญิงคนนี้ผิดไปก็ได้
นอนไม่หลับ...
อรณิชากระสับกระส่าย พลิกตัวตะแคงมองหยดน้ำที่ไหลพราวลงมาตามกระจกหน้าต่าง ฟ้าฝนด้านนอกซัดสาดสิ่งกีดขวางเกิดเป็นเสียงอึกทึก แต่นั่นยังเทียบไม่ได้เลยกับความไม่สงบในใจเธอขณะนี้
หญิงสาวรู้สึกว่าบรรยากาศวังเวงยามค่ำคืนของที่นี่ชวนให้น่าขนหัวลุกกว่าตอนกลางวันหลายเท่า อีกทั้งแสงไฟภายในห้องกว้างนี้ก็ไม่รู้จะโรแมนติกไปถึงไหน เธอได้แต่พยายามหักห้ามจินตนาการของตัวเอง ไม่ให้ระแวงมุมมืดตรงนั้น ตรงนี้
อะไรก็ตามที่มันอยู่ในความมืดก็ชวนให้อึดอัดทั้งนั้น
หึ ตอนนี้ฉันก็กำลังรู้สึกอยู่นี่ไงล่ะ คุณเจ้าของบ้าน!
แสงไฟเรืองรองจากด้านนอกลอดผ่านช่องว่างใต้ประตู ดึงความสนใจของเธอชั่วขณะก่อนที่จะหายลับไป หญิงสาวขมวดคิ้ว ในตอนแรกเธอเกือบจะคิดว่ามันเป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติบางอย่าง แต่สุดท้ายความเป็นเหตุเป็นผลก็มีอำนาจเหนือกว่า
มือบางค่อยๆ เปิดประตูออกไปหน้าระเบียงห้อง เห็นที่ชั้นล่างมีคนเปิดไฟสว่างอยู่
บางที....ถ้าได้มีเพื่อนคุยบ้างก็คงดีนะ
“ยังไม่นอนหรือคะคุณภัค?”
คำถามนั้นทำให้เจ้าของบ้านที่อยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์หันมาทางผู้มาใหม่ คิ้วคมเลิกสูงขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ทำงานค้างอยู่น่ะค่ะ เลยจะมาชงกาแฟทานสักหน่อย” ภัครินทร์ตอบยิ้มๆ เธออยู่ในชุดนอนผ้าไหมสีน้ำเงินเข้ม ผมดำเป็นเงาถูกปล่อยให้ทิ้งตัวยาวอย่างอิสระถึงกลางหลัง “คุณหลินนอนไม่หลับเหรอคะ?”
“...อ๋อค่ะ” อรณิชาตอบราวกับเพิ่งนึกได้ เธอหันซ้ายขวาหาที่นั่ง กลบเกลื่อนอาการจ้องมองของตัวเองเมื่อครู่
‘สวย’ เป็นความคิดแรกที่วิ่งเข้ามาในหัว ในใจหวนนึกเปรียบเทียบผู้หญิงตรงหน้ากับคนที่เธอสัมภาษณ์เมื่อตอนกลางวัน….ช่างให้ความรู้สึกแตกต่างราวกับเป็นคนละคน
“นมอุ่นๆ สักแก้วไหมคะ? จะได้หลับสบายขึ้น” เจ้าของบ้านเอ่ยถามอย่างเอื้อเฟื้อ
“ขอบคุณค่ะ เอ่อ จะไม่ยุ่งยากเหรอคะ?”
“ไม่หรอกค่ะ เป็นนมชงน่ะ”
อรณิชานั่งท้าวคางมองอีกฝ่ายหยิบนั่นจับนี่ ไม่นานนักก็เริ่มหาทางชวนคุย
“คุณภัคอยู่ที่บ้านนี้คนเดียวหรือคะ?”
หล่อนพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเอื้อมมือเปิดตู้หยิบแก้วมักออกมา
“ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้นค่ะ ตั้งแต่คุณพ่อเสียคุณแม่ก็ย้ายไปอยู่กับญาติที่กรุงเทพ ส่วนฉันนานๆ จะกลับจากถ่ายหนังที ถ้าไม่มีอะไรก็จะมาพักที่นี่ตลอด”
“แล้วไม่เหงาเหรอคะ?”
รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากเรียว “ก็มีบ้าง แต่ฉันชอบอยู่ที่นี่ เพราะมันทำให้มีสมาธิดีน่ะ”
อรณิชายิ้มตอบ เธอเริ่มชอบบรรยากาศการสนทนากับคุณภัคภาคกลางคืน และรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
หญิงสาวเอื้อมมือไปรับแก้วที่ภัครินทร์ส่งข้ามเคาน์เตอร์มาให้
ในเสี้ยววินาทีสั้นๆ...ที่สบตากัน เจ้าของร่างบางก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ
เธอมองภัครินทร์ที่กลับไปนั่งดื่มกาแฟของหล่อนต่อ ก่อนจะก้มลงมองตัวเองอย่างงงๆ
หน้าอก....?
ว้ายยยยยย!!!
อรณิชาหันหลังขวับ แทบทรุดลงไปกองกับพื้นด้วยความอับอาย หญิงสาวนึกตำหนิตัวเองที่ไม่ระวังตัว ลืมไปว่าเธอสวมชุดคลุมสำหรับใส่นอนนี้เพียงตัวเดียวเท่านั้น
เสื้อคลุมนอนเจ้ากรรมของเธอ...คลายปม...ทำให้รอยแยกด้านหน้าแหวกออกจนลึก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายคงเห็นแน่ๆ ถึงได้รีบหันไปทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แบบนั้น
มือบางกระชับสาบเสื้อเข้าหากันให้มิดชิด เธอกำลังผูกสายคาดเสียใหม่ ตอนที่ได้ยินเสียงเรียบถามเบาๆ
“มีอะไรผิดปกติหรือคะ?”
อะไรนะ?
อรณิชาหันกลับไป พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาอย่างสงสัย คิ้วเลิกขึ้นสูง
“ไม่รีบดื่มเดี๋ยวจะเย็นหมดนะ”
อ้าว! ไม่เห็นหรอกหรือ?
“กำลังจะดื่ม...ค่ะ”
แต่ว่า เมื่อนึกย้อนไปอีกครั้ง หญิงสาวค่อนข้างแน่ใจว่าสายตาเธอไม่ได้โกหก
ก็ตอนที่สบตาเมื่อครู่...แม้พียงชั่ววูบเดียวก็เถอะ
เธอเห็นหล่อน...ชะงัก....นี่นา
“แก้วน้ำ...ถ้าดื่มเสร็จก็ส่งมาได้นะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ป้าใจจะมาจัดการให้”
เนียนมากค่ะคุณ เป็นผู้กำกับแต่สามารถตีบทแตกได้ขนาดนี้เลยหรือ?
อรณิชาเก็บความสงสัยไว้ในใจ เธอค่อยๆ ดื่มนมจนหมด
ในจังหวะที่ส่งแก้วคืนนั้นเอง หญิงสาวแกล้งจงใจให้ปลายนิ้วบังเอิญ...สะกิด...ที่หลังมือหล่อนแผ่วเบา
เสียงเล็กๆ ในส่วนลึกของจิตใจเตือนว่า...เธอกำลังทำในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร
แต่อรณิชาทำเมินเฉยต่อคำเตือนนั้น
ท่าทีเมื่อครู่ของภัครินทร์ ไม่ว่าหล่อนจะเห็นอะไรหรือไม่...เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายก็จริง
แต่เธอยังคาใจนี่นา...
จะเรียกว่าเป็นความดื้ออยากเอาชนะก็คงไม่ผิดนัก
อรณิชามั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยรูปร่างอรชร ผิวขาวเนียน นัยน์ตากลมโตและริมฝีปากอิ่มสีชมพูตามธรรมชาติ ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้เธอเป็นที่นิยมในหมู่เพศตรงข้าม ความนิยมนั้นพ่วงตามมาด้วยตำแหน่งดาวมหาวิทยาลัย และไม่ว่าอยู่ที่ไหนเธอก็มักจะมีบรรดาชายหนุ่มและสาวหล่อมาคอยแจกขนมจีบอยู่ไม่ว่างเว้น...
คนที่เพียงแต่เธอส่งยิ้มให้ ก็สามารถเรียกอาการเขินอายจากอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย...
แต่ผู้หญิงหน้านิ่งคนนี้แสดงออกราวกับว่าเธอเป็นเพียง ‘เม็ดฝุ่น’ ที่เกาะอยู่บนผ้าม่าน!
เธอจึงอยากเห็น...ใบหน้านั้น...ยามที่หลุดจากการควบคุมตัวเองบ้าง
แค่เพียง 0.001 วินาที ก็ยังดี
หากนี่เป็นการทดลอง....ก็คงเป็นการทดลองที่ล้มเหลว เพราะผู้กำกับหญิงยังคงไม่แสดงท่าทีใดๆ ว่ารับรู้สัมผัสของเม็ดฝุ่นอย่างเธอเลยสักนิด
เมื่อมื้อเบรกช่วงดึกผ่านพ้นไป บวกกับบทสนทนาที่ค่อยๆ ตายลง ทั้งสองจึงตัดสินใจกลับไปยังที่ทางของตัวเอง
เอาเถอะ บางทีเธออาจจะไม่มีเสน่ห์ในสายตาของหล่อนก็เป็นได้
ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดตามหลังภัครินทร์ สายตาของอรณิชามองสบมือขาวของคนตรงหน้าพลางเม้มปาก
“ว้าย!”
ทันทีที่ก้าวพลาด มือทั้งสองคว้าเข้ากับเป้าหมายแม่นยำ เธอเกาะมือข้างนั้นอ้อยอิ่งแม้ว่าจะพอตั้งหลักได้บ้างแล้ว นัยน์ตาสุกใสช้อนขึ้นสบกับสีดำสนิทที่อยู่ด้านบน
เหมือนจะได้ผล...ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป หากเป็นในทางที่เธอคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง
ทั้งสีหน้า และแววตานั้นดูห่างเหินจนถึงขั้น ‘เย็นชา’
“ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือคะ?”
น้ำเสียงของเจ้าบ้านสาวเยือกเย็นและแข็งกระด้าง ราวกับน้ำแข็งขั้วโลกก็ไม่ปาน
อรณิชากระพริบตา คลายมือออกโดยสัญชาตญาณ
“หมายความว่ายังไงคะ?”
“คุณเองน่าจะรู้ดีกว่าใครนะ”
หล่อนปั้นยิ้มใส่เธอ “แต่เสียใจด้วยนะที่ฉันคงให้ในสิ่งที่พวกคุณต้องการไม่ได้”
ภัครินทร์ยื่นวัตถุทรงกระบอกในมือ ให้อรณิชารับมาอย่างงงๆ
“ราตรีสวัสดิ์”
คำสุดท้ายที่เอ่ย ไม่แม้แต่จะมองหน้า ร่างสูงระหงนั้นเดินกลับไปยังห้องตัวเอง ทิ้งให้ฝ่ายที่เหลืออยู่นิ่งประมวลบทสนทนาเมื่อครู่ตามลำพัง
เสียใจด้วยนะที่ฉันคงให้ในสิ่งที่พวกคุณต้องการไม่ได้
หรือว่า...ผู้หญิงคนนี้เข้าใจว่าเธอตั้งใจยั่วหล่อน เพื่อเอาไปเขียนลงหนังสืออย่างนั้นหรือ?
โธ่คุณคะ! คนแค่แหย่เล่นนิดเดียว ทำไมต้องมองกันในแง่ร้ายขนาดนั้นด้วยล่ะ
อรณิชาถอนใจพลางก้มลงมองวัตถุผิวสเตนเลสในมือ
กระติกน้ำร้อน?
อ๋อ...หล่อนคงเข้าใจว่าเธอกำลังมีประจำเดือนจึงได้เตรียมไว้ให้สินะ
“...............”
นึกถึงใบหน้าและแววตานิ่งๆ คู่นั้น ภายในใจของเธอเริ่มตั้งเค้าทะมึน รู้สึกปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมันตั้งใจจะแข่งกับพายุฝนด้านนอกที่ยังคงพัดอื้ออึงให้ได้ยินอย่างนั้นแหละ
มารู้สึกผิดตอนนี้ก็คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น หญิงสาวพยายามเตือนสติตัวเองให้เลิกคิดแล้วกลับห้องไปเสียที...แต่เท้าของเธอไม่ยอมขยับ
อรณิชาสั่งอีกครั้ง
คราวนี้ได้ผล เพียงไม่กี่ก้าวมันก็พาเธอมาถึงจุดหมาย
เธอลังเลชั่วขณะก่อนที่มือข้างหนึ่งจะยกขึ้น....
เคาะประตู
ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่อีกด้านของบานไม้ หญิงสาวรู้สึกว่าอวัยวะในอกเธอเต้นระรัว...เป็นจังหวะเดียวกับลมหายใจที่ดูจะถี่กระชั้นเกินไปเสียแล้ว…
ก่อนที่มันจะหยุดลง เมื่อบานประตูถูกแง้มออก
ใบหน้างามนั้นทอดนิ่ง ไม่มีคำถามในแววตา ไม่มีรอยยิ้มหรือคำเชื้อเชิญจากริมฝีปาก แต่อรณิชาไม่ใส่ใจ เธอพาตัวเองผ่านพ้นกรอบประตู เงยหน้าเพียงเล็กน้อย สู่ริมฝีปากอิ่มตรงหน้า
เธอจะไม่ ‘ขอโทษ’ หรอกนะ....
ก็หล่อนเป็นฝ่ายเข้าใจผิดไปเองนี่นา…เธอไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นสักหน่อย!
อรณิชารู้สึกได้ว่าภัครินทร์ไม่ได้ต่อต้าน แต่ก็ไม่ยอมตอบสนอง
เธอถอนจูบเก้อๆ เม้มริมฝีปากล่างอย่างนึกขัดใจ
อีกแล้วนะ...
หล่อนช่างอวดดี....มาทำให้เธอรู้สึกกระวนกระวาย แต่ตัวเองกลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด
“ฉันไม่ใช่แขกที่ดีนักหรอกค่ะ”
หญิงสาวยื่นหน้ากระซิบที่ข้างใบหูของอีกฝ่าย สองแขนไพล่โอบรัดรอบคอคนตัวสูงกว่า รั้งร่างบางของทั้งคู่เบียดแนบชิด
ยิ่งรู้สึกว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าเรียวกระตุก เธอยิ่งได้ใจ
“เป็นแบบนี้แล้ว...จะเรียกว่าใครล่วงเกินใครดีนะ?”
พูดไปแล้ว อรณิชาก็ให้ตกใจในความบ้าบิ่นของตัวเอง เธออาจจะไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสา แต่ก็ไม่เคยกล้าทำแบบนี้กับคนที่ไม่ใช่คนรักมาก่อน...
หรือเพราะภัครินทร์เป็นผู้หญิงเหมือนๆ กัน เธอจึงไม่ได้นึกกลัวว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายเสียหาย?
“เป็นแขกที่แย่จริงๆ ด้วยสิ”
ภัครินทร์เองก็แปลกใจกับท่าทีของตัวเองเช่นกัน ไม่บ่อยนักที่เธอจะเป็นฝ่ายประมาทจนถูกปั่นหัวแบบนี้ ทั้งที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเพียงหญิงสาวท่าทางเอาแต่ใจตัวเองคนหนึ่งเท่านั้น...ถึงแม้จะมีรูปร่างหน้าตาที่น่ามองก็เถอะ
ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว หล่อนช่างกล้าจริงนะที่มาทำแบบนี้กับเธอ...ไม่รู้หรือไงว่าความอดทนของคนเรามันมีขีดจำกัด
ริมฝีปากรูปกระจับลดต่ำลง ประกบกับสีชมพูที่เผยอออกเล็กน้อย
อรณิชาถอนใจเบาๆ ตัวสั่นระริกไปกับจุมพิตที่เจือไปด้วยรสขมอ่อนๆ ของกาแฟ เธอรู้สึกถึงปลายลิ้นอุ่นชื้นที่แทรกตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว
จูบของผู้หญิงเป็นเช่นนี้เองหรือ? ทุกอย่างอ่อนนุ่มไปหมด...ทั้งปาก...ทั้งลิ้นที่พันพัว...
หล่อนกำลังเล้าโลมภายในของเธออย่างเร่าร้อน
หญิงสาวพยายามเรียกอากาศหายใจ รู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่มีกำลังถูกสูบออกไปจากร่างอย่างรวดเร็ว เข่าสองข้างอ่อนทรุดลงกับพื้นพรมนุ่ม รั้งให้อีกคนล้มตัวตามลงไปด้วย
ภัครินทร์นั่งคร่อมอยู่บนร่างเล็กของอรณิชา มองลงไปเห็นสภาพของฝ่ายที่หายใจหอบ ก็ต้องอมยิ้ม
ทั้งเสื้อผ้าผมเผ้าของหล่อนหลุดรุ่ยร่าย...ดวงหน้าใสและตากลมโตสั่นระริกที่มองสบมาชวนให้เธอนึกถึงเด็กสาวแรกรุ่นที่กำลังจะมีประสบการณ์ลองรักเป็นครั้งแรก
หากภัครินทร์รู้ดีเกินกว่าจะใจอ่อน
อะไรๆ ระหว่างเธอกับหล่อนล่วงเลยมาถึงขั้นนี้ สิ่งที่จะเป็นการเสียมารยาทต่อหล่อนไม่ใช่การ ‘ล่วงเกิน’ หากแต่เป็นการ ‘ไม่ล่วงเกิน’ ต่างหาก
วันต่อมา ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส แสงแดดสว่างอบอุ่นสาดส่องเข้ามาผ่านกรอบหน้าต่างไม้
ณ มุมหนึ่งของบ้าน มือเรียวที่อยู่เหนือแป้นคีย์บอร์ดกำลังเคาะแป้นพิมพ์ระรัว หล่อนคนนั้นกำลังมีสมาธิมากเสียจนไม่รู้ว่ามีร่างของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้
เครื่องดื่มเย็นฉ่ำในแก้วรูปทรงเหลี่ยมถูกวางลงบนโต๊ะ ภัครินทร์เงยหน้าขึ้น
“ขอบคุณค่ะป้า อากาศกำลังร้อนได้ที่เลย”
หญิงสาวถือโอกาสเอนหลังพักพลางถอดแว่นออก ยกมือขึ้นนวดที่เปลือกตาตัวเองเบาๆ
“แดดหลังฝนก็แรงแบบนี้ล่ะค่ะคุณภัค ยิ่งฝนตกหนักแบบเมื่อวานด้วย” ผู้สูงวัยกว่าออกความเห็นอย่างร่าเริง “พูดถึงฝนตกเมื่อวาน....คุณภัคทราบไหมว่าต้นหูกวางในสวนด้านข้างนี่ถึงขนาดหักโค่นลงมาเลยนะคะ กวาดเอาทั้งต้นไม้ทั้งกระถางที่ระเบียงล้มระเนระนาดไปหมดเลยล่ะค่ะ”
ท่าทางตื่นเต้นของแม่บ้าน ทำให้ภัครินทร์ที่กำลังยกโมฮิโต้ขึ้นดื่มต้องเลิกคิ้ว
“แล้วมีคนงานได้รับบาดเจ็บบ้างหรือเปล่า?”
“อู๊ยยย ไม่มีหรอกค่ะ โชคดีที่เป็นตอนกลางคืน พอเช้ามาป้าก็เลยให้คนสวนกับคนรถช่วยๆ กันเก็บกวาดจนเรียบร้อยแล้วค่ะ” ป้าใจตอบแล้วโบกมือไปมา
“ป้าเป็นห่วงก็แต่แขกของคุณภัคนะคะตอนนั้นน่ะ คิดว่าเมื่อคืนแกจะตกใจมากเสียอีก ที่ไหนได้กลับทำหน้างงๆ เหมือนไม่รู้เรื่องเสียอย่างนั้นแหละค่ะ ทั้งๆ ที่เสียงออกจะดังขนาดนั้น....อ้าวคุณภัค เป็นอะไรไปคะ?”
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ ฉันสบายดี” หญิงสาวกลั้นใจตอบ มือซ้ายดึงกระดาษเช็ดหน้ามาซับหยดน้ำที่ปลายคางและอกเสื้อ
รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากเมื่อนึกถึงใบหน้าของใครอีกคนที่จากไปแล้ว ทิ้งเอาไว้เพียงกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ยังกำจายอยู่ในห้องของเธอ
ในอีกด้านหนึ่งบนถนนทางหลวงสายสี่ เส้นทางที่มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ อรณิชากดโทรศัพท์ ต่อสายหาเพื่อนสนิท
ทันทีที่มีการตอบรับ หล่อนพูดกรอกลงไปอย่างตื่นเต้น
“ฮัลโหลแก้มมม ชั้นมีเรื่องจะอัพเดท”
ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีชมพูคลี่ออกเป็นรอยยิ้มเขิน และลามไปถึงสองแก้มจนผิวขาวใสแทบปริ
“ฉันเจอคนน่าสนใจเข้าแล้วล่ะ....แต่แกต้องรับปากก่อนนะว่าจะไม่กรี๊ดใส่หูฉัน....”
***********************
ความคิดเห็น