คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #37 : ✚ BE MY L0VE :: CHANYE0L & BAEKHYUN IV -- 100%
Author : MR.$N0WMAN*
Pairing : Park Chanyeol & Byun Baekhyun
Story : Jackboiz
Rate : PG-15
Be my Honey*
‘ Please.....
tell me
.....Why?’
บนโต๊ะอาหารของครอบครัวบยอนเงียบกริบและเต็มไปด้วยความอึดอัด
เมื่อคนหนุ่มสองคนบนโต๊ะที่ต่างก็มีท่าทีกระอ่วนใจต่อกันอย่างเห็นได้ชัด
ไม่สิ...ชานยอลคนเดียวต่างหากที่กระอักกระอ่วน
เพราะว่าแบคฮยอนน่ะ เอาแต่ตักอาหารแล้วเคี้ยวกร้วมๆ อย่างรวดเร็วจนน่ากลัวว่าจะติดคอตายเสียก่อน
คนเป็นพ่อมองหน้าหญิงสาวคนเดียวของบ้านอย่างไม่แน่ใจนักว่าควรจะต้องทำอะไรไหม
แต่เมื่อคุณนายบยอนแกส่ายหน้าตอบกลับมา คนเป็นพ่อก็เลยเลือกที่จะเงียบแล้วกินอาหารตรงหน้าอย่างเงียบๆ
คุณนายบยอนมองลูกชายที่ดูบึ้งตึงกำลังกินอาหารเสียเร็ว
ในขณะที่ชานยอลแทบจะไม่ได้แตะอะไรนอกจากช้อนส้อมที่เขากำลังจับอยู่เท่านั้น
“ชานยอลดีขึ้นแล้วใช่ไหมลูก? กินเข้าไปเยอะๆ สิ จะได้หายไวๆ”
คุณนายบยอนตักอาหารไปวางไว้ในจานของชานยอลแล้วยิ้มให้อย่างใจดี
และยังยกศอกขึ้นกระทุ้งคนเป็นสามีให้ทำตามเธอด้วย
“อ่ะ...เอ้อ...ใช่ๆ กินเข้าไปเยอะๆ”
คุณบยอนเองก็ตักอาหารไปวางไว้บนจานของชานยอลเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าภรรยากำลังส่งสายตาถมึงทึงมาให้ตนเองเป็นเชิงบังคับ
ชานยอลยกยิ้มขึ้นมาแบบฝืดๆ เมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่ทั้งคู่ต่างก็เป็นห่วงเขา
“ดีขึ้นมากแล้วครับ...ขอบคุณมากครับ” ชานยอลตอบกลับทั้งสองคนไป
“แล้วนี่ยังไงกันล่ะเนี่ย...ทำไมไม่ยอมคุยกันล่ะหืม?
เอาแต่หันหลังให้กันอย่างนี้มันจะรู้เรื่องเหรอ โตๆกันแล้วนะพวกลูกน่ะ
จะสามสิบกันอยู่แล้วยังจะมางอนกันอย่างกับเด็กๆ อีก
แล้วนี่จะกลับโซลกันวันไหนล่ะลูก...”
คุณนายบยอนถามอย่างอ่อนโยน เธอถอนหายใจในระหว่างที่พูด
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความใจดีนั้นลดลงเลยซักนิด
“ผมขอบอสเอางานกลับมาทำงานที่บ้านครับแม่ เพราะงั้นคงจะอยู่อีกนาน
แต่ชานยอลกินข้าวเสร็จก็คงต้องกลับแล้วล่ะ เพราะเขาเองก็ต้องกลับไปทำงานของเขา
บริษัทขาดชานยอลไม่ได้หรอกครับ...น่ากลัวว่าอาจจะเจ๊ง”
แบคฮยอนพูดประชดประชัน สายตายังคงมองไปทางอื่นอย่างจงใจที่จะไม่หันมาเห็นหน้าคนตัวสูง
คุณบยอนเหลือกตาขึ้นเมื่อพอจะรู้แล้วว่าเด็กๆทะเลาะกันเรื่องอะไร
จึงแสร้งกระแอมออกมาเบาๆ แล้วยกกาแฟขึ้นมาจิบอย่างเงียบๆ
อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้จงเกลียดจงชังอะไรชานยอลหรอกนะ
เพียงแค่เขาเห็นชานยอลและแบคฮยอนมาตั้งแต่ยังเด็ก
พอจะรู้อยู่บ้างว่าชานยอลน่ะเป็นผู้ชายประเภทสนุกเฮฮาไปวันๆ ไม่ค่อยจะมีสาระ แต่ก็ไม่ถึงกับทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย
เขารู้ว่าไอ้เด็กตัวสูงนี่เป็นเด็กดี เพียงแค่บางทีก็ไม่ได้เรื่อง ต้องให้คอยกระตุ้นบ่อยๆก็เท่านั้น
คนเป็นพ่อก็เลยต้องลงมือทำอะไรบ้าง เพื่อให้ชานยอลได้พัฒนาตนเอง
ที่ทำน่ะหวังดีทั้งนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าปาร์คชานยอลน่ะจริงจังกับคำสบประมาทของเขามากไปหน่อย
อ่า...ลืมไปเสียสนิทเลยสิ ก็ปาร์คชานยอลน่ะเป็นประเภทฆ่าได้หยามไม่ได้นี่นา
ทางด้านชานยอลที่ได้ยินคนตัวเล็กพูดประชดประชันออกมาแล้วก็ถอนหายใจ
เขาไม่ได้โกรธที่แบคฮยอนพูดอย่างนั้น แค่รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นักที่คนตัวเล็กเอาแต่ไล่ตัวเอง
ไอ้คนเรามาหาถึงที่ก็อยากจะมาง้อให้กลับไปโซลด้วยกัน...
แต่ดันมาขับไสไล่ส่งกันอย่างนี้ก็น่ากลัวว่าแบคฮยอนจะขอห่างไปจริงๆ
ไม่เอาหรอก...เรื่องอะไร ที่สู้มาทั้งหมดก็เพื่อแบคฮยอนไม่ใช่เหรอ
แล้วจะกลับไปทำงานเพื่ออะไร ถ้าเกิดแฟนอยากจะขอห่างไปจากเขาอย่างนี้...
“โอ้ เปล่าหรอกครับคุณป้า...ผมน่ะขนเสื้อผ้ามาหมดเลยครับ
กะว่าจะอยู่เป็นเพื่อนแบคฮยอนที่นี่ด้วยจนกว่าจะกลับไปด้วยกัน”
พูดเกทับไปทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วเขาเอาเสื้อผ้ามาแค่สองสามชุดเท่านั้น
แต่เอาวะ...เป็นไงเป็นกันแล้วทีนี้ ขอเอากางเกงในที่ไม่เคยใส่ซ้ำเป็นเดิมพันเลย
ถ้าภายในสามวันเขาลากแบคฮยอนกลับบ้านไม่ได้ล่ะก็...ชานยอลขอยอมใส่กางเกงในซ้ำโดยไม่ซักเลยให้ตายเหอะ
“กลับไปเลย...ฉันไม่ให้อยู่ เรื่องอะไรต้องมาลากฉันกลับไปด้วย
อยากกลับก็กลับไปคนเดียวสิ! ฉันไม่กลับ!!”
แบคฮยอนหันมาแหวใส่คนตัวสูงทันทีด้วยความที่สติขาดผึง
ชานยอลเองก็ไม่ยอมแพ้ ก็เรื่องอะไรจะให้กลับไปคนเดียวล่ะชานยอลไม่ยอมหรอก
“ไม่...ถ้านายไม่กลับฉันก็ไม่กลับ!
อย่ามาไล่ฉันซะให้ยากเลย ฉันไม่กลับ!!!” ชานยอลยักไหล่แล้วพูดกับแบคฮยอนอีกครั้ง
“นายอย่ามากวนประสาทฉันนะปาร์คชานยอล!
คนเขาไม่เชิญให้อยู่ยังจะหน้าด้านอยู่อีกเหรอ?!!” แบคฮยอนตวาดกลับ
“โอ้ยตาย ทำไมว่าชานยอลอย่างนั้นล่ะลูก?”
คุณนายบยอนยกมือทาบอกอย่างตื่นๆ ก่อนจะปรามลูกชายให้ระวังการพูดการจาซักหน่อย
แต่ปาร์คชานยอลไม่ได้สนใจ เขายักไหล่ยียวนอย่างกวนประสาท
มองเห็นแบคฮยอนที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่แล้วก็รู้ดีว่ายังไงตัวเองก็ชนะแน่ๆ
“ก็ไม่กลับ...ก็น่าด้านอ่ะทำไม
ฉันจะอยู่! จะอยู่! จะอยู่!!” ชานยอลพูดอย่างเอาแต่ใจ
“เออ! งั้นอยากอยู่ก็อยู่ไปเลย!
ฉันจะกลับ!! ฉันจะกลับโซล!!”
“เอ้อ...จะกลับก็ดี งั้นเดี๋ยวฉันไปส่งละกัน ตามนี้นะ...โอเคคคคคคคคคค”
ชานยอลยกยิ้มพลางยักไหล่เมื่อในที่สุดแบคฮยอนก็หลงกลตัวเองจนได้
แบคฮยอนอ้าปากค้างเมื่อในที่สุดก็รู้แล้วว่าตัวเองดันไปหลงกลปาร์คชานยอลเข้าให้
มองเห็นพ่อตัวเองกลอกตาและเห็นแม่ส่ายหน้าให้พร้อมกับหัวเราะเบาๆ ด้วย
แบคฮยอนอ้าปากราวกับจะเถียง หากแต่วินาทีต่อมาก็หุบปากไปเสียเพราะไม่รู้จะแก้ตัวว่ายังไง
“อ่า...งั้นเราก็น่าจะรีบกินแล้วรีบไปเก็บของกันนะ” ชานยอลว่าพลางยกยิ้มร้าย
“บ...บ้า! นี่มันน่าโมโหที่สุดเลย!!”
ตะโกนใส่หน้าคนที่กวนประสาทก่อนจะกระแทกเท้าปึงปังออกไปจากโต๊ะอาหาร
ชานยอลถอนหายใจออกมาหากแต่ก็ยังมีรอยยิ้มบางๆ เผยอยู่
ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองพ่อแม่ของคนรักด้วยสีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อพวกเขากำลังจ้องมา
“เอ่อ...ผมต้องขอโทษด้วยนะครับคุณลุงคุณป้า...” ชานยอลเอ่ยกระซิบออกไปอย่างรู้สึกผิด
“ช่างเถอะ...พากลับไปโซลซะก็ดีเหมือนกัน
อยู่นี่แล้วทำตัวอย่างกับเป็นเด็กๆ”
คุณนายบยอนพูดพลางถอนหายใจ วางช้อนส้อมลงแล้วหันไปมองหน้าคนเป็นสามีอย่างขอความเห็น
ชานยอลรู้สึกผิดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้ว่าบรรยากาศตอนนี้ไม่เหมาะที่จะกินอาหารต่อไปอีกแล้ว
ชานยอลกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่เมื่อมองเห็นคนเป็นพ่อและแม่ของแบคฮยอนกำลังขมวดคิ้ว
“นายมีอะไรจะอธิบายกับฉันไหม??
นายไปทำอะไรไว้ล่ะลูกชายฉันถึงได้โกรธขนาดนี้”
คุณบยอนถามเสียงเข้มในขณะที่ผมก็ถอนหายใจออกมาเมื่อได้ฟัง
กะไว้แล้วว่าต้องคุยเรื่องนี้กับคุณพ่อตา(เออออไปเลยแล้วกันไม่รอแล้ว)ไม่ช้าก็เร็ว...
แต่ก็ไม่ได้อยากจะมานั่งพูดคุยกับเขาในรูปแบบนี้
“แบคฮยอนโกรธที่ผมไม่มีเวลาให้เขาน่ะครับ” ผมตอบและหลุบตาลงต่ำ
“โธ่...ก็แล้วทำไมถึงทำอย่างนั้นล่ะ?” คุณบยอนถามต่อ
“ก็มันใกล้จะถึงวันครบรอบปีที่ 9 ของเราแล้ว
และผมก็อยากจะให้ของขวัญกับแบคฮยอนเป็นของที่เคยสัญญาไว้กับคุณลุง
ช่วงนี้ผมเลยต้องทำงานหนัก เพราะกลัวว่าจะไม่ทันเวลา”
“ไหนนายบอกฉันว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วไง
แล้วไหงยังจัดเวลาชีวิตของตัวเองยังไม่ได้เลย
นี่ต้องรอให้มันเป็นอย่างนี้ก่อนสินะถึงจะรู้ว่าตัวเองทำผิด”
คุณบยอนต่อว่าผมพลางถอนหายใจเสียยาวเหยียด
เขากอดอกในขณะที่มองหน้าผม และผมเองก็ไม่ได้หลบสายตาละไปจากเขา
คุณป้าตัดสินใจลุกขึ้นเก็บจานออกไปจากโต๊ะอาหารเพื่อปล่อยให้ผมและคุณพ่อตาได้พูดคุยกัน
ทั้งๆ ที่ผมไม่ค่อยอยากจะให้เป็นอย่างนั้นเลยก็เถอะ...
“ผมไม่คิดว่าแบคฮยอนจะโกรธ...เพราะก่อนหน้านี้เขาไม่เคยแสดงท่าทีอะไรกับเรื่องนี้เลยซักนิด
และทุกๆ อย่างที่ผมเคยบอกกับคุณเอาไว้มันก็ใกล้จะสำเร็จแล้วด้วยนะครับ...
ผมยังขาดอีกแค่ไม่เท่าไหร่ที่ต้องหาเงินมาเพิ่ม แล้วมันก็จะสำเร็จอย่างที่ผมบอกคุณไว้
ผมอยากให้เขาเซอร์ไพรส์ผมเลยไม่เคยบอกหรือปรึกษาเรื่องนี้กับเขา
และอีกอย่างนึง นี่มันก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนเองนะครับ ผมก็แค่อยากจะพยายามให้ถึงที่สุด คุณจะได้ยอมรับผมซักที...”
ผมพูดอ้อมแอ้มพลางกระแอมอย่างเขินอายเมื่อถึงท้ายประโยค
ไม่อยากให้คุณบยอนแกเห็นว่าผมเจ้าคิดเจ้าแค้นกับเขาหรอก แต่ก็แค่อยากทำตามที่เคยบอกเขาไว้
คุณบยอนส่ายหน้าพลางถอนหายใจออกมาเมื่อผมบอกกับเขา
ก่อนที่เขาจะเริ่มพูดต่อ และนั่นแหละที่ทำให้ผมแทบจะบ้าตายไปเลย...
“นายนี่มันบ้า...ขอถามหน่อยเถอะ ถ้าฉันไม่ยอมรับนายฉันจะยอมให้แบคฮยอนย้ายเข้าไปอยู่กับนายที่โซลหรือไง?
ที่พวกนายคบกันมาได้ตั้งหลายปีนี่นายคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องเหรอ? แบคฮยอนก็เป็นลูกชายของฉันนะ
แต่ที่ฉันพูดกับนายตอนนั้นน่ะ ฉันก็แค่อยากให้นายทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวกับเขาบ้าง
เพราะขืนให้คบกันไปเรื่อยๆ แล้วแบคฮยอนจะมีชีวิตยังไงล่ะ
ฉันเป็นพ่อก็อยากจะเห็นลูกชายตัวเองมีความสุข...แต่นายดันเข้าใจความหมายของฉันผิดไปล่ะสินะ
ฉันเคยถามนายถึงความคืบหน้าบ้างไหมตั้งแต่ที่เราคุยกันไปคราวนั้นน่ะ?
นี่ถ้าฉันจริงจังกับเรื่องนี้ ป่านนี้นายไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้หรอกไอ้เด็กบ้า...
และฉันก็จะไม่ยอมให้คนงี่เง่าอย่างนายได้ใช้คำว่าแฟนกับลูกชายฉันแน่ๆ รู้ไว้ซะด้วย...”
คุณพ่อตาพูดพลางส่ายหน้าส่งให้ผมอย่างเอือมระอา...
ผมอ้าปากค้างแล้วยกมือขึ้นตบที่หน้าผากแล้วบ่นออกมาด้วยความคลุ้มคลั่ง
บ้าบอ...นี่มันบ้าบอมากๆ ที่ผมดันไปถือเอาคำพูดพวกนั้นเป็นเรื่องจริงจังไปซะได้!
“แต่คุณบอกให้ผมทำให้ได้นี่ครับ!!
ถ้าคุณไม่จริงจังก็ไม่น่าจะท่าทางอย่างนั้นในตอนนั้นนี่นา
คุณกำลังจะทำให้ผมเป็นประสาทแล้วนะคุณพ่อตา!!!!
โอย! อยากจะบ้าตาย...ผมก็กลัวว่าคุณจะโกรธซะอีกถ้าผมทำไม่ได้อย่างที่เคยพูดไว้”
ผมครางออกมาอย่างเหลืออด
พอรู้ว่าคุณบยอนไม่ได้เกลียดผม ผมก็รู้สึกว่าตัวเองผ่อนคลายกับเขามากขึ้น
“ฉันเป็นผู้ใหญ่ฉันก็ต้องวางท่าให้ดูน่าเชื่อถือสิ
ถ้านายทำได้อย่างที่บอกมันก็ดีไป แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เห็นจะแปลกใจตรงไหนเลย”
“โธ่...คุณพ่อดูถูกผมมากไปแล้วนะครับ!”
“ไม่เคยได้ยินหรือไงเล่า...แรงกดดันคือพลังในวันข้างหน้าน่ะ
ถ้าไม่อยากได้ยินก็พยายามสิ แต่การเดินไปข้างหน้านั่นก็ไม่ได้หมายความว่านายต้องละเลยคนข้างหลัง”
“ผมควรทำยังไง?”
“จับมือแล้วเดินไปด้วยกันสิ...ถ้ามันยากมากก็แบ่งปันกับแบคฮยอนบ้าง
นายคิดว่าชีวิตคู่คืออะไร? มันไม่ใช่การตั้งเป้าและเอาแต่พุ่งไปที่จุดนั้นอย่างเดียวนะ
แต่มันคือการได้แบ่งปันเรื่องราวทั้งสุขและทุกข์ร่วมกัน เพื่อฝ่าพันไปถึงจุดหมายที่ตั้งเอาไว้ต่างหาก
จุดหมายคือสิ่งที่เราตั้งเป้าไว้ว่าจะได้มา แต่ระหว่างที่จะไปถึงตรงนั้นเราจะได้กำไรจากมันเยอะแยะมากมายนะ
อย่าพยายามก้าวข้ามเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย เพราะนายอาจจะพลาดอะไรดีๆ ที่อยู่ระหว่างทางก็ได้”
คุณบยอนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบและดูภูมิฐาน
ผมเพิ่งมีความรู้สึกว่าไม่แปลกใจเลยที่แบคฮยอนโตมาเป็นคนแบบนี้ได้เพราะอะไร
เขามีพ่อที่ดีและเอาใจใส่ครอบครัวอย่างไม่น่าเชื่อ...
คุณบยอนไม่ได้พยายามจะเปลี่ยนอะไรในตัวผม แต่สิ่งที่เขาทำคือการกระตุ้นให้ผมรู้จักเอาใจใส่มันมากกว่า
และผมเองก็อยากจะเป็นแบบนั้น...เป็นอย่างที่เขาและแบคฮยอนคาดหวังไว้
“ผมเข้าใจสิ่งที่คุณพูดนะครับ นั่นสินะ...ผมคงจะจริงจังกับมันมากเกินไปจนลืมสนใจแบคฮยอน
ผมน่าจะเอาใจใส่เขามากกว่านี้ ตลกจังที่เพิ่งมาคิดได้...แต่ตอนนี้มันเหมือนว่าจะสายไปแล้ว
ผมควรทำยังไง? ผมจะทำยังไงให้แบคฮยอนหายโกรธผมดี?”
ชานยอลถอนหายใจออกมาเมื่อเริ่มขอคำปรึกษา...
คุณบยอนส่ายหน้าอย่างเอือมระอาอีกครั้งหนึ่ง หากแต่คราวนี้ใบหน้ากลับเปื้อนรอยยิ้ม
เขาเอื้อมมือมาตบบ่าของผม ก่อนจะให้คำแนะนำแบบกว้างๆ แล้วเดินจากไป
“ลองทำอะไรง่ายๆ ที่นายเคยมองข้ามมันไปสิ...
อะไรที่เคยขาดก็เติมเข้าไป อะไรที่เคยล้นก็ลืมมันไปซะบ้าง
พาแบคฮยอนกลับไปที่โซล...แล้วปรับความเข้าใจกันให้เรียบร้อยซะ
คบกันมาตั้งเก้าปีแล้วนี่...ฉันคิดว่านายน่าจะรู้ดีนะว่านิสัยส่วนตัวของลูกชายฉันเป็นยังไง
หรือไม่ก็ลองคิดว่านี่เป็นคำท้าทายของฉันอีกครั้งสิ...คำท้าทายที่นายต้องทำให้มันสำเร็จให้ได้
และช่าย...ฉันขอบังคับให้นายง้อลูกชายฉันให้สำเร็จนะ เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม??
.
.
.
เพราะฉันไม่อยากจะได้ใครมาเป็นลูกเขยของฉันนอกจากนายหรอกนะ ปาร์ค ชานยอล”
*********
แบคฮยอนใบหน้าบูดบึ้งบอกอารมณ์ขุ่นมัวอย่างชัดเจนแม้ว่าคนตัวสูงจะพยายามชวนพูดคุยซักแค่ไหน
ชานยอลยังคงพยายามจะพูดคุยกับเขาตลอดเวลาที่เราสองคนนั่งอยู่ในรถระหว่างทางกลับโซล
แบคฮยอนเสตามองออกไปนอกหน้าต่างตลอดเวลา และพยายามจะทำเป็นไม่สนใจคำพูดของคนตัวสูง
จนกระทั่งพวกเขามาถึงอพาร์ทเม้นท์แล้วนั่นแหละ...แบคฮยอนจึงรีบเหวี่ยงตัวออกจากรถแล้วขึ้นห้องไปทันที
“โธ่...นายจะให้ฉันขนกระเป๋าพวกนี้คนเดียวจริงๆ เหรอตัวเล็ก?”
ชานยอลพูดเสียงเอื่อยเมื่อแบคฮยอนเดินตัวปลิวจากไป
แล้วทิ้งให้เขาขนกระเป๋าเดินทางลงจากรถเพียงลำพังเท่านั้น
“ก็ถ้าตัวโตมากก็ขนไปเองสิ
หรือถ้านายไม่อยากขนมาก็เรื่องของนาย จะเอาไปไว้ที่ไหนก็เชิญเลย...”
แบคฮยอนหันมาเหล่มองชานยอลด้วยสายตาแล้วพูดเสียงเย็น
เป็นครั้งแรกหลังจากการเดินทางหลายชั่วโมงที่แบคฮยอนหันมาพูดกับเขา
แต่ชานยอลขอยอมรับว่าคำพูดนี้ไม่ได้ฟังแล้วรื่นหูหรือทำให้สบายใจเลยซักนิดเดียว...
แบคฮยอนพูดจบก็เดินจากไปตัวปลิวเช่นเดิม...ปล่อยชานยอลเอาไว้ให้เผชิญกับชะตากรรม
ที่รู้ดีว่าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจัดการกับกระเป๋าเดินทางอันหนักอึ้งด้วยตัวเองเท่านั้น
เฮ้อ....
ถอนหายใจออกมาเมื่อรู้สึกว่าภารกิจครั้งนี้คงจะไม่ง่ายซะแล้ว
แบคฮยอนน่ะ ปกติแล้วไม่โกรธหรืองอนพร่ำเพรื่อ หรือแม้แต่กระทั่งทำตัวงี่เง่าเลยซักครั้ง
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาแสดงท่าทางเหล่านั้นออกมา นั่นแปลว่าเขากำลังถึงขีดสุดจริงๆ นั่นแหละ...
ชานยอลกลอกตาออกมา ก่อนจะไหวไหล่เพื่อที่จะทำให้ตัวเองเลิกคิดท้อใจ
ก่อนจะคว้าเอากระเป๋าเดินทางอันแสนหนักอึ้งของตัวเองและคนรักขึ้นไปบนอพาร์ทเม้นท์ชั้น 16 อย่างเชื่องช้า
แบคฮยอนมาถึงห้องก่อนนานแล้ว...
ชานยอลเดินเข้ามาวางกระเป๋าไว้ตรงห้องนั่งเล่นและเห็นว่าแบคฮยอนถอดเสื้อคลุมของเขาออกแล้ว
คนตัวเล็กกำลังเดินไปเสียบปลั๊กเครื่องทำน้ำร้อนที่ห้องครัวเล็กๆ ของพวกเขา
ชานยอลยกยิ้มก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปหาคนตัวเล็ก แล้วกอดเอาไว้จากด้านหลัง
ส่วนริมฝีปากก็ไม่รอช้า ก้มลงไปจูบที่ใบหูเล็กๆ นั้นอย่างแผ่วเบาครั้งหนึ่ง
แบคฮยอนหันขวับมามองค้อนอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะผลักอกชานยอลออกไป
“ออกไปเลยนะ...มากอดทำไม?” แบคฮยอนถาม
“ก็ฉันอยากกอดแฟนฉัน...ฉันคิดถึงนายนี่ ทำไมถึงกอดไม่ได้” ชานยอลถามพลางทำหน้ามุ่ยเมื่อคนตัวเล็กปฏิเสธตน
“เพราะฉันไม่อนุญาตให้กอด
และนายมาส่งฉันเสร็จแล้วนี่ จะไปไหนก็ไปสิ”
แบคฮยอนพูดพลางยักไหล่ หากแต่เขาไม่ได้พูดเปล่า
เขากลับเดินไปคว้าเอากระเป๋าเดินทางของชานยอลแล้วลากไปไว้ที่หน้าประตูห้องด้วย
“อะไรนะ? หมายความว่าไง?”
คนตัวสูงขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าคนรักของตัวยืนกอดอกอยู่ตรงประตูหน้าห้อง
อย่างกับว่ากำลังรอให้เขาออกไปอย่างนั้นล่ะ...
“ก็นายบอกว่าจะมาส่งฉัน...และฉันก็ถึงแล้วนี่ไง
เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องของนายแล้ว อยากไปไหนก็ไปเลย ตามสบาย” แบคฮยอนพูด
“เฮ้! ไม่เอาน่า...อย่าเล่นแบบนี้สิแบคฮยอน
ฉันขอโทษจริงๆ นะแบคฮยอนอ่า...ยกโทษให้ฉันเถอะ
อย่าทำอย่างนี้เลยนะ ไม่เอานะครับ”
ไม่ได้แค่พูดอ้อนเปล่าๆ แต่มือไม้ของชานยอลก็เริ่มคว้าคนตัวเล็กมากอดอีกครั้งหนึ่ง
และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่แบคฮยอนปฏิเสธเขา...
“ไม่...ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้”
แบคฮยอนยื่นคำขาด...คนตัวเล็กจัดการเปิดประตูแล้วลากกระเป๋าเดินทางของชานยอลออกไปไว้ที่นอกห้อง
ชานยอลถูกผลักให้ออกจากห้องมาอย่างไร้ทางเลือก หากแต่ก่อนที่ประตูจะปิดไปเขาก็รีบยื่นมือไปคว้าเอาบานประตูไว้เพราะว่าคนตัวเล็กกว่าพยายามจะปิดมันอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยว! อย่าทำอย่างนี้สิแบคฮยอน
ไล่ฉันออกมาแล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ?? นายจะให้ฉันไปนอนข้างถนนหรือไง??”
ชานยอลถามอย่างขุ่นเคืองเมื่อคนรักดันใจร้ายมากกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก
อันความจริงแล้วชานยอลคิดว่าแบคฮยอนไม่น่าจะโกรธเขารุนแรงมากขนาดนี้
อ่า...แต่เห็นได้ชัดว่าเขากำลังคิดผิดไป
“อยากไปนอนที่ไหนก็ไปสิ! ปล่อยนะ!”
แบคฮยอนแหวใส่และพยายามจะปิดประตู
ชานยอลขบกรามแล้วยื้อบานประตูไว้จนสุดแรง...และพยายามจะพูดคุยกับคนตัวเล็ก
แต่เห็นได้ชัดว่าแบคฮยอนไม่ได้ต้องการที่จะพบเจอหน้าเขาในตอนนี้...
หรืออันที่จริง...แบคฮยอนไม่คิดแม้แต่จะพยายามปรับความเข้าใจกับชานยอลเลยด้วยซ้ำ
เขากำลังปฏิเสธทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับผมโดยสิ้นเชิง...ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับรักของเรา...
“แบคฮยอน...ทำไมนายไม่ให้โอกาสฉันบ้าง?”
“ฉันให้โอกาสนายมาตลอด..ปาร์ค ชานยอล
แต่นายนั่นแหละที่เป็นคนเลือกที่จะปฏิเสธมัน นายไม่ได้แม้แต่จะสนใจฉันเลยด้วยซ้ำ...
ตลอดเวลาที่ผ่านมานั่นไม่ใช่โอกาสที่ฉันให้นายงั้นเหรอ? มันสายเกินไปไหมที่จะเรียกร้องโอกาสจากฉัน...
ไม่สิ...แล้วเวลาทุกครั้งที่ฉันขอโอกาสจากนายล่ะ ท...ทำไมนายไม่สนใจบ้าง??
นายมันคนเห็นแก่ตัว...เอาแต่ได้! ม...ไม่รักไม่สนใจฉัน แล้วพอฉันจะไปก็มารั้งฉันไว้อย่างนี้น่ะเหรอ?
มันนานเท่าไหร่แล้วชานยอล?? นานเท่าไหร่แล้ว ท...ที่นายละเลยฉัน...
แล้วนายคิดจะให้ฉันเผชิญกับความรู้สึกพวกนั้นไปอีกนานเท่าไหร่??
ม...มันสมควรแล้วเหรอ? สมควรเหรอที่ฉันจะยกโทษให้นายง่ายๆ??”
แบคฮยอนร้องไห้ออกมาราวกับเขื่อนแตก...
ผมรู้สึกเหมือนมีมีดมากรีดที่หัวใจเมื่อเขาพูดความในใจออกมาเสียยาวเหยียดและมากพอที่จะทำให้ผมจุกอึกและนิ่งเงียบ
ผมกลืนน้ำลายลงไปในคออย่างยากลำบาก...อยากจะอธิบายหากแต่ผมพูดไม่ออก
เห็นน้ำตาของคนตัวเล็กที่ทะลักทลายลงมาแล้วหัวใจก็บิดตัวอย่างเจ็บปวด
หากแต่ผมกลับทำอะไรไม่ได้เลย...นอกจากยืนนิ่งเป็นใบ้กินอยู่ตรงนี้
“ฉ...ฉันควรต้องทำยังไงล่ะ?
แล้วฉันควรทำยังไงนายถึงจะยกโทษให้ฉัน?”
ผมถามคำถามแสนงี่เง่าออกไป แต่นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการคำตอบ
แบคฮยอนหัวเราะออกมาแล้วแค่นยิ้มบางๆ เขาทำหน้าราวกับไม่เชื่อหูว่าผมจะถามคำถามนั้นกับเขา...
ก่อนที่เขาจะกระซิบคำตอบออกมาจากปากบางๆ นั้นด้วยเสียงแผ่วเบา...
และนั่นทำให้เรี่ยวแรงของผมที่ยื้อยุดบานประตูนั้นเอาไว้ กลับหดหายไปเสียดื้อๆ
“ลองมารู้สึกสิชานยอล...ลองมาเป็นฝ่ายที่ต้องรู้สึกอย่างฉัน
ลองเป็นฝ่ายที่ต้องรอดูบ้าง เผื่อนายจะเข้าใจว่าฉันเจ็บปวดแค่ไหน...
ตลอดเวลาที่ฉันเป็นฝ่ายรอให้นายหันกลับมาสนใจฉัน...”
แบคฮยอนกระซิบ...ก่อนที่บานประตูนั้นจะถูกปิดลงไป
แบคฮยอนทิ้งผมไว้กับความเจ็บปวดที่เขาอยากให้ผมได้รู้สึก...
มันเป็นช่วงเวลาเพียงแค่ชั่ววินาทีเท่านั้นที่แบคฮยอนหายวับไปจากสายตา
หากแต่หัวใจกลับบิดตัวอย่างเจ็บปวด จนทำเอาน้ำตาเม็ดโตหลั่งรินลงมาจากดวงตาของชานยอลได้ง่ายๆ
รู้สึกแล้วแบคฮยอน ฉันรู้แล้วว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน
การเมินเฉยไม่สนใจ...กิริยาที่ดูเหมือนว่าจะไร้สิ้นแล้วซึ่งความรัก
ผมไม่แน่ใจนักว่าจะทนมันได้นานแค่ไหน...ผมไม่แน่ใจว่าผมจะตายไปก่อนที่แบคฮยอนจะยกโทษให้หรือเปล่า
.
.
เพราะแค่วินาทีเดียว หัวใจก็กระอักกับความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจจนแทบปางตายอย่างนี้...
*********
“จะบ้าตาย...นี่บ้านกูไม่ได้เป็นสถานสงเคราะห์คนโดนเมียทิ้งนะ”
ไอ้จงอินกลอกตาแล้วบ่นออกมาทันทีที่เห็นผมยืนอยู่ที่หน้าประตูพร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางใบใหญ่
ผมออกจะแปลกใจนิดหน่อยที่มันพูดแบบนั้น
หากแต่เมื่อเห็นว่าจงแดกำลังนั่งซดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ตรงโซฟาแล้วก็ร้องอ๋อทันที
ดูจากสภาพแล้วก็คงไม่ได้แตกต่างอะไรจากผมมากนัก... อ่า...พวกผมนี่มันน่าสงสาร
“เออ...กูขอรบกวนไม่นานหรอก”
ผมบอกมันไปก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านทันทีอย่างถือวิสาสะ
ภาวนาในใจอย่างที่ได้บอกกับไอ้จงอินมันไป...เพราะผมเองก็ไม่ได้อยากรบกวนเพื่อนมากมายนัก
และที่แน่ๆ ผมเองก็ไม่อยากให้ระหว่างผมกับแบคฮยอนนั้นห่างเหินกันนานเกินไป
.
.
เพราะผมไม่แน่ใจนัก...ว่าถ้าหากเราสองคนปล่อยให้เรื่องนี้มันยืดเยื้อออกไป
หัวใจของแบคฮยอนจะเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า
*********
“โอ้ยยย พวกพี่นี่มันงี่เง่ามากๆ! ไม่ได้ดั่งใจเลย!!”
คยองซูบ่นออกมาอย่างขัดใจเมื่อได้ฟังที่ผมเล่าจบ
ผม ไอ้จงแด และคยองซูกำลังพูดคุยกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร และมีถ้วยไอศกรีมถ้วยใหญ่วางอยู่ที่กลางโต๊ะ
ไอ้จงอินไม่ได้เข้าร่วมวงสนทนาด้วยเพราะว่ามีงานที่ต้องไปเคลียร์ เลยมีแค่เราสามคนเท่านั้นที่นั่งกันอยู่ตรงนี้
“มึงแม่งโง่มากไอ้ยอล วาร์ปกลับจุดเซฟเลยไปไอ้เพื่อนเลว!
แม่งเรื่องใหญ่ขนาดนี้แทนที่จะบอกไอ้แบคให้ช่วยกัน
จะปิดไว้คนเดียวหาอากงมึงเหรอ? ถ้ากูเป็นไอ้แบคนะ...กูจะไม่ทน!!
กูแม่งจะขอเลิกกับมึงตั้งแต่ปีที่แล้วเลย...ไม่ต้องรอให้ถึงตอนนี้หรอก”
ไอ้จงแดหรี่ตาแล้วพูดซ้ำเติมผมให้ได้เจ็บจี๊ดในหัวใจซะจริง
หากแต่ไม่ต้องโต้กลับให้เสียปาก เพราะน้องคยองซูจัดการด่าแทนผมไปเรียบร้อยแล้ว
“ยังจะกล้าด่าเพื่อนอีกเหรอครับพี่จงแด!
พี่ก็ตัวดีเลย ทิ้งพี่มินซอกไว้เหมือนกันยังจะกล้าว่าพี่ชานยอลอีกเหรอ?
พวกพี่นี่อะไรกันเนี่ย! ทำแต่งานไม่สนใจแฟนเลย พวกพี่จะแต่งกับงานเหรอ?
จงอินก็เหมือนกัน...เอาแต่ทำงานอยู่ได้ ไม่เห็นจะสนใจคยองเลย”
ผมมองน้องเขาเบ้หน้าแล้วกอดอกอย่างขัดใจเมื่อบอกออกมาอย่างนั้น
จงแดกลอกตาแล้วโต้กลับไปทันที...ทั้งๆ ที่ผมและมันก็รู้ดีว่าตัวเองผิดเต็มประตูอยู่แล้ว
“นายหงุดหงิดใส่พวกฉันเพราะว่าไอ้จงอินก็ไม่สนใจนายใช่ไหมล่ะไอ้เด็กแก่แดด!
ไม่พอใจอะไรก็ไปบอกมันสิ...มาเหวี่ยงใส่ฉันไอ้จงอินมันก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยหรอกนะ”
ไอ้จงแดไหวไหล่ก่อนจะตักไอศกรีมเข้าปาก...เป็นที่รู้กันดีมาตั้งแต่สมัยเรียน ว่าไอ้จงแดชอบกินไอศกรีมมากขนาดไหน
พวกผมพากันมารวมตัวอยู่ตรงนี้ได้เพราะว่าไอ้จงแดเรียกให้มากินไอศกรีมเป็นเพื่อนนั่นแหละ
ตอนแรกกะจะปฏิเสธเพราะผมรู้สึกเพลียพอสมควรจากการเดินทางและเพราะว่าร้องไห้ไปหนักพอสมควร
แต่คิดไปคิดมาแล้วมันก็คงจะดีเหมือนกันถ้าผมได้ปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อนๆ บ้าง
แม้ว่าไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่ามันจะช่วยให้ดีขึ้นได้...
แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องแบกรับมันไว้คนเดียวเหมือนที่คิดว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น
“เฮ้อ...ช่างเถอะครับ ว่าแต่พวกพี่วางแผนว่าจะทำยังไงล่ะเนี่ย?
คยองว่าถ้าปล่อยไว้นานมันจะแย่เอานะครับ!”
น้องเขาพูดอย่างร้อนใจ ดวงตากลมโตนั้นกลอกไปกลอกมาวุ่นไปหมด
ผมถอนหายใจออกมาเมื่อตอนนี้ไอ้จงแดก็เงียบกริบไปแล้วเมื่อเจอคำถามนี้
มันเลือกที่จะตักไอศกรีมเข้าปากไปและปฏิเสธที่จะตอบ...
“ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน...
ก็กะว่าจะมาตั้งหลักก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยหาวิธีง้อแบคฮยอนดูใหม่”
ผมบอกไปในขณะที่ตักไอศกรีมขึ้นมาเข้าปาก
แทบจะไม่ได้รับรู้ถึงรสชาติเลยซักนิด...แต่โชคยังดีที่กลิ่นหอมหวานนั้นยังทำให้ใจเย็นลงได้
“อืม...กูคิดว่าตื๊อไปบ่อยๆ เดี๋ยวก็ใจอ่อนเอง
แต่กูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันอ่ะนะว่าแบคฮยอนจะใจแข็งขนาดไหน
สำหรับมินซอกน่ะ กูพอจะจับทางได้อยู่หรอก...ง้อเยอะๆ เดี๋ยวก็คงหาย
แต่ไอ้แบคฮยอนนี่สิ กูเห็นมันโกรธแต่ละทีนี่ ง้อสิบปีไม่รู้จะหายโกรธไหม...”
จงแดเบะปากออกมาในระหว่างที่พูด...
ผมไม่รู้จะด่ามันเป็นภาษาอะไรดีที่ดันมาเพิ่มความเครียดให้มากขึ้นไปอีก
“แต่ยังไงก็น่าจะโผล่หน้าไปง้อนะครับ...คยองว่าพี่แบคฮยอนก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นหรอก
ถ้าพี่ชานยอลจริงใจที่จะขอให้พี่แบคฮยอนยกโทษให้ คยองว่าพี่แบคฮยอนต้องรับรู้ได้
เพราะงั้นอย่าเพิ่งคิดมากนะครับ...สู้ๆ นะครับ”
คยองซูพูดปลอบใจพร้อมๆ กับที่ส่งมือเล็กๆ ของเขามาจับที่ต้นแขนของผมด้วย
รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยเมื่อได้ฟังเหตุผลของน้องเขา...ใช่แล้วล่ะ เขาต้องรู้สิว่าผมรู้สึกผิดกับเรื่องนี้ขนาดไหน
“อืม...ขอบใจมากนะคยองซูอ่า”
ผมยกมือขึ้นขยี้ผมน้องเขาเป็นเชิงขอบคุณ
ก่อนที่เราสามคนจะตัดสินใจจัดการไอศกรีมตรงหน้าให้หมด
และเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นอย่างเช่นสภาพดินฟ้าอากาศในวันพรุ่งนี้
ผมยกยิ้มออกมาเมื่อเราสามคนพูดคุยและเล่นมุกตลกด้วยกัน แต่ในใจก็ยังกังวลอยู่ไม่หาย
ผมแน่ใจว่าไอ้จงแดก็กังวล หากแต่เราตัดสินใจที่จะไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
เสตามองออกไปนอกหน้าต่างแล้วยกยิ้มเจื่อนให้กับความมืดมิดภายนอกนั้น
คิดในใจอย่างเป็นกังวลกับตัวเอง...ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะเดินเข้าไปบอกกับแบคฮยอนต่อหน้าเลยด้วยซ้ำ
นายจะรับรู้มันใช่ไหมแบคฮยอนอ่า...
.
.
.
ช่วยรับรู้มันหน่อยเถอะนะ คำขอโทษจากฉัน
✚48.4627%
ผมออกมาจากบ้านของไอ้จงอินมาแต่เช้าเพื่อมาที่อพาร์ทเม้นท์ของผมและแบคฮยอน
อ่า...แต่ตอนนี้ผมกลับผมว่าที่นี่กลายเป็นอพาร์ทเม้นท์ของแบคฮยอนไปซะแล้ว
เพราะเขาดันเปลี่ยนรหัสปลดล๊อคที่หน้าประตูใหม่ และนั่นทำให้ผมต้องยืนเป็นไอ้โง่อยู่ตรงนี้เกือบๆ จะครึ่งชั่วโมงแล้ว
พยายามจะค้นหารหัสปลดล๊อคอยู่หลายรอบจนเริ่มจะท้อแล้ว
ลองกลับไปกลับมาหลายตลบ ไม่ว่าจะวันเกิดแบคฮยอน วันเกิดตัวเอง เลขบัตรประชาชน รหัสประจำตัวนักเรียนนักศึกษา
บ้าชิบหาย...ไม่มีอันไหนที่จะสามารถปลดล๊อคประตูได้เลย...
ชานยอลกัดริมฝีปาก รู้สึกน้อยใจชะมัด
เพราะว่าเสียงสัญญาณที่เตือนว่ารหัสผิดน่ะมันดังพอจะปลุกคนทั้งตึกให้ตื่นขึ้นมาได้เลย
เขารู้ดีว่าแบคฮยอนตื่นแล้ว แต่เขาก็ยังใจแข็งไม่ยอมให้ผมเปิดเข้าไปซักที
ผมถอนหายใจออกมายาวเหยียดและพยายามจะคิดให้ออกว่ารหัสน่าจะเป็นอะไร
เขาชอบอะไรนะ...หรือเขากำลังคิดอะไรอยู่ที่พอจะเอามาตั้งเป็นรหัสได้โดยที่เขาจะไม่ลืม...
อ่า...ไม่จริงน่า...ไม่น่าจะใช่หรอกมั้ง...
ผมกัดริมฝีปากพลางขมวดคิ้วเมื่อพอจะคิดอะไรขึ้นมาได้
รีบคว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโปรแกรมอินเตอร์เน็ตและค้นหาข้อมูลที่คิดอยู่ในใจ
ผมคงเหลือเชื่อมากๆ ถ้าแบคฮยอนจะเอามาตั้งเป็นรหัสผ่านประตูจริงๆ...
แต่เมื่อผมได้คำตอบจากข้อมูลที่ค้นได้ แล้วลองกดรหัสเข้าไปตามนั้น
‘090389’
และ โอ...ให้ตายเหอะ... บยอนแบคฮยอนช่างเหลือเชื่อจริงๆ
เขาเอาวันเกิดของ คิม แทยอน มาตั้งเป็นรหัสผ่านประตูห้อง!!!
แบคฮยอนเป็นแฟนคลับตัวยงของสาวๆ วง Girls’ Generetion และเขาชื่นชอบแทยอนมากเป็นพิเศษ
ช่วงก่อนนั้นตอนที่ยังเป็นนักนักเรียนก็ยิ่งบ้า ถึงขั้นว่าทุกงานเขาต้องตามไปติ่ง ขอให้ได้เห็นได้มองก็ยังดี...
โชคดีว่าตอนนี้เขาเริ่มลดน้อยลงไปบ้างแล้วนะ แต่ทุกครั้งเวลาที่เปิดยูทูปเขาก็มักจะเข้าไปติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ดี
ผมกลอกตาเมื่อผลักประตูให้เปิดออกแล้วเดินเข้าไป
มองเห็นแบคฮยอนกำลังนั่งพิมพ์อะไรซักอย่างอยู่ที่โซฟาและหันมามองผมอย่างเอือมระอา
ผมไม่รอช้า รีบเดินเข้าไปแล้วโวยวายกับเขาทันที
“แบคฮยอน...นายเป็นบ้าอะไรทำไมต้องเปลี่ยนรหัสด้วย?
แล้วรหัสใหม่นี่อะไรของนายเนี่ย แทนที่จะตั้งให้ฉันเดาออกง่ายๆหน่อย
ถ้าฉันไม่ได้นึกถึงแม่สาวคนนั้นแล้วฉันจะได้เข้าห้องไหม??”
“มาทำไม...อย่าคิดว่าหารหัสใหม่เข้ามาได้แล้วฉันจะยอมให้นายอยู่ที่นี่นะ
มาทางไหนก็กลับไปเลย...ไม่มีธุระอะไรก็อย่ามาวุ่นวาย ฉันจะทำงาน”
แบคฮยอนไม่ตอบคำถามของผมหากแต่หันขวับมามองผมด้วยสายตาขุ่นเคืองเหมือนเดิม
แถมยังออกปากไล่แบบไม่ไยดีอีกต่างหาก ซึ่งเหมือนกับที่ผมคิดเอาไว้อยู่แล้วเป๊ะเลย
“แต่ฉันมีธุระ...ที่นี่
ช่ายย ฉันมีธุระที่นี่ล่ะ เพราะงั้นไม่ไป
และฉันก็จะทำธุระให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกลับ”
ผมตอบเขาไปพลางยกยิ้มออกมาบางๆ
เดินไปนั่งข้างๆ แบคฮยอนที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาแล้วเหวี่ยงแขนไปโอบรอบคนตัวเล็กเอาไว้
“ธุระอะไรของนาย ปล่อยฉันเลย อย่ามาทำเนียนนะ”
แบคฮยอนพยายามผลักผมออกในขณะที่พูด
แต่ไม่มีทางอ่ะ บทที่ผมจะดื้อผมก็ไม่แพ้เขาหรอกนะ
ผู้ชายตระกูลปาร์คน่ะถ้าตั้งใจจะได้อะไรก็ต้องได้นะจะบอกให้!
“ธุระของฉันก็นายไง...
ฉันมีธุระต้องมากินข้าวกับนาย อยู่กับนายจนกว่านายจะหายโกรธฉัน” ผมบอกเขาไปพร้อมยกยิ้มยียวนส่งให้เขา
“เหอะ...อย่าคิดว่าจะง่ายขนาดนั้นเลยปาร์คชานยอล
กลับไปเลยนะ ฉันต้องทำงาน ฉันไม่ว่างมาทะเลาะกับนาย”
“ไม่กลับ...ถ้าอยากทำงานก็ทำไป
ฉันรอได้และยืนยันว่าจะรอแม้ว่านายจะขับไสไล่ส่งฉันก็ตามเถอะ” ผมบอกกับเขา
“................................”
“ฉันจะรอตราบเท่าที่นายอยากให้ฉันรอ...” ก่อนจะพูดต่อเมื่อแบคฮยอนเงียบไป
“แล้วถ้าฉันไม่ให้ล่ะ...นายจะทำยังไงถ้าฉันไม่ยอม?” แบคฮยอนถาม
“นายก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าฉันจะตอบว่ายังไง...”
ผมบอกเขาไปพลางมองเข้าไปในตาของแบคฮยอนอย่างแน่วแน่
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราในชั่วครู่หนึ่ง...หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อได้มองหน้าแบคฮยอนในระยะประชิด
คิดถึง...ไม่ได้กอดเขามาหลายวัน ไม่ได้ทำแม้กระทั่งจูบหรือบอกรักเขา...
ผมค่อยๆ โน้มหน้าเข้าไปใกล้ เมื่อเสียงเรียกร้องในใจสั่งให้ผมจูบเขาซะเดี๋ยวนั้น
แบคฮยอนไม่ได้มีท่าทีขัดขืนเมื่อใบหน้าของเราถูกเลื่อนมาห่างกันเพียงแค่คืบ
หากแต่ในวินาทีต่อมา...แบคฮยอนก็หันสายตาไปทางอื่นแล้วผละตัวออกจากอ้อมกอดของผม
“ง...งั้นอยากจะอยู่ก็อยู่ไป แต่อย่าทำตัวรุ่มร่าม
และช่วยอยู่เงียบๆ ด้วย อย่ากวนฉันตอนทำงานเข้าใจไหม?
ถ้านายทำเสียงดังแม้แต่นิดเดียวล่ะก็...ฉันเตะนายออกจากห้องแน่ปาร์คชานยอล”
แบคฮยอนผลักผมให้ถอยห่างจากเขา ก่อนจะยกนิ้วขึ้นชี้หน้าและกำชับในสิ่งที่ผมต้องทำ
แต่แค่นั้นก็พอแล้ว...แค่เขาไม่ไล่ให้ผมไปที่ไหนอีกผมก็พอใจแล้ว
ผมยิ้มให้เขาแล้วถอยออกมานั่งมองเขาห่างๆ
อยู่เงียบๆ อย่างที่เขาได้สั่งเอาไว้ไม่ทำอะไรนอกจากมองเขาเท่านั้น
ผมหัวเราะออกมาบ้างเมื่อเห็นว่าแบคฮยอนดูจะประสาทเล็กน้อยกับสายตาที่ผมมองเขา
ผมหยิบเอานิตยสารดนตรีเล่มใหม่ที่ถูกส่งมาที่บ้านขึ้นมาเปิดอ่าน
บรรยากาศระหว่างเราสองคนมีแต่ความเงียบ...หากแต่ตอนนี้กลับไม่ได้อึดอัดอีกแล้ว
ยกยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองคนตัวเล็กที่กำลังแก้ไขข้อมูลบางอย่างในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คอีกครั้ง
ก่อนจะนึกถึงประโยคหนึ่งที่กำลังดังก้องอยู่ในใจแต่ไม่สามารถพูดออกไปได้...
.
.
.
ขอแค่ไม่ผลักไสก็พอ...ขอให้ฉันได้มองอยู่ตรงนี้ก็พอแล้วนะ แบคฮยอนของฉัน...
*********
แบคฮยอนโคลงศีรษะไปมาเมื่อรู้สึกว่าอาการปวดเมื่อยเริ่มเล่นงานเขาขึ้นมาเสียดื้อๆ
ปิดฝาพับหน้าจอโน๊ตบุ๊คเครื่องบางของตนแล้วผ่อนคลายตัวเองอย่างช้าๆ
หันไปมองคนที่เอาแต่คอยกวนใจมาตั้งแต่เช้าและก็พบว่าคนตัวสูงนั้นหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
ชานยอลนั่งอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของโซฟา ศีรษะเอียงไปในองศาที่ดูแล้วไม่น่าจะนอนสบายนัก
คนตัวเล็กถอนหายใจออกมาเมื่อได้กลับมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
รับรู้ว่าตัวเองน่ะใจแข็งได้ไม่นานหรอก แต่ก็ยังอยากจะให้บทเรียนกับชานยอลอีกซักหน่อย
รู้สึกว่าเจ็บใจชะมัด ที่เผลอใจอ่อนให้ชานยอลไปแล้วตั้งแต่ที่เขาบอกว่าจะรอแม้ว่าแบคฮยอนจะขับไล่
เอาจริงๆ แล้วก็ยอมยกโทษให้ไปแล้วตั้งแต่เห็นหน้าเขาเดินเข้ามาในห้องเมื่อเช้าแล้วล่ะ...
ไม่คิดด้วยซ้ำว่าชานยอลจะคิดออกว่าเป็นรหัสนี้...คิดไม่ถึงว่าชานยอลจะยังจำได้ว่าเขาชอบนักร้องสาวคนนี้
ทั้งๆที่คิดไว้แล้วว่ายังไงชานยอลก็ไม่รู้แน่ๆ แต่กลับมาพ่ายแพ้เพราะว่าเขาดันรู้ทันตัวเองเสียได้
ทั้งๆ ที่ทำเป็นไม่สนใจเลยแท้ๆ...แต่ทำไมถึงยังจำได้ล่ะว่าเขารักอะไรชอบอะไร...
มาทำอย่างนี้น่ะ...ฉันใจอ่อนนะรู้ไหมปาร์คชานยอล...
แบคฮยอนหันสายตาขึ้นไปมองที่นาฬิกาแขวนบนผนังแล้วก็พบว่าตอนนี้ก็เกือบสองทุ่มเข้าไปแล้ว
เพิ่งมารู้สึกตัวว่ายังไม่ได้กินข้าวเย็นเพราะเอาแต่ทำงาน และชานยอลก็หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้
ตอนกลางวันถ้าไม่ได้ชานยอลลงไปซื้ออาหารขึ้นมาวางเอาไว้ให้ตรงหน้าล่ะก็คงลืมไปเหมือนกันล่ะมั้ง
แบคฮยอนกัดริมฝีปากอย่างชั่งใจ...รู้สึกว่าตัวเองท้องกิ่วขึ้นมาเมื่อไม่ได้มีงานวางอยู่ตรงหน้า
ตัดสินใจเดินเข้าไปตรงหน้าคนตัวสูงที่กำลังนอนคอพับคออ่อนอยู่ที่ริมโซฟาอีกด้านหนึ่ง
ก่อนจะยกนิ้วจิ้มๆ ที่หัวไหล่ของเขาเบาๆ สองสามทีเพื่อปลุกให้ตื่น...
“หืม...อา...ว่าไงแบคฮยอน? มีอะไรเหรอ??” ชานยอลถามอย่างงัวเงียเมื่อในที่สุดเขาก็ตื่นขึ้นมาได้
ยังจะมีหน้ามาถามอีกว่ามีอะไร...เมื่อไหร่จะกลับไปเสียที
แบคฮยอนคิดในใจหากแต่ไม่ได้พูดมันออกมา
ใจจริงก็อยากจะพูดอยู่หรอก แต่กลับคิดว่าไม่เข้าท่าที่จะพูดออกไปซะอย่างนั้น
เม้มริมฝีปากจนบางเฉียบเป็นเส้นตรงเพื่อบ่งบอกอารมณ์กับคนตัวสูงว่ายังไม่ยกโทษให้หรอกนะ
แต่คำพูดที่ออกจากปากน่ะ...มันช่างสวนทางกับการกระทำซะจริงๆ...
“คนงี่เง่า... ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว
ทำไมนายไม่พาฉันออกไปหาอะไรกินล่ะ?”
*********
หลังจากที่ชานยอลพาผมออกไปกินข้าว...เขาก็กลับมาส่งผมที่อพาร์ทเม้นท์ตามเดิม
และเขาก็ขอลากลับไปเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะเข้านอนแล้ว...
ผมรู้สึกดีใจที่ชานยอลเข้าใจอะไรๆ ได้มากขึ้น และรู้ว่าผมต้องการอะไรแม้ว่าจะไม่ต้องบอก
เราคุยกันแทบจะนับคำได้...อันความจริงชานยอลก็พูดเยอะแยะอยู่พอสมควรจากการพยายามที่จะทำให้ผมพูดกับเขา
แต่ผมแทบจะไม่ได้ตอบคำถามของเขาเลย...หรือถ้าตอบก็จะเป็นแค่คำพูดตอบรับสั้นๆ
อย่าง ”ใช่” หรือ ”ไม่” แล้วก็เงียบเท่านั้น
จนสุดท้ายแล้วชานยอลก็เลือกที่จะเงียบไป...ไม่ถามอะไรจุกจิกจู้จี้อีก
นอกจากนานๆ ครั้งที่ถามหรือพูดอะไรที่จำเป็นเท่านั้น
จนสุดท้ายแล้วเขาก็มาส่งผมที่อพาร์ทเม้นท์...รอให้ผมได้อาบน้ำและทำอะไรอีกเล็กน้อยแล้วก็ลากลับไป
ผมรู้สึกดีที่เขาคอยตามใจไม่ห่าง...แต่ก็ไม่ชอบใจเท่าไหร่นักที่เขาต้องลางานมาทำอะไรอย่างนี้
น่าตลกดีเหมือนกัน...ทั้งๆ ที่เวลาของเขาคือสิ่งที่ผมเรียกร้องแท้ๆ
แต่พอเขากลับมาอยู่กับผมเข้าจริงๆ ผมกลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ชานยอลที่ผมต้องการให้เป็น
กลัว...ผมกลัวว่าถ้าหากตัวเองใจอ่อนยอมยกโทษให้ แล้วชานยอลจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
เอาแต่สนใจงานการของเขา และลืมสนใจว่าผมยังคงอยู่ตรงนี้...
ทำให้ฉันมั่นใจที ปาร์ค ชานยอล...
ทำให้ฉันแน่ใจหน่อยว่าสำหรับนายแล้วฉันยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญ...
.
.
ทำให้ฉันได้มั่นใจหน่อยได้ไหม...ว่าถึงแม้จะนานเท่าไหร่ ฉันก็ยังจะมีนายอยู่ข้างๆ กันแบบนี้...
*********
เวลาผ่านไปเป็นอาทิตย์...แต่ปาร์คชานยอลก็ยังคงมาหาผมเป็นประจำทุกวันไม่ได้ขาด
เขามักจะเข้ามาหาผมตอนแปดโมงครึ่ง
ช่วยทำความสะอาด ทำอาหารกลางวันให้กินหรือไม่ก็พาออกไปหาซื้ออะไรกินบ้าง
นอกนั้นก็นั่งเล่นเกมส์ หรือไม่ก็แต่งเพลงเพื่อเตรียมอัลบั้มใหม่ให้ศิลปินที่เขาดูแลอยู่
ตอนเย็นก็มักจะพาผมออกไปทานอาหารหรือไม่ก็ออกไปมินิมาร์ทเพื่อซื้อของมาทำกินด้วยกัน
อย่างเช่นวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ชานยอลมาที่นี่...
และจมอยู่กับกองกระดาษโน้ตและมือที่เอาแต่กดคีย์บอร์ดที่ถูกเสียบสายหูฟังเอาไว้
ในขณะที่ผมเองก็วุ่นวายอยู่กับตัวเลขในคอมพิวเตอร์ไม่ได้ห่าง
มีบางครั้งที่ชานยอลจะยกน้ำส้มหรือกาแฟมายื่นให้ผมบ้างในขณะที่เขาพักจากงานของเขา
แค่เอามาวางไว้ตรงหน้า หรือไม่ก็ดื่มเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ แต่เราแทบจะไม่ได้พูดกันมากเท่าไหร่
ผมคุยกับเขามากขึ้น...แต่ก็เฉพาะแค่เรื่องที่สำคัญๆ เท่านั้น
แต่บทสนทนาจำพวกเรียกเสียงหัวเราะน่ะ...แทบจะไม่ออกจากปากเราสองคนเลยในอาทิตย์ที่ผ่านมา
แต่มันไม่ได้ทำให้ผมอึดอัดหรอกนะ ผมรู้สึกดีด้วยซ้ำที่มันเป็นอย่างนี้...
เพราะแค่เขายังอยู่ตรงนี้...แค่เขายังดูแลผมแบบนี้
แม้ไม่ต้องพูดอะไรต่อกันซักคำ...แต่ผมก็ยังอบอุ่นในหัวใจ
ขอแค่เขายังคงอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน แค่นั้นก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมยินดีจะแลกทุกอย่าง
....เพียงเพื่อขอให้ชานยอลได้นั่งอยู่ข้างๆ ผมแบบนี้...
หากแต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้เป็นไปตามที่ผมปรารถนาทุกอย่าง...
บางเรื่องที่เรายิ่งหนีมันมากเท่าไหร่...ผมกลับพบว่ามันเป็นเรื่องที่เราต้องเผชิญหน้ากับมันมากเท่านั้น
เสียงโทรศัพท์ของชานยอลดังขึ้นมาจนได้ เขาถอดเฮดโฟนที่กำลังสวมอยู่และดินสอที่กำลังถือนั้นลงกับคีย์บอร์ดไฟฟ้า
แล้วหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมามองที่หน้าจอแล้วกดรับ...
ใบหน้าของเขาเคร่งเครียด และบทสนทนากับปลายสายก็เป็นสถานการณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
“ให้คุณจางจัดการไม่ได้หรือครับ? ผมคิดว่าผมขอลาหยุดได้จนถึงวันที่ 24 เสียอีก
ผมรู้ครับว่ามันอยู่ภายใต้การดูแลของผม แต่ตอนนี้ผมไม่สะดวกที่จะไปที่บริษัท”
ผมเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เมื่อได้ยินบทสนทนาของเขา...
ชานยอลขมวดคิ้วอย่างหนักใจ เขาเดินไปเดินมาไม่ได้หยุดเลยระหว่างที่คุยกับโทรศัพท์สายนั้น
“ครับ...แล้วยังไงผมจะเข้าไปจัดการให้เร็วที่สุด แต่คงไม่ใช่วันนี้ ครับ...สวัสดีครับ”
ชานยอลวางสายไปแล้ว...สีหน้าของเขายังคงเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
ชานยอลดูจะหัวเสีย เขาหันรีหันขวางจนกระทั่งหันมาเห็นว่าผมมองเขาอยู่ตรงนี้
เขาถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะสาวเท้ากลับไปนั่งอยู่ที่คีย์บอร์ดไฟฟ้าของเขาอีกครั้งแล้วเริ่มสวมหูฟังอีกหน
ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามแต่งเพลงอีกครั้ง แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถทำได้ในเมื่อสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้
ผมเดินเข้าไปถอดหูฟังของเขาออก...ปาร์คชานยอลเงยหน้าขึ้นมามองอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมเหรอตัวเล็ก? นายหิวเหรอ?
หรืออยากจะให้ฉันทำอะไรหืม?”
ชานยอลเงยหน้าขึ้นมองผมแล้วยกยิ้มให้ทั้งๆ ที่หัวคิ้วของเขายังผูกเป็นปมอยู่เลย
ผมถอนหายใจออกมาแล้วเริ่มพูดคุยกับเขา...
“ที่บริษัทโทรมาตามใช่ไหม...ทำไมไม่ไปล่ะ?” ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“ไม่เอาหรอก...ฉันอยู่ในช่วงลาพักร้อนน่ะ
ถ้าเขาจะมีปัญหาอะไรก็ปล่อยให้เขาแก้กันไปเองสิ ไม่มีฉันซักคน บริษัทก็คงไม่เจ๊งหรอก
อา...เราออกไปหาอะไรกินกันไหมตัวเล็ก ฉันเบื่อจังเลย...ออกไปกินอะไรอร่อยๆ กันเถอะ”
ชานยอลพูดด้วยน้ำเสียงติดจะอารมณ์เสียเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยิ้มให้ผมตามเดิม
แถมไม่วายยังยื่นมือมาจับมือของผมไปกุมไว้เสียอีกแหน่ะ...
“ไม่ไปจะไม่เป็นไรเหรอ? เดี๋ยวเขาก็ไล่ออกหรอก...”
ผมไม่ตอบชานยอลหากแต่ถามเขากลับอีกครั้ง
และคำถามนี้ก็ทำเอาชานยอลเจื่อนยิ้มลงไปได้เล็กน้อย...
“อยากไล่ก็ไล่สิ...ฉันหางานใหม่ก็ได้”
“แล้วที่ทำงานหนักมาเป็นปีนี่เพื่ออะไร?
เพื่อที่จะยอมให้เขาไล่นายออกง่ายๆ อย่างงั้นอ่ะเหรอ?”
ชานยอลไม่ได้ยิ้มอีกแล้ว...เขาขมวดคิ้วมุ่นและสีหน้าก็เต็มไปด้วยความกังวล
ผมกัดริมฝีปากอย่างเจ็บปวด เมื่อเห็นชานยอลมีท่าทีลังเลอย่างเห็นได้ชัด
ก่อนที่รู้สึกว่าน้ำตาของผมนั้นเกือบจะไหลลงมาเมื่อเขากระซิบตอบคำถามที่ผมไม่เคยคิดว่าเขาจะกล้าพูด...
“นายต้องการอะไรที่สุดล่ะแบคฮยอน...บอกมาสิว่านายยังต้องการฉันอยู่ไหม?
นี่ไง...ฉันเพียงแค่อยากจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่าฉันพร้อมจะทิ้งทุกอย่างเพื่อสิ่งที่นายต้องการ
มันเจ็บปวด ใช่...ฉันรู้ว่าฉันทุ่มเทกับมันมามากเกินจะถอยหลังกลับ
แต่ถ้าการที่ฉันทำทุกๆ อย่างแล้วนายจะเจ็บปวดเพราะมัน...ฉันจะไม่ทำ
...ฉันจะทิ้งทุกอย่างเอาไว้ แล้วเลือกแค่นายเท่านั้น”
ชานยอลบีบมือของผมเบาๆ เมื่อเขาพูดกับผมอย่างนั้น
และหัวใจผมกลับบีบรัดอย่างเจ็บปวดเมื่อได้รับรู้ว่าผมกำลังทำร้ายเขา...
ผมไม่แน่ใจนักว่าผมกำลังทำอะไรอยู่...ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วระหว่างเราสองคน ใครกันแน่ที่เป็นคนผิดหรือเห็นแก่ตัว
แต่บางทีคำตอบนี้มันอาจจะไม่ต้องการหาคำตอบก็ได้
มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะค้นหาต้นตอของความผิดแล้วพูดถึงมันซ้ำๆ ซากๆ
ผมเอาแต่ถามตัวเอง ว่าทำไมนะทำไม?...ทำไมเราสองคนถึงกลายมาเป็นอย่างนี้ได้
ทำไมเขาถึงไม่สนใจ? ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปไม่เหมือนเมื่อก่อน?
แต่ผมไม่เคยถามตัวเองเลยว่าแท้จริงแล้วควรจะทำยังไง...
ผมและชานยอลควรจะทำยังไงให้เราสองคนได้กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
ผมยึดเอาคอเสื้อของชานยอลไว้แล้วโน้มตัวลงไปจูบชานยอลที่ริมฝีปาก
มอบจูบให้กับเขาหลังจากที่เราไม่ได้แตะต้องตัวกันเลยตลอดระยะเวลาเกือบสองอาทิตย์ที่ผ่านมา
ชานยอลหลับตาพริ้มเมื่อผมและเขามอบสัมผัสผ่านทางริมฝีปาก
เขาลุกขึ้นมากอดผมเอาไว้ เขาดูดเม้มริมฝีปากของผมราวกับจะบอกผ่านความคิดถึงลงไปในรสจูบนั้น
ผมผละออกมาเมื่อเราสองคนเริ่มขาดอากาศหายใจ ชานยอลกอดผมไว้แน่นราวกับกลัวว่าผมจะหนีไปจากเขา
“ฉันยังต้องการนายเสมอ...แต่สิ่งที่ฉันไม่ต้องการคือการเป็นตัวถ่วงนายแบบนี้
อย่าเป็นแบบนี้เพราะฉันเลยนะ ฉันไม่ได้ต้องการให้นายมีทุกอย่าง
แต่ฉันเองก็ไม่อยากให้นายเสียอะไรไปเลยซักอย่าง...
เพราะงั้นก็ไปเถอะ และทำให้มันดีที่สุด...ฉันไม่เป็นไร ฉันสัญญาว่าจะไม่โกรธ”
บอกกับคนตัวสูงไปพร้อมทั้งยกยิ้มบางๆ ส่งให้กับเขา
ชานยอลทำสีหน้าราวกับไม่แน่ใจนักในสิ่งที่ผมกำลังพูด
เขาเลยถามย้ำเพื่อความแน่ใจกับผมอีกหนหนึ่ง...
“แน่ใจเหรอว่าจะอยากจะให้ฉันทำแบบนี้...”
ชานยอลกระซิบถาม ผมหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อเขายังคงทำสีหน้าขึงขังและจริงจังจนไม่เข้าเรื่อง
ผมซบหน้าลงกับบ่าหนาของชานยอลและกอดเขาให้แน่นขึ้น...
สูดหายใจลึกเมื่อตัดสินใจแล้วว่าควรจะทำยังไงให้เรื่องนี้เป็นไปอย่างดีที่สุด...
“แน่ใจสิ...ไปเถอะนะชานยอลอ่า ถือว่าทำเพื่อฉันอีกครั้ง
และนายบอกฉันว่ายังไงนะ นายจะซื้อบ้านของเราในวันครบรอบใช่ไหม?
มันเหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนแล้วนะ...ฟังดูแล้วเหมือนเร็วมากเลยใช่ไหมล่ะ?
.
.
แต่มันคงไม่เร็วเกินไปหรอกนะ...ถ้าเราสองคนจะช่วยกันหาและเก็บเงินไปซื้อมันด้วยกัน”
ป.ล. จบแล้วค่ะ...แต่ยังไม่จบจริง
มีอีกประมาณ 50% แถมในตอนหน้า ถึงจะเป็น REAL END
นมน.จะเอามาลงให้พรุ่งนี้ค่ะ
รอตอนจบจริงนะ...รับรองว่าหวานหยดเลย รับประกัน ;)
ความคิดเห็น