ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [C0MPLETE] ✚ :: BE MY BABY :: ✚ [KAI x D.O.]*

    ลำดับตอนที่ #37 : ✚ BE MY L0VE :: CHANYE0L & BAEKHYUN IV -- 100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.84K
      18
      29 ม.ค. 56

     


     Author : MR.$N0WMAN*

    Pairing : Park Chanyeol & Byun Baekhyun

    Story : Jackboiz

    Rate : PG-15

     


     

     

    Be my Honey*





     

    ‘ Please.....
    tell me

    .....Why?










    บนโต๊ะอาหารของครอบครัวบยอนเงียบกริบและเต็มไปด้วยความอึดอัด

    เมื่อคนหนุ่มสองคนบนโต๊ะที่ต่างก็มีท่าทีกระอ่วนใจต่อกันอย่างเห็นได้ชัด

    ไม่สิ...ชานยอลคนเดียวต่างหากที่กระอักกระอ่วน

    เพราะว่าแบคฮยอนน่ะ เอาแต่ตักอาหารแล้วเคี้ยวกร้วมๆ อย่างรวดเร็วจนน่ากลัวว่าจะติดคอตายเสียก่อน

     

    คนเป็นพ่อมองหน้าหญิงสาวคนเดียวของบ้านอย่างไม่แน่ใจนักว่าควรจะต้องทำอะไรไหม

    แต่เมื่อคุณนายบยอนแกส่ายหน้าตอบกลับมา คนเป็นพ่อก็เลยเลือกที่จะเงียบแล้วกินอาหารตรงหน้าอย่างเงียบๆ

    คุณนายบยอนมองลูกชายที่ดูบึ้งตึงกำลังกินอาหารเสียเร็ว

    ในขณะที่ชานยอลแทบจะไม่ได้แตะอะไรนอกจากช้อนส้อมที่เขากำลังจับอยู่เท่านั้น

     

     

    “ชานยอลดีขึ้นแล้วใช่ไหมลูก? กินเข้าไปเยอะๆ สิ จะได้หายไวๆ”

     

    คุณนายบยอนตักอาหารไปวางไว้ในจานของชานยอลแล้วยิ้มให้อย่างใจดี

    และยังยกศอกขึ้นกระทุ้งคนเป็นสามีให้ทำตามเธอด้วย

     

    “อ่ะ...เอ้อ...ใช่ๆ กินเข้าไปเยอะๆ”

     

    คุณบยอนเองก็ตักอาหารไปวางไว้บนจานของชานยอลเช่นกัน

    เมื่อเห็นว่าภรรยากำลังส่งสายตาถมึงทึงมาให้ตนเองเป็นเชิงบังคับ

    ชานยอลยกยิ้มขึ้นมาแบบฝืดๆ เมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่ทั้งคู่ต่างก็เป็นห่วงเขา

     

    “ดีขึ้นมากแล้วครับ...ขอบคุณมากครับ” ชานยอลตอบกลับทั้งสองคนไป

     

    “แล้วนี่ยังไงกันล่ะเนี่ย...ทำไมไม่ยอมคุยกันล่ะหืม?

    เอาแต่หันหลังให้กันอย่างนี้มันจะรู้เรื่องเหรอ โตๆกันแล้วนะพวกลูกน่ะ

    จะสามสิบกันอยู่แล้วยังจะมางอนกันอย่างกับเด็กๆ อีก

    แล้วนี่จะกลับโซลกันวันไหนล่ะลูก...”

     

    คุณนายบยอนถามอย่างอ่อนโยน เธอถอนหายใจในระหว่างที่พูด

    แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความใจดีนั้นลดลงเลยซักนิด

     

    “ผมขอบอสเอางานกลับมาทำงานที่บ้านครับแม่ เพราะงั้นคงจะอยู่อีกนาน

    แต่ชานยอลกินข้าวเสร็จก็คงต้องกลับแล้วล่ะ เพราะเขาเองก็ต้องกลับไปทำงานของเขา

    บริษัทขาดชานยอลไม่ได้หรอกครับ...น่ากลัวว่าอาจจะเจ๊ง”

     

    แบคฮยอนพูดประชดประชัน สายตายังคงมองไปทางอื่นอย่างจงใจที่จะไม่หันมาเห็นหน้าคนตัวสูง

    คุณบยอนเหลือกตาขึ้นเมื่อพอจะรู้แล้วว่าเด็กๆทะเลาะกันเรื่องอะไร

    จึงแสร้งกระแอมออกมาเบาๆ แล้วยกกาแฟขึ้นมาจิบอย่างเงียบๆ

     

    อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้จงเกลียดจงชังอะไรชานยอลหรอกนะ

    เพียงแค่เขาเห็นชานยอลและแบคฮยอนมาตั้งแต่ยังเด็ก

    พอจะรู้อยู่บ้างว่าชานยอลน่ะเป็นผู้ชายประเภทสนุกเฮฮาไปวันๆ ไม่ค่อยจะมีสาระ แต่ก็ไม่ถึงกับทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย

    เขารู้ว่าไอ้เด็กตัวสูงนี่เป็นเด็กดี เพียงแค่บางทีก็ไม่ได้เรื่อง ต้องให้คอยกระตุ้นบ่อยๆก็เท่านั้น

    คนเป็นพ่อก็เลยต้องลงมือทำอะไรบ้าง เพื่อให้ชานยอลได้พัฒนาตนเอง

    ที่ทำน่ะหวังดีทั้งนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าปาร์คชานยอลน่ะจริงจังกับคำสบประมาทของเขามากไปหน่อย

    อ่า...ลืมไปเสียสนิทเลยสิ ก็ปาร์คชานยอลน่ะเป็นประเภทฆ่าได้หยามไม่ได้นี่นา

     

    ทางด้านชานยอลที่ได้ยินคนตัวเล็กพูดประชดประชันออกมาแล้วก็ถอนหายใจ

    เขาไม่ได้โกรธที่แบคฮยอนพูดอย่างนั้น แค่รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นักที่คนตัวเล็กเอาแต่ไล่ตัวเอง

    ไอ้คนเรามาหาถึงที่ก็อยากจะมาง้อให้กลับไปโซลด้วยกัน...

    แต่ดันมาขับไสไล่ส่งกันอย่างนี้ก็น่ากลัวว่าแบคฮยอนจะขอห่างไปจริงๆ

    ไม่เอาหรอก...เรื่องอะไร ที่สู้มาทั้งหมดก็เพื่อแบคฮยอนไม่ใช่เหรอ

    แล้วจะกลับไปทำงานเพื่ออะไร ถ้าเกิดแฟนอยากจะขอห่างไปจากเขาอย่างนี้...

     

     

    “โอ้ เปล่าหรอกครับคุณป้า...ผมน่ะขนเสื้อผ้ามาหมดเลยครับ

    กะว่าจะอยู่เป็นเพื่อนแบคฮยอนที่นี่ด้วยจนกว่าจะกลับไปด้วยกัน”

     

    พูดเกทับไปทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วเขาเอาเสื้อผ้ามาแค่สองสามชุดเท่านั้น

    แต่เอาวะ...เป็นไงเป็นกันแล้วทีนี้ ขอเอากางเกงในที่ไม่เคยใส่ซ้ำเป็นเดิมพันเลย

    ถ้าภายในสามวันเขาลากแบคฮยอนกลับบ้านไม่ได้ล่ะก็...ชานยอลขอยอมใส่กางเกงในซ้ำโดยไม่ซักเลยให้ตายเหอะ

     

     

    “กลับไปเลย...ฉันไม่ให้อยู่ เรื่องอะไรต้องมาลากฉันกลับไปด้วย

    อยากกลับก็กลับไปคนเดียวสิ! ฉันไม่กลับ!!”

     

    แบคฮยอนหันมาแหวใส่คนตัวสูงทันทีด้วยความที่สติขาดผึง

    ชานยอลเองก็ไม่ยอมแพ้ ก็เรื่องอะไรจะให้กลับไปคนเดียวล่ะชานยอลไม่ยอมหรอก

     

     

    “ไม่...ถ้านายไม่กลับฉันก็ไม่กลับ!

    อย่ามาไล่ฉันซะให้ยากเลย ฉันไม่กลับ!!!” ชานยอลยักไหล่แล้วพูดกับแบคฮยอนอีกครั้ง

     

     

    “นายอย่ามากวนประสาทฉันนะปาร์คชานยอล!

    คนเขาไม่เชิญให้อยู่ยังจะหน้าด้านอยู่อีกเหรอ?!!” แบคฮยอนตวาดกลับ

     

     

    “โอ้ยตาย ทำไมว่าชานยอลอย่างนั้นล่ะลูก?”

     

     

    คุณนายบยอนยกมือทาบอกอย่างตื่นๆ ก่อนจะปรามลูกชายให้ระวังการพูดการจาซักหน่อย

    แต่ปาร์คชานยอลไม่ได้สนใจ เขายักไหล่ยียวนอย่างกวนประสาท

    มองเห็นแบคฮยอนที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่แล้วก็รู้ดีว่ายังไงตัวเองก็ชนะแน่ๆ

     

     

    “ก็ไม่กลับ...ก็น่าด้านอ่ะทำไม

    ฉันจะอยู่! จะอยู่! จะอยู่!!” ชานยอลพูดอย่างเอาแต่ใจ

     

     

    “เออ! งั้นอยากอยู่ก็อยู่ไปเลย!

    ฉันจะกลับ!! ฉันจะกลับโซล!!

     

     

     

    “เอ้อ...จะกลับก็ดี  งั้นเดี๋ยวฉันไปส่งละกัน ตามนี้นะ...โอเคคคคคคคคคค”

     


     

    ชานยอลยกยิ้มพลางยักไหล่เมื่อในที่สุดแบคฮยอนก็หลงกลตัวเองจนได้

    แบคฮยอนอ้าปากค้างเมื่อในที่สุดก็รู้แล้วว่าตัวเองดันไปหลงกลปาร์คชานยอลเข้าให้

    มองเห็นพ่อตัวเองกลอกตาและเห็นแม่ส่ายหน้าให้พร้อมกับหัวเราะเบาๆ ด้วย

    แบคฮยอนอ้าปากราวกับจะเถียง หากแต่วินาทีต่อมาก็หุบปากไปเสียเพราะไม่รู้จะแก้ตัวว่ายังไง

     

     

    “อ่า...งั้นเราก็น่าจะรีบกินแล้วรีบไปเก็บของกันนะ” ชานยอลว่าพลางยกยิ้มร้าย

     

     

    “บ...บ้า! นี่มันน่าโมโหที่สุดเลย!!

     

     

    ตะโกนใส่หน้าคนที่กวนประสาทก่อนจะกระแทกเท้าปึงปังออกไปจากโต๊ะอาหาร

    ชานยอลถอนหายใจออกมาหากแต่ก็ยังมีรอยยิ้มบางๆ เผยอยู่

    ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองพ่อแม่ของคนรักด้วยสีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อพวกเขากำลังจ้องมา

     

     

    “เอ่อ...ผมต้องขอโทษด้วยนะครับคุณลุงคุณป้า...” ชานยอลเอ่ยกระซิบออกไปอย่างรู้สึกผิด

     

     

    “ช่างเถอะ...พากลับไปโซลซะก็ดีเหมือนกัน

    อยู่นี่แล้วทำตัวอย่างกับเป็นเด็กๆ”

     

     

    คุณนายบยอนพูดพลางถอนหายใจ วางช้อนส้อมลงแล้วหันไปมองหน้าคนเป็นสามีอย่างขอความเห็น

    ชานยอลรู้สึกผิดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้ว่าบรรยากาศตอนนี้ไม่เหมาะที่จะกินอาหารต่อไปอีกแล้ว

    ชานยอลกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่เมื่อมองเห็นคนเป็นพ่อและแม่ของแบคฮยอนกำลังขมวดคิ้ว

     

     

    “นายมีอะไรจะอธิบายกับฉันไหม??

    นายไปทำอะไรไว้ล่ะลูกชายฉันถึงได้โกรธขนาดนี้”

     

     

    คุณบยอนถามเสียงเข้มในขณะที่ผมก็ถอนหายใจออกมาเมื่อได้ฟัง

    กะไว้แล้วว่าต้องคุยเรื่องนี้กับคุณพ่อตา(เออออไปเลยแล้วกันไม่รอแล้ว)ไม่ช้าก็เร็ว...

    แต่ก็ไม่ได้อยากจะมานั่งพูดคุยกับเขาในรูปแบบนี้

     

     

    “แบคฮยอนโกรธที่ผมไม่มีเวลาให้เขาน่ะครับ” ผมตอบและหลุบตาลงต่ำ

     

     

    “โธ่...ก็แล้วทำไมถึงทำอย่างนั้นล่ะ?” คุณบยอนถามต่อ

     

     

    “ก็มันใกล้จะถึงวันครบรอบปีที่ 9 ของเราแล้ว

    และผมก็อยากจะให้ของขวัญกับแบคฮยอนเป็นของที่เคยสัญญาไว้กับคุณลุง

    ช่วงนี้ผมเลยต้องทำงานหนัก เพราะกลัวว่าจะไม่ทันเวลา”

     

     

    “ไหนนายบอกฉันว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วไง

    แล้วไหงยังจัดเวลาชีวิตของตัวเองยังไม่ได้เลย

    นี่ต้องรอให้มันเป็นอย่างนี้ก่อนสินะถึงจะรู้ว่าตัวเองทำผิด”

     

     

    คุณบยอนต่อว่าผมพลางถอนหายใจเสียยาวเหยียด

    เขากอดอกในขณะที่มองหน้าผม และผมเองก็ไม่ได้หลบสายตาละไปจากเขา

    คุณป้าตัดสินใจลุกขึ้นเก็บจานออกไปจากโต๊ะอาหารเพื่อปล่อยให้ผมและคุณพ่อตาได้พูดคุยกัน

    ทั้งๆ ที่ผมไม่ค่อยอยากจะให้เป็นอย่างนั้นเลยก็เถอะ...

     

     

    “ผมไม่คิดว่าแบคฮยอนจะโกรธ...เพราะก่อนหน้านี้เขาไม่เคยแสดงท่าทีอะไรกับเรื่องนี้เลยซักนิด

    และทุกๆ อย่างที่ผมเคยบอกกับคุณเอาไว้มันก็ใกล้จะสำเร็จแล้วด้วยนะครับ...

    ผมยังขาดอีกแค่ไม่เท่าไหร่ที่ต้องหาเงินมาเพิ่ม แล้วมันก็จะสำเร็จอย่างที่ผมบอกคุณไว้

    ผมอยากให้เขาเซอร์ไพรส์ผมเลยไม่เคยบอกหรือปรึกษาเรื่องนี้กับเขา

    และอีกอย่างนึง นี่มันก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนเองนะครับ ผมก็แค่อยากจะพยายามให้ถึงที่สุด คุณจะได้ยอมรับผมซักที...”

     

     
     

    ผมพูดอ้อมแอ้มพลางกระแอมอย่างเขินอายเมื่อถึงท้ายประโยค

    ไม่อยากให้คุณบยอนแกเห็นว่าผมเจ้าคิดเจ้าแค้นกับเขาหรอก แต่ก็แค่อยากทำตามที่เคยบอกเขาไว้

    คุณบยอนส่ายหน้าพลางถอนหายใจออกมาเมื่อผมบอกกับเขา

    ก่อนที่เขาจะเริ่มพูดต่อ และนั่นแหละที่ทำให้ผมแทบจะบ้าตายไปเลย...

     

     

    “นายนี่มันบ้า...ขอถามหน่อยเถอะ ถ้าฉันไม่ยอมรับนายฉันจะยอมให้แบคฮยอนย้ายเข้าไปอยู่กับนายที่โซลหรือไง?

    ที่พวกนายคบกันมาได้ตั้งหลายปีนี่นายคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องเหรอ? แบคฮยอนก็เป็นลูกชายของฉันนะ

    แต่ที่ฉันพูดกับนายตอนนั้นน่ะ ฉันก็แค่อยากให้นายทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวกับเขาบ้าง

    เพราะขืนให้คบกันไปเรื่อยๆ แล้วแบคฮยอนจะมีชีวิตยังไงล่ะ

    ฉันเป็นพ่อก็อยากจะเห็นลูกชายตัวเองมีความสุข...แต่นายดันเข้าใจความหมายของฉันผิดไปล่ะสินะ


    ฉันเคยถามนายถึงความคืบหน้าบ้างไหมตั้งแต่ที่เราคุยกันไปคราวนั้นน่ะ?

    นี่ถ้าฉันจริงจังกับเรื่องนี้ ป่านนี้นายไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้หรอกไอ้เด็กบ้า...

    และฉันก็จะไม่ยอมให้คนงี่เง่าอย่างนายได้ใช้คำว่าแฟนกับลูกชายฉันแน่ๆ รู้ไว้ซะด้วย...”

     

     

    คุณพ่อตาพูดพลางส่ายหน้าส่งให้ผมอย่างเอือมระอา...

    ผมอ้าปากค้างแล้วยกมือขึ้นตบที่หน้าผากแล้วบ่นออกมาด้วยความคลุ้มคลั่ง

    บ้าบอ...นี่มันบ้าบอมากๆ ที่ผมดันไปถือเอาคำพูดพวกนั้นเป็นเรื่องจริงจังไปซะได้!

     

     

    “แต่คุณบอกให้ผมทำให้ได้นี่ครับ!!

    ถ้าคุณไม่จริงจังก็ไม่น่าจะท่าทางอย่างนั้นในตอนนั้นนี่นา

    คุณกำลังจะทำให้ผมเป็นประสาทแล้วนะคุณพ่อตา!!!!

    โอย! อยากจะบ้าตาย...ผมก็กลัวว่าคุณจะโกรธซะอีกถ้าผมทำไม่ได้อย่างที่เคยพูดไว้”

     

     

    ผมครางออกมาอย่างเหลืออด

    พอรู้ว่าคุณบยอนไม่ได้เกลียดผม ผมก็รู้สึกว่าตัวเองผ่อนคลายกับเขามากขึ้น

     

     

    “ฉันเป็นผู้ใหญ่ฉันก็ต้องวางท่าให้ดูน่าเชื่อถือสิ

    ถ้านายทำได้อย่างที่บอกมันก็ดีไป แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เห็นจะแปลกใจตรงไหนเลย”

     

     

    “โธ่...คุณพ่อดูถูกผมมากไปแล้วนะครับ!

     

     

    “ไม่เคยได้ยินหรือไงเล่า...แรงกดดันคือพลังในวันข้างหน้าน่ะ

    ถ้าไม่อยากได้ยินก็พยายามสิ แต่การเดินไปข้างหน้านั่นก็ไม่ได้หมายความว่านายต้องละเลยคนข้างหลัง”

     

     

    “ผมควรทำยังไง?”

     
     

     

    “จับมือแล้วเดินไปด้วยกันสิ...ถ้ามันยากมากก็แบ่งปันกับแบคฮยอนบ้าง

    นายคิดว่าชีวิตคู่คืออะไร? มันไม่ใช่การตั้งเป้าและเอาแต่พุ่งไปที่จุดนั้นอย่างเดียวนะ

    แต่มันคือการได้แบ่งปันเรื่องราวทั้งสุขและทุกข์ร่วมกัน เพื่อฝ่าพันไปถึงจุดหมายที่ตั้งเอาไว้ต่างหาก

    จุดหมายคือสิ่งที่เราตั้งเป้าไว้ว่าจะได้มา แต่ระหว่างที่จะไปถึงตรงนั้นเราจะได้กำไรจากมันเยอะแยะมากมายนะ

    อย่าพยายามก้าวข้ามเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย เพราะนายอาจจะพลาดอะไรดีๆ ที่อยู่ระหว่างทางก็ได้”

     


     

    คุณบยอนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบและดูภูมิฐาน

    ผมเพิ่งมีความรู้สึกว่าไม่แปลกใจเลยที่แบคฮยอนโตมาเป็นคนแบบนี้ได้เพราะอะไร

    เขามีพ่อที่ดีและเอาใจใส่ครอบครัวอย่างไม่น่าเชื่อ...

    คุณบยอนไม่ได้พยายามจะเปลี่ยนอะไรในตัวผม แต่สิ่งที่เขาทำคือการกระตุ้นให้ผมรู้จักเอาใจใส่มันมากกว่า

    และผมเองก็อยากจะเป็นแบบนั้น...เป็นอย่างที่เขาและแบคฮยอนคาดหวังไว้

     

     
     

    “ผมเข้าใจสิ่งที่คุณพูดนะครับ นั่นสินะ...ผมคงจะจริงจังกับมันมากเกินไปจนลืมสนใจแบคฮยอน

    ผมน่าจะเอาใจใส่เขามากกว่านี้ ตลกจังที่เพิ่งมาคิดได้...แต่ตอนนี้มันเหมือนว่าจะสายไปแล้ว

    ผมควรทำยังไง? ผมจะทำยังไงให้แบคฮยอนหายโกรธผมดี?”

     

     
     

    ชานยอลถอนหายใจออกมาเมื่อเริ่มขอคำปรึกษา...

    คุณบยอนส่ายหน้าอย่างเอือมระอาอีกครั้งหนึ่ง หากแต่คราวนี้ใบหน้ากลับเปื้อนรอยยิ้ม

    เขาเอื้อมมือมาตบบ่าของผม ก่อนจะให้คำแนะนำแบบกว้างๆ แล้วเดินจากไป

     

     
     

    “ลองทำอะไรง่ายๆ ที่นายเคยมองข้ามมันไปสิ...

    อะไรที่เคยขาดก็เติมเข้าไป อะไรที่เคยล้นก็ลืมมันไปซะบ้าง

    พาแบคฮยอนกลับไปที่โซล...แล้วปรับความเข้าใจกันให้เรียบร้อยซะ

    คบกันมาตั้งเก้าปีแล้วนี่...ฉันคิดว่านายน่าจะรู้ดีนะว่านิสัยส่วนตัวของลูกชายฉันเป็นยังไง

    หรือไม่ก็ลองคิดว่านี่เป็นคำท้าทายของฉันอีกครั้งสิ...คำท้าทายที่นายต้องทำให้มันสำเร็จให้ได้

    และช่าย...ฉันขอบังคับให้นายง้อลูกชายฉันให้สำเร็จนะ เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม??

    .

    .

    .

     
     

    เพราะฉันไม่อยากจะได้ใครมาเป็นลูกเขยของฉันนอกจากนายหรอกนะ ปาร์ค ชานยอล”





     

    *********

     





    แบคฮยอนใบหน้าบูดบึ้งบอกอารมณ์ขุ่นมัวอย่างชัดเจนแม้ว่าคนตัวสูงจะพยายามชวนพูดคุยซักแค่ไหน

    ชานยอลยังคงพยายามจะพูดคุยกับเขาตลอดเวลาที่เราสองคนนั่งอยู่ในรถระหว่างทางกลับโซล

    แบคฮยอนเสตามองออกไปนอกหน้าต่างตลอดเวลา และพยายามจะทำเป็นไม่สนใจคำพูดของคนตัวสูง

    จนกระทั่งพวกเขามาถึงอพาร์ทเม้นท์แล้วนั่นแหละ...แบคฮยอนจึงรีบเหวี่ยงตัวออกจากรถแล้วขึ้นห้องไปทันที

     
     

    “โธ่...นายจะให้ฉันขนกระเป๋าพวกนี้คนเดียวจริงๆ เหรอตัวเล็ก?”

     
     

    ชานยอลพูดเสียงเอื่อยเมื่อแบคฮยอนเดินตัวปลิวจากไป

    แล้วทิ้งให้เขาขนกระเป๋าเดินทางลงจากรถเพียงลำพังเท่านั้น

     
     

    “ก็ถ้าตัวโตมากก็ขนไปเองสิ

    หรือถ้านายไม่อยากขนมาก็เรื่องของนาย จะเอาไปไว้ที่ไหนก็เชิญเลย...”

     
     

    แบคฮยอนหันมาเหล่มองชานยอลด้วยสายตาแล้วพูดเสียงเย็น

    เป็นครั้งแรกหลังจากการเดินทางหลายชั่วโมงที่แบคฮยอนหันมาพูดกับเขา

    แต่ชานยอลขอยอมรับว่าคำพูดนี้ไม่ได้ฟังแล้วรื่นหูหรือทำให้สบายใจเลยซักนิดเดียว...

     

    แบคฮยอนพูดจบก็เดินจากไปตัวปลิวเช่นเดิม...ปล่อยชานยอลเอาไว้ให้เผชิญกับชะตากรรม

    ที่รู้ดีว่าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจัดการกับกระเป๋าเดินทางอันหนักอึ้งด้วยตัวเองเท่านั้น

     

    เฮ้อ....

     

    ถอนหายใจออกมาเมื่อรู้สึกว่าภารกิจครั้งนี้คงจะไม่ง่ายซะแล้ว

    แบคฮยอนน่ะ ปกติแล้วไม่โกรธหรืองอนพร่ำเพรื่อ หรือแม้แต่กระทั่งทำตัวงี่เง่าเลยซักครั้ง

    แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาแสดงท่าทางเหล่านั้นออกมา นั่นแปลว่าเขากำลังถึงขีดสุดจริงๆ นั่นแหละ...

    ชานยอลกลอกตาออกมา ก่อนจะไหวไหล่เพื่อที่จะทำให้ตัวเองเลิกคิดท้อใจ

    ก่อนจะคว้าเอากระเป๋าเดินทางอันแสนหนักอึ้งของตัวเองและคนรักขึ้นไปบนอพาร์ทเม้นท์ชั้น 16 อย่างเชื่องช้า

     

     

    แบคฮยอนมาถึงห้องก่อนนานแล้ว...

    ชานยอลเดินเข้ามาวางกระเป๋าไว้ตรงห้องนั่งเล่นและเห็นว่าแบคฮยอนถอดเสื้อคลุมของเขาออกแล้ว

    คนตัวเล็กกำลังเดินไปเสียบปลั๊กเครื่องทำน้ำร้อนที่ห้องครัวเล็กๆ ของพวกเขา

    ชานยอลยกยิ้มก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปหาคนตัวเล็ก แล้วกอดเอาไว้จากด้านหลัง

    ส่วนริมฝีปากก็ไม่รอช้า ก้มลงไปจูบที่ใบหูเล็กๆ นั้นอย่างแผ่วเบาครั้งหนึ่ง

    แบคฮยอนหันขวับมามองค้อนอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะผลักอกชานยอลออกไป

     

     

    “ออกไปเลยนะ...มากอดทำไม?” แบคฮยอนถาม

     

    “ก็ฉันอยากกอดแฟนฉัน...ฉันคิดถึงนายนี่ ทำไมถึงกอดไม่ได้” ชานยอลถามพลางทำหน้ามุ่ยเมื่อคนตัวเล็กปฏิเสธตน

     

    “เพราะฉันไม่อนุญาตให้กอด

    และนายมาส่งฉันเสร็จแล้วนี่ จะไปไหนก็ไปสิ”

     

    แบคฮยอนพูดพลางยักไหล่ หากแต่เขาไม่ได้พูดเปล่า

    เขากลับเดินไปคว้าเอากระเป๋าเดินทางของชานยอลแล้วลากไปไว้ที่หน้าประตูห้องด้วย

     

    “อะไรนะ? หมายความว่าไง?”

     

    คนตัวสูงขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าคนรักของตัวยืนกอดอกอยู่ตรงประตูหน้าห้อง

    อย่างกับว่ากำลังรอให้เขาออกไปอย่างนั้นล่ะ...

     

    “ก็นายบอกว่าจะมาส่งฉัน...และฉันก็ถึงแล้วนี่ไง

    เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องของนายแล้ว อยากไปไหนก็ไปเลย ตามสบาย” แบคฮยอนพูด

     

    “เฮ้! ไม่เอาน่า...อย่าเล่นแบบนี้สิแบคฮยอน

    ฉันขอโทษจริงๆ นะแบคฮยอนอ่า...ยกโทษให้ฉันเถอะ

    อย่าทำอย่างนี้เลยนะ ไม่เอานะครับ”

     

     

    ไม่ได้แค่พูดอ้อนเปล่าๆ แต่มือไม้ของชานยอลก็เริ่มคว้าคนตัวเล็กมากอดอีกครั้งหนึ่ง

    และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่แบคฮยอนปฏิเสธเขา...

     

    “ไม่...ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้”

     

    แบคฮยอนยื่นคำขาด...คนตัวเล็กจัดการเปิดประตูแล้วลากกระเป๋าเดินทางของชานยอลออกไปไว้ที่นอกห้อง

    ชานยอลถูกผลักให้ออกจากห้องมาอย่างไร้ทางเลือก หากแต่ก่อนที่ประตูจะปิดไปเขาก็รีบยื่นมือไปคว้าเอาบานประตูไว้เพราะว่าคนตัวเล็กกว่าพยายามจะปิดมันอย่างรวดเร็ว

     

     

    “เดี๋ยว! อย่าทำอย่างนี้สิแบคฮยอน

    ไล่ฉันออกมาแล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ?? นายจะให้ฉันไปนอนข้างถนนหรือไง??”

     

    ชานยอลถามอย่างขุ่นเคืองเมื่อคนรักดันใจร้ายมากกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก

    อันความจริงแล้วชานยอลคิดว่าแบคฮยอนไม่น่าจะโกรธเขารุนแรงมากขนาดนี้

    อ่า...แต่เห็นได้ชัดว่าเขากำลังคิดผิดไป

     

    “อยากไปนอนที่ไหนก็ไปสิ! ปล่อยนะ!

     

    แบคฮยอนแหวใส่และพยายามจะปิดประตู

    ชานยอลขบกรามแล้วยื้อบานประตูไว้จนสุดแรง...และพยายามจะพูดคุยกับคนตัวเล็ก

    แต่เห็นได้ชัดว่าแบคฮยอนไม่ได้ต้องการที่จะพบเจอหน้าเขาในตอนนี้...

    หรืออันที่จริง...แบคฮยอนไม่คิดแม้แต่จะพยายามปรับความเข้าใจกับชานยอลเลยด้วยซ้ำ

    เขากำลังปฏิเสธทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับผมโดยสิ้นเชิง...ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับรักของเรา...

     

    “แบคฮยอน...ทำไมนายไม่ให้โอกาสฉันบ้าง?”

     

    “ฉันให้โอกาสนายมาตลอด..ปาร์ค ชานยอล

    แต่นายนั่นแหละที่เป็นคนเลือกที่จะปฏิเสธมัน  นายไม่ได้แม้แต่จะสนใจฉันเลยด้วยซ้ำ...

    ตลอดเวลาที่ผ่านมานั่นไม่ใช่โอกาสที่ฉันให้นายงั้นเหรอ? มันสายเกินไปไหมที่จะเรียกร้องโอกาสจากฉัน...

    ไม่สิ...แล้วเวลาทุกครั้งที่ฉันขอโอกาสจากนายล่ะ ท...ทำไมนายไม่สนใจบ้าง??

    นายมันคนเห็นแก่ตัว...เอาแต่ได้!  ม...ไม่รักไม่สนใจฉัน แล้วพอฉันจะไปก็มารั้งฉันไว้อย่างนี้น่ะเหรอ?

    มันนานเท่าไหร่แล้วชานยอล?? นานเท่าไหร่แล้ว ท...ที่นายละเลยฉัน...

    แล้วนายคิดจะให้ฉันเผชิญกับความรู้สึกพวกนั้นไปอีกนานเท่าไหร่??

    ม...มันสมควรแล้วเหรอ? สมควรเหรอที่ฉันจะยกโทษให้นายง่ายๆ??”

     

     

    แบคฮยอนร้องไห้ออกมาราวกับเขื่อนแตก...

    ผมรู้สึกเหมือนมีมีดมากรีดที่หัวใจเมื่อเขาพูดความในใจออกมาเสียยาวเหยียดและมากพอที่จะทำให้ผมจุกอึกและนิ่งเงียบ

    ผมกลืนน้ำลายลงไปในคออย่างยากลำบาก...อยากจะอธิบายหากแต่ผมพูดไม่ออก

    เห็นน้ำตาของคนตัวเล็กที่ทะลักทลายลงมาแล้วหัวใจก็บิดตัวอย่างเจ็บปวด

    หากแต่ผมกลับทำอะไรไม่ได้เลย...นอกจากยืนนิ่งเป็นใบ้กินอยู่ตรงนี้

     

    “ฉ...ฉันควรต้องทำยังไงล่ะ?

    แล้วฉันควรทำยังไงนายถึงจะยกโทษให้ฉัน?”

     

    ผมถามคำถามแสนงี่เง่าออกไป แต่นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการคำตอบ

    แบคฮยอนหัวเราะออกมาแล้วแค่นยิ้มบางๆ  เขาทำหน้าราวกับไม่เชื่อหูว่าผมจะถามคำถามนั้นกับเขา...

    ก่อนที่เขาจะกระซิบคำตอบออกมาจากปากบางๆ นั้นด้วยเสียงแผ่วเบา...

    และนั่นทำให้เรี่ยวแรงของผมที่ยื้อยุดบานประตูนั้นเอาไว้ กลับหดหายไปเสียดื้อๆ

     

    “ลองมารู้สึกสิชานยอล...ลองมาเป็นฝ่ายที่ต้องรู้สึกอย่างฉัน

    ลองเป็นฝ่ายที่ต้องรอดูบ้าง เผื่อนายจะเข้าใจว่าฉันเจ็บปวดแค่ไหน...

    ตลอดเวลาที่ฉันเป็นฝ่ายรอให้นายหันกลับมาสนใจฉัน...”

     

    แบคฮยอนกระซิบ...ก่อนที่บานประตูนั้นจะถูกปิดลงไป

    แบคฮยอนทิ้งผมไว้กับความเจ็บปวดที่เขาอยากให้ผมได้รู้สึก...

    มันเป็นช่วงเวลาเพียงแค่ชั่ววินาทีเท่านั้นที่แบคฮยอนหายวับไปจากสายตา

    หากแต่หัวใจกลับบิดตัวอย่างเจ็บปวด จนทำเอาน้ำตาเม็ดโตหลั่งรินลงมาจากดวงตาของชานยอลได้ง่ายๆ

     

    รู้สึกแล้วแบคฮยอน ฉันรู้แล้วว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน

    การเมินเฉยไม่สนใจ...กิริยาที่ดูเหมือนว่าจะไร้สิ้นแล้วซึ่งความรัก

    ผมไม่แน่ใจนักว่าจะทนมันได้นานแค่ไหน...ผมไม่แน่ใจว่าผมจะตายไปก่อนที่แบคฮยอนจะยกโทษให้หรือเปล่า

     

    .
    .


    เพราะแค่วินาทีเดียว หัวใจก็กระอักกับความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจจนแทบปางตายอย่างนี้...

     

     
     

    *********

     

     

    “จะบ้าตาย...นี่บ้านกูไม่ได้เป็นสถานสงเคราะห์คนโดนเมียทิ้งนะ”

     

    ไอ้จงอินกลอกตาแล้วบ่นออกมาทันทีที่เห็นผมยืนอยู่ที่หน้าประตูพร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางใบใหญ่

    ผมออกจะแปลกใจนิดหน่อยที่มันพูดแบบนั้น

    หากแต่เมื่อเห็นว่าจงแดกำลังนั่งซดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ตรงโซฟาแล้วก็ร้องอ๋อทันที

    ดูจากสภาพแล้วก็คงไม่ได้แตกต่างอะไรจากผมมากนัก...  อ่า...พวกผมนี่มันน่าสงสาร

     

    “เออ...กูขอรบกวนไม่นานหรอก”

     

    ผมบอกมันไปก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านทันทีอย่างถือวิสาสะ

    ภาวนาในใจอย่างที่ได้บอกกับไอ้จงอินมันไป...เพราะผมเองก็ไม่ได้อยากรบกวนเพื่อนมากมายนัก

    และที่แน่ๆ ผมเองก็ไม่อยากให้ระหว่างผมกับแบคฮยอนนั้นห่างเหินกันนานเกินไป

     

    .

    .

     

    เพราะผมไม่แน่ใจนัก...ว่าถ้าหากเราสองคนปล่อยให้เรื่องนี้มันยืดเยื้อออกไป

    หัวใจของแบคฮยอนจะเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า

     

     

    *********

     

     

    “โอ้ยยย พวกพี่นี่มันงี่เง่ามากๆ! ไม่ได้ดั่งใจเลย!!

     

    คยองซูบ่นออกมาอย่างขัดใจเมื่อได้ฟังที่ผมเล่าจบ

    ผม ไอ้จงแด และคยองซูกำลังพูดคุยกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร และมีถ้วยไอศกรีมถ้วยใหญ่วางอยู่ที่กลางโต๊ะ

    ไอ้จงอินไม่ได้เข้าร่วมวงสนทนาด้วยเพราะว่ามีงานที่ต้องไปเคลียร์ เลยมีแค่เราสามคนเท่านั้นที่นั่งกันอยู่ตรงนี้

     

    “มึงแม่งโง่มากไอ้ยอล วาร์ปกลับจุดเซฟเลยไปไอ้เพื่อนเลว!

    แม่งเรื่องใหญ่ขนาดนี้แทนที่จะบอกไอ้แบคให้ช่วยกัน

    จะปิดไว้คนเดียวหาอากงมึงเหรอ? ถ้ากูเป็นไอ้แบคนะ...กูจะไม่ทน!!

    กูแม่งจะขอเลิกกับมึงตั้งแต่ปีที่แล้วเลย...ไม่ต้องรอให้ถึงตอนนี้หรอก”

     

    ไอ้จงแดหรี่ตาแล้วพูดซ้ำเติมผมให้ได้เจ็บจี๊ดในหัวใจซะจริง

    หากแต่ไม่ต้องโต้กลับให้เสียปาก เพราะน้องคยองซูจัดการด่าแทนผมไปเรียบร้อยแล้ว

     

    “ยังจะกล้าด่าเพื่อนอีกเหรอครับพี่จงแด!

    พี่ก็ตัวดีเลย ทิ้งพี่มินซอกไว้เหมือนกันยังจะกล้าว่าพี่ชานยอลอีกเหรอ?

    พวกพี่นี่อะไรกันเนี่ย! ทำแต่งานไม่สนใจแฟนเลย พวกพี่จะแต่งกับงานเหรอ?

    จงอินก็เหมือนกัน...เอาแต่ทำงานอยู่ได้ ไม่เห็นจะสนใจคยองเลย”

     

    ผมมองน้องเขาเบ้หน้าแล้วกอดอกอย่างขัดใจเมื่อบอกออกมาอย่างนั้น

    จงแดกลอกตาแล้วโต้กลับไปทันที...ทั้งๆ ที่ผมและมันก็รู้ดีว่าตัวเองผิดเต็มประตูอยู่แล้ว

     

    “นายหงุดหงิดใส่พวกฉันเพราะว่าไอ้จงอินก็ไม่สนใจนายใช่ไหมล่ะไอ้เด็กแก่แดด!

    ไม่พอใจอะไรก็ไปบอกมันสิ...มาเหวี่ยงใส่ฉันไอ้จงอินมันก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยหรอกนะ”

     

    ไอ้จงแดไหวไหล่ก่อนจะตักไอศกรีมเข้าปาก...เป็นที่รู้กันดีมาตั้งแต่สมัยเรียน ว่าไอ้จงแดชอบกินไอศกรีมมากขนาดไหน

    พวกผมพากันมารวมตัวอยู่ตรงนี้ได้เพราะว่าไอ้จงแดเรียกให้มากินไอศกรีมเป็นเพื่อนนั่นแหละ

    ตอนแรกกะจะปฏิเสธเพราะผมรู้สึกเพลียพอสมควรจากการเดินทางและเพราะว่าร้องไห้ไปหนักพอสมควร

    แต่คิดไปคิดมาแล้วมันก็คงจะดีเหมือนกันถ้าผมได้ปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อนๆ บ้าง

    แม้ว่าไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่ามันจะช่วยให้ดีขึ้นได้...

    แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องแบกรับมันไว้คนเดียวเหมือนที่คิดว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น

     

    “เฮ้อ...ช่างเถอะครับ ว่าแต่พวกพี่วางแผนว่าจะทำยังไงล่ะเนี่ย?

    คยองว่าถ้าปล่อยไว้นานมันจะแย่เอานะครับ!

     

    น้องเขาพูดอย่างร้อนใจ ดวงตากลมโตนั้นกลอกไปกลอกมาวุ่นไปหมด

    ผมถอนหายใจออกมาเมื่อตอนนี้ไอ้จงแดก็เงียบกริบไปแล้วเมื่อเจอคำถามนี้

    มันเลือกที่จะตักไอศกรีมเข้าปากไปและปฏิเสธที่จะตอบ...

     

     

    “ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน...

    ก็กะว่าจะมาตั้งหลักก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยหาวิธีง้อแบคฮยอนดูใหม่”

     

    ผมบอกไปในขณะที่ตักไอศกรีมขึ้นมาเข้าปาก

    แทบจะไม่ได้รับรู้ถึงรสชาติเลยซักนิด...แต่โชคยังดีที่กลิ่นหอมหวานนั้นยังทำให้ใจเย็นลงได้

     

    “อืม...กูคิดว่าตื๊อไปบ่อยๆ เดี๋ยวก็ใจอ่อนเอง

    แต่กูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันอ่ะนะว่าแบคฮยอนจะใจแข็งขนาดไหน

    สำหรับมินซอกน่ะ กูพอจะจับทางได้อยู่หรอก...ง้อเยอะๆ เดี๋ยวก็คงหาย

    แต่ไอ้แบคฮยอนนี่สิ กูเห็นมันโกรธแต่ละทีนี่ ง้อสิบปีไม่รู้จะหายโกรธไหม...”

     

    จงแดเบะปากออกมาในระหว่างที่พูด...

    ผมไม่รู้จะด่ามันเป็นภาษาอะไรดีที่ดันมาเพิ่มความเครียดให้มากขึ้นไปอีก

     

    “แต่ยังไงก็น่าจะโผล่หน้าไปง้อนะครับ...คยองว่าพี่แบคฮยอนก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นหรอก

    ถ้าพี่ชานยอลจริงใจที่จะขอให้พี่แบคฮยอนยกโทษให้ คยองว่าพี่แบคฮยอนต้องรับรู้ได้

    เพราะงั้นอย่าเพิ่งคิดมากนะครับ...สู้ๆ นะครับ”

     

    คยองซูพูดปลอบใจพร้อมๆ กับที่ส่งมือเล็กๆ ของเขามาจับที่ต้นแขนของผมด้วย

    รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยเมื่อได้ฟังเหตุผลของน้องเขา...ใช่แล้วล่ะ เขาต้องรู้สิว่าผมรู้สึกผิดกับเรื่องนี้ขนาดไหน

     

    “อืม...ขอบใจมากนะคยองซูอ่า”

     

    ผมยกมือขึ้นขยี้ผมน้องเขาเป็นเชิงขอบคุณ

    ก่อนที่เราสามคนจะตัดสินใจจัดการไอศกรีมตรงหน้าให้หมด

    และเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นอย่างเช่นสภาพดินฟ้าอากาศในวันพรุ่งนี้

    ผมยกยิ้มออกมาเมื่อเราสามคนพูดคุยและเล่นมุกตลกด้วยกัน แต่ในใจก็ยังกังวลอยู่ไม่หาย

    ผมแน่ใจว่าไอ้จงแดก็กังวล หากแต่เราตัดสินใจที่จะไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก

    เสตามองออกไปนอกหน้าต่างแล้วยกยิ้มเจื่อนให้กับความมืดมิดภายนอกนั้น

    คิดในใจอย่างเป็นกังวลกับตัวเอง...ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะเดินเข้าไปบอกกับแบคฮยอนต่อหน้าเลยด้วยซ้ำ

    นายจะรับรู้มันใช่ไหมแบคฮยอนอ่า...

     

    .

    .

    .

    ช่วยรับรู้มันหน่อยเถอะนะ คำขอโทษจากฉัน








    48.4627%







    ผมออกมาจากบ้านของไอ้จงอินมาแต่เช้าเพื่อมาที่อพาร์ทเม้นท์ของผมและแบคฮยอน

    อ่า...แต่ตอนนี้ผมกลับผมว่าที่นี่กลายเป็นอพาร์ทเม้นท์ของแบคฮยอนไปซะแล้ว

    เพราะเขาดันเปลี่ยนรหัสปลดล๊อคที่หน้าประตูใหม่ และนั่นทำให้ผมต้องยืนเป็นไอ้โง่อยู่ตรงนี้เกือบๆ จะครึ่งชั่วโมงแล้ว

     
     

    พยายามจะค้นหารหัสปลดล๊อคอยู่หลายรอบจนเริ่มจะท้อแล้ว

    ลองกลับไปกลับมาหลายตลบ ไม่ว่าจะวันเกิดแบคฮยอน วันเกิดตัวเอง เลขบัตรประชาชน รหัสประจำตัวนักเรียนนักศึกษา

    บ้าชิบหาย...ไม่มีอันไหนที่จะสามารถปลดล๊อคประตูได้เลย...

     
     

    ชานยอลกัดริมฝีปาก รู้สึกน้อยใจชะมัด

    เพราะว่าเสียงสัญญาณที่เตือนว่ารหัสผิดน่ะมันดังพอจะปลุกคนทั้งตึกให้ตื่นขึ้นมาได้เลย

    เขารู้ดีว่าแบคฮยอนตื่นแล้ว แต่เขาก็ยังใจแข็งไม่ยอมให้ผมเปิดเข้าไปซักที

    ผมถอนหายใจออกมายาวเหยียดและพยายามจะคิดให้ออกว่ารหัสน่าจะเป็นอะไร

    เขาชอบอะไรนะ...หรือเขากำลังคิดอะไรอยู่ที่พอจะเอามาตั้งเป็นรหัสได้โดยที่เขาจะไม่ลืม...

     
     

    อ่า...ไม่จริงน่า...ไม่น่าจะใช่หรอกมั้ง...

     
     

    ผมกัดริมฝีปากพลางขมวดคิ้วเมื่อพอจะคิดอะไรขึ้นมาได้

    รีบคว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโปรแกรมอินเตอร์เน็ตและค้นหาข้อมูลที่คิดอยู่ในใจ

    ผมคงเหลือเชื่อมากๆ ถ้าแบคฮยอนจะเอามาตั้งเป็นรหัสผ่านประตูจริงๆ...

    แต่เมื่อผมได้คำตอบจากข้อมูลที่ค้นได้ แล้วลองกดรหัสเข้าไปตามนั้น

     

    ‘090389’

     

    และ โอ...ให้ตายเหอะ...  บยอนแบคฮยอนช่างเหลือเชื่อจริงๆ

    เขาเอาวันเกิดของ คิม แทยอน มาตั้งเป็นรหัสผ่านประตูห้อง!!!

     

    แบคฮยอนเป็นแฟนคลับตัวยงของสาวๆ วง Girls’ Generetion และเขาชื่นชอบแทยอนมากเป็นพิเศษ

    ช่วงก่อนนั้นตอนที่ยังเป็นนักนักเรียนก็ยิ่งบ้า ถึงขั้นว่าทุกงานเขาต้องตามไปติ่ง ขอให้ได้เห็นได้มองก็ยังดี...

    โชคดีว่าตอนนี้เขาเริ่มลดน้อยลงไปบ้างแล้วนะ แต่ทุกครั้งเวลาที่เปิดยูทูปเขาก็มักจะเข้าไปติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ดี

     

    ผมกลอกตาเมื่อผลักประตูให้เปิดออกแล้วเดินเข้าไป

    มองเห็นแบคฮยอนกำลังนั่งพิมพ์อะไรซักอย่างอยู่ที่โซฟาและหันมามองผมอย่างเอือมระอา

    ผมไม่รอช้า รีบเดินเข้าไปแล้วโวยวายกับเขาทันที

     

    “แบคฮยอน...นายเป็นบ้าอะไรทำไมต้องเปลี่ยนรหัสด้วย?

    แล้วรหัสใหม่นี่อะไรของนายเนี่ย แทนที่จะตั้งให้ฉันเดาออกง่ายๆหน่อย

    ถ้าฉันไม่ได้นึกถึงแม่สาวคนนั้นแล้วฉันจะได้เข้าห้องไหม??”

     

    “มาทำไม...อย่าคิดว่าหารหัสใหม่เข้ามาได้แล้วฉันจะยอมให้นายอยู่ที่นี่นะ

    มาทางไหนก็กลับไปเลย...ไม่มีธุระอะไรก็อย่ามาวุ่นวาย ฉันจะทำงาน”

     

    แบคฮยอนไม่ตอบคำถามของผมหากแต่หันขวับมามองผมด้วยสายตาขุ่นเคืองเหมือนเดิม

    แถมยังออกปากไล่แบบไม่ไยดีอีกต่างหาก ซึ่งเหมือนกับที่ผมคิดเอาไว้อยู่แล้วเป๊ะเลย

     

     

    “แต่ฉันมีธุระ...ที่นี่

    ช่ายย ฉันมีธุระที่นี่ล่ะ เพราะงั้นไม่ไป

    และฉันก็จะทำธุระให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกลับ”

     

     

    ผมตอบเขาไปพลางยกยิ้มออกมาบางๆ

    เดินไปนั่งข้างๆ แบคฮยอนที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาแล้วเหวี่ยงแขนไปโอบรอบคนตัวเล็กเอาไว้

     

    “ธุระอะไรของนาย ปล่อยฉันเลย อย่ามาทำเนียนนะ”

     

    แบคฮยอนพยายามผลักผมออกในขณะที่พูด

    แต่ไม่มีทางอ่ะ บทที่ผมจะดื้อผมก็ไม่แพ้เขาหรอกนะ

    ผู้ชายตระกูลปาร์คน่ะถ้าตั้งใจจะได้อะไรก็ต้องได้นะจะบอกให้!

     

    “ธุระของฉันก็นายไง...

    ฉันมีธุระต้องมากินข้าวกับนาย อยู่กับนายจนกว่านายจะหายโกรธฉัน” ผมบอกเขาไปพร้อมยกยิ้มยียวนส่งให้เขา

     

    “เหอะ...อย่าคิดว่าจะง่ายขนาดนั้นเลยปาร์คชานยอล

    กลับไปเลยนะ ฉันต้องทำงาน ฉันไม่ว่างมาทะเลาะกับนาย”

     

    “ไม่กลับ...ถ้าอยากทำงานก็ทำไป

    ฉันรอได้และยืนยันว่าจะรอแม้ว่านายจะขับไสไล่ส่งฉันก็ตามเถอะ” ผมบอกกับเขา

     

     

    “................................”

     

     

     

    “ฉันจะรอตราบเท่าที่นายอยากให้ฉันรอ...” ก่อนจะพูดต่อเมื่อแบคฮยอนเงียบไป

     

     

    “แล้วถ้าฉันไม่ให้ล่ะ...นายจะทำยังไงถ้าฉันไม่ยอม?” แบคฮยอนถาม

     

     

    “นายก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าฉันจะตอบว่ายังไง...”  

     

     

    ผมบอกเขาไปพลางมองเข้าไปในตาของแบคฮยอนอย่างแน่วแน่

    เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราในชั่วครู่หนึ่ง...หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อได้มองหน้าแบคฮยอนในระยะประชิด

    คิดถึง...ไม่ได้กอดเขามาหลายวัน ไม่ได้ทำแม้กระทั่งจูบหรือบอกรักเขา...

    ผมค่อยๆ โน้มหน้าเข้าไปใกล้ เมื่อเสียงเรียกร้องในใจสั่งให้ผมจูบเขาซะเดี๋ยวนั้น

    แบคฮยอนไม่ได้มีท่าทีขัดขืนเมื่อใบหน้าของเราถูกเลื่อนมาห่างกันเพียงแค่คืบ

    หากแต่ในวินาทีต่อมา...แบคฮยอนก็หันสายตาไปทางอื่นแล้วผละตัวออกจากอ้อมกอดของผม

     

    “ง...งั้นอยากจะอยู่ก็อยู่ไป แต่อย่าทำตัวรุ่มร่าม

    และช่วยอยู่เงียบๆ ด้วย อย่ากวนฉันตอนทำงานเข้าใจไหม?

    ถ้านายทำเสียงดังแม้แต่นิดเดียวล่ะก็...ฉันเตะนายออกจากห้องแน่ปาร์คชานยอล”

     

    แบคฮยอนผลักผมให้ถอยห่างจากเขา ก่อนจะยกนิ้วขึ้นชี้หน้าและกำชับในสิ่งที่ผมต้องทำ

    แต่แค่นั้นก็พอแล้ว...แค่เขาไม่ไล่ให้ผมไปที่ไหนอีกผมก็พอใจแล้ว

    ผมยิ้มให้เขาแล้วถอยออกมานั่งมองเขาห่างๆ

    อยู่เงียบๆ อย่างที่เขาได้สั่งเอาไว้ไม่ทำอะไรนอกจากมองเขาเท่านั้น

    ผมหัวเราะออกมาบ้างเมื่อเห็นว่าแบคฮยอนดูจะประสาทเล็กน้อยกับสายตาที่ผมมองเขา

    ผมหยิบเอานิตยสารดนตรีเล่มใหม่ที่ถูกส่งมาที่บ้านขึ้นมาเปิดอ่าน

    บรรยากาศระหว่างเราสองคนมีแต่ความเงียบ...หากแต่ตอนนี้กลับไม่ได้อึดอัดอีกแล้ว

    ยกยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองคนตัวเล็กที่กำลังแก้ไขข้อมูลบางอย่างในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คอีกครั้ง

    ก่อนจะนึกถึงประโยคหนึ่งที่กำลังดังก้องอยู่ในใจแต่ไม่สามารถพูดออกไปได้...

     

    .

    .

    .

     

    ขอแค่ไม่ผลักไสก็พอ...ขอให้ฉันได้มองอยู่ตรงนี้ก็พอแล้วนะ แบคฮยอนของฉัน...

     

     


     

    *********



     

     

    แบคฮยอนโคลงศีรษะไปมาเมื่อรู้สึกว่าอาการปวดเมื่อยเริ่มเล่นงานเขาขึ้นมาเสียดื้อๆ

    ปิดฝาพับหน้าจอโน๊ตบุ๊คเครื่องบางของตนแล้วผ่อนคลายตัวเองอย่างช้าๆ

    หันไปมองคนที่เอาแต่คอยกวนใจมาตั้งแต่เช้าและก็พบว่าคนตัวสูงนั้นหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

    ชานยอลนั่งอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของโซฟา ศีรษะเอียงไปในองศาที่ดูแล้วไม่น่าจะนอนสบายนัก

    คนตัวเล็กถอนหายใจออกมาเมื่อได้กลับมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

    รับรู้ว่าตัวเองน่ะใจแข็งได้ไม่นานหรอก แต่ก็ยังอยากจะให้บทเรียนกับชานยอลอีกซักหน่อย

     

    รู้สึกว่าเจ็บใจชะมัด ที่เผลอใจอ่อนให้ชานยอลไปแล้วตั้งแต่ที่เขาบอกว่าจะรอแม้ว่าแบคฮยอนจะขับไล่

    เอาจริงๆ แล้วก็ยอมยกโทษให้ไปแล้วตั้งแต่เห็นหน้าเขาเดินเข้ามาในห้องเมื่อเช้าแล้วล่ะ...

    ไม่คิดด้วยซ้ำว่าชานยอลจะคิดออกว่าเป็นรหัสนี้...คิดไม่ถึงว่าชานยอลจะยังจำได้ว่าเขาชอบนักร้องสาวคนนี้

    ทั้งๆที่คิดไว้แล้วว่ายังไงชานยอลก็ไม่รู้แน่ๆ แต่กลับมาพ่ายแพ้เพราะว่าเขาดันรู้ทันตัวเองเสียได้

    ทั้งๆ ที่ทำเป็นไม่สนใจเลยแท้ๆ...แต่ทำไมถึงยังจำได้ล่ะว่าเขารักอะไรชอบอะไร...

     

    มาทำอย่างนี้น่ะ...ฉันใจอ่อนนะรู้ไหมปาร์คชานยอล...

     

    แบคฮยอนหันสายตาขึ้นไปมองที่นาฬิกาแขวนบนผนังแล้วก็พบว่าตอนนี้ก็เกือบสองทุ่มเข้าไปแล้ว

    เพิ่งมารู้สึกตัวว่ายังไม่ได้กินข้าวเย็นเพราะเอาแต่ทำงาน และชานยอลก็หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้

    ตอนกลางวันถ้าไม่ได้ชานยอลลงไปซื้ออาหารขึ้นมาวางเอาไว้ให้ตรงหน้าล่ะก็คงลืมไปเหมือนกันล่ะมั้ง

    แบคฮยอนกัดริมฝีปากอย่างชั่งใจ...รู้สึกว่าตัวเองท้องกิ่วขึ้นมาเมื่อไม่ได้มีงานวางอยู่ตรงหน้า

    ตัดสินใจเดินเข้าไปตรงหน้าคนตัวสูงที่กำลังนอนคอพับคออ่อนอยู่ที่ริมโซฟาอีกด้านหนึ่ง

    ก่อนจะยกนิ้วจิ้มๆ ที่หัวไหล่ของเขาเบาๆ สองสามทีเพื่อปลุกให้ตื่น...

     

     

    “หืม...อา...ว่าไงแบคฮยอน? มีอะไรเหรอ??” ชานยอลถามอย่างงัวเงียเมื่อในที่สุดเขาก็ตื่นขึ้นมาได้

     

     

    ยังจะมีหน้ามาถามอีกว่ามีอะไร...เมื่อไหร่จะกลับไปเสียที

     

     

    แบคฮยอนคิดในใจหากแต่ไม่ได้พูดมันออกมา

    ใจจริงก็อยากจะพูดอยู่หรอก แต่กลับคิดว่าไม่เข้าท่าที่จะพูดออกไปซะอย่างนั้น

    เม้มริมฝีปากจนบางเฉียบเป็นเส้นตรงเพื่อบ่งบอกอารมณ์กับคนตัวสูงว่ายังไม่ยกโทษให้หรอกนะ

    แต่คำพูดที่ออกจากปากน่ะ...มันช่างสวนทางกับการกระทำซะจริงๆ...

     

     

    “คนงี่เง่า... ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว 

    ทำไมนายไม่พาฉันออกไปหาอะไรกินล่ะ?”

     
     

     

    *********

     

     

    หลังจากที่ชานยอลพาผมออกไปกินข้าว...เขาก็กลับมาส่งผมที่อพาร์ทเม้นท์ตามเดิม

    และเขาก็ขอลากลับไปเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะเข้านอนแล้ว...

    ผมรู้สึกดีใจที่ชานยอลเข้าใจอะไรๆ ได้มากขึ้น และรู้ว่าผมต้องการอะไรแม้ว่าจะไม่ต้องบอก

    เราคุยกันแทบจะนับคำได้...อันความจริงชานยอลก็พูดเยอะแยะอยู่พอสมควรจากการพยายามที่จะทำให้ผมพูดกับเขา

    แต่ผมแทบจะไม่ได้ตอบคำถามของเขาเลย...หรือถ้าตอบก็จะเป็นแค่คำพูดตอบรับสั้นๆ

    อย่าง ”ใช่” หรือ ”ไม่” แล้วก็เงียบเท่านั้น

     

    จนสุดท้ายแล้วชานยอลก็เลือกที่จะเงียบไป...ไม่ถามอะไรจุกจิกจู้จี้อีก

    นอกจากนานๆ ครั้งที่ถามหรือพูดอะไรที่จำเป็นเท่านั้น

    จนสุดท้ายแล้วเขาก็มาส่งผมที่อพาร์ทเม้นท์...รอให้ผมได้อาบน้ำและทำอะไรอีกเล็กน้อยแล้วก็ลากลับไป

     

    ผมรู้สึกดีที่เขาคอยตามใจไม่ห่าง...แต่ก็ไม่ชอบใจเท่าไหร่นักที่เขาต้องลางานมาทำอะไรอย่างนี้

    น่าตลกดีเหมือนกัน...ทั้งๆ ที่เวลาของเขาคือสิ่งที่ผมเรียกร้องแท้ๆ

    แต่พอเขากลับมาอยู่กับผมเข้าจริงๆ ผมกลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ชานยอลที่ผมต้องการให้เป็น

    กลัว...ผมกลัวว่าถ้าหากตัวเองใจอ่อนยอมยกโทษให้ แล้วชานยอลจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

    เอาแต่สนใจงานการของเขา และลืมสนใจว่าผมยังคงอยู่ตรงนี้...

     

    ทำให้ฉันมั่นใจที ปาร์ค ชานยอล...

    ทำให้ฉันแน่ใจหน่อยว่าสำหรับนายแล้วฉันยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญ...

     

    .

    .

    ทำให้ฉันได้มั่นใจหน่อยได้ไหม...ว่าถึงแม้จะนานเท่าไหร่ ฉันก็ยังจะมีนายอยู่ข้างๆ กันแบบนี้...

     

     

    *********

     
     

    เวลาผ่านไปเป็นอาทิตย์...แต่ปาร์คชานยอลก็ยังคงมาหาผมเป็นประจำทุกวันไม่ได้ขาด

    เขามักจะเข้ามาหาผมตอนแปดโมงครึ่ง

    ช่วยทำความสะอาด ทำอาหารกลางวันให้กินหรือไม่ก็พาออกไปหาซื้ออะไรกินบ้าง

    นอกนั้นก็นั่งเล่นเกมส์ หรือไม่ก็แต่งเพลงเพื่อเตรียมอัลบั้มใหม่ให้ศิลปินที่เขาดูแลอยู่

    ตอนเย็นก็มักจะพาผมออกไปทานอาหารหรือไม่ก็ออกไปมินิมาร์ทเพื่อซื้อของมาทำกินด้วยกัน

     

    อย่างเช่นวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ชานยอลมาที่นี่...

    และจมอยู่กับกองกระดาษโน้ตและมือที่เอาแต่กดคีย์บอร์ดที่ถูกเสียบสายหูฟังเอาไว้

    ในขณะที่ผมเองก็วุ่นวายอยู่กับตัวเลขในคอมพิวเตอร์ไม่ได้ห่าง

     

    มีบางครั้งที่ชานยอลจะยกน้ำส้มหรือกาแฟมายื่นให้ผมบ้างในขณะที่เขาพักจากงานของเขา

    แค่เอามาวางไว้ตรงหน้า หรือไม่ก็ดื่มเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ แต่เราแทบจะไม่ได้พูดกันมากเท่าไหร่

    ผมคุยกับเขามากขึ้น...แต่ก็เฉพาะแค่เรื่องที่สำคัญๆ เท่านั้น

    แต่บทสนทนาจำพวกเรียกเสียงหัวเราะน่ะ...แทบจะไม่ออกจากปากเราสองคนเลยในอาทิตย์ที่ผ่านมา

     

    แต่มันไม่ได้ทำให้ผมอึดอัดหรอกนะ ผมรู้สึกดีด้วยซ้ำที่มันเป็นอย่างนี้...

    เพราะแค่เขายังอยู่ตรงนี้...แค่เขายังดูแลผมแบบนี้

    แม้ไม่ต้องพูดอะไรต่อกันซักคำ...แต่ผมก็ยังอบอุ่นในหัวใจ

    ขอแค่เขายังคงอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน แค่นั้นก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมยินดีจะแลกทุกอย่าง

    ....เพียงเพื่อขอให้ชานยอลได้นั่งอยู่ข้างๆ ผมแบบนี้...

     

     

    หากแต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้เป็นไปตามที่ผมปรารถนาทุกอย่าง...

    บางเรื่องที่เรายิ่งหนีมันมากเท่าไหร่...ผมกลับพบว่ามันเป็นเรื่องที่เราต้องเผชิญหน้ากับมันมากเท่านั้น

    เสียงโทรศัพท์ของชานยอลดังขึ้นมาจนได้ เขาถอดเฮดโฟนที่กำลังสวมอยู่และดินสอที่กำลังถือนั้นลงกับคีย์บอร์ดไฟฟ้า

    แล้วหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมามองที่หน้าจอแล้วกดรับ...

    ใบหน้าของเขาเคร่งเครียด และบทสนทนากับปลายสายก็เป็นสถานการณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

     

    “ให้คุณจางจัดการไม่ได้หรือครับ? ผมคิดว่าผมขอลาหยุดได้จนถึงวันที่ 24 เสียอีก

    ผมรู้ครับว่ามันอยู่ภายใต้การดูแลของผม แต่ตอนนี้ผมไม่สะดวกที่จะไปที่บริษัท”

     

    ผมเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เมื่อได้ยินบทสนทนาของเขา...

    ชานยอลขมวดคิ้วอย่างหนักใจ เขาเดินไปเดินมาไม่ได้หยุดเลยระหว่างที่คุยกับโทรศัพท์สายนั้น

     

    “ครับ...แล้วยังไงผมจะเข้าไปจัดการให้เร็วที่สุด แต่คงไม่ใช่วันนี้ ครับ...สวัสดีครับ”

     

    ชานยอลวางสายไปแล้ว...สีหน้าของเขายังคงเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

    ชานยอลดูจะหัวเสีย เขาหันรีหันขวางจนกระทั่งหันมาเห็นว่าผมมองเขาอยู่ตรงนี้

    เขาถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะสาวเท้ากลับไปนั่งอยู่ที่คีย์บอร์ดไฟฟ้าของเขาอีกครั้งแล้วเริ่มสวมหูฟังอีกหน

    ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามแต่งเพลงอีกครั้ง แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถทำได้ในเมื่อสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้

     

    ผมเดินเข้าไปถอดหูฟังของเขาออก...ปาร์คชานยอลเงยหน้าขึ้นมามองอย่างไม่เข้าใจ

     

    “ทำไมเหรอตัวเล็ก? นายหิวเหรอ?

    หรืออยากจะให้ฉันทำอะไรหืม?”

     

    ชานยอลเงยหน้าขึ้นมองผมแล้วยกยิ้มให้ทั้งๆ ที่หัวคิ้วของเขายังผูกเป็นปมอยู่เลย

    ผมถอนหายใจออกมาแล้วเริ่มพูดคุยกับเขา...

     

     

    “ที่บริษัทโทรมาตามใช่ไหม...ทำไมไม่ไปล่ะ?” ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

     

    “ไม่เอาหรอก...ฉันอยู่ในช่วงลาพักร้อนน่ะ

    ถ้าเขาจะมีปัญหาอะไรก็ปล่อยให้เขาแก้กันไปเองสิ ไม่มีฉันซักคน บริษัทก็คงไม่เจ๊งหรอก

    อา...เราออกไปหาอะไรกินกันไหมตัวเล็ก ฉันเบื่อจังเลย...ออกไปกินอะไรอร่อยๆ กันเถอะ”

     

    ชานยอลพูดด้วยน้ำเสียงติดจะอารมณ์เสียเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยิ้มให้ผมตามเดิม

    แถมไม่วายยังยื่นมือมาจับมือของผมไปกุมไว้เสียอีกแหน่ะ...

     

    “ไม่ไปจะไม่เป็นไรเหรอ? เดี๋ยวเขาก็ไล่ออกหรอก...”

     

    ผมไม่ตอบชานยอลหากแต่ถามเขากลับอีกครั้ง

    และคำถามนี้ก็ทำเอาชานยอลเจื่อนยิ้มลงไปได้เล็กน้อย...

     

    “อยากไล่ก็ไล่สิ...ฉันหางานใหม่ก็ได้”

     

    “แล้วที่ทำงานหนักมาเป็นปีนี่เพื่ออะไร?

    เพื่อที่จะยอมให้เขาไล่นายออกง่ายๆ อย่างงั้นอ่ะเหรอ?”

     

    ชานยอลไม่ได้ยิ้มอีกแล้ว...เขาขมวดคิ้วมุ่นและสีหน้าก็เต็มไปด้วยความกังวล

    ผมกัดริมฝีปากอย่างเจ็บปวด เมื่อเห็นชานยอลมีท่าทีลังเลอย่างเห็นได้ชัด

    ก่อนที่รู้สึกว่าน้ำตาของผมนั้นเกือบจะไหลลงมาเมื่อเขากระซิบตอบคำถามที่ผมไม่เคยคิดว่าเขาจะกล้าพูด...

     

    “นายต้องการอะไรที่สุดล่ะแบคฮยอน...บอกมาสิว่านายยังต้องการฉันอยู่ไหม?

    นี่ไง...ฉันเพียงแค่อยากจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่าฉันพร้อมจะทิ้งทุกอย่างเพื่อสิ่งที่นายต้องการ

    มันเจ็บปวด ใช่...ฉันรู้ว่าฉันทุ่มเทกับมันมามากเกินจะถอยหลังกลับ

    แต่ถ้าการที่ฉันทำทุกๆ อย่างแล้วนายจะเจ็บปวดเพราะมัน...ฉันจะไม่ทำ

    ...ฉันจะทิ้งทุกอย่างเอาไว้ แล้วเลือกแค่นายเท่านั้น

     

     

    ชานยอลบีบมือของผมเบาๆ เมื่อเขาพูดกับผมอย่างนั้น

    และหัวใจผมกลับบีบรัดอย่างเจ็บปวดเมื่อได้รับรู้ว่าผมกำลังทำร้ายเขา...

     

    ผมไม่แน่ใจนักว่าผมกำลังทำอะไรอยู่...ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วระหว่างเราสองคน ใครกันแน่ที่เป็นคนผิดหรือเห็นแก่ตัว

    แต่บางทีคำตอบนี้มันอาจจะไม่ต้องการหาคำตอบก็ได้

    มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะค้นหาต้นตอของความผิดแล้วพูดถึงมันซ้ำๆ ซากๆ

    ผมเอาแต่ถามตัวเอง  ว่าทำไมนะทำไม?...ทำไมเราสองคนถึงกลายมาเป็นอย่างนี้ได้

    ทำไมเขาถึงไม่สนใจ? ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปไม่เหมือนเมื่อก่อน?

    แต่ผมไม่เคยถามตัวเองเลยว่าแท้จริงแล้วควรจะทำยังไง...

    ผมและชานยอลควรจะทำยังไงให้เราสองคนได้กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง

     

    ผมยึดเอาคอเสื้อของชานยอลไว้แล้วโน้มตัวลงไปจูบชานยอลที่ริมฝีปาก

    มอบจูบให้กับเขาหลังจากที่เราไม่ได้แตะต้องตัวกันเลยตลอดระยะเวลาเกือบสองอาทิตย์ที่ผ่านมา

    ชานยอลหลับตาพริ้มเมื่อผมและเขามอบสัมผัสผ่านทางริมฝีปาก

    เขาลุกขึ้นมากอดผมเอาไว้ เขาดูดเม้มริมฝีปากของผมราวกับจะบอกผ่านความคิดถึงลงไปในรสจูบนั้น

    ผมผละออกมาเมื่อเราสองคนเริ่มขาดอากาศหายใจ ชานยอลกอดผมไว้แน่นราวกับกลัวว่าผมจะหนีไปจากเขา

     
     

    “ฉันยังต้องการนายเสมอ...แต่สิ่งที่ฉันไม่ต้องการคือการเป็นตัวถ่วงนายแบบนี้

    อย่าเป็นแบบนี้เพราะฉันเลยนะ ฉันไม่ได้ต้องการให้นายมีทุกอย่าง

    แต่ฉันเองก็ไม่อยากให้นายเสียอะไรไปเลยซักอย่าง...

    เพราะงั้นก็ไปเถอะ และทำให้มันดีที่สุด...ฉันไม่เป็นไร ฉันสัญญาว่าจะไม่โกรธ”

     
     

    บอกกับคนตัวสูงไปพร้อมทั้งยกยิ้มบางๆ ส่งให้กับเขา

    ชานยอลทำสีหน้าราวกับไม่แน่ใจนักในสิ่งที่ผมกำลังพูด

    เขาเลยถามย้ำเพื่อความแน่ใจกับผมอีกหนหนึ่ง...

     
     

    “แน่ใจเหรอว่าจะอยากจะให้ฉันทำแบบนี้...”

     
     

    ชานยอลกระซิบถาม ผมหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อเขายังคงทำสีหน้าขึงขังและจริงจังจนไม่เข้าเรื่อง

    ผมซบหน้าลงกับบ่าหนาของชานยอลและกอดเขาให้แน่นขึ้น...

    สูดหายใจลึกเมื่อตัดสินใจแล้วว่าควรจะทำยังไงให้เรื่องนี้เป็นไปอย่างดีที่สุด...

     
     

    “แน่ใจสิ...ไปเถอะนะชานยอลอ่า ถือว่าทำเพื่อฉันอีกครั้ง

    และนายบอกฉันว่ายังไงนะ นายจะซื้อบ้านของเราในวันครบรอบใช่ไหม?

    มันเหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนแล้วนะ...ฟังดูแล้วเหมือนเร็วมากเลยใช่ไหมล่ะ?

    .

    .

    แต่มันคงไม่เร็วเกินไปหรอกนะ...ถ้าเราสองคนจะช่วยกันหาและเก็บเงินไปซื้อมันด้วยกัน”

















    ป.ล. จบแล้วค่ะ...แต่ยังไม่จบจริง
    มีอีกประมาณ 50% แถมในตอนหน้า ถึงจะเป็น REAL END 

    นมน.จะเอามาลงให้พรุ่งนี้ค่ะ
    รอตอนจบจริงนะ...รับรองว่าหวานหยดเลย รับประกัน ;)









    Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×