ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [C0MPLETE] ✚ :: BE MY BABY :: ✚ [KAI x D.O.]*

    ลำดับตอนที่ #36 : ✚ BE MY L0VE :: CHANYE0L & BAEKHYUN III

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4K
      13
      22 ม.ค. 56

     

     Author : MR.$N0WMAN*

    Pairing : Park Chanyeol & Byun Baekhyun

    Story : Jackboiz

    Rate : PG-15

     


     

     

    Be my Honey*





     

    ‘ Please.....
    tell me

    .....Why?










    “นายคิดว่าตัวเองมีอะไรบ้าง?

    ไหนลองบอกมาสิ ว่าเพราะอะไรฉันควรจะยอมรับนาย

    นายมีดีอะไรเหรอ? ไหนลองบอกฉันมาสิว่าทำไมฉันถึงต้องยอมให้แบคฮยอนรักกับนาย

    ฉันเลี้ยงลูกชายมาอย่างดี แล้วนายล่ะมั่นใจได้แค่ไหนว่าจะดูแลลูกชายฉันได้”

     

     

    นี่เป็นคำถามแรกที่ปาร์คชานยอลโดนกระหน่ำใส่ในวันแรกที่เขาได้พบกับคนเป็นพ่อของแบคฮยอน

    ผมรู้จักกับคุณบยอนซึ่งเป็นพ่อของแบคฮยอนมาตั้งแต่มัธยมเพราะผมเคยเป็นเพื่อนของเขา

    แต่ในวันที่แบคฮยอนและผมตัดสินใจพากันไปทักทายพ่อแม่ของเขาในฐานะคนรัก

    ภาพลักษณ์คุณลุงนายพลผู้แสนใจดีของคุณบยอนก็เลยเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

    ทันทีที่ผมบอกกับเขาว่าเราสองคนคบกันอยู่

     
     

     

    ผมยังจำได้ดีว่าวันนั้นเป็นวันที่กระอักกระอ่วนที่สุดในชีวิต เพราะแต่ละคำถามที่ท่านนายพลบยอนนั้นถามมาน่ะ

    เขาตอบมันด้วยความภูมิใจไม่ได้เลยแม้แต่ซักคำตอบเดียว...

     
     

    ชานยอลเป็นแค่ผู้ชายธรรมดา...ที่อาจจะเรียกได้ว่าธรรมดามากคนหนึ่ง

    พ่อของเขาเป็นแค่พนักงานบริษัทธรรมดา แม่ก็เป็นแม่บ้านดูแลบ้านไปวันๆ

    ผลการเรียนของชานยอลไม่ได้ดีเด่อะไรเลยไม่ว่าจะมัธยมหรือมหาวิทยาลัย

    เขาไม่ได้เป็นนักเรียนดีเด่น เรื่องวิชาการน่ะห่วยแตกสิ้นดี ถ้าเป็นเรื่องดนตรีล่ะก็พอได้ เขาเล่นได้หลายอย่างเชียว

    แต่มันออกจะงี่เง่าและไร้สาระไปหน่อยถ้าจะยกมาตอบ...

    และถ้าปาร์คชานยอลจะพูดถึงหน้าที่การงานล่ะก็ มันก็ไม่ได้น่าภูมิใจถึงขนาดที่จะทำให้คุณบยอนนั้นยอมรับได้

     
     

    มีแต่คำตอบที่โคตรจะงี่เง่าที่ตอบกลับไปเท่านั้นแหละ...




     

    “ผมไม่มีอะไรที่คุณลุงว่าหรอกครับ...

    ผมมีเหตุผลแค่อย่างเดียวที่จะขอให้คุณลุงยอมรับก็คือ ผมรักแบคฮยอนมาก”

     
     

    ผมยังจำได้อยู่เลยว่าวันนั้นภูมิใจกับคำตอบนี้มากแค่ไหน

    แต่เห็นได้ชัดว่านั่นแหละที่ทำให้เป็นปัญหา...เพราะมันไม่ได้ทำให้เรื่องทุกอย่างง่ายขึ้นเลยซักนิด

    มีแต่จะทำให้ทุกอย่างมันดูย่ำแย่ลงไปกว่าเก่า

     

     

    “งั้นฉันถามหน่อยว่านายมีเป้าหมายอะไรในชีวิตบ้าง

    ต่อไปในอนาคตนายอยากจะเป็นยังไง?”

     
     

    คุณลุงบยอนถามผมอย่างเคร่งขรึมเกี่ยวกับเป้าหมายในชีวิตของผม

    และเป็นอีกครั้งที่ผมอึ้งกิมกี่...ไม่มีแม้แต่คำตอบดีๆ ให้กับเขา

    ผมเป็นโปรดิวเซอร์ต๊อกต๋อยและไร้ชื่อของค่ายเพลงค่ายหนึ่งในเกาหลี และชื่อเสียงของทางค่ายก็ไม่ได้ดังมากมาย

    ผมโอเคแล้วกับชีวิตในทุกวันนี้ มีงานทำที่ชอบและมีเงินเดือนไว้ใช้โดยไม่ต้องขอพ่อแม่

    มีแฟนที่น่ารักที่คบกันมาตั้งแต่มัธยมอีกหนึ่งคน...ผมเลยไม่เคยคิดถึงเรื่องอนาคตเอาไว้เลยซักครั้ง

     
     

    ถ้าตอบแบบไม่คิดมากผมก็อยากจะบอกคุณเขาไปว่า แค่ไม่โดนไล่ออกจากงานและแฟนไม่ขอเลิกก็โอเคมากแล้ว

    แต่แน่นอนว่านี่ต้องไม่ใช่คำตอบที่คุณลุงบยอนอยากจะได้แน่นอน...

    หัวสมองผมเลยวิ่งวุ่นเพื่อจะหาคำตอบดีๆ ให้กับเขา

     
     

     

    “..............ไม่มีเลยหรือ?”

     
     

     

    น้ำเสียงเย็นถามขึ้นพร้อมทั้งรอยยิ้มเย้ยที่ท่านนายพลบยอนส่งมานั้นทำให้ผมยิ่งเคร่งเครียด

    ผมยืนยันได้เลยว่าตอนสัมภาษณ์เข้าทำงานน่ะ

    ความเครียดของผมยังไม่รุนแรงเท่ากับตอนที่ต้องอยู่ต่อหน้าพ่อตาอย่างคุณบยอนเลยจริงๆ

    ผมเองที่โดนคาดคั้นก็เลยตอบไปแบบไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้าว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า...

     

     

    “ผมตั้งใจว่าจะทำผลงานเพื่อเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายโปรดิวเซอร์ครับ

    และผมก็ตั้งใจว่าจะทำงานเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านซักหลัง

    เพื่อเป็นของขวัญวันครบรอบของผมและแบคฮยอนภายในปีหน้า”

     
     

    ผมยังจำได้อยู่ว่าตัวเองทำตัวงี่เง่าขนาดไหนในตอนนั้น...

    คำพูดที่โพล่งออกไปจากปากเพราะความกดดันและอยากจะให้คุณลุงบยอนนั้นเชื่อใจ

    ผมเลยพูดไปโดยไม่ทันได้คิดว่าในความเป็นจริงแล้ว...ผมมีหนทางจะทำมันให้เป็นจริงได้หรือเปล่า

     

     

    “.................................................................”

     
     

    คุณลุงบยอนเงียบไปเมื่อผมบอกกับเขา

    เขามองหน้าผมอย่างพิจารณาและกอดอกแน่นเมื่อทำหน้าครุ่นคิดไปซักพักหนึ่ง

    ผมรู้สึกว่าตัวเองลืมวิธีหายใจไปแล้วด้วยซ้ำตอนที่ความเงียบนั้นแล่นเข้ามา

    ผมกลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดในลำคอลงไปอย่างยากลำบาก จนในที่สุดแล้วคุณบยอนแกก็ตอบผมกลับมาจนได้

     

     

    “งั้นก็ทำให้ได้อย่างที่นายตั้งเป้าไว้แล้วกัน...

    จนกว่าจะถึงวันนั้นที่นายประสบความสำเร็จอย่างที่บอก

    ฉันจะยอมให้นายคบกับลูกชายฉันได้...แต่อย่าคิดว่าฉันจะยอมรับ

    ทำอย่างที่พูดให้ได้แล้วกัน ถ้าอดทนได้ถึงวันนั้น ฉันถึงจะยอมเรียกนายว่าเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเรา”

     

     

    คำพูดนั้นเป็นดั่งคำประกาศิต

    และตั้งแต่วันนั้นมาจากปาร์คชานยอลคนธรรมดาเลยกลายเป็นปาร์คชานยอลคนขยัน

    ผมทำงานจนแทบดิ้นตายเพื่อเก็บเงินและสร้างผลงานเพื่อให้ได้เลื่อนตำแหน่ง

    บางทีเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่เพราะคำพูดตอกย้ำของคุณลุงบยอนนั่นแหละที่ทำให้ผมฮึดสู้จนได้

    ทุกอย่างผ่านมาได้ดีจนผ่านมาร่วมปีแล้ว และผมก็เกือบจะทำสำเร็จจนได้...

    ผมได้ตำแหน่งหัวหน้าโปรดิวเซอร์จนได้ เมื่อปั้นวงไอดอลชายที่มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาสำเร็จ

    หากแต่เหลือแค่เงินที่พยายามจะเก็บให้ครบเพื่อเอาไปซื้อบ้านนั่นแหละ ที่มันดูจะยากเหลือเกิน...

     

    ผมทำงานเก็บเงินทุกบาทเพื่อการนี้ เพื่อเป็นของขวัญเซอร์ไพรส์ให้กับแบคฮยอนอย่างที่ได้บอกคุณบยอนไว้

    แต่เงินที่เก็บไว้มันกลับขาดๆ วิ่นๆ เพราะมีเหตุที่ต้องใช้เงินก้อนนั้นอยู่เรื่อย

    และพอเอาเงินก้อนนั้นมาใช้ ผมก็เลยพยายามจะทำโอทีเพื่อหาเงินไปโปะกลับคืนให้มันครบอยู่ตลอดเวลา

    เหนื่อยแทบขาดใจ...แต่เมื่อผมได้คิดถึงผลลัพธ์ที่จะได้มาหลังจากทำงานหนักแล้วผมก็หายเหนื่อย

    ผมคิดว่าตัวเองคงจะมีความสุขมาก ถ้าหากว่าชนะใจคุณลุงบยอนได้

    และผมก็คงจะได้การยอมรับจากเขาให้คบกับแบคฮยอนอย่างเป็นทางการเสียที

    หากแต่ในวันนี้ผมยังไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้นเลยด้วยซ้ำ

     

    .

    .

     

    เพราะตอนนี้ผมเพิ่งรู้ตัวว่ามันสายไป...ผมกำลังจะเสียแบคฮยอนไปแล้ว...

     

     

     

    *********

     

     

    แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...

     

    ชานยอลหอบหายใจฮักก่อนจะยกมือขึ้นนวดชายโครงเมื่อเขาวิ่งมาด้วยความเร็วจนหายใจแทบจะไม่ทัน

    เขารีบบึ่งรถจากโซลมาจนถึงแดกูด้วยความรวดเร็ว

    จนแทบไม่น่าเชื่อว่าคนขับรถด้วยความระมัดระวังอย่างเขาจะขับด้วยความเร็วสูงขนาดนั้นได้

    ลืมคิดไปซะสนิทว่าตอนนี้เป็นเวลาย่ำเช้า และคนในบ้านของแบคฮยอนก็นอนไปหมดแล้วด้วย

    ผมยืนเป็นใบ้อยู่ได้หลายนาที ก่อนที่จะรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรโง่ๆ อีกแล้ว...

     

    ผมคงไม่มีหน้ากดกริ่งเพื่อเรียกให้ใครลงมาหรือแม้กระทั่งโทรเรียกให้แบคฮยอนลงมาเปิดประตูให้แน่ๆ

    เพราะตอนนี้แบคฮยอนยังไม่เปิดโทรศัพท์เลยซักครั้ง...

    และถึงแม้ว่าผมจะกระหน่ำโทรหาเขาซักเท่าไหร่ก็ยังติดต่อเขาไม่ได้เลยซักที

     
     

    ชานยอลเดินโต๋เต๋อยู่ที่หน้าประตูบ้านอยู่ซักพักก่อนจะตระหนักได้ว่าคงไม่มีทางไหนแล้วนอกจากจะนั่งรออยู่ตรงนี้

    ชานยอลตัดสินใจเดินไปหย่อนตัวลงที่ขั้นบันไดตรงหน้าบ้านของแบคฮยอนแล้วเริ่มขดตัวด้วยเพราะอากาศที่เย็นจัด

    หยิบมือถือขึ้นมาลองกดโทรออกดูอีกครั้ง และก็พบว่าแบคฮยอนก็ยังคงปิดเครื่องเหมือนเดิม

    เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะกดวางโทรศัพท์แล้วนั่งรออยู่ในความมืดอย่างเงียบๆ

     
     

    เพิ่งจะมารู้สึกว่าเหนื่อยและเพลียเอามากๆ เมื่อความเงียบนั้นแล่นเข้ามาปกคลุมไปทั่วบริเวณ

    ชานยอลปรือตามองไปรอบๆ แล้วเริ่มรู้สึกว่าหนังตาเริ่มจะหนัก...

    ยกแขนขึ้นกอดตัวเองเพราะรู้สึกว่าอากาศนั้นเริ่มจะทำให้ขนลุก...และเสื้อที่เขาใส่มาก็เป็นแค่เพียงเสื้อคลุมบางๆ เท่านั้น


    ด้วยความที่เหนื่อยและเพลียจากงานและการเดินทาง...

    คุณคงไม่เชื่อแน่ว่าเพียงแค่เขาหลับตา ปาร์คชานยอลก็เข้าสู่ห้วงนิทราได้ง่ายดายขนาดไหน...

     

     
     

     

    เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ชานยอลไม่อาจรู้ได้...

    หากแต่เมื่อเสียงเปิดประตูหน้าบ้านเริ่มดังขึ้นก็ทำให้เขาต้องลืมตาขึ้น

    และกระพริบถี่รัวเพื่อปรับสภาพสายตากับแสงแดดในตอนเช้าที่สาดลงมาแยงตาจนพร่ามัว

     
     

    ชานยอลรู้สึกว่าที่ศีรษะปวดหนึบและเนื้อตัวก็ปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว

    พยายามจะดึงสติให้กลับมาเมื่อเสียงหวีดแหลมของคุณนายบยอนดังขึ้นจนทำเอาเขาสะดุ้งจนสุดตัว

     
     

    “ตายแล้ว! ชานยอล! มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ลูก?

    โอ้ยตาย! อากาศหนาวจะตาย ทำไมถึงไม่กดกริ่งเรียกแบคฮยอนลงมารับล่ะลูก??”

     

     

    “ค..คุณป้า อรุณสวัสดิ์ครับ  อ๊ะ...”

     

     

    ชานยอลกระเด้งตัวลุกขึ้นแล้วยกยิ้มให้กับคุณนายบยอนอย่างรวดเร็ว

    แต่เห็นได้ชัดว่ามันรวดเร็วเกินไปหน่อยจนทำให้เขาแทบจะทรงตัวไม่อยู่

    ความรู้สึกวิงเวียนที่ศีรษะและขมับที่ตอดลั่นตุบๆ นั้นทำเอายืนไม่ตรงจนต้องเซจนแทบจะล้ม

    ถ้าไม่ติดว่าคว้าเอาลูกกรงเหล็กที่ประตูไว้ได้ล่ะก็ เขาคงล้มคะมำหัวคว่ำอยู่ตรงนี้แล้วล่ะมั้ง

    คุณนายบยอนเมื่อเห็นอย่างนั้นก็รีบเร่งเข้ามาพยุงเขาแทบไม่ทัน

     
     

    “ตายแล้ว! ชานยอล!! ใจเย็นๆก่อนนะลูก

    แบคฮยอน!! แบคฮยอน!!! ลงมาช่วยแม่ทีลูก”

     
     

    คุณนายบยอนตะโกนเรียกแบคฮยอนอยู่ไม่กี่อึดใจ

    คนตัวเล็กที่เขาอุตส่าห์ดั้นด้นตามหาก็ลงมายืนอยู่ตรงหน้า

    ใบหน้าของแบคฮยอนซีดเผือดไร้สีเมื่อเห็นว่าผมยืนแทบไม่ตรงอยู่ในอ้อมกอดแม่ของเขา

    ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งเข้ามาช่วยประคองผมเอาไว้ทันที

     
     

    ทุกอย่างบนโลกดูพร่ามัวไปหมด...หากแต่สิ่งเดียวที่ผมยังเห็นชัดเจนคือสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของเขา

    ผมโถมตัวเข้าไปกอดเขาเอาไว้เต็มแรงจนคนตัวเล็กนั้นแทบจะประคองตัวผมเอาไว้ไม่อยู่

    สิ่งเดียวที่ผมรับรู้ในตอนนี้ก็คือโอกาส...

    ผมยังเห็นความรักของเราและเยื่อใยที่เรามีต่อกันอยู่ในตาของเขา...

     

     

    ผมแค่ปรารถนาว่ามันจะยังไม่สายไป...

    ฉันยังมีความหวังที่จะพานายกลับไปใช่ไหมแบคฮยอนอ่า...

     

     
     

    “ชานยอล! ชานยอล!

     

     

    เสียงตะโกนของแบคฮยอนดังขึ้นเมื่อผมรู้สึกว่าดวงตาของผมมองอะไรไม่เห็นอีกแล้วนอกจากสีขาวโพลน

    สัมผัสจากมือเล็กของแบคฮยอนเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้...

     

    .

    .

     

    ก่อนที่ผมจะหมดสติและไม่รับรู้ถึงสิ่งใดๆ อีก...

     

     

     

    *********


     

     

    “คนไข้แค่มีอาการหน้ามืดน่ะครับ...

    อาจจะเพราะว่าพักผ่อนน้อยแล้วก็ปรับสภาพร่างกายให้ชินกับอากาศไม่ทัน

    คนไข้ความดันต่ำ แล้วก็มีอาการของไข้หวัดใหญ่นะครับ แต่อาการไม่น่าเป็นห่วง

    ปล่อยให้เขาได้พักผ่อนซักพักนะครับ อย่าให้ออกแรงมากหรือให้ทำอะไร

    เมื่อครู่ผมฉีดยาให้เขาแล้ว...เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ อีกซักพักก็น่าจะฟื้นแล้วล่ะ”

     

    คุณหมอส่งยิ้มมาให้บางๆ พร้อมๆ กับที่เก็บเครื่องมือเข้าไปในกระเป๋า

    แบคฮยอนถอนหายใจออกมาในระหว่างที่ฟังหมอวินิจฉัยและบอกให้เขาวางใจเพราะว่าชานยอลไม่ได้เป็นอะไรมาก

    เขาขอบคุณคุณหมอหนุ่มและพาเขาไปส่งที่หน้าบ้าน

    ก่อนจะเดินกลับมาทรุดนั่งที่ข้างเตียงเพื่อมองหน้าคนที่กำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวนั้นด้วยความเหนื่อยใจ

     
     

    “ปาร์คชานยอล...นายมันบ้าที่สุดเลย

    จะมาทำไมกันนะ นี่จะมาง้อหรือมาสร้างภาระกันแน่เนี่ยไอ้คนบ้า” แบคฮยอนบ่นเปรยออกมาเบาๆ ด้วยเสียงกระซิบ

     
     

    มองใบหน้าซีดเผือดของชานยอลที่ยังคงหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเสียยาวเหยียด

    แบคฮยอนเลื่อนมือไปปัดผมที่ปรกหน้าปรกตาชานยอลออก ก่อนจะเลื่อนไปลูบตรงปลายคางของชานยอลอย่างช้าๆ

    รู้สึกตลกจริงๆ ที่เมื่อเห็นคนตัวสูงมานอนอยู่ตรงนี้ก็พาลใจอ่อนจะยอมยกโทษให้ง่ายๆ ซะแล้ว

    แบคฮยอนไม่รู้วิธีที่จะทำใจแข็งกับผู้ชายคนนี้ได้เลยซักครั้ง

    แน่ล่ะสิ...เพราะถ้าทำได้ ป่านนี้เขาก็คงจะพูดจะบอกกับชานยอลไปแล้วว่าเขาโมโหคนตัวสูงด้วยเรื่องอะไร

     

     

    “บ้าจริงชานยอล...มาทำอย่างนี้แล้วจะให้ฉันทำตัวยังไงล่ะคนซื่อบื้อ

    แต่ไม่ได้หรอก...ฉันไม่ใจอ่อนให้นายหรอกนะ

    ฉันต้องสั่งสอนนายซะบ้าง ให้ได้รู้ซะบ้างว่าความรู้สึกของคนที่รอน่ะมันเป็นยังไง

    เพราะงั้นรอให้ตื่นขึ้นมาซะก่อนเถอะ ฉันรับรองได้เลยว่านายต้องตายแน่...

     

    .

    .

     

    เพราะงั้นก็รีบๆ ตื่นขึ้นมาได้แล้วนะ...แล้วฉันจะรอ...”

     

     

     

    *********



     

    ชานยอลนอนสลบไปเป็นวัน กว่าจะฟื้นขึ้นมาก็เกือบจะรุ่งสางของอีกวันหนึ่งแล้ว

    เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าหลับไปนานแค่ไหน...หากแต่พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าคนตัวเล็กกำลังนอนอยู่ข้างๆ

    ไฟทุกดวงปิดสนิทและนั่นทำให้ชานยอลต้องหรี่ตาเพื่อเพ่งมองนาฬิกาที่อยู่ตรงหัวเตียงข้างๆ คนตัวเล็ก

    ตีห้าครึ่ง...ชานยอลเพิ่งรู้ตัวว่าหลับมานานขนาดไหนก็ตอนนี้


    ทิ้งศีรษะลงกับหมอนอีกครั้งหนึ่งเมื่อรู้สึกว่าวิงเวียนและยังไม่เต็มตื่น...

    หากแต่ชานยอลก็ยังมีสติมากพอจะเอื้อมมือไปคว้าเอวของคนตัวเล็กที่นอนอยู่ข้างๆ เข้ามากอดไว้ได้

    เขาทิ้งศีรษะซบลงไปกับไหล่บางๆ ของแบคฮยอนอย่างอ่อนแรง

    แต่ก็ไม่วายยังมีแรงเลื่อนริมฝีปากเข้าไปจูบที่ซอกคอของคนตัวเล็กที่กำลังนอนอยู่ด้วยความคิดถึง

     
     

    “อื้อ...ชานยอล นายฟื้นแล้วเหรอ??”

     
     

    แบคฮยอนสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ ริมฝีปากนั้นก็ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมา

    งัวเงียมองหน้าคนที่กอดเขาไว้แล้วก็เพิ่งนึกได้ว่ากำลังโกรธชานยอลอยู่นี่นา

    ให้ตาย...แบคฮยอนไม่เคยจะใจแข็งกับชานยอลได้เลย

     
     

    “ฟื้นแล้วครับ...เป็นห่วงฉันมากใช่ไหม ฉันขอโทษนะ” ชานยอลกระซิบตอบกลับ

     
     

    “ห่วงอะไร ฉันกลัวว่านายจะมาตายที่บ้านฉันต่างหาก

    ทำร้ายฉันยังไม่พอยังจะมาทำตัวเป็นภาระให้ฉันจัดการอีก”

     

     

    แบคฮยอนกระชากเสียง ในขณะเดียวกับที่กระชากตัวออกจากอ้อมแขนของชานยอล

    ชานยอลอยากจะยื้อคนตัวเล็กเอาไว้ หากแต่เรี่ยวแรงที่มีกลับมีไม่มากพอจะยื้อเขาไว้ได้

    ที่ทำได้ก็แค่ยื่นมือไปคว้าข้อมือเล็กเอาไว้แล้วกระซิบถ้อยคำที่อยากจะพูดออกมาก็เท่านั้น

     

     

    “....ขอโทษ”
     

     

     

    “ขอโทษฉัน...เรื่องอะไร?” แบคฮยอนสะบัดเสียง

     

     

    “ทุกเรื่อง...ฉันรู้ดีว่าฉันทำผิดกับนาย

    แต่ที่ฉันทำทุกอย่างก็เพื่อนายนะแบคฮยอน”

     

     

    ชานยอลยันตัวขึ้นมานั่งประจันหน้ากับคนรักของเขา

    มือไม้อยู่ไม่สุขเพราะรู้สึกไม่อยากให้คนตัวเล็กอยู่ห่างจากตัวไปไหน

    เขาเลยต้องคว้าข้อมือของแบคฮยอนมากุมไว้ไม่ยอมปล่อย

     

     

    “ทำอะไร? ทำให้ฉันเสียใจน่ะเหรอ??

    อย่าบอกว่านายทำเพื่อฉันเลยปาร์คชานยอล

    ถ้านายอยากก้าวหน้าในงานของนายก็ไม่ต้องเอาฉันมาอ้าง...ฉันไม่ได้รู้สึกดีกับมันหรอกนะ”

     
     

    แบคฮยอนพูดโต้ก่อนที่จะพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมา

    หากแต่ชานยอลกลับไม่ยอม...แรงบีบเพิ่มที่ข้อมือมากขึ้นเมื่อแบคฮยอนพยายามจะทำอย่างนั้น

     

     

    “แต่มันเป็นเรื่องจริง! ทุกๆ อย่างที่ฉันทำ ฉันทำมันเพื่อเราทั้งนั้น!!

    ฉันอยากให้พ่อนายยอมรับฉัน อยากจะพิสูจน์ว่าฉันพร้อมจะดูแลนายได้!

    นายรู้ไหมว่าที่พูดออกมาน่ะทำฉันเสียใจมากแค่ไหน?!

    ฉันต้องเหนื่อยแค่ไหนเพื่อที่จะเก็บเงินซื้อบ้านสำหรับเรา!!

    นายควรจะต้องเข้าใจฉันไม่ใช่เหรอ?? ฉันไม่ใช่เหรอที่ควรต้องเรียกร้องความเห็นใจน่ะ”

     

     

    “................................................”

     

     

    ชานยอลตวาดใส่หน้าคนตัวเล็กพลางหายใจหอบจากโทสะที่เดือดพล่าน

    แบคฮยอนหลับตาลงเมื่อได้ยินอย่างนั้น...ก่อนที่เขาจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

    น้ำตาเม็ดใสไหลรินลงมาเมื่อความเงียบค่อยๆ แล่นเข้ามาปกคลุมเราทั้งสองเอาไว้

     

    แบคฮยอนร้องไห้...และชานยอลก็เช่นกัน

    ชานยอลรู้สึกผิดที่เผลอตวาดออกไป แต่เขาเองก็อยากจะให้แบคฮยอนเห็นใจตนบ้าง

    ส่วนด้านแบคฮยอนเองก็เสียใจเช่นกัน ชานยอลไม่แม้แต่จะสนใจว่าเขาคิดยังไงด้วยซ้ำ

    สรุปแล้วใครกันนะที่เป็นฝ่ายผิด...ใครกันที่ต้องยอมเข้าใจ...

     

    จนสุดท้ายแล้วแบคฮยอนก็รับรู้ได้ว่าบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้แหละที่เขาไม่อยากจะพบเจอ

    รู้ดีว่าการพูดคุยเป็นสิ่งสำคัญในการปรับความเข้าใจ

    แต่ตอนนี้แบคฮยอนไม่พร้อมที่จะฟังคำพูดอะไรที่ออกมาจากปากของชานยอลทั้งนั้น...

     

    “นายเอาแต่บอกว่าทำเพื่อฉัน...

    แล้วนายเคยถามฉันไหมว่าฉันต้องการมันหรือเปล่า

    นายคิดว่าทุกอย่างที่นายทำอยู่...กับความรักของนาย

    ฉันอยากจะได้อะไรมากกว่ากัน...”

     
     

    กระซิบก่อนจะดึงข้อมือของตัวเองออกมาจากการกอบกุมของคนตัวสูง

    ก่อนจะลุกขึ้นละจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตูหน้าห้อง

    หากแต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกไป เสียงทุ้มที่สะอึกสะอื้นเพราะการร้องไห้ก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

     

     

    “ฉันต้องทำยังไง...นายบอกฉันสิ

    บอกฉันให้รู้สิ ว่าทำยังไงฉันถึงจะดีมากพอสำหรับพ่อนาย

    และสำหรับนายด้วย...”

     

    น้ำเสียงนั้นฟังดูตัดพ้อ...แบคฮยอนเม้มริมฝีปากแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองฝ้าเพดานด้านบนศีรษะ

    เพียงเพื่อหวังว่าน้ำตาจะเลิกหยุดไหลออกมาจากดวงตาคู่เล็กๆ ของเขาเสียที...

     

     

    “พักผ่อนเถอะชานยอล...ถ้าอาหารเช้าเสร็จแล้วฉันจะมาเรียก

    และพอนายแข็งแรงมากพอแล้ว


    .
    .


    ...นายก็ควรจะกลับไป”

     

     

    พูดแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ...

    ก่อนจะหมุนเปิดลูกบิดประตูแล้วเดินออกจากห้องไปทันที...โดยไม่ได้สนใจว่าชานยอลจะเรียกร้องเขาอย่างไรอีก






    TBC...








    ป.ล. ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด...ตอนหน้าก็จบแล้วค่ะ :)




    Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×