คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #36 : ✚ BE MY L0VE :: CHANYE0L & BAEKHYUN III
Author : MR.$N0WMAN*
Pairing : Park Chanyeol & Byun Baekhyun
Story : Jackboiz
Rate : PG-15
Be my Honey*
‘ Please.....
tell me
.....Why?’
“นายคิดว่าตัวเองมีอะไรบ้าง?
ไหนลองบอกมาสิ ว่าเพราะอะไรฉันควรจะยอมรับนาย
นายมีดีอะไรเหรอ? ไหนลองบอกฉันมาสิว่าทำไมฉันถึงต้องยอมให้แบคฮยอนรักกับนาย
ฉันเลี้ยงลูกชายมาอย่างดี แล้วนายล่ะมั่นใจได้แค่ไหนว่าจะดูแลลูกชายฉันได้”
นี่เป็นคำถามแรกที่ปาร์คชานยอลโดนกระหน่ำใส่ในวันแรกที่เขาได้พบกับคนเป็นพ่อของแบคฮยอน
ผมรู้จักกับคุณบยอนซึ่งเป็นพ่อของแบคฮยอนมาตั้งแต่มัธยมเพราะผมเคยเป็นเพื่อนของเขา
แต่ในวันที่แบคฮยอนและผมตัดสินใจพากันไปทักทายพ่อแม่ของเขาในฐานะคนรัก
ภาพลักษณ์คุณลุงนายพลผู้แสนใจดีของคุณบยอนก็เลยเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ทันทีที่ผมบอกกับเขาว่าเราสองคนคบกันอยู่
ผมยังจำได้ดีว่าวันนั้นเป็นวันที่กระอักกระอ่วนที่สุดในชีวิต เพราะแต่ละคำถามที่ท่านนายพลบยอนนั้นถามมาน่ะ
เขาตอบมันด้วยความภูมิใจไม่ได้เลยแม้แต่ซักคำตอบเดียว...
ชานยอลเป็นแค่ผู้ชายธรรมดา...ที่อาจจะเรียกได้ว่าธรรมดามากคนหนึ่ง
พ่อของเขาเป็นแค่พนักงานบริษัทธรรมดา แม่ก็เป็นแม่บ้านดูแลบ้านไปวันๆ
ผลการเรียนของชานยอลไม่ได้ดีเด่อะไรเลยไม่ว่าจะมัธยมหรือมหาวิทยาลัย
เขาไม่ได้เป็นนักเรียนดีเด่น เรื่องวิชาการน่ะห่วยแตกสิ้นดี ถ้าเป็นเรื่องดนตรีล่ะก็พอได้ เขาเล่นได้หลายอย่างเชียว
แต่มันออกจะงี่เง่าและไร้สาระไปหน่อยถ้าจะยกมาตอบ...
และถ้าปาร์คชานยอลจะพูดถึงหน้าที่การงานล่ะก็ มันก็ไม่ได้น่าภูมิใจถึงขนาดที่จะทำให้คุณบยอนนั้นยอมรับได้
มีแต่คำตอบที่โคตรจะงี่เง่าที่ตอบกลับไปเท่านั้นแหละ...
“ผมไม่มีอะไรที่คุณลุงว่าหรอกครับ...
ผมมีเหตุผลแค่อย่างเดียวที่จะขอให้คุณลุงยอมรับก็คือ ผมรักแบคฮยอนมาก”
ผมยังจำได้อยู่เลยว่าวันนั้นภูมิใจกับคำตอบนี้มากแค่ไหน
แต่เห็นได้ชัดว่านั่นแหละที่ทำให้เป็นปัญหา...เพราะมันไม่ได้ทำให้เรื่องทุกอย่างง่ายขึ้นเลยซักนิด
มีแต่จะทำให้ทุกอย่างมันดูย่ำแย่ลงไปกว่าเก่า
“งั้นฉันถามหน่อยว่านายมีเป้าหมายอะไรในชีวิตบ้าง
ต่อไปในอนาคตนายอยากจะเป็นยังไง?”
คุณลุงบยอนถามผมอย่างเคร่งขรึมเกี่ยวกับเป้าหมายในชีวิตของผม
และเป็นอีกครั้งที่ผมอึ้งกิมกี่...ไม่มีแม้แต่คำตอบดีๆ ให้กับเขา
ผมเป็นโปรดิวเซอร์ต๊อกต๋อยและไร้ชื่อของค่ายเพลงค่ายหนึ่งในเกาหลี และชื่อเสียงของทางค่ายก็ไม่ได้ดังมากมาย
ผมโอเคแล้วกับชีวิตในทุกวันนี้ มีงานทำที่ชอบและมีเงินเดือนไว้ใช้โดยไม่ต้องขอพ่อแม่
มีแฟนที่น่ารักที่คบกันมาตั้งแต่มัธยมอีกหนึ่งคน...ผมเลยไม่เคยคิดถึงเรื่องอนาคตเอาไว้เลยซักครั้ง
ถ้าตอบแบบไม่คิดมากผมก็อยากจะบอกคุณเขาไปว่า แค่ไม่โดนไล่ออกจากงานและแฟนไม่ขอเลิกก็โอเคมากแล้ว
แต่แน่นอนว่านี่ต้องไม่ใช่คำตอบที่คุณลุงบยอนอยากจะได้แน่นอน...
หัวสมองผมเลยวิ่งวุ่นเพื่อจะหาคำตอบดีๆ ให้กับเขา
“..............ไม่มีเลยหรือ?”
น้ำเสียงเย็นถามขึ้นพร้อมทั้งรอยยิ้มเย้ยที่ท่านนายพลบยอนส่งมานั้นทำให้ผมยิ่งเคร่งเครียด
ผมยืนยันได้เลยว่าตอนสัมภาษณ์เข้าทำงานน่ะ
ความเครียดของผมยังไม่รุนแรงเท่ากับตอนที่ต้องอยู่ต่อหน้าพ่อตาอย่างคุณบยอนเลยจริงๆ
ผมเองที่โดนคาดคั้นก็เลยตอบไปแบบไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้าว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า...
“ผมตั้งใจว่าจะทำผลงานเพื่อเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายโปรดิวเซอร์ครับ
และผมก็ตั้งใจว่าจะทำงานเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านซักหลัง
เพื่อเป็นของขวัญวันครบรอบของผมและแบคฮยอนภายในปีหน้า”
ผมยังจำได้อยู่ว่าตัวเองทำตัวงี่เง่าขนาดไหนในตอนนั้น...
คำพูดที่โพล่งออกไปจากปากเพราะความกดดันและอยากจะให้คุณลุงบยอนนั้นเชื่อใจ
ผมเลยพูดไปโดยไม่ทันได้คิดว่าในความเป็นจริงแล้ว...ผมมีหนทางจะทำมันให้เป็นจริงได้หรือเปล่า
“.................................................................”
คุณลุงบยอนเงียบไปเมื่อผมบอกกับเขา
เขามองหน้าผมอย่างพิจารณาและกอดอกแน่นเมื่อทำหน้าครุ่นคิดไปซักพักหนึ่ง
ผมรู้สึกว่าตัวเองลืมวิธีหายใจไปแล้วด้วยซ้ำตอนที่ความเงียบนั้นแล่นเข้ามา
ผมกลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดในลำคอลงไปอย่างยากลำบาก จนในที่สุดแล้วคุณบยอนแกก็ตอบผมกลับมาจนได้
“งั้นก็ทำให้ได้อย่างที่นายตั้งเป้าไว้แล้วกัน...
จนกว่าจะถึงวันนั้นที่นายประสบความสำเร็จอย่างที่บอก
ฉันจะยอมให้นายคบกับลูกชายฉันได้...แต่อย่าคิดว่าฉันจะยอมรับ
ทำอย่างที่พูดให้ได้แล้วกัน ถ้าอดทนได้ถึงวันนั้น ฉันถึงจะยอมเรียกนายว่าเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเรา”
คำพูดนั้นเป็นดั่งคำประกาศิต
และตั้งแต่วันนั้นมาจากปาร์คชานยอลคนธรรมดาเลยกลายเป็นปาร์คชานยอลคนขยัน
ผมทำงานจนแทบดิ้นตายเพื่อเก็บเงินและสร้างผลงานเพื่อให้ได้เลื่อนตำแหน่ง
บางทีเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่เพราะคำพูดตอกย้ำของคุณลุงบยอนนั่นแหละที่ทำให้ผมฮึดสู้จนได้
ทุกอย่างผ่านมาได้ดีจนผ่านมาร่วมปีแล้ว และผมก็เกือบจะทำสำเร็จจนได้...
ผมได้ตำแหน่งหัวหน้าโปรดิวเซอร์จนได้ เมื่อปั้นวงไอดอลชายที่มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาสำเร็จ
หากแต่เหลือแค่เงินที่พยายามจะเก็บให้ครบเพื่อเอาไปซื้อบ้านนั่นแหละ ที่มันดูจะยากเหลือเกิน...
ผมทำงานเก็บเงินทุกบาทเพื่อการนี้ เพื่อเป็นของขวัญเซอร์ไพรส์ให้กับแบคฮยอนอย่างที่ได้บอกคุณบยอนไว้
แต่เงินที่เก็บไว้มันกลับขาดๆ วิ่นๆ เพราะมีเหตุที่ต้องใช้เงินก้อนนั้นอยู่เรื่อย
และพอเอาเงินก้อนนั้นมาใช้ ผมก็เลยพยายามจะทำโอทีเพื่อหาเงินไปโปะกลับคืนให้มันครบอยู่ตลอดเวลา
เหนื่อยแทบขาดใจ...แต่เมื่อผมได้คิดถึงผลลัพธ์ที่จะได้มาหลังจากทำงานหนักแล้วผมก็หายเหนื่อย
ผมคิดว่าตัวเองคงจะมีความสุขมาก ถ้าหากว่าชนะใจคุณลุงบยอนได้
และผมก็คงจะได้การยอมรับจากเขาให้คบกับแบคฮยอนอย่างเป็นทางการเสียที
หากแต่ในวันนี้ผมยังไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้นเลยด้วยซ้ำ
.
.
เพราะตอนนี้ผมเพิ่งรู้ตัวว่ามันสายไป...ผมกำลังจะเสียแบคฮยอนไปแล้ว...
*********
แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...
ชานยอลหอบหายใจฮักก่อนจะยกมือขึ้นนวดชายโครงเมื่อเขาวิ่งมาด้วยความเร็วจนหายใจแทบจะไม่ทัน
เขารีบบึ่งรถจากโซลมาจนถึงแดกูด้วยความรวดเร็ว
จนแทบไม่น่าเชื่อว่าคนขับรถด้วยความระมัดระวังอย่างเขาจะขับด้วยความเร็วสูงขนาดนั้นได้
ลืมคิดไปซะสนิทว่าตอนนี้เป็นเวลาย่ำเช้า และคนในบ้านของแบคฮยอนก็นอนไปหมดแล้วด้วย
ผมยืนเป็นใบ้อยู่ได้หลายนาที ก่อนที่จะรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรโง่ๆ อีกแล้ว...
ผมคงไม่มีหน้ากดกริ่งเพื่อเรียกให้ใครลงมาหรือแม้กระทั่งโทรเรียกให้แบคฮยอนลงมาเปิดประตูให้แน่ๆ
เพราะตอนนี้แบคฮยอนยังไม่เปิดโทรศัพท์เลยซักครั้ง...
และถึงแม้ว่าผมจะกระหน่ำโทรหาเขาซักเท่าไหร่ก็ยังติดต่อเขาไม่ได้เลยซักที
ชานยอลเดินโต๋เต๋อยู่ที่หน้าประตูบ้านอยู่ซักพักก่อนจะตระหนักได้ว่าคงไม่มีทางไหนแล้วนอกจากจะนั่งรออยู่ตรงนี้
ชานยอลตัดสินใจเดินไปหย่อนตัวลงที่ขั้นบันไดตรงหน้าบ้านของแบคฮยอนแล้วเริ่มขดตัวด้วยเพราะอากาศที่เย็นจัด
หยิบมือถือขึ้นมาลองกดโทรออกดูอีกครั้ง และก็พบว่าแบคฮยอนก็ยังคงปิดเครื่องเหมือนเดิม
เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะกดวางโทรศัพท์แล้วนั่งรออยู่ในความมืดอย่างเงียบๆ
เพิ่งจะมารู้สึกว่าเหนื่อยและเพลียเอามากๆ เมื่อความเงียบนั้นแล่นเข้ามาปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ชานยอลปรือตามองไปรอบๆ แล้วเริ่มรู้สึกว่าหนังตาเริ่มจะหนัก...
ยกแขนขึ้นกอดตัวเองเพราะรู้สึกว่าอากาศนั้นเริ่มจะทำให้ขนลุก...และเสื้อที่เขาใส่มาก็เป็นแค่เพียงเสื้อคลุมบางๆ เท่านั้น
ด้วยความที่เหนื่อยและเพลียจากงานและการเดินทาง...
คุณคงไม่เชื่อแน่ว่าเพียงแค่เขาหลับตา ปาร์คชานยอลก็เข้าสู่ห้วงนิทราได้ง่ายดายขนาดไหน...
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ชานยอลไม่อาจรู้ได้...
หากแต่เมื่อเสียงเปิดประตูหน้าบ้านเริ่มดังขึ้นก็ทำให้เขาต้องลืมตาขึ้น
และกระพริบถี่รัวเพื่อปรับสภาพสายตากับแสงแดดในตอนเช้าที่สาดลงมาแยงตาจนพร่ามัว
ชานยอลรู้สึกว่าที่ศีรษะปวดหนึบและเนื้อตัวก็ปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว
พยายามจะดึงสติให้กลับมาเมื่อเสียงหวีดแหลมของคุณนายบยอนดังขึ้นจนทำเอาเขาสะดุ้งจนสุดตัว
“ตายแล้ว! ชานยอล! มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ลูก?
โอ้ยตาย! อากาศหนาวจะตาย ทำไมถึงไม่กดกริ่งเรียกแบคฮยอนลงมารับล่ะลูก??”
“ค..คุณป้า อรุณสวัสดิ์ครับ อ๊ะ...”
ชานยอลกระเด้งตัวลุกขึ้นแล้วยกยิ้มให้กับคุณนายบยอนอย่างรวดเร็ว
แต่เห็นได้ชัดว่ามันรวดเร็วเกินไปหน่อยจนทำให้เขาแทบจะทรงตัวไม่อยู่
ความรู้สึกวิงเวียนที่ศีรษะและขมับที่ตอดลั่นตุบๆ นั้นทำเอายืนไม่ตรงจนต้องเซจนแทบจะล้ม
ถ้าไม่ติดว่าคว้าเอาลูกกรงเหล็กที่ประตูไว้ได้ล่ะก็ เขาคงล้มคะมำหัวคว่ำอยู่ตรงนี้แล้วล่ะมั้ง
คุณนายบยอนเมื่อเห็นอย่างนั้นก็รีบเร่งเข้ามาพยุงเขาแทบไม่ทัน
“ตายแล้ว! ชานยอล!! ใจเย็นๆก่อนนะลูก
แบคฮยอน!! แบคฮยอน!!! ลงมาช่วยแม่ทีลูก”
คุณนายบยอนตะโกนเรียกแบคฮยอนอยู่ไม่กี่อึดใจ
คนตัวเล็กที่เขาอุตส่าห์ดั้นด้นตามหาก็ลงมายืนอยู่ตรงหน้า
ใบหน้าของแบคฮยอนซีดเผือดไร้สีเมื่อเห็นว่าผมยืนแทบไม่ตรงอยู่ในอ้อมกอดแม่ของเขา
ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งเข้ามาช่วยประคองผมเอาไว้ทันที
ทุกอย่างบนโลกดูพร่ามัวไปหมด...หากแต่สิ่งเดียวที่ผมยังเห็นชัดเจนคือสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของเขา
ผมโถมตัวเข้าไปกอดเขาเอาไว้เต็มแรงจนคนตัวเล็กนั้นแทบจะประคองตัวผมเอาไว้ไม่อยู่
สิ่งเดียวที่ผมรับรู้ในตอนนี้ก็คือโอกาส...
ผมยังเห็นความรักของเราและเยื่อใยที่เรามีต่อกันอยู่ในตาของเขา...
ผมแค่ปรารถนาว่ามันจะยังไม่สายไป...
ฉันยังมีความหวังที่จะพานายกลับไปใช่ไหมแบคฮยอนอ่า...
“ชานยอล! ชานยอล!”
เสียงตะโกนของแบคฮยอนดังขึ้นเมื่อผมรู้สึกว่าดวงตาของผมมองอะไรไม่เห็นอีกแล้วนอกจากสีขาวโพลน
สัมผัสจากมือเล็กของแบคฮยอนเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้...
.
.
ก่อนที่ผมจะหมดสติและไม่รับรู้ถึงสิ่งใดๆ อีก...
*********
“คนไข้แค่มีอาการหน้ามืดน่ะครับ...
อาจจะเพราะว่าพักผ่อนน้อยแล้วก็ปรับสภาพร่างกายให้ชินกับอากาศไม่ทัน
คนไข้ความดันต่ำ แล้วก็มีอาการของไข้หวัดใหญ่นะครับ แต่อาการไม่น่าเป็นห่วง
ปล่อยให้เขาได้พักผ่อนซักพักนะครับ อย่าให้ออกแรงมากหรือให้ทำอะไร
เมื่อครู่ผมฉีดยาให้เขาแล้ว...เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ อีกซักพักก็น่าจะฟื้นแล้วล่ะ”
คุณหมอส่งยิ้มมาให้บางๆ พร้อมๆ กับที่เก็บเครื่องมือเข้าไปในกระเป๋า
แบคฮยอนถอนหายใจออกมาในระหว่างที่ฟังหมอวินิจฉัยและบอกให้เขาวางใจเพราะว่าชานยอลไม่ได้เป็นอะไรมาก
เขาขอบคุณคุณหมอหนุ่มและพาเขาไปส่งที่หน้าบ้าน
ก่อนจะเดินกลับมาทรุดนั่งที่ข้างเตียงเพื่อมองหน้าคนที่กำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวนั้นด้วยความเหนื่อยใจ
“ปาร์คชานยอล...นายมันบ้าที่สุดเลย
จะมาทำไมกันนะ นี่จะมาง้อหรือมาสร้างภาระกันแน่เนี่ยไอ้คนบ้า” แบคฮยอนบ่นเปรยออกมาเบาๆ ด้วยเสียงกระซิบ
มองใบหน้าซีดเผือดของชานยอลที่ยังคงหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเสียยาวเหยียด
แบคฮยอนเลื่อนมือไปปัดผมที่ปรกหน้าปรกตาชานยอลออก ก่อนจะเลื่อนไปลูบตรงปลายคางของชานยอลอย่างช้าๆ
รู้สึกตลกจริงๆ ที่เมื่อเห็นคนตัวสูงมานอนอยู่ตรงนี้ก็พาลใจอ่อนจะยอมยกโทษให้ง่ายๆ ซะแล้ว
แบคฮยอนไม่รู้วิธีที่จะทำใจแข็งกับผู้ชายคนนี้ได้เลยซักครั้ง
แน่ล่ะสิ...เพราะถ้าทำได้ ป่านนี้เขาก็คงจะพูดจะบอกกับชานยอลไปแล้วว่าเขาโมโหคนตัวสูงด้วยเรื่องอะไร
“บ้าจริงชานยอล...มาทำอย่างนี้แล้วจะให้ฉันทำตัวยังไงล่ะคนซื่อบื้อ
แต่ไม่ได้หรอก...ฉันไม่ใจอ่อนให้นายหรอกนะ
ฉันต้องสั่งสอนนายซะบ้าง ให้ได้รู้ซะบ้างว่าความรู้สึกของคนที่รอน่ะมันเป็นยังไง
เพราะงั้นรอให้ตื่นขึ้นมาซะก่อนเถอะ ฉันรับรองได้เลยว่านายต้องตายแน่...
.
.
เพราะงั้นก็รีบๆ ตื่นขึ้นมาได้แล้วนะ...แล้วฉันจะรอ...”
*********
ชานยอลนอนสลบไปเป็นวัน กว่าจะฟื้นขึ้นมาก็เกือบจะรุ่งสางของอีกวันหนึ่งแล้ว
เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าหลับไปนานแค่ไหน...หากแต่พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าคนตัวเล็กกำลังนอนอยู่ข้างๆ
ไฟทุกดวงปิดสนิทและนั่นทำให้ชานยอลต้องหรี่ตาเพื่อเพ่งมองนาฬิกาที่อยู่ตรงหัวเตียงข้างๆ คนตัวเล็ก
ตีห้าครึ่ง...ชานยอลเพิ่งรู้ตัวว่าหลับมานานขนาดไหนก็ตอนนี้
ทิ้งศีรษะลงกับหมอนอีกครั้งหนึ่งเมื่อรู้สึกว่าวิงเวียนและยังไม่เต็มตื่น...
หากแต่ชานยอลก็ยังมีสติมากพอจะเอื้อมมือไปคว้าเอวของคนตัวเล็กที่นอนอยู่ข้างๆ เข้ามากอดไว้ได้
เขาทิ้งศีรษะซบลงไปกับไหล่บางๆ ของแบคฮยอนอย่างอ่อนแรง
แต่ก็ไม่วายยังมีแรงเลื่อนริมฝีปากเข้าไปจูบที่ซอกคอของคนตัวเล็กที่กำลังนอนอยู่ด้วยความคิดถึง
“อื้อ...ชานยอล นายฟื้นแล้วเหรอ??”
แบคฮยอนสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ ริมฝีปากนั้นก็ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมา
งัวเงียมองหน้าคนที่กอดเขาไว้แล้วก็เพิ่งนึกได้ว่ากำลังโกรธชานยอลอยู่นี่นา
ให้ตาย...แบคฮยอนไม่เคยจะใจแข็งกับชานยอลได้เลย
“ฟื้นแล้วครับ...เป็นห่วงฉันมากใช่ไหม ฉันขอโทษนะ” ชานยอลกระซิบตอบกลับ
“ห่วงอะไร ฉันกลัวว่านายจะมาตายที่บ้านฉันต่างหาก
ทำร้ายฉันยังไม่พอยังจะมาทำตัวเป็นภาระให้ฉันจัดการอีก”
แบคฮยอนกระชากเสียง ในขณะเดียวกับที่กระชากตัวออกจากอ้อมแขนของชานยอล
ชานยอลอยากจะยื้อคนตัวเล็กเอาไว้ หากแต่เรี่ยวแรงที่มีกลับมีไม่มากพอจะยื้อเขาไว้ได้
ที่ทำได้ก็แค่ยื่นมือไปคว้าข้อมือเล็กเอาไว้แล้วกระซิบถ้อยคำที่อยากจะพูดออกมาก็เท่านั้น
“....ขอโทษ”
“ขอโทษฉัน...เรื่องอะไร?” แบคฮยอนสะบัดเสียง
“ทุกเรื่อง...ฉันรู้ดีว่าฉันทำผิดกับนาย
แต่ที่ฉันทำทุกอย่างก็เพื่อนายนะแบคฮยอน”
ชานยอลยันตัวขึ้นมานั่งประจันหน้ากับคนรักของเขา
มือไม้อยู่ไม่สุขเพราะรู้สึกไม่อยากให้คนตัวเล็กอยู่ห่างจากตัวไปไหน
เขาเลยต้องคว้าข้อมือของแบคฮยอนมากุมไว้ไม่ยอมปล่อย
“ทำอะไร? ทำให้ฉันเสียใจน่ะเหรอ??
อย่าบอกว่านายทำเพื่อฉันเลยปาร์คชานยอล
ถ้านายอยากก้าวหน้าในงานของนายก็ไม่ต้องเอาฉันมาอ้าง...ฉันไม่ได้รู้สึกดีกับมันหรอกนะ”
แบคฮยอนพูดโต้ก่อนที่จะพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมา
หากแต่ชานยอลกลับไม่ยอม...แรงบีบเพิ่มที่ข้อมือมากขึ้นเมื่อแบคฮยอนพยายามจะทำอย่างนั้น
“แต่มันเป็นเรื่องจริง! ทุกๆ อย่างที่ฉันทำ ฉันทำมันเพื่อเราทั้งนั้น!!
ฉันอยากให้พ่อนายยอมรับฉัน อยากจะพิสูจน์ว่าฉันพร้อมจะดูแลนายได้!
นายรู้ไหมว่าที่พูดออกมาน่ะทำฉันเสียใจมากแค่ไหน?!
ฉันต้องเหนื่อยแค่ไหนเพื่อที่จะเก็บเงินซื้อบ้านสำหรับเรา!!
นายควรจะต้องเข้าใจฉันไม่ใช่เหรอ?? ฉันไม่ใช่เหรอที่ควรต้องเรียกร้องความเห็นใจน่ะ”
“................................................”
ชานยอลตวาดใส่หน้าคนตัวเล็กพลางหายใจหอบจากโทสะที่เดือดพล่าน
แบคฮยอนหลับตาลงเมื่อได้ยินอย่างนั้น...ก่อนที่เขาจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
น้ำตาเม็ดใสไหลรินลงมาเมื่อความเงียบค่อยๆ แล่นเข้ามาปกคลุมเราทั้งสองเอาไว้
แบคฮยอนร้องไห้...และชานยอลก็เช่นกัน
ชานยอลรู้สึกผิดที่เผลอตวาดออกไป แต่เขาเองก็อยากจะให้แบคฮยอนเห็นใจตนบ้าง
ส่วนด้านแบคฮยอนเองก็เสียใจเช่นกัน ชานยอลไม่แม้แต่จะสนใจว่าเขาคิดยังไงด้วยซ้ำ
สรุปแล้วใครกันนะที่เป็นฝ่ายผิด...ใครกันที่ต้องยอมเข้าใจ...
จนสุดท้ายแล้วแบคฮยอนก็รับรู้ได้ว่าบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้แหละที่เขาไม่อยากจะพบเจอ
รู้ดีว่าการพูดคุยเป็นสิ่งสำคัญในการปรับความเข้าใจ
แต่ตอนนี้แบคฮยอนไม่พร้อมที่จะฟังคำพูดอะไรที่ออกมาจากปากของชานยอลทั้งนั้น...
“นายเอาแต่บอกว่าทำเพื่อฉัน...
แล้วนายเคยถามฉันไหมว่าฉันต้องการมันหรือเปล่า
นายคิดว่าทุกอย่างที่นายทำอยู่...กับความรักของนาย
ฉันอยากจะได้อะไรมากกว่ากัน...”
กระซิบก่อนจะดึงข้อมือของตัวเองออกมาจากการกอบกุมของคนตัวสูง
ก่อนจะลุกขึ้นละจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตูหน้าห้อง
หากแต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกไป เสียงทุ้มที่สะอึกสะอื้นเพราะการร้องไห้ก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ฉันต้องทำยังไง...นายบอกฉันสิ
บอกฉันให้รู้สิ ว่าทำยังไงฉันถึงจะดีมากพอสำหรับพ่อนาย
และสำหรับนายด้วย...”
น้ำเสียงนั้นฟังดูตัดพ้อ...แบคฮยอนเม้มริมฝีปากแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองฝ้าเพดานด้านบนศีรษะ
เพียงเพื่อหวังว่าน้ำตาจะเลิกหยุดไหลออกมาจากดวงตาคู่เล็กๆ ของเขาเสียที...
“พักผ่อนเถอะชานยอล...ถ้าอาหารเช้าเสร็จแล้วฉันจะมาเรียก
และพอนายแข็งแรงมากพอแล้ว
.
.
...นายก็ควรจะกลับไป”
พูดแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ...
ก่อนจะหมุนเปิดลูกบิดประตูแล้วเดินออกจากห้องไปทันที...โดยไม่ได้สนใจว่าชานยอลจะเรียกร้องเขาอย่างไรอีก
TBC...
ป.ล. ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด...ตอนหน้าก็จบแล้วค่ะ :)
ความคิดเห็น