ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [C0MPLETE] ✚ :: BE MY BABY :: ✚ [KAI x D.O.]*

    ลำดับตอนที่ #20 : ✚ BE MY BABY :: TWENTY

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 10.48K
      8
      2 ธ.ค. 55

    Author : MR.$N0WMAN*

    Pairing : Kim Jongin & Do Kyungsoo

    Story : Jackboiz

    Rate : PG-15

     


     

     

    Be my Baby*

     



     


    ‘0.20’


     

    “อืม...ผมรู้แล้วน่าพี่อย่าเป็นห่วงเลย

    ผมกับคยองซูก็สบายดีเหมือนเดิมนั่นแหละซูจอง ว่าแต่พี่เถอะสบายดีใช่ไหม

    คยองซูบ่นถึงพี่อยู่นะช่วงก่อนนี้ เพราะว่าพี่ไม่มาเยี่ยมเขาเลย”

     

     

    ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์เครื่องหรูที่ยกขึ้นแนบหูในขณะที่มืออีกข้างก็ยังเซ็นต์ชื่อลงไปในเอกสาร

    ซูจองโทรมาหาผมและนั่นทำให้ผมตัดสินใจทิ้งงานในมือไว้ก่อนแล้วพูดคุยกับหล่อนอย่างตั้งใจ

    ซูจองไม่ได้มาเยี่ยมเราหลายเดือนแล้ว และนั่นแหละที่ทำให้ผมแปลกใจนิดหน่อยที่จู่ๆเธอก็โทรมาหา

    แต่นั่นก็อาจจะเพราะว่าเธอคิดถึงตามประสาพี่น้อง หรือไม่ก็มีธุระอะไรซักอย่างที่ผมควรจะต้องรู้เร่งด่วนจริงๆ

     

    “คริสมาสต์เหรอ? อ่า...ใช่สิ พรุ่งนี้คริสมาสต์แล้วนี่นา

    ก็คงจะพาคยองซูไปกินข้าวเหมือนเดิมนั่นแหละ

    หรือไม่ก็พาไปดูหนัง อะไรก็ได้ที่เขาอยากไป ทำไมล่ะ...อยากมาฉลองกับเราหรือไง?”

     


    ผมถามซูจองไปในขณะที่เอนหลังลงกับเก้าอี้นุ่มในห้องทำงานของตัวเอง

    ก็แค่ถามเป็นพิธีไปอย่างนั้นแหละ เพราะซูจองคงไม่มาปาร์ตี้กับเราจริงๆหรอก

    แต่ก็ยังหวังอยู่นะว่าปีนี้ซูจองจะไม่เปลี่ยนใจมาขัดขวางความสุขของผมกับคยองซู 

    เพราะถ้ามาจริงๆผมก็อดจัดหนักกับคยองซูน่ะสิ!!

     

     

    “อ้อ...งั้นก็ดีแล้วล่ะ ว่าแต่พี่มีอะไรหรือเปล่าถึงโทรมา?

    อ๊ะ! เดี๋ยวนะ ผมมีสายสำคัญ เดี๋ยวไว้ผมโทรกลับนะซูจอง อืม...หวัดดี”

     

     

    ผมถามซูจองเกี่ยวกับธุระของเธอ หากแต่ยังไม่ทันได้ความก็ต้องขอวางสายไปเสียก่อน

    เพราะสายโทรศัพท์ที่ซ้อนเข้ามานั้นเป็นสายสำคัญอย่างที่บอกไปจริงๆ

    จะไม่สำคัญได้ยังไงล่ะครับ...ก็เมียเด็กผมเองนี่นา

     

    “ว่าไงครับตัวเล็ก”

     

     

    ผมกรอกเสียงหวานลงไปในโทรศัพท์

    รู้สึกอารมณ์ดีที่คยองซูโทรมาหาผมตอนเที่ยงตรงเป๊ะพอดิบพอดี

     


    คุยกับใครอยู่ครับจงอิน...นอกใจคยองเหรอ?

     


    “บ้าน่า...กล่าวหากันอีกแล้ว ฉันคุยกับซูจองอยู่ต่างหาก พี่เขาฝากบอกว่าคิดถึงนายด้วยนะ”

     


    โอ้ดีจัง คยองเองก็คิดถึงพี่ซูจองเหมือนกันนะเนี่ย...

    ว่าแต่พี่ซูจองมีอะไรเหรอครับถึงโทรมา?

     


    “คงไม่มีอะไรหรอก ก็แค่โทรมาถามสารทุกข์สุขดิบน่ะ

    ว่าแต่นี่กินข้าวหรือยัง...เพิ่งเลิกเรียนใช่ไหม?”

     


    ผมถามคยองซูกลับไปในขณะที่ลุกขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อย

    ก่อนที่คำตอบของคยองซูนั้นแหละที่ทำให้ผมต้องรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาในทันที

     


    เลิกเรียนแล้วล่ะ...แต่คยองจะโทรมาบอกว่าวันนี้เลิกครึ่งวันนะครับ

    พอดีที่โรงเรียนมีกิจกรรมนิดหน่อยคยองเลยได้เรียนแค่ครึ่งวัน

    จงอินสะดวกมารับคยองไหม? ถ้าไม่ได้คยองจะรออยู่ที่นี่จนถึงเย็นแล้วกัน

    หรือจะให้คยองไปรอที่บ้านก็ได้นะ

     


    “ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันจะไปรับนายที่โรงเรียน รอก่อนนะอย่าเพิ่งไปไหน

    อย่าเพิ่งกินข้าวด้วยล่ะ เดี๋ยวฉันจะพาไปเดท”





     

    ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วยกยิ้มออกมา ความจริงแผนในตอนแรกของผมคือให้จงแดไปรับคยองซูในตอนเย็น

    เพราะว่าผมติดประชุมสำคัญและมีงานกินเลี้ยงฉลองวันคริสมาสต์ที่สำนักงานใหญ่

    แต่ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ผมคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าผมใช้เวลาทั้งบ่ายนี้อยู่กับเขา

    พาเขาไปส่งที่บ้านแล้วหลังจากนั้นค่อยไปประชุมก็คงจะดี

     


    เอ๋...แล้วจงอินไม่ต้องทำงานเหรอ?

     


    เสียงของคยองซูถามมาจากปลายสายอย่างประหลาดใจ

    แต่ในน้ำเสียงนั้นก็เจือแววดีอกดีใจอยู่ในนั้นด้วย

    ผมยกยิ้มออกมาก่อนจะหยิบเสื้อสูทที่พาดไว้ขึ้นมาสวม

    ก่อนที่จะหยิบเอากุญแจรถยนต์ กระเป๋าเงินและเอกสารสองสามแผ่นที่ต้องเตรียมตัวเข้าประชุมในตอนเย็นนี้มาถือไว้

    มันไม่ได้ยากอะไร แต่ผมเพียงแค่ต้องการจะเช็คอะไรอีกแค่เล็กน้อยเท่านั้น

     


    “ทำสิ แต่เพราะว่าตอนเย็นนี้ฉันจะไม่อยู่

    ฉันเลยจะชดเชยเวลาที่เราจะเสียไปในเย็นนี้ด้วยการพานายไปกินอะไรอร่อยๆกันยังไงล่ะ

    รออยู่ตรงนั้นนะ...เดี๋ยวฉันจะไปรับ”

     



    ผมกดตัดสายไปเมื่อพูดจบ โดยไม่ลืมส่งจูบผ่านสายโทรศัพท์ไปด้วย

    ได้ยินคยองซูหัวเราะเสียงใสผ่านกลับมาก่อนที่จะวางแล้วก็ต้องยกยิ้มร่า

    รีบเดินออกจากห้องโดยที่ไม่ลืมบอกแทยอนก่อนล่วงหน้าด้วยว่าบ่ายนี้จะไม่เข้าออฟฟิศ 

    และจะให้เธอไปรอพบผมที่สำนักงานใหญ่เลย



    หลังจากที่พูดคุยนัดแนะกับแทยอนเสร็จสรรพผมจึงรีบเดินทางออกจากออฟฟิศ

    และลืมคำสัญญาที่บอกว่าจะโทรกลับหาซูจองไปเสียสนิทใจ...

     

     

    ********




     

    “อื้ม...ถึงบ้านแล้วล่ะ ขอบคุณมากๆนะครับ จงอินรีบไปประชุมเถอะ”

     


     คยองซูพูดออกมาพร้อมทั้งยกยิ้มส่งให้ผมเมื่อเรามาถึงประตูหน้าบ้านกันแล้ว

    ผมพาคยองซูไปกินข้าวที่ร้านประจำของผมและเพื่อนๆและพาเขาไปเดินช๊อปปิ้งซื้อของกัน


    เรามีช่วงเวลาที่ดีต่อกันตลอดทั้งบ่าย และผมก็รู้สึกมีความสุขและเพิ่งมาตื่นตัวว่าพรุ่งนี้มันคือวันคริสมาสต์จริงๆ

    ก็เมื่อเราเห็นบรรยากาศคึกคักในห้างสรรพสินค้าและตามที่ต่างๆที่ประดับไฟและต้นคริสมาสต์กันอย่างสดใส

    ผมและคยองซูตัดสินใจซื้อต้นคริสมาสต์ประดับต้นเล็กๆมาด้วยเพื่อรับเทศกาล

    และตัดสินใจจะมาประดับมันด้วยกันในวันพรุ่งนี้...

     

    ผมอยากจะซื้อของขวัญให้กับคยองซู แต่กลับไม่มีโอกาสเพราะวันนี้เราเดินกุมมือกันเกือบจะตลอดเวลาที่เดินด้วยกัน

    และนั่นทำให้ผมไม่มีทางเลี่ยงออกมาซื้อของขวัญให้เขาได้เลยซักนิด

    แต่นั่นอาจจะไม่ใช่อุปสรรคหรอก ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ผมอาจจะมีเวลาแว๊บออกมาซื้อให้เขาได้บ้างแหละน่า

     

     

    “อืม...ทำไมถึงไล่กันจัง”

     


    ผมถามในขณะที่วางถึงข้าวของที่เราซื้อมาไว้บนพื้นหน้าประตูบ้าน

    ก่อนที่ผมจะทำแอ๊คติ้งแสร้งเรียกร้องความสนใจจากน้องเขาด้วยการตีหน้าเศร้า

    อันความจริงถ้าเลือกได้ผมก็คงไม่ไปหรอกงานเลี้ยงคริสมาสต์บ้าบอกับบริษัท

    แต่มันติดที่ว่ามีประชุมครั้งสำคัญก่อนด้วยเนี่ยสิ...ผมเลยเลี่ยงไม่ได้

     

    “งื้อ...คยองเปล่าไล่ซักหน่อยนะ แต่คยองกลัวจงอินจะไปสายต่างหาก

    คยองว่ารีบไปเตรียมตัวก่อนดีกว่า...เมื่อกี้เห็นพี่แทยอนโทรมา

    เพราะงั้นจงอินอย่าดื้อนะ...รีบๆไปทำงานได้แล้วนะครับ”

     


    คนตัวเล็กไม่ได้พูดเปล่าหากแต่ยังยกมือขึ้นจัดปกเสื้อสูทและเนคไทของผมให้เข้าที่เข้าทาง

    ดวงตาแป๋วแหววนั้นมองตรวจตราและสำรวจเครื่องแต่งกายของผมไปทั่วและมันช่างดูน่ารักเสียจริงๆ

    ผมยกยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเสียเหลือเกิน...

    แอบรู้สึกดีใจที่เมื่อตอนนั้นคิดได้ว่าควรจะทำตามหัวใจตัวเองบอกนะ

    เพราะไม่อย่างนั้นตอนนี้เราอาจจะไม่ได้ยืนยิ้มให้กันอยู่อย่างนี้แน่ๆ

     

    “อืม...งั้นฉันไปก็ได้

    แต่ก่อนไป ขอแรงใจให้ฉันหน่อยสิ”

     

    ผมพูดก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปหาเขา จนใบหน้าเราอยู่ห่างกันไม่เท่าไหร่

    ส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้อย่างแน่ใจว่าน้องเขาต้องรับรู้ได้แน่ว่าผมต้องการอะไร

    คยองซูกรอกตาขึ้นไปข้างบนแล้วยกยิ้มอย่างที่จะบอกกับผมว่า เชื่อเขาเลยให้ตายเหอะ อะไรประมาณนั้น

    แต่แน่นอนว่าผมไม่สนใจมันหรอก...ผมอยากจะได้กำลังใจจากเขานี่นา

     


    “เมื่อก่อนไม่เห็นต้องขอแรงใจยังไปทำงานได้เลย”

     


    คยองซูเบ้ปากออกมาแล้วตีผมที่ต้นแขนเบาๆก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงใส

    ผมเถียงกลับเขาไปอย่างไม่ลดละ

     


    “ก็ตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่เหมือนกัน...

    ตอนนั้นยังไม่มีแฟนฉันเลยไม่เป็นไร

    แต่ตอนนี้มีแฟนแล้ว มีเมีย...ถือว่ามีลูกด้วย

    เพราะตอนนี้ฉันจะเป็นง่อย ไม่เห็นจะแปลก

    โอย...ทำงานแล้วเหนื่อยจังน้า อยากจะเติมพลังซักหน่อย

    อ่า...แต่แฟนไม่ยอมให้ แล้วฉันจะไปหาจากใครดีล่ะเนี่ย”

     


    ผมแสร้งทำเป็นลอยหน้าลอยแต่แล้วพูดกระซิบกับตัวเอง

    คยองซูเบะปากใส่ผมอย่างหมั่นไส้เสียเต็มประดา

    หากแต่เขาก็ยังคว้าแขนของผมเอาไว้ แล้วเขย่งตัวขึ้นมาจูบที่แก้มของผมเบาๆอย่างน่ารักน่าชัง

     


    “อื้ม...นี่ไงให้แล้วๆ

    ตั้งใจทำงานนะครับ สุดที่รักของคยอง

     

    คยองซูจูบเสร็จแล้วก็ส่งยิ้มให้ผมจนตาปิด...

    อา...ใครสั่งใครสอนให้มาทำหน้าตาน่ารักแบบนี้กันนะ

    และบังเอิญผมเป็นพวกไม่รู้จักพอซะด้วย...เพราะฉะนั้นแล้วเรื่องจะห้ามใจไม่ให้เอาเปรียบน้องเขาน่ะเหรอ

    ฝันไปน่ะสิ...หุหุ

     

    “ไม่พออ่ะ...อยากได้อีก” ผมกระซิบในขณะที่คว้าเอวเขาเข้ามากอด

     

    “นั่นไง...ว่าแล้วเชียว”

     

    คยองซูหัวเราะก่อนจะกรอกตาไปมา ในขณะที่ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้

    เขาไม่ได้ว่าอะไรอีก หากแต่ยกมือขึ้นมาคล้องไว้ที่ท้ายทอยของผมอย่างช้าๆ

     

    “ให้จูบเดียวนะครับ...ไม่งั้นจะสาย”

     

    น้องเขากระซิบเสียงหวาน ผมพยักหน้าและยิ้มรับอย่างพอใจ

     

    “อ่าฮะ ฉันขอจูบก่อน...แต่กี่ครั้งนี่ไม่รับปากนะ”

     

    ผมกระซิบก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปประกบจูบ...ตรงหน้าบ้านอย่างนี้นี่แหละ

    คยองซูยิ้มหวานก่อนจะยกมือขึ้นตีที่บ่าผมเบาๆทีหนึ่งที่เล่นไม่เป็นเวลา

    หากแต่สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมารอรับจูบที่ผมมอบให้ หลับตาพริ้มแล้วปล่อยให้ผมได้ขบเม้มริมฝีปากของเขาเบาๆอย่างสนุกปาก

    ความรู้สึกเหนียวเหนอะนะสัมผัสติดที่ริมฝีปากนั้นทำให้ผมรู้ว่าคยองซูทาลิปกลอส

    แต่กลิ่นที่หอมหวานของมันนั่นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่าแทบจะบ้าตาย

    กับลิปกรอสกลิ่นองุ่น...ที่ทำให้จูบเราหวานจนแทบจะละลายได้เลย

     

    ผมส่งลิ้นเข้าไปในปากและคยองซูก็ตวัดมันตอบกลับแผ่วเบา

    สัมผัสที่ปลายลิ้นนั้นทำให้ผมรู้สึกเป็นสุข คยองซูกอดผมแน่นขึ้นอีกเมื่อปลายลิ้นของผมตวัดไปทั่วทั้งโพรงปาก

    จนกระทั่งลมหายใจกำลังจะหมดจากปอดนั่นแหละผมถึงยอมปล่อยเขาออกไปได้

     


    “อื้ม...กำลังใจเต็มเปี่ยมเลย”

     


    ผมบอกกับคยองซูที่หายใจหอบเล็กน้อยอยู่ในอ้อมแขนของผม

    ใบหน้านั้นแดงระเรื่อโดยเฉพาะที่ริมฝีปากนั้นแหละที่ยิ่งเป็นสีแดงปลั่งไปกันใหญ่

    ผมยกมือขึ้นขยี้ริมฝีปากบวมเจ่อสีแดงสดนั้นเบาๆอีกครั้ง

    ก่อนจะก้มลงไปจุมพิตให้สัมผัสแผ่วเบาอีกหนแล้วผละออก

    คยองซูส่งยิ้มให้ผมในขณะที่ผละตัวออกมา...

     

    “ไปทำงานได้แล้วครับ...ไม่ต้องห่วงคยองนะ คยองอยู่ได้”

     

    “จะไม่ร้องไห้คิดถึงพี่จงอินใช่ไหมหืม?” ผมถามเขาพลางยกยิ้มเยาะๆส่งไปให้

     

    “ไม่หรอกน่า...คยองไม่ใช่เด็กแล้วนะจงอิน”

     

    “อืม...งั้นฉันไปก่อนนะ อยู่บ้านดีๆนะตัวเล็ก

    แล้วฉันจะรีบกลับมาช่วยแต่งต้นคริสมาสต์”

     

    ผมบอกเขาก่อนจะเดินถอยหลังออกมาอย่างช้าๆ

    โบกมือส่งให้เขาก่อนจะยกยิ้มกว้างเพื่อบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย

    หากแต่เพิ่งมารู้สึกว่าไม่อยากจะไปเลยซักนิด

    ก็ตอนได้ยินประโยคสุดท้ายที่เขาบอกกับผมก่อนจะเข้าไปในบ้านนี่แหละให้ตาย...

     

    “เรื่องแต่งต้นคริสมาสต์น่ะไม่สำคัญหรอกครับ

    .

    .

    .

    แต่ถ้ารีบกลับ คยองสัญญาว่าจะให้รางวัลชุดใหญ่เลย”

     



    **********

     



    การประชุมผ่านไปได้ด้วยดี...และผมยอมรับว่าตอนที่ประชุมน่ะตื่นเต้นพอสมควร

    เพราะการประชุมครั้งนี้มีประธานยูและผู้ถือหุ้นของบริษัทเข้าร่วมด้วย

    กับผู้ถือหุ้นน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ที่ทำให้ผมอึดอัดก็คือท่านประธานยูนั่นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ควรจะทำพลาด

    ในเมื่อเขาเป็นคนช่วยเหลือผม ผมก็ควรจะทำผลงานให้ดีเพื่อรักษาเครดิตของเขาไม่ใช่หรือ...

     


    แต่ในเมื่อการประชุมผ่านไปได้ด้วยดี ในตอนนี้ผมเลยเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าเบื่อและอึดอัดสุดๆ

    เพราะแต่ไหนแต่ไรที่เริ่มทำงานมาผมก็ไม่ค่อยได้ร่วมสังคม

    หรือสังสรรค์กับพวกผู้ถือหุ้นใหญ่ของเราหรือแม้กระทั่งฝ่ายบริหารที่ทำงานด้วยกันบ่อยๆ

    พวกเขารู้ดีว่าผมเป็นคนติดลูก(คยองซู)แจ เลยไม่ค่อยมีโอกาสเท่าไหร่นักที่ผมจะได้มาพบปะพูดคุยกับพวกเขาแบบนี้

    แต่ใช่ว่าผมจะไม่มีวาทศิลป์ในการเข้าสังคมหรอกนะ

    ผมรู้ว่าผมทำมันได้ดี แต่ที่ไม่ค่อยจะสุงสิงกับใครก็เพราะว่าติดเมียมากไปหน่อย...

     


    ผมปล่อยให้แทยอนได้ไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนที่จบมาจากโรงเรียนเลขานุการรุ่นเดียวกับเธอ

    แล้วตัดสินใจเดินออกมายืนอยู่คนเดียวที่บาร์น้ำด้านหลังสุดของห้องจัดเลี้ยง

    ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย แต่ก็ไม่กล้าจะไปไหนนอกจากตรงนี้


    งานเลี้ยงยังดำเนินไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง แต่ผมกลับรู้สึกว่าคิดถึงคยองซูใจจะขาด

    หยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดโทรออก รอไม่นานเท่าไหร่คยองซูก็รับสาย

    ตอนนั้นแหละที่รู้สึกว่าโลกสีเทาที่เผชิญอยู่กลับกลายเป็นสีชมพูไปในพริบตา

    อา...ผมล่ะรักเขาจัง คยองซูอ่า

     


    “งานเลิกแล้วเหรอครับจงอิน?”  เขากรอกเสียงถามอย่างประหลาดใจที่ผมโทรไป

     

    “ยังเลย ไม่ถึงไหนเลย...

    แต่งานเลี้ยงนี่น่าเบื่อสุดๆเลย ฉันคิดถึงนายใจจะขาด”

     

    ผมบ่นพลางดึงเอาหมวกคริสมาสต์ที่สวมอยู่ออกจากศรีษะแล้วขว้างลงไปกับบาร์ที่ยืนอิงอยู่

    ก่อนจะพูดคุยกับคยองซูต่อไปอย่างไม่สนใจว่าบรรยากาศในงานจะครึกครื้นแค่ไหน

     


    “แล้วนี่ทำอะไรอยู่เหรอ? กินข้าวเย็นหรือยัง?”

     


    “กำลังทำอยู่เลยครับ วันนี้จงอินไม่อยู่คยองเลยทำอะไรง่ายๆกินเอง

    เห็นของเหลือๆในตู้เย็นก็เลยเอามาทำข้าวผัดทูน่า แต่กลิ่นหอมใช้ได้เลยนะ”

     


    คยองซูพูดตอบและนั่นทำให้ผมเพิ่งสังเกตว่าเสียงที่ดังเล็ดลอดออกมาจากหูโทรศัพท์คือเสียงคยองซูกำลังผัดข้าวผัดดังฉ่า

    แค่ได้ยินเสียงก็รู้ว่าอร่อย ยิ่งได้คิดว่าเป็นรสมือของคยองซูด้วยแล้วล่ะก็

    มันทำให้เขาอยากจะทิ้งพวกอาหารหรูๆในห้องจัดเลี้ยงนี้แล้วหนีกลับบ้านไปกินข้าวผัดของคยองซูซะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเชียว...

     


    “อ่า...ขอโทษนะ แทนที่คืนนี้เราจะได้อยู่แล้วกินข้าวด้วยกัน”

     


    ผมขอโทษเขาเสียงแผ่ว..รอยยิ้มเจื่อนไปเล็กน้อยเพราะว่ารู้สึกเสียดายที่ต้องมาอยู่ที่นี่แทนที่จะเป็นบ้าน

     


    “เฮ้...ไม่เอาสิ วันนี้จงอินก็พาคยองไปกินข้าวมาแล้วไง

    แถมอีกอย่างคืนนี้ก็เป็นคืนธรรมดาที่จะกลายเป็นวันคริสมาสต์ในวันพรุ่งนี้ก็เท่านั้นเอง

    ถ้าสมมติว่าเป็นพรุ่งนี้ที่จงอินไม่ว่างสิคยองจะงอนซะให้เข็ด...

    แต่ถ้าเป็นวันนี้ก็หายห่วงน่า อดทนเข้าหน่อยเถอะครับ เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้ว”

     


    “อืม...แล้วฉันจะรีบกลับเลย

    เพราะงั้น อย่าลืมรางวัลชุดใหญ่ของฉันนะ”

    บอกไปด้วยน้ำเสียงขี้เล่นหากแต่จริงจังในสิ่งที่พูด

    คยองซูหัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ แต่ก็แกล้งทำเป็นว่าไม่ชอบใจที่ผมพูดอย่างนั้น

     


    “นี่โทรมาหวังแต่เรื่องอย่างนี้สินะพี่บ้า!

     


    “เอ้า...ก็มาพูดให้ความหวังอ้ะ ฉันหวังแล้วผิดตรงไหนกัน?”

     


    “ไม่รู้ไม่ชี้ล่ะ...อ๊ะ! เดี๋ยวคยองขอวางก่อนนะครับจงอิน

    เซฮุนโทรมาเป็นสายซ้อนน่ะ น่าจะเรื่องรายงานกลุ่มวิชาสังคม

    ยังไงก็รีบๆกลับมาน้า แล้วคยองจะรอ”

     


    “อื้ม...รอฉันก่อนนะตัวเล็ก แล้วพี่จะรีบกลับครับ รักนะ บาย...”

     


    ผมกล่าวลากับเขาเมื่อคยองซูมีสายโทรศัพท์ซ้อนเข้ามา

    ถอนหายใจในขณะที่วางสาย เพราะยิ้มได้ไม่นานก็กลับมารู้สึกเบื่ออีกแล้ว

    แต่หัวใจห่อเหี่ยวได้ไม่เท่าไหร่ก็กลับกลายเป็นสะดุ้งสุดตัวแทน

    เมื่อใครบางคนเรียกเขามาจากทางด้านหลังโดยไม่ให้ได้ตั้งตัว...

     


    “สายสำคัญอีกแล้วสินะครับคุณจงอิน”

     


    “ค..ครับ โอ้...ขอโทษครับท่านประธาน! ผมไม่ทันเห็นว่าท่านอยู่ตรงนี้”

     

    ผมรีบขอโทษขอโพยท่านประธานยูเสียยกใหญ่ที่เขามานั่งอยู่ด้านหลังนี้แท้ๆแต่ผมกลับไม่เห็นเขา

    รู้สึกเหงื่อตกเพราะจำได้ว่าพูดว่างานเลี้ยงนี้น่าเบื่อไปเสียด้วยสิ

    แต่เขาเองก็จำไม่ได้แล้วแฮะ ว่าพูดถึงมันในแง่ดีหรือร้าย พูดนินทาไปเยอะหรือเปล่า

     


    “ขอโทษอะไรกัน ผมต่างหากที่เพิ่งเดินมาตรงนี้

    พอดีว่าไวน์ของผมมันพร่องไปเยอะ

    แถมพวกคุณชเวก็เอาแต่จะชวนพูดเรื่องราคาหุ้น น่าปวดหัวออกนะว่าไหม

    เฮ้...นี่มันปาร์ตี้คริสมาสต์นะ ทำไมผมต้องมาทนฟังเรื่องเครียดๆด้วยจริงไหมล่ะ

    และผมเห็นด้วยกับคุณนะ...งานเลี้ยงนี่มันน่าเบื่อสุดๆไปเลย”

     

    ประธานยูพูดกับผมพลางขยิบตาส่งมาให้อย่างขี้เล่น

    แต่หัวใจผมดิ่งวูบไปแล้วล่ะเมื่อรู้ว่าเขาได้ยินบทสนทนาของผมเข้าไปเต็มๆ

     

    “ผม -- ไม่ได้ตั้งใจครับท่าน แต่มันก็ เอ้อ...น่าเบื่อจริงๆนี่นา”

     

    ผมยักไหล่ตอบเขาไป ก่อนที่ท่านประธานจะหัวเราะออกมายกใหญ่เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น

    ผมยิ้มตอบไปเพราะรู้สึกโล่งอกขึ้นหน่อยที่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้มีท่าทีในแง่ลบกับผมเกี่ยวกับความเห็นเรื่องนี้

     


    “อา...ตลกจัง ผมชอบคุณนะคุณจงอิน

    เรามาดื่มกันซักแก้วดีไหม ผมว่าอยู่กับคุณคงดีกว่าไปคุยกับพวกเพื่อนๆหุ้นส่วนทางโน้น

    คุณเป็นคนตลกดีนะ แล้วก็ตรงไปตรงมาดี ผมชอบ

    เอาสิ...ดื่มกับผมซักแก้วนึงนะ ไวน์ซักแก้วก็แล้วกัน พอให้พูดกันสนุก”

     


    ประธานยูพูดกับผมแล้วหันไปสั่งไวน์แดงเกรดธรรมดาอย่างชาดอนเนมาดื่ม

    และนั่นทำให้ผมแปลกใจเพราะคิดว่าเขาน่าจะชอบดื่มอะไรที่แพงกว่านั้น

    แต่นั่นมันก็หมายความว่าแท้จริงแล้วเขาเองก็เป็นคนง่ายๆและสบายๆเหมือนบุคลิคที่แสดงออกกับผมหรือเปล่า

    เพราะปกติแล้วชาดอนเนเป็นไวน์ที่มักจะดื่มบนโต๊ะอาหารในมื้อเย็น

    ให้ความรู้สึกสบายเป็นกันเองและไม่มีพิธีรีตองที่จะต้องดื่มมันมากนัก...

     

    “ขอบคุณครับท่าน ผมเองก็ไม่ได้คิดว่างานนี้แย่อะไรหรอกนะครับ

    แต่ที่ทำให้คิดว่าน่าเบื่อก็อาจจะเพราะว่ามีอย่างอื่นที่น่าสนใจมากกว่าการมาอยู่ที่นี่”

     


    “นั่นสินะ...บางทีผมก็คิดเหมือนกับคุณนั่นล่ะ

    แต่คุณก็รู้ว่ามันเป็นธรรมเนียม บริษัทก็จัดงานกันอย่างนี้ทุกปีล่ะ

    และผมว่าถ้ามองอีกมุมนึง มันก็คงไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกถ้าจะจัดให้พนักงานได้มาดื่มสังสรรค์กันแบบฟรีๆบ้าง

    แต่แน่นอนว่าใจผมเองตอนนี้อยากจะกลับบ้านเต็มทน คิดถึงลูกสาวเอามากๆเลยล่ะ

    ผมยังหาชุดซานต้าไปแต่งเซอร์ไพรส์ลูกสาวผมในวันพรุ่งนี้ไม่ได้เลยด้วยสิ

    อ่า...แย่ล่ะ ผมคิดว่าคงต้องให้เลขาของผมช่วยเช่าให้ทันก่อนเย็นพรุ่งนี้ซะแล้ว”

     

    เขาพูดและยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ แต่ท่าทางตอนยกดื่มไวน์นั้นก็ดูเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้

    ผมพยักหน้าไปสองสามครั้งก่อนจะพูดปลอบใจเขาไปอย่างที่ใจคิด

     

    “อย่าคิดมากไปเลยครับท่าน ทุกอย่างน่าจะทันการถ้าเราวางแผนไว้ดีๆ

    ว่ากันตามจริงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้ซื้อของขวัญคริสมาสต์ให้คนสำคัญของผมเลย

    ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วด้วย จะไปหาซื้อพรุ่งนี้ก็คงยากที่จะเอาไปเซอร์ไพรส์ล่ะมั้ง”

     

    ผมพูดและยักไหล่ด้วยเช่นกัน...ยกไวน์ขึ้นจิบครั้งหนึ่งหากแต่ก็ทำให้พร่องไปได้มากโข

    ผมไม่ใช่คนดื่มจัด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชอบดื่ม

    นี่ก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าตอนนั้นไม่ได้รับเลี้ยงคยองซูตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ...

    เผลอๆก็อาจจะยังทำตัวสำมะเลเทเมาไม่เป็นท่าเหมือนตอนนั้นอยู่ก็ได้

     


    “คนสำคัญที่ว่านั่นใช่ไหมครับคือบางอย่างที่คุณบอกว่าน่าสนใจกว่าการมาอยู่ที่นี่”

     


    ประธานยูพูดหยอกก่อนจะยื่นแก้วมาชนกับผม

    ด้วยความที่เขาอายุมากพอสมควรแล้ว และท่าทางเป็นมิตรและอบอุ่นที่เขามีต่อผมเหมือนกับมองลูกหลานของตัวเอง 

    ก็ทำให้ผมไม่ได้รู้สึกเกร็งมากเท่าเมื่อครู่อีกแล้ว

    กลับรู้สึกดีกว่าด้วยซ้ำที่เขายังคงใจดีกับผมแม้ว่าผมจะทำตัวไร้มารยาทไปมากโข

    และทำให้ผมรู้สึกโอเคที่จะพูดคุยแบบเปิดเผยกับเขามากขึ้นด้วย

     


    “อ่า...ก็ใช่ครับ  วันนี้อากาศมันหนาวๆ ชอบกลอยู่

    ถ้าได้กลับไปนอนกอดใครซักคนที่บ้านให้อุ่นๆก็คงจะดี

    หิมะแรกไม่รู้จะมาเมื่อไหร่...แต่ก็คงจะดีนะถ้าได้เห็นมันกับเขา”

     


    ผมพูดแล้วยกยิ้มออกมาบางๆเมื่อได้คิดถึงคนตัวเล็กที่รออยู่ที่บ้าน

    ลืมไปเลยว่าท่านประธานยูนั่งอยู่ข้างๆนี้...จนกระทั่งเขากระแอมออกมานั่นแหละ

    เลยทำให้ผมเรียกตัวเองให้กลับมาอยู่ในโลกแห่งความจริงได้อีกครั้ง

     


    “เอ้อ...ขอโทษครับ สติสตังผมไม่ค่อยจะอยู่กับร่องกับรอยเท่าไหร่หรอกช่วงนี้”

     

     

    “อ่า...ผมเองก็เคยเป็นนะ ช่วงที่แต่งงานกับภรรยาใหม่ๆก็งี้ล่ะ

    พาลอยากจะกลับบ้านตลอดเวลาเลย -- อย่างที่คุณก็รู้

    จนสุดท้ายเราก็มีลูกด้วยกันสามคน

    ถ้าใครจะไม่อยู่กับร่องกับรอยล่ะก็นะ ผมว่าช่วงนั้นผมคงเป็นหนัก ฮ่าๆๆๆๆๆ”

     


    ประธานยูหัวเราะออกมาอย่างชอบใจในขณะที่ผมทำได้แค่ยิ้มและพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

    เขาชักชวนให้ผมชนแก้วกับเขาและดื่มรวดเดียวหมด

    ผมไม่ได้อิดออดที่จะทำตามที่เขาร้องขอ

    จนกระทั่งแก้วไวน์ของเราทั้งสองคนว่างเปล่า เขาจึงหันกลับมาพูดกับผมอย่างอารมณ์ดี

     


    “เอาล่ะ...ในเมื่อไวน์ของเราหมดแล้ว ผมก็ว่าคุณน่าจะรีบกลับบ้านได้แล้วนะ”

     


    เขาพูดกับผมแล้วยกยิ้มบางๆราวกับผู้ใหญ่เอ็นดูลูกหลาน

    หากแต่นั่นแหละที่ทำให้ผมต้องเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู

    เขาบอกให้ผมกลับบ้านงั้นเหรอ?

     


    “เอ๋? ได้หรือครับท่าน ผมคิดว่างานตอนนี้ยังไปไม่ถึงครึ่งทางเลยซะอีก”

     


    “เฮ้...เดี๋ยวลำดับต่อไปก็เป็นการแสดงของพนักงานบริษัท

    คุณไม่ได้แสดงด้วยแล้วคุณจะอยู่ไปทำไมล่ะ มันน่าเบื่อจะตายไป

    คุณไม่ต้องกลัวว่าใครจะต่อว่าคุณหรอก...

    เพราะถ้าใครจะมีสิทธิต่อว่าคุณได้ก็น่าจะเป็นผมไม่ใช่หรือไง

    แต่ผมคิดว่าตอนนั้นกับตอนนี้คุณก็คงจะเลือกถูกเหมือนเดิมนะ

    มองไปข้างหน้า...แต่อย่าทิ้งคนข้างหลัง ผมชอบมันนะที่คุณบอกกับผมตอนนั้น”

     


    ท่านประธานเดินมาตบบ่าของผมเบาๆแล้วกำมันอย่างแรงทีหนึ่งราวกับจะนวดไหล่

    ผมเบิกตาอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงในสถานการณ์นี้ก่อนจะเอ่ยออกไป

     


    “แต่...” ลากเสียงอย่างไม่แน่ใจนัก

     


    “เอาเถอะน่า รายการสุดท้ายก็เป็นจับรางวัลหางตั๋วเอาหม้อหุงข้าว

    ตู้เย็น แอร์ ทีวีพลาสม่ารุ่นใหม่ล่าสุด...

    แต่ผมว่า...อย่างคุณน่ะมีปัญญาซื้ออะไรพวกนี้ได้เองอยู่แล้วนี่จริงไหม

    และถ้าเป็นผมนะ...ผมจะรีบกลับบ้านทันทีเลยล่ะ

    .

    .

    .

     

    เพราะผมมั่นใจว่ากลับไปแล้วรางวัลที่จะได้นั้นคุ้มกว่า”

     

    เขาพูดพลางขยิบตากับผมแล้วเดินจากไป....

     

     

     

    *********


     

     

    ผมรีบขับรถบึ่งกลับมาถึงบ้านในเวลาไม่นานเท่าไหร่นัก

    เพิ่งเข้าใจว่าที่อากาศมันหนาวขนาดนี้เพราะว่าในตอนนี้หิมะเริ่มโปรยตัวลงมาอย่างช้าๆ

    หิมะแรกกำลังโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย...

     

    ยกยิ้มเมื่อขับรถเข้าไปจอดในตัวบ้าน

    หยิบเอาช่อดอกไม้ที่บังเอิญโชคดีไปขอให้เขาช่วยจัดช่อให้เป็นคิวสุดท้ายของร้าน

    ถือเอาไว้ในมือแล้วยกยิ้มกว้างเมื่อมองเห็นคนตัวเล็กที่ยืนรออยู่ที่ประตูหน้าบ้านตั้งแต่ผมขับรถเข้ามาแล้ว

     


    “ทำไมกลับมาเร็วจังเลยครับจงอิน”

     


    คนตัวเล็กถามผมก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วยกมือขึ้นปัดเศษหิมะที่ร่วงติดเสื้อของผมให้หลุดออกไป

    ผมยกยิ้มเมื่อเห็นว่าจมูกของเขาแดงเรื่อเพราะอากาศหนาว

    และสิ่งที่คลุมตัวเขาก็เป็นแค่ผ้าห่มผืนบางๆก็เท่านั้น...

     

     

    “ก็รีบกลับมาหาคยองซูไงล่ะ...

    ฉันซื้อดอกไม้มาฝากด้วยนะ  นายชอบมันไหม?”

     


    “อื้ม...คยองชอบดอกลิลลี่ ขอบคุณนะจงอิน”

     



    คยองซูรับช่อดอกไม้ช่อเล็กไปจากมือผมแล้วเขย่งตัวขึ้นมาจูบที่แก้มเบาๆ

    ริมฝีปากเย็นเฉียบนั้นทำให้ผมรับรู้ได้ว่าเขาไม่ได้เพิ่งมายืนตรงนี้อย่างแน่นอน

     

     

    “ทำไมตัวเย็นจัง นี่ออกมารอข้างนอกตั้งแต่เมื่อไหร่?”

     

    “ตั้งแต่คยองเห็นหิมะตก คยองก็ออกมานั่งดูเลย

    มานั่งรอจงอินด้วย ก็คยองอยากให้คนแรกที่เห็นหิมะแรกของปีนี้กับคยองเป็นจงอินนี่นา”

     


    “อืม ฉันก็เหมือนกัน

    ฉันก็เลยรีบกลับมาเลยนี่ไง...ฉันอยู่นี่แล้วเห็นมั้ยล่ะที่รัก

    และนายเห็นมันใช่ไหม? นี่คือหิมะแรกของเรานะ”

     


    “อื้ม...คยองเห็นมันแล้วครับ

    สวยจังเลย...มันสวยมาก”

     


    “มันสวยเพราะว่านายมองมันกับฉันไงล่ะคยองซูอ่า”

     


    ผมพูดจบแล้วก็ก้มหน้าลงจูบกับเขา

    กอดคยองซูไว้แน่นเพื่อที่จะทำให้คลายหนาว

    มอบจูบดื่มด่ำให้เพื่อตอบแทนและขอโทษที่ทำให้เขาต้องรอนาน

    อุณหภูมิในร่างกายเพิ่มขึ้นมาเมื่อเราสองคนกอดกันเอาไว้

    และจูบที่เชื่องช้าและอิ่มเอิบนั้นกลับกลายเป็นจูบเร่าร้อนที่ผมบอกแทนอารมณ์ปรารถนา

     


    “อือ...ตรงนี้มันหน้าบ้านนะจงอินอ่า”

     


    คยองซูร้องออกมาเมื่อเขาผละหน้าออก

    ช่อดอกไม้นั้นยังอยู่ในมือเขา ที่ตอนนี้ยกขึ้นโอบรอบคอผมไว้แนบแน่น

     



    “ตื่นเต้นดีออก...ให้หิมะแรกช่วยเป็นพยานไง

    แถมอีกอย่างคือเมื่อกี้ฉันพลาดจอทีวีพลาสม่า 52 นิ้ว

    เพื่อมาเอารางวัลจากนายโดยเฉพาะนะคยองซูอ่า เพราะงั้นฉันจะไม่รออีกแล้วล่ะ

    ฉันอยากได้รางวัลของฉัน...”

     


    “โธ่...จริงเหรอ?

    ทำไมจงอินไม่รอเอามันมาก่อนล่ะ คยองอยากได้ทีวีนะ”

     


    คยองซูยกมือขึ้นตีที่บ่าผมเบาๆเมื่อได้ยินเหตุผลที่ผมแก้ตัวกับเขา

    ผมหัวเราะออกมาแล้วกัดริมฝีปาก เอ่ยกระซิบเหตุผลที่เข้าท่าสุดๆในความคิดออกไปอย่างแผ่วเบาแต่ตรงประเด็นว่า...

     


    “แต่พี่อยากได้คยองซู”

     


    “อ่า...เหตุผลก็โอเคนะ งั้นยอมก็ได้”

     


    คยองซูหัวเราะคิกคักแล้วยิ้มจนตาปิด

    เลื่อนหน้าเข้ามาหาผมแล้วเราสองคนก็จูบกันอีกหนอย่างเชื่องช้า

     

    ตอนนี้เครื่องผมติดแล้ว...

    ตอนนี้เพิ่งจะสามทุ่มนิดๆ และผมถือว่ามันเป็นช่วงเวลาดีที่เราจะเมคเลิฟกัน

    ผมอุ้มเขาไว้ในอ้อมแขนแล้วดันเขาไปติดกำแพงกว้างแล้วเริ่มต้นเล้าโลมอย่างช้าๆ

    รู้สึกตื่นเต้นเพราะนี่อาจจะเป็นเซ็กส์นอกสถานที่ครั้งแรกของเราที่นอกเหนือไปจากเตียงกว้างๆในห้องนอนของเราทั้งคู่

     

    ผมว่าที่ตรงนี้มันเวิร์คเอามากๆที่จะใช้เมคเลิฟ...

    เพราะถึงแม้จะเป็นประตูหน้าบ้านแต่ตัวบ้านของเราทั้งสองก็ลับตาคนมากพอ

    และเพื่อนบ้านก็ช่างเป็นใจที่พากันไปเที่ยวที่ต่างจังหวัดกันหมด

    เราอาจจะเปลี่ยนที่ไปเป็นโต๊ะกลางสวน หรือไม่ก็ชิงช้าไม้ก็ได้ถ้าเราต้องการ

     


    “อา...จงอิน”

     


    ไม่ได้แค่คิดในใจเท่านั้นแต่จงอินกลับค่อยๆเล้าโลมคยองซูอย่างช้าๆ

    รสจูบหนักหน่วงนั้นทำให้คยองซูมึนเมาไปหมด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากำลังต้องการเช่นกัน...

     


    ทั้งสองคนต่างก็พากันสนใจในการกระทำของอีกฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจ

    โดยไม่ได้รู้เลยว่าประตูรั้วเหล็กหน้าบ้านนั้นถูกเปิดออกอีกหนโดยฝีมือของใครบางคนที่พวกเขาไม่ทันสังเกตุ...

    และแม้แต่เสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาก็แผ่วเบาจนพวกเขาไม่ได้ยินเลยด้วยซ้ำ

     

     

    “คิมจงอิน!!!!!

     

     

    เสียงหนึ่งตวาดขึ้นมาและทำให้ผมกับคยองซูต้องสะดุ้ง!

    เสียงที่คุ้นหูเหลือเกินและทำให้หัวใจผมเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ...

    ผมรีบผละจากคยองซูไปมองคนที่ตะโกนเรียกชื่อแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง

    อ้าปากค้างเพราะพูดไม่ออกเมื่อได้เห็นเขามายืนอยู่ตรงนี้...

     

    ...พ่อของคยองซู....

     


    “ป่ะป๊า!!

     


    คยองซูร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าคุณโดยืนอยู่ตรงนั้น

    ผิดกับผมที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงเป็นรูปปั้นเมื่อเห็นว่าเขาหายใจฮึดฮัดอย่างโกรธเคือง

    ผมมั่นใจว่าถ้าเขามีปืนอยู่ในมือเขาคงจะหยิบมันมายิงผมไปแล้ว

     

    ผมกลืนน้ำลายลงไปในคออึกใหญ่...เมื่อเขาก้าวฉับๆเข้ามา

    ทิ้งกล่องเค้กใบใหญ่ที่ถือมาลงกับพื้น แล้วคว้าแขนคยองซูที่เบิกตากว้างอย่างตกอกตกใจไปจากผม

    แล้วเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยโทสะที่เต็มเปี่ยม...

     

     

    “คุณ -- กำลังทำอะไรกับลูกชายของผม?!!

     

    .

    .

    .

     

    โอ พระเจ้า...ช่วยบอกผมทีว่าผมควรจะทำยังไง?





    ✚ TALK 

    กลับมาอัพแล้ว พร้อมข่าวดี(เหรอ?)
    ถ้าอยากรู้ก็คลิกอ่านตอนต่อไปสิคะ...

    แล้วเจอกันตอนหน้านะ ชุ๊บ ชุ๊บ >3

    - ไรเตอร์นมน. -



    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×