ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [C0MPLETE] ✚ :: BE MY BABY :: ✚ [KAI x D.O.]*

    ลำดับตอนที่ #5 : ✚ BE MY BABY :: FIVE

    • อัปเดตล่าสุด 5 ต.ค. 55


     

    Author : MR.$N0WMAN*

    Pairing : Kim Jongin & Do Kyungsoo

    Story : Jackboiz

    Rate : PG - 15

     

     

    Be my Baby*





     




    ‘0.05









    “จงอินนนนนนน ตื่นได้แล้วววว เดี๋ยวจะไปทำงานไม่ทันนะ”

     

     

    เสียงใสของคยองซูดังขึ้นอย่างร่าเริงในขณะที่ผมต้องหลับตาปี๋

    เพราะแสงสว่างที่ส่องมาจากหน้าต่างบานใหญ่ที่คยองซูเพิ่งเดินไปเปิดม่านเมื่อครู่นั้นทำให้ผมต้องร้องออกมาโอดโอย

     

     

    “อา...ขอนอนต่อไม่ได้เหรอ? ทำไมต้องรีบปลุกด้วย”




    ผมโอดครวญในขณะที่ยกหมอนมาปิดหน้า แต่คยองซูไม่เห็นด้วยกับผม

    เขารีบเดินมาดึงผ้าห่มและหมอนออกไปจากผมแล้วเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

     

     

    “ไม่ได้ครับจงอิน...วันนี้มีประชุมแต่เช้าไม่ใช่เหรอ?

    คุณบอสซูโฮจะบ่นเอานะถ้าจงอินไปสายอีก”

     
     

    เขาพูดไปเรื่อยๆในขณะที่ก็พับผ้าห่มให้ผมแล้ววางไว้ตรงปลายเตียง

    ผมได้แต่ทำหน้าเหยเกแต่ก็บ่นอะไรออกมาไม่ได้อีก

    จึงปล่อยให้น้องเขาเดินมาดึงแขนให้ลุกขึ้นนั่งแล้วเอาหมอนมาตีผมเสียทีหนึ่ง

    โอย...นี่ขนาดว่าผ่านมาสี่ปีแล้วนะ โดนปลุกอย่างนี้ทุกวันก็ยังไม่ชินซักที...

     


     

    ใช่ครับ...อ่านไม่ผิดหรอก ผมขอย้ำว่าจากวันนั้นจนถึงตอนนี้มันผ่านมาสี่ปีแล้ว

    เรื่องของเรื่องคือคุณโด(พ่อของคยองซูน่ะ) เขาหนีคดีไปอเมริกาแล้วบังเอิญพบรักกับผู้หญิงคนใหม่ที่นั่น

    เขาก็เลยแต่งงานและอยู่กินกันฉันสามีภรรยาที่โน่นไปเลย


    ตอนแรกคุณโดก็พยายามจะให้คยองซูย้ายไปอยู่ที่โน่นอยู่หรอก แต่คยองซูก็ไม่ยอมท่าเดียว

    คยองซูบอกว่าอยู่ที่เกาหลีสบายใจมากกว่า เพราะติดเพื่อนและโรงเรียนที่นี่ไม่อยากไปอเมริกา

    ไอ้ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก เพราะคุณโดแกฝากฝังไอ้เด็กดื้อนี้ไว้ตั้งเป็นปีสองปี

    ถ้าคยองซูจะขออยู่ต่อไปผมเองก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ

    เพราะว่าผมกับคยองซูก็อยู่ด้วยกันจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว...

    อยู่จนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน...

     

     

    “จงอิน!! ถ้าไม่ตื่นตอนนี้คยองจะไม่ให้จงอินกินข้าวเช้าแล้วนะ!!

     

     

    เสียงคยองซูตะโกนมาปลุกให้ผมที่นั่งสัปหงกคอตกอยู่ต้องตื่นขึ้นมา

    ได้ยินคำขาดของน้องมันแล้วก็ทำให้ผมต้องถอนหายใจแล้วลุกจากเตียงอย่างช่วยไม่ได้

    นับวันก็เริ่มไม่แน่ใจว่านี่ผมหรือคยองซูที่เด็กกว่า...

     

     

    “รู้แล้วน่า...จะไปอาบน้ำแล้ว” ผมกระซิบตอบเขาไปเสียงแผ่วก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวทีหนึ่งแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ

     
     

     

    ผมมองคยองซูที่กอดอกและพยักหน้าอย่างพึงพอใจอยู่ตรงหน้าประตูห้องน้ำแล้วก็รู้สึกหมั่นไส้

    เลยยกมือขึ้นไปเขกกะโหลกไอ้เด็กน่าหมั่นไส้ตรงหน้านั้นทีหนึ่งแล้วเผ่นเข้าห้องน้ำไปแล้วปิดประตูดังปัง!

     

     

    “ย๊า!!! มาเขกหัวคยองทำไม มันเจ็บนะ!

    วันนี้ไม่ทำข้าวเช้าแล้ว! งอน!!!

     

     

    เสียงไอ้เด็กนั่นตะโกนเข้ามาในห้องน้ำ...ทำเอาผมตาเหลือก

    บ้าชิบ...ไม่ได้นะ ผมต้องกินข้าวเช้านะ วันนี้มีประชุม!

     

     

    “เฮ้ยคยองซู! อย่าทำงี้ดิ...ไม่เอาน่าอย่างอนดิ ฉันขอโทษ”

     

     

    “ไม่สน!!

     

     

    ผมเปิดประตูออกไปแล้วง้อน้องเขา

    แต่ก็เห็นว่าน้องเขาตะโกนกลับมาแถมยังเดินกระแทกเท้าปึงปังออกจากห้องไปแล้วปิดประตูใส่หน้าผม

     



     

    ปัง!!!!

     

     

    โอเค...มาเต็ม อารมณ์ล้วนๆ

    ไม่น่าไปแกล้งเด็กมันเลย...ดูเอาเถอะ

     

    .

    .

     

    สงสัยว่าวันนี้ผมคงต้องพึ่งแซนวิชหน้าบริษัทแล้วล่ะ T T

     

     

     

     

     

    ************

     

     

     

    จนแล้วจนรอดผมก็ได้กินข้าวเช้าจนได้...

    ตอนแรกก็ใจเสียอยู่หรอกเพราะไม่เห็นน้องมันทำข้าวเช้าให้เหมือนทุกที

    แต่มารู้เอาทีหลังว่าคยองซูแอบไปทำแซนวิชใส่กล่องเอาไว้ให้ผมมากินในรถ

    เพราะเขาเห็นว่าวันนี้ผมตื่นสายขืนกินข้าวเช้าคงไม่ทันแน่

     

     

    “อ่ะ...นี่น้ำครับ”


     

    คยองซูส่งขวดน้ำดื่มให้ผมหลังจากที่ผมจัดการกินแซนวิชชิ้นสุดท้ายเข้าไปในปาก

    ผมยังคงทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองที่ดีด้วยการขับรถไปรับไปส่งคยองซูที่โรงเรียนทุกวันไม่ได้ขาด

    นี่ขนาดว่าขึ้นม.สองแล้วนะ...ผมยังต้องขับรถไปรับไปส่งอยู่เลย

     

     

    แต่ถ้าจะให้ขึ้นรถเมล์กลับเองก็เป็นห่วง หน้าตาคยองซูยิ่งเหรอหราหลอกง่ายๆอยู่ด้วย

    ผมเลยไม่ค่อยจะอยากไว้ใจให้ขึ้นรถไปไหนมาไหนคนเดียวเท่าไหร่

    สุดท้ายเลยต้องมาขับรถไปส่งน้องเขาที่โรงเรียนทุกวันอย่างนี้... (แล้วจะบ่นทำไม?)

     

     

    “อืม...ขอบใจมาก”

     

     

    ผมบอกออกมาในขณะที่หยิบน้ำนั้นมาดื่ม

    เรากำลังติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกหนึ่งที่การจราจรติดขัดพอสมควร

    และนั่นทำให้ผมรู้สึกโชคดีที่คยองซูตัดสินใจไม่ทำกับข้าวเช้าให้ผมนั่งกินที่บ้าน

     

     

    ตอนนี้ใกล้จะถึงโรงเรียนของคยองซูแล้ว...

    และโชคดีที่ทางไปโรงเรียนของคยองซูและผมอยู่ทางเดียวกัน ผมเลยไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดกับเวลามากเท่าไหร่

     
     

     

    “เอ่อ...จงอิน

    วันนี้จงอินไม่ต้องมารับคยองน้า”

     
     

     

    เด็กน้อยหันมามองผมแล้วพูดเสียงออดอ้อน

    จะขออะไรอีกล่ะคราวนี้...

     
     

     

    “ทำไม? จะไปไหน?” ผมถามเขา

     
     

     

    “วันนี้คยองมีนัดทำรายงานที่บ้านจื่อเทาครับ...รายงานส่งพรุ่งนี้เลยต้องนัดกันไปทำ

    จื่อเทาสัญญาว่าจะให้คนมาส่งคยองที่บ้าน  เพราะงั้น...จงอินให้คยองไปน้า”

     

     

    คยองซูพูดเสียงอ้อนแต่นั่นก็ทำให้ผมต้องยกหางคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

    ช่วงนี้คยองซูชอบไปไหนมาไหนกับไอ้เด็กจื่อเทานั่นบ่อยๆ เพราะว่าเป็นเพื่อนสนิทกันในโรงเรียนและอยู่ห้องเดียวกันด้วย

     

     

    ผมไม่ค่อยชอบหน้าไอ้เด็ก หวาง จื่อเทา เท่าไหร่นัก...

    เพราะอย่างว่าแหละ...เป็นเด็กโรงเรียนนานาชาติ พ่อแม่เป็นถึงท่านทูตก็เลยออกจะติดมาดคุณหนู

    แถมช่วงนี้ก็ชอบมาชวนให้คยองซูไปนั่นไปนี่ด้วยบ่อยๆ หรือไม่ก็มาหาถึงบ้านเลย

    อาทิตย์นึงมีเจ็ดวันก็มักจะเจอหน้าจื่อเทาไม่ต่ำกว่าสามวัน...แบบนี้มันน่าไว้ใจไหม?

     

     

    “แล้วทำไมต้องไปทำกันสองคนด้วย?

    รายงานวิชาอะไร? มาทำที่บ้านไม่ได้หรือไง?”  ผมถามเขาเสียงเข้ม ก่อนจะกระชากเกียร์อย่างรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย

     

     

    “ไม่ได้มีแค่คยองกับจื่อเทานะครับ...ยังมีเซฮุนด้วยอีกคน

    มันเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ต้องซื้ออุปกรณ์มาทดลองเองด้วย

    จงอินก็รู้ว่าห้องครัวเราเล็กนิดเดียว แถมอุปกรณ์ก็ไม่ค่อยดีเท่าบ้านของจื่อเทา

    แถมวันนี้คุณป้าก็ติดงาน คุณป้าก็เลยไม่ว่างมารับเทาที่บ้านเรา...

    คยองเลยคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าคยองจะไปทำที่บ้านจื่อเทาแทน”

     


     

    เสียงตอบอธิบายเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยไม่ได้ทำให้คนเป็นผู้ใหญ่กว่าสบายใจได้เลย

    สิ่งที่เขาอยากรู้คือแล้วเมื่อไหร่รายงานนั้นจะเสร็จ

    แต่อย่างว่าแหละ...ไปทำรายงาน เด็กนี่คงไม่รู้อยู่ดีว่าจะเสร็จเมื่อไหร่

     
     

     

    “ทุ่มนึงนายต้องถึงบ้าน ไม่งั้นฉันจะไม่อนุญาตให้ไปไหนอีก...เข้าใจ๊?"

     

     
     

    คำสั่งที่คยองซูไม่มีทางปฏิเสธถูกหยิบยื่นมาให้

    เขาทำได้เพียงพยักหน้ารับ ถึงแม้ว่าอยากจะปฏิเสธแต่ก็รู้ว่าทำไม่ได้แน่ๆ..

    มีเวลาแค่สองชั่วโมงเอง จงอินใจร้ายชะมัด แล้วมันจะเสร็จได้ยังไง

    ไหนจะเวลาเดินทางจากโรงเรียนไปบ้านจื่อเทา แล้วจากบ้านจื่อเทากลับไปถึงบ้านอีก

    แต่ถ้าขอต่อรองอีก 1 ชม. จงอินต้องไม่อนุญาตแน่นอนคยองซูรู้ดี หรือไม่ก็อาจจะไม่ให้ไปมันซะเลย...

     

     

    “ครับ...แล้วคยองจะกลับถึงบ้านตอนทุ่มนึงครับ”

     

     

    “อืม...ฉันจะรอกินข้าว อย่ากลับช้าล่ะ”

     

     

    จงอินบอกผมในขณะที่เลี้ยวเข้าไปในประตูรั้วของโรงเรียนที่คุ้นตา

    ผมไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะเห็นว่าจงอินเงียบไป...

    และเมื่อจงอินขับรถมาถึงหน้าตึก ผมจึงกล่าวลาเขาแล้วเดินลงจากรถตรงไปที่ตึกเรียนทันที...

     


     

     

    ************




     

    ผมนอนแผ่หลาอยู่บนโซฟาตัวใหญ่กลางห้องนั่งเล่น...

    กดรีโมททีวีเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆแล้วก็ต้องถอนหายใจ

    หันไปมองหน้าปัดนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังแล้วก็ต้องกัดริมฝีปากอย่างรู้สึกหงุดหงิดเสียเต็มประดา

    ตอนนี้หนึ่งทุ่มกับห้านาที....

    ...คยองซูมาสาย...

     

     

    ผมยังตัวขึ้นนั่งแล้วกอดอก แม้ว่าผู้สื่อข่าวสาวกำลังรายงานข่าวอะไรซักอย่างแต่ผมก็ไม่ได้สนใจ

    ดวงตาผมหันขึ้นไปมองที่นาฬิกาทุกๆสองนาที...หรือไม่ก็หนึ่ง ถ้าไม่ได้คิดว่าตัวเองดูผิดไปน่ะนะ

    แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ประเด็น เพราะดูเอาเถอะ...เด็กมันดื้อซะจนไม่ยอมฟังคำพูดของผมเลย

    แล้วผมควรจะสั่งสอนยังไงดีล่ะเนี่ย?

     

     

    หนึ่งทุ่มสิบห้านาที....

    โทรหาดีไหม?...

    อ๊ะไม่ๆ! จะโทรไปตามทำไม ก็เพิ่งบอกว่าจะทำโทษไปหยกๆ!!

     

     

     

    กิ๊งก่อง...


     

    เสียงออดจากประตูหน้าบ้านทำให้ผมต้องยกยิ้มอย่างพึงพอใจ

    อืม...อย่างน้อยก็สายแค่สิบห้าที ให้มันได้อย่างนี้สิคยองซู

    คิดอย่างนี้พลางยกยิ้มออกมาบางๆแล้วเปิดประตูออก...แต่สุดท้ายจงอินก็หุบยิ้มเมื่อคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านไม่ใช่คยองซู

    แต่กลับเป็นแบคฮยอนเพื่อนของเขา...


     

    “ทำหน้าเป็นตูดไรของมึง? ทะเลาะกับคยองซูหรือไง?”


     

    แบคฮยอนถามผมก่อนจะเดินเข้ามาในบ้านอย่างถือวิสาสะ

    เอากันตามจริงแบคฮยอนเดินเข้าออกบ้านผมเป็นปรกติอยู่แล้ว

    เพราะว่าต้องมาสอนภาษาอังกฤษให้คยองซู(และไอ้เด็กจื่อเทาด้วย)

     
     

    “เปล่า...แต่คิดว่าถ้ากลับมาแล้วก็อาจจะไม่แน่

    ดูเอาสิบอกว่าให้กลับบ้านทุ่มนึง แต่จนป่านนี้ยังไม่เห็นหัวเลย...”

     

     

    ผมตอบพลางยักไหล่...มองแบคฮยอนที่หลังจากได้ฟังผมพูดจบเค้าก็ทำกลอกตาไปมาอย่างเอือมระอาใส่ผม

     
     

    “นี่มึงบ้าปะเนี่ย...มันสายไปแค่สิบกว่านาทีถึงขั้นต้องโกรธเลยหรือไง?” แบคฮยอนถามผมอย่างไม่ใส่ใจในท่าทีโมโหของผมนัก

     

     

    “ก็ถ้าไม่ดุด่าเด็กมันเดี๋ยวก็ได้ใจน่ะสิ...เดี๋ยวก็จะทำอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ

    ถ้าตอนนี้มาช้าสิบกว่านาทีแล้วไม่พูดไม่สอน อนาคตคงไม่กลับบ้านกลับช่อง” ผมบอกเขาไปอย่างหงุดหงิด

     

     
     

    “เฮ้ย...มึงก็รู้ว่าคยองซูเป็นเด็กดี ไหงคิดอย่างนั้นวะ?

    มึงนี่เป็นห่วงน้องมากไปป้ะเนี่ย? ห่วงแนวไหนวะ บอกกูมาเลยแมนๆ”

     

     

    แบคฮยอนเดินมาชกที่บ่าผมทีหนึ่งแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม...

    ผมกลอกตาไปมาก่อนที่จะเริ่มอธิบายกับแบคฮยอนอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกในรอบหลายปีที่ผ่านมา

    อันที่จริงไม่ใช่แค่แบคฮยอน แต่รวมถึงไอ้เพื่อนทั้งสามคนของผมด้วย...

     

     

    “ก็ห่วงแบบที่ห่วงน้อง...เมื่อไหร่พวกมึงจะเลิกถามกูอย่างนี้ซักที

    ก็บอกว่าไม่ได้คิดอะไรยังจะยัดเยียดกันอีก...แถมอีกอย่างคยองซูก็ยังสิบสี่อยู่เลยนะ” ผมตอบ

     

     

    “แปลว่าถ้ามันโตกว่านี้มึงอาจจะคิดงั้นสิ” แบคฮยอนถามเจ้าเล่ห์

     

     

    “พอเลยมึง...หยุดคิดอคติและเลิกพูดเรื่องนี้ซักที

    ว่าแต่มึงมาทำไมเนี่ย? นึกว่าไปเดทกับไอ้ชานยอล”

     

     

    “เปล่า...วันนี้ชานยอลติดประชุม

    และกูก็เอานี่มาให้คยองซูกับจื่อเทา เพราะว่าน้องเขาโทรขอกูวันก่อน”

     

     

    ผมเปลี่ยนประเด็นหัวข้อพูดคุยกลางอากาศเพราะเห็นว่าไม่ค่อยเหมาะสมนักที่จะพูดกันเรื่องนี้อีก

    แบคฮยอนที่เพิ่งนึกได้ก็รีบหยิบควานเอาอะไรซักอย่างในกระเป๋าแล้วยื่นมาให้ผม

    อ่า...มันเป็นชีทข้อสอบภาษาอังกฤษ

     

     

    “คยองซูโทรขอมึงเหรอ? ทำไมไม่เห็นบอกกูเลย?” ผมถามอย่างแปลกใจก่อนจะยื่นมือไปรับมาถือไว้

     

     

    “เปล่า...จื่อเทาโทรหากู

    แต่วันนี้กูโทรหาจื่อเทาไม่ติดเลยคิดว่าน่าจะเอามาฝากคยองซูแทน

    แล้วมันเป็นอะไรฮึ น้องจะโทรหากูต้องขออนุญาตมึงก่อนหรือไง?”

     
     

    แบคฮยอนเท้าสะเอวแล้วเริ่มแหวใส่ผม...ผมรีบแก้ตัวทันทีเพราะไม่อยากให้เพื่อนเข้าใจผิด

     

     

    “ป...เปล่า...ก็โทรได้  แต่คนที่จ่ายค่าโทรศัพท์คือกู

    กูก็แค่อยากจำกัดค่าโทร ผิดตรงไหน?” ผมตอบเขาไปอย่างขอไปที...

     

     

    “โห...ถ้าจะขนาดนี้ก็ล๊อคโทรศัพท์ให้โทรหามึงได้คนเดียวเหอะ

    ปล่อยให้น้องมันมีสังคมบ้าง น้องมันโตแล้วนะเฮ้ย...” 

     

     

    แบคฮยอนพูดบ่น ในขณะที่ผมเริ่มจะกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายอีกครั้ง

    เพราะบางทีแบคฮยอนก็ชอบให้ท้ายคยองซู...หรือไม่ก็เป็นผมเองนี่แหละที่ไม่อยากจะฟังความจริงพวกนั้น

    คยองซูชักจะโตขึ้นทุกวัน...และเพื่อนก็มีมากขึ้นทุกวันด้วย...

     
     

    “โตตรงไหน..อายุแค่สิบสี่?”

     
     

    “สิบสี่นี่แหละโตแล้ว...ใจคอมึงจะให้น้องเขาอายุเก้าขวบตลอดไปเลยหรือไง?

    อย่าทำเป็นหวงน้องมากไปหน่อยเลย ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับน้องมันอ่ะนะ”

     
     

     แบคฮยอนพูดกับผมพลางถอนหายใจและกอดอกเป็นเครื่องหมายที่บอกว่าเขาพูดจริงจัง

    ผมพยักหน้ารับไปส่งๆเพราะสายตาเหลือบไปมองนาฬิกาด้านหลัง

    และก็พบว่ามันเป็นเวลาทุ่มครึ่งแล้วแต่คยองซูก็ยังไม่ถึงบ้าน

     

     

    “เออๆ...มึงหมดธุระแล้วใช่มะ?

    กลับไปได้แล้ว กูหิวข้าว กูจะกินข้าวล่ะ ไม่รอคยองซูแล้ว”

     

     

    ผมพูดกับเขาพลางถอนหายใจ รู้สึกโล่งใจที่เห็นแบคฮยอนพยักหน้าและเดินหันหลังกลับแล้วเดินออกไปที่ประตูหน้าบ้าน

     

     

    “เออ...งั้นกูกลับแล้วกัน มึงก็กินๆข้าวไปซะ ไม่ต้องห่วงน้องมันให้มากนักหรอก

    มันสายแค่นิดหน่อยเองเดี๋ยวก็กลับแล้ว”

     
     

    ผมพยักหน้ารับคำที่แบคฮยอนฝากฝัง ก่อนจะโบกมือลาเมื่อเขาก้าวออกจากบ้านไป

    ถึงแม้จะเข้าใจที่แบคฮยอนพูดแต่ก็ยังเหลือความรู้สึกหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย

    อาจจะเพราะว่าหิวก็ได้มั้ง ผมเลยรู้สึกหงุดหงิดแบบนี้

    ตัดสินใจเดินเข้าไปในบ้านแล้วเริ่มกินอาหารโดยไม่รอคยองซู

    โดยไม่ได้รู้เลยว่าแบคฮยอนยังคงหันมามองผมแล้วบ่นประปอดกระแปดออกมาคนเดียว...

     
     

    “ดูเอาเถอะ...นี่โง่ ความรู้สึกช้าหรือว่างี่เง่าเนี่ย...

    ทำมาเป็นอยากสั่งสอนเด็กอย่างนั้นอย่างนี้...

     

    .

    .

     

    มึงควรจะรู้ใจตัวเองก่อนนะไอ้จงอิน”

     

     

     

    ************

     

     

     

    ทันทีที่คยองซูถึงบ้าน คยองซูก็ต้องกลืนน้ำลายไปหลายอึกใหญ่

    เพราะนอกจากจงอินจะทำเป็นเมินไม่สนใจเขาแล้ว จงอินยังตั้งหน้าตั้งตาทำเป็นไม่รับรู้ว่าเขากลับมาถึงบ้านแล้วด้วย

    เพราะถึงแม้ว่าคยองซูจะพูดง้อยังไงแต่จงอินก็ยังไม่ตอบกลับอะไรอยู่ดี...

     

     

    “จงอิน...อย่าโกรธคยองเลยน้า คุยกับคยองสิครับ”

     

     

    คยองซูพูดขึ้นมาในขณะที่เดินตามพี่เขาขึ้นบันไดไปติดๆ

    แต่จงอินกลับหาวหวอดออกมาเสียงดังและไม่ตอบรับคยองซูใดๆทั้งสิ้น

    เดินตามพี่เขาไปถึงหน้าห้อง แต่ก็โดนพี่เขาปิดประตูใส่หน้าดังปัง แถมยังล็อคประตูไม่ให้เข้าไปอีก

     

     

    คยองซูหน้าเสีย...รู้สึกผิดที่ทำให้จงอินโกรธแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะรับสถานการณ์นี้ยังไง

    เพราะให้ทำวิธีไหนจงอินก็ทำเป็นไม่เห็นหัวเขาแบบนี้ คยองซูเลยคิดว่าเขาควรกลับไปตั้งหลักที่ห้องก่อนดีกว่า

    คิดว่าควรจะไปกินข้าวอาบน้ำให้เรียบร้อยเพื่อฆ่าเวลา เผื่อว่าจงอินจะใจเย็นลงซักนิด...

    และควรจะใช้เวลานี้โทรปรึกษาแบคฮยอนว่าควรจะง้อพี่เขายังไง

     

     

     

    ************




     

    หลังจากที่คยองซูอาบน้ำเสร็จ คยองซูก็กดโทรศัพท์เครื่องเล็กโทรไปหาแบคฮยอน คนที่คยองซูคิดว่าน่าจะให้คำแนะนำเขาได้

    คยองซูสั่นขาอย่างกระวนกระวาย แต่ไม่นานเท่าไหร่แบคฮยอนก็รับสาย

     

     

    ว่าไงคยองซู?” แบคฮยอนตอบรับกับเขา

     

     

    พี่แบคฮยอน....ทำไงดี...จงอินโกรธคยอง

     

     

    “ว่าแล้วเชียว...กลับถึงบ้านกี่โมงล่ะ จงอินว่าไงบ้าง?”  แบคฮยอนถามด้วยน้ำเสียงไม่แปลกใจที่ได้ยินเท่าไหร่นัก

     

     

    “คยองถึงบ้านตอนทุ่มครึ่งนิดๆ แต่จงอินไม่คุยกับคยองเลย

    คยองพูดอะไรทำอะไรจงอินก็ไม่ยอมตอบ...ฮือออ คยองควรทำยังไงดีอ่า”

     

     

    “ไม่ต้องคิดมากหรอก มันก็แค่ทำฟอร์มไปงั้นแหละ

    ลองเข้าไปอ้อนมันเยอะๆดิ เดี๋ยวมันก็หายแล้ว”  

     

     

    แบคฮยอนตอบกลับมาอย่างไม่ยี่หระ

    แต่มันกลับทำให้ต้องคยองซูขมวดคิ้วในคำแนะนำของแบคฮยอนเล็กน้อย

     

     

    “อ้อนเหรอ...ถ้าคยองอ้อนแล้วจงอินจะหายโกรธจริงเหรอ?”  คยองซูถาม

     

     

    “หายสิ...เชื่อพี่เหอะ ลองไปอ้อนเยอะๆเดี๋ยวก็หายเอง

    โชคดีนะคยองซู พี่ต้องนอนก่อนล่ะ...พรุ่งนี้พี่ต้องไปทำงานแต่เช้า”

     

     

    แบคฮยอนหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าคยองซูทำเสียงเสียเครียดเชียว

    ก่อนจะขอตัววางสายเพราะรู้ว่าตอนนี้เองก็ดึกมากแล้ว

    ด้านคยองซูเองที่หันไปมองนาฬิกาแล้วพบว่าตอนนี้สี่ทุ่มแล้วก็เอ่ยลากับแบคฮยอนเพราะว่ารู้สึกเกรงใจพี่เขา

    บอกลาแบคฮยอนแล้วถอนหายใจออกมาเมื่อพบว่าคำแนะนำของแบคฮยอนช่างกว้างเสียจริง


    ไอ้อ้อนน่ะไม่ยากหรอก แต่ควรจะอ้อนยังไงล่ะ?

    ปกติจงอินก็ไม่ค่อยโกรธคยองซูเท่าไหร่ด้วย คยองซูเลยไม่รู้ว่าเขาควรจะทำยังไงดี

     


     

    เฮ้อ...จะลองไปอ้อนดีไหมนะ หรือควรปล่อยไว้ดี

     

     

    คยองซูถามตัวเองอีกครั้งพลางถอนหายใจออกมา

    ทำเป็นถามตัวเองไปอย่างนั้นแต่ในใจก็รู้ดีว่าคำตอบจะออกมาเป็นแบบไหน

     

    .

    .

    .

     

    ก็ในเมื่อแคร์พี่เขาขนาดนั้น จะให้ปล่อยไปก็คงไม่ได้หรอก...

     











    ✚ TALK



    เม้นท์เยอะก็มาต่อให้ทุกวันค่ะ
    แต่ถ้าเม้นท์น้อยไรเตอร์จะนอยด์ น้อย นอยด์ ฮึ...
    ไม่มีอะไรจะทอล์คล่ะ...จะสปอยล์ให้ว่าตอนหน้าฟินตัวแตกนะ

    รักรีดเดอร์เหมือนเดิม 



    - ไรเตอร์นมน -
     





    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×