คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ✚ BE MY BABY :: ELEVEN
Author : MR.$N0WMAN*
Pairing : Kim Jongin & Do Kyungsoo
Story : Jackboiz
Rate : PG - 15
Be my Baby*
การที่เราจะครอบครองอะไรซักอย่างที่ไม่ใช่ของเรา...
เราอาจจะต้องแลกทั้งชีวิตและหยดน้ำตาเป็นพันลิตรเพื่อได้มันมา
แต่หากผลลัพธ์จากการที่เราต้องเสียน้ำตามันคุ้มค่า
...เราก็น่าจะลองแลกหมื่นหยดน้ำตาเพื่อสิ่งนั้นไม่ใช่หรือ...
‘0.11’
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าของวันอังคารที่อากาศมืดหม่นไม่ค่อยจะสดใสนักเพราะมีฝนตกลงมากระทบหลังคาดังเป็นจังหวะ
หันไปมองข้างๆแล้วก็พบว่าคนหน้าคมนั้นกำลังนอนหลับสบายและหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข
ยกยิ้มออกมาบางๆเมื่อได้หันไปมองใบหน้าไร้ความทุกข์ร้อนนั้นแล้วยกยิ้มออกมาบางๆ
ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นแล้วบิดขี้เกียจให้คลายเมื่อย
แล้วจึงเดินลงจากเตียงไปหยิบผ้าขนหนูที่พาดอยู่ตรงราวแขวนขึ้นมาพาดบ่าแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังห้องน้ำทันที...
ไม่นานเท่าไหร่นักคยองซูก็อาบน้ำและสวมชุดเครื่องแบบนักเรียนม.ปลายจนเสร็จสรรพ
หันไปมองนาฬิกาก็พบว่ามันเป็นเวลาที่ดีและเหมาะกับการทำอาหารเช้าโดยที่ไม่ต้องเร่งรีบ
แต่ก่อนที่จะลงไปทำอาหารเช้า...สิ่งที่ผมควรจะทำก็คือการปลุกคนขี้เซาให้ตื่นขึ้นซะก่อน
เพราะการจะปลุกจงอินให้ลุกขึ้นมาน่ะ ยากยิ่งกว่าอะไรเสียอีก
“จงอิน...จงอิน...ตื่นได้แล้ว”
ผมเดินไปที่ข้างเตียงแล้วเขย่าที่แขนของเขาเบาๆสองสามทีเพื่อปลุกให้ตื่น
ก่อนจะค่อยๆเพิ่มแรงที่เขย่าขึ้นไปอีกเมื่อพี่เขายังนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเลยซักนิด
ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะกรอกตา...ก่อนจะเริ่มต้นเขย่าพี่เขาอีกครั้งพร้อมกับเพิ่มความดังของเสียงที่ตะโกนปลุก
“จงอิน! ตื่นนนนนนนนนนนน!”
ผมเขย่าพี่เขาอย่างแรงและนั่นก็ทำได้เพียงแค่เรียกเสียงครางฮือในลำคอจากพี่เขาเท่านั้น
ผมเป่าปากอย่างเอือมระอา ดูเอาเถอะ...ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีจงอินก็ยังเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย
นี่ขนาดว่าผมปลุกเขาแบบนี้ทุกวันมาตั้งแต่เก้าขวบจนตอนนี้สิบแปดแล้วแต่จงอินก็ยังเป็นเหมือนเดิม
ยังไงก็ยังปลุกยากไม่เคยเปลี่ยน...
แต่โชคยังดีหน่อยที่ตอนเก้าขวบกับตอนนี้มันต่างกันก็คือ
ตอนนั้นถ้าผมปลุกเขามักจะเหวี่ยงใส่...แต่ตอนนี้เขาดูเหมือนจะชินแล้วที่ผมเป็นคนปลุกเขา
และผมออกจะมั่นใจว่าไม่มีใครจะปลุกเขาได้เหมือนผมแล้วล่ะครับ
เพราะขนาดพี่จงแดมาปลุกยังโดนถีบตกเตียงไปเลย มันเลยเห็นได้ชัดว่ามีแค่ผมเท่านั้นแหละที่ปลุกพี่เขาได้...
ผมยกยิ้มออกมาบางๆก่อนจะปลุกพี่เขาด้วยวิธีที่ทำเหมือนทุกที
จงอินน่ะใช้วิธีปลุกทั่วไปไม่ได้ผลหรอก...ต้องทำให้รำคาญ ไม่นานเขาตื่นแน่นอน
ผมก้มลงไปที่ข้างหูพี่เขาก่อนจะเป่ามันเข้าไปยาว ก่อนจะตัดสินใจกระซิบที่ข้างหูของเขา
“จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...
ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...
นี่!....คยองรู้นะว่าจงอินตื่นแล้ว... และถ้าจงอินไม่ลืมตาเดี๋ยวนี้ คยองจะจุ๊บจงอินสิบทีเลยคอยดู”
“พอเลย...หยุดคิดอะไรที่นายจะทำไปเลย... ฉันตื่นแล้ว”
จงอินพูดออกมาในขณะที่ยังไม่ลืมตา ผมยกยิ้มออกมาบางๆเมื่อได้ยินอย่างนั้น
แต่ก็ยังจงใจแหย่พี่เขาไม่หยุด จนกว่าจะลืมตาขึ้นมาน่ะแหละถึงจะถือว่าสำเร็จ
แต่...ผมว่าผมน่าจะแกล้งจงอินซักหน่อยนะ เขาจะได้ตื่นขึ้นมาซักที
“งั้นก็ลืมตาก่อนสิ ถ้านับหนึ่งถึงสามแล้วจงอินไม่ลืมตาคยองจุ๊บนะ
หนึ่ง....สอง....จุ๊บๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
ผมนับถึงแค่สองแล้วก้มลงไปแนบปากกับแก้มพี่เขา แล้วกดซ้ำๆย้ำๆลงไปอย่างที่พูด
ก่อนที่จงอินจะตวัดตัวพลิกไปที่เตียงอีกฝั่งเพื่อหนีผม
แล้วลุกขึ้นมาชี้หน้าแล้วตวาดใส่อย่างที่ผมไม่ค่อยจะเห็นว่าจริงจังเท่าไหร่นักหรอก
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
โดคยองซู! นี่นายยังนับไม่ถึงสามเลยนะ!
แล้วสิบทีบ้าอะไรทำไมมันเยอะขนาดนั้น!
พอเลย! ฉันตื่นแล้ว จะไปอาบน้ำแล้ว!!!” จงอินตวาดใส่ผม แต่ผมกลับยกยิ้มขึ้นมาพลางยักไหล่
“อืม...นี่สิถึงจะเรียกว่าตื่นจริง ก็ถ้าจงอินตื่นง่ายๆคยองก็คงไม่ต้องทำอย่างนี้หรอกน่า
รีบไปอาบน้ำได้แล้วครับ...เดี๋ยวคยองจะลงไปทำข้าวเช้าให้
วันนี้จงอินอยากกินอะไร ระหว่าง...” ผมเว้นวรรคแล้วหยุดครุ่นคิดไปซักครู่หนึ่ง “ขนมปังกับข้าวต้ม” ก่อนจะพูดออกมาเมื่อคิดออกแล้ว
“เอาๆ...เอาไรดีหว่า...เอาข้าวต้มไก่ ใส่ไข่สองฟอง ใส่พริกไทยเยอะๆแล้วก็ผักชีเยอะๆ”
จงอินยักไหล่ก่อนจะตอบผมมา ตาของเขายังคงปรือและเห็นได้ชัดว่ายังไม่ตื่นดีนัก
หากแต่เขาก็ยังหาวหวอดแล้วเดินไปหยิบเอาผ้าขนหนูขึ้นพาดบ่า
ผมยิ้มออกมาพลางพยักหน้ารับคำสั่งของเขา ก่อนจะตอบรับไปเบาๆ
“อ่าฮะ...จัดไปตามนั้น
เอ้อ...คยองแขวนชุดให้จงอินที่หน้าตู้แล้วน้า
งั้นคยองลงไปทำข้าวเช้าล่ะ”
“อืม...เดี๋ยวฉันอาบน้ำเสร็จแล้วจะรีบลงไปแล้วกัน”
จงอินตอบรับคยองซูก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปแล้วเริ่มทำธุระส่วนตัวของตัวเอง
คุณอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราทั้งสองคนตั้งแต่วันนั้น
เวลาผ่านมานานหลายปีอย่างรวดเร็ว และในตอนนี้คยองซูก็อายุสิบแปดแล้ว
สถานะของเรายังเหมือนเดิมนั่นคือผมเป็นผู้อุปการะ และเขาก็เป็นน้องชายแต่ในนามของผม
หลังจากคืนนั้น สิ่งที่ผมเฝ้าพยายามจะทำมาตลอดก็คือทำเป็นหูทวนลมเมื่อเขาพูดถึงเรื่องวันเกิดอายุสิบห้าของเขา
ผมพยายามทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยซักนิด
แต่ถึงแม้ว่าผมจะพยายามทำอย่างนั้น แต่คยองซูกลับไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไหร่
ถึงเวลาจะผ่านมาหลายปีจนเขาโตแบบนี้ แต่ความเอาแต่ใจและดื้อเงียบนั้นกลับยิ่งทวีคูณ
เขาเป็นไอ้ตัวแสบ...เรื่องนี้ผมรู้ดีอยู่แล้ว แต่ที่มันไม่ธรรมดาก็คือเขามักจะคอยแสดงความเป็นเจ้าของกับผมตลอดเวลา
และผมเองก็ไม่แน่ใจนักว่าอึดอัดกับมันหรือเปล่า...
ว่ากันตามจริงผมเองก็ไม่ได้รู้สึกเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมายนักอะไรหรอก...
เพราะสำหรับผมเองมันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
แต่ที่มันน่าเหนื่อยใจก็คือเขามักจะทำให้ผมต้องหนักใจทุกที
เวลาที่เขามักจะพูดเรื่องจูบหรือกอดหรืออะไรต่อมิอะไรกับผมจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา
อย่างเช่นเมื่อเช้านี้...
ผมพรูลมหายใจยาวออกมาจากปากเมื่อหยิบเอาเนกไทด์ที่คยองซูจัดเต็มไว้ให้ขึ้นมาคล้องคอแล้วผูกมัน
กลิ่นหอมๆของอาหารเช้าที่คยองซูกำลังทำนั้นโชยขึ้นมาในห้องและนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกว่าท้องกิ่ว
หิวขึ้นมาทันทีเมื่อคิดถึงอาหารฝีมือเขา...ถึงแม้ว่าจะกินทุกวันก็เถอะ แต่ผมก็ไม่ได้เบื่อมันเลยซักนิด
คยองซูทำกับข้าวอร่อยและเหมือนว่าเจ้าตัวเองจะรู้ตัวด้วย
เพราะตอนนี้เขาไม่ให้ผมแตะต้องอะไรในห้องครัว(ของเขา)อีกแล้ว
และยังยืนกรานที่จะเป็นคนจัดการทุกอย่างโดยที่ผมไม่ต้องเข้าไปยุ่ง
ความจริงผมก็โอเคกับมันอ่ะนะ...แม้ว่าบางครั้งจะอยากทำอะไรด้วยตัวเองบ้างก็เถอะ
“อา...หิวชะมัด ข้าวเสร็จหรือยังอ่ะคยองซู?”
ผมเดินไปทรุดตัวนั่งที่โต๊ะทานอาหารตัวเล็กในห้องครัวของเราแล้วเริ่มบ่น
มองเห็นคยองซูหันมาส่งยิ้มให้ก่อนจะตอบผมเสียงใส
“อื้ม ใกล้แล้วครับจงอิน...รอแป๊ปนึงน้า
คยองใส่ไก่ให้จงอินเต็มหม้อเลย คยองรู้ว่าจงอินชอบ”
คยองซูพูดพลางหัวเราะในลำคออย่างร่าเริง
แล้วจากนั้นจึงหันกลับไปหั่นผักชีแล้วโรยลงไปในหม้อก่อนจะปิดเตา
ผมยกยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเขาพูด อา...อย่างนี้สิค่อยรู้ใจหน่อย
“โอ้เยี่ยม...น่ารักมาก” ผมกระซิบผมทั้งยกยิ้ม
“อ่าฮะ...น่ารักแล้วรักมั้ยล่ะ?”
เขาหันมาถามผมพร้อมทั้งยกยิ้มอย่างน่ารัก
หากแต่ผมกรอกตาอย่างให้เขาเอือมระอาไปแทนคำตอบ
“หยุดพูดแล้วตักมาให้ฉันด่วนๆเลย...หิวจะตายแล้ว
และฉันว่าเราน่าจะรีบกินนะ เดี๋ยวจะสายซะก่อน”
ผมตอบเขาไปพร้อมทั้งเสตามองไปทางอื่นเหมือนที่ทำมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา...
มันก็เป็นมุขที่ดูน่ารักดีอ่ะนะแต่ผมว่ามันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ถ้าจะต่อมุขกับเขาตอนนี้
“โห่...จงอินไม่รับมุขคยองเลยอ่ะ
อ่ะ เสร็จแล้วครับ...นี่ถ้วยของจงอิน”
เด็กน้อยเบะปากใส่ผมในขณะที่ตักข้าวต้มที่ส่งกลิ่นหอมฉุยลงไปในถ้วยสองใบที่วางอยู่
ก่อนที่ไม่นานเท่าไหร่เขาก็เดินเอามาวางไว้ตรงหน้าผมแล้วเดินไปนั่งที่ผั่งตรงข้ามซึ่งเป็นที่ประจำของเขา
ผมยกยิ้มออกมาอย่างขอบใจเขาแล้วเริ่มต้นหยิบช้อนขึ้นมาตักมันเข้าปาก
อืม...อร่อยเหมือนเดิม...
“แล้วไหงถ้วยนายมันไร้สีสันขนาดนั้นอ่ะ...นี่นายกินเจรึไงฮึ?”
ผมยกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเห็นในถ้วยข้าวต้มของเด็กตัวเล็ก ซึ่งมีแต่ผักชีและข้าวเท่านั้น
ถือวิสาสะเอาช้อนตัวเองลงไปเขี่ยดูก็พบว่ามันมีไก่เพียงแค่สองชิ้น
ในขณะที่ถ้วยของผมมีเยอะจนไม่ต้องใช้ช้อนเขี่ยก็เจอมันลอยอยู่เต็มไปหมด
“เปล่าซักหน่อย...แต่คยองกินแค่นี้ก็พอแล้ว
ก็จงอินชอบกินไก่นี่ คยองเลยยกให้จงอินหมดเลย”
คยองซูตอบกลับผมก่อนจะตักข้าวต้มเข้าไปในปาก
ผมถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะตัดสินใจเลื่อนถ้วยข้าวต้มของตัวเองไปใกล้ถ้วยของเขา
แล้วตักแบ่งเอาเนื้อไก่ที่อยู่ในนั้นลงไปในชามของเขาเพิ่มอีก
“อย่ามาทำตัวน่ารักไปหน่อยเลยน่า
เป็นเด็กกำลังเรียนต้องกินโปรตีนเยอะๆสิ
เอามาให้ฉันกินหมดแล้วนายจะเอาที่ไหนไปบำรุงสมอง”
ผมพูดกับเขาเบาๆในขณะที่คยองซูยกยิ้มออกมาแล้วจ้องหน้าผมเขม็ง
“โธ่จงอิน...คยองไม่ต้องบำรุงคยองก็เรียนเก่งอยู่แล้วน่า
จงอินก็รู้นี่นา...คยองทำได้ดีออกนะเรื่องเรียน
เพราะงั้นจงอินน่ะกินไปเยอะๆน่ะดีแล้ว แค่นี้คยองก็พอแล้วครับ”
เด็กน้อยยักไหล่ก่อนจะตอบกลับผมมาเสียงใส ยกมือขึ้นจับมือผมให้หยุดตักแบ่ง
แล้วเลื่อนชามข้าวต้มกลับมาอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้ง
ทำเอาผมต้องหัวเราะออกมาในลำคอเพราะรู้สึกหมั่นไส้ไอ้เด็กตัวเล็กตรงหน้านี้ขึ้นมาตงิดๆ
“นี่นายกำลังบอกว่าฉันต้องบำรุงสมองงั้นสินะ
เออใช่เซ่...ฉันมันไม่ฉลาดเหมือนนายนี่” ผมบอกเขา
“เฮ้! คยองไม่ได้พูดซักหน่อย...จงอินนั่นแหละคิดไปเอง
คยองแค่เห็นว่าจงอินชอบกินก็เลยใส่ให้เยอะๆ
กินไปเยอะๆสิครับ...คยองอุตส่าห์ตั้งใจทำให้กินนะ ถ้าจงอินเขี่ยมันอีกคยองจะงอนแล้วนะ!”
คยองซูพูดพลางเบะปากออกมาอย่างน่ารักเมื่อผมเอาแต่เขี่ยเนื้อไก่ในถ้วยมาไว้ในถ้วยของเขาเสียเยอะแยะ
ผมรีบยกมือขึ้นไปเกาที่คางของน้องเขาเล่น เมื่อน้องเขาเบะปากออกมาจนริมฝีปากนั้นยื่นออกมาเสียยกใหญ่
“โอ๋ๆๆๆๆๆ กินก็กินไม่ต้องทำปากยื่นขนาดนี้ก็ได้น่า
อ่ะๆๆๆฉันกินแล้วเห็นไหม อย่างอนสิ”
“อือฮึ...งั้นคยองไม่งอนแล้วก็ได้”
เด็กน้อยโคลงศีรษะไปมาก่อนจะกลับมาตักข้าวต้มเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆอีกหน
ผมหัวเราะออกมาเพราะว่าคยองซูก็ยังเป็นคยองซูคนเดิมไม่เปลี่ยนไปจากคยองซูตัวน้อยเลยซักนิด
เพราะนอกจากจะยังคงมาตรฐานความเตี้ยเหมือนเดิม
และเขาก็ยังหายงอนง่ายๆเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปด้วย
“อ่าฮะ...งั้นฉันว่าเรารีบกินกันเหอะ ไม่งั้นนายต้องสายแน่”
ผมไม่พูดเปล่าแต่ยังเอาช้อนตักข้าวในชามของเขาแล้วป้อนให้คยองซู
ไม่ได้ตะขิดตะขวงใจอะไรเพราะว่าทำมันเป็นปกติตั้งแต่เขายังเด็กแล้วด้วย
แต่กลับเป็นแค่คยองซูนั่นแหละที่หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดจากอกเพราะว่าจงอินทำอย่างนั้น
“อืม...ไม่ต้องป้อนคยองหรอกน่า คยองโตแล้วนะ”
คยองซูปฏิเสธทั้งๆที่เมื่อครู่ก็ยังยื่นหน้าเข้ามากินข้าวต้มที่จงอินเป็นคนตักให้
ก่อนจะเคี้ยวข้าวคำใหญ่จนแก้มป่องดูน่ารัก จงอินไม่ได้พูดอะไรต่อหากแต่มองน้องเขากินอย่างเอร็ดอร่อย
แต่ก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาแล้วแกล้งแหย่น้องเขาให้โกรธไปทีหนึ่ง
“โตแล้วจริงดิ ฉันยังรู้สึกว่านายยังเหมือนเดิมเป๊ะเลย
ตอนเด็กเตี้ยยังไง ตอนโตก็เตี้ยอย่างนั้น ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“ย๊า!! คิมจงอิน!!!
คำว่าเตี้ยเป็นคำหยาบ!! คยองจะตี!!!!”
“โห...พอเหอะ ตีฉันมาตั้งแต่สิบเก้า จนตอนนี้ยี่สิบแปดล่ะ
เลิกทำตัวง๊องแง๊งแล้วกินๆไปเถอะน่า...แล้วจะได้ไปกันซักที”
จงอินพูดพลางหัวเราะเมื่อได้แหย่น้องเขาให้โมโหเล่นได้สำเร็จ
แต่ก็กลับพยักเพยิดไปที่นาฬิกาบนผนังเมื่อน้องเขาเบะปากออกมาทำท่าว่าจะงอนอีกรอบแล้ว
“ก็จงอินน่ะกวนโมโหคยองก่อน”
“เอาเหอะน่า...ใครเริ่มก่อนไม่สำคัญแล้ว
ตอนนี้รีบๆโซ้ยเหอะ จะเจ็ดโมงครึ่งแล้วนะ”
จงอินเอ่ยเตือนน้องเขาอีกครั้งเพื่อบอกว่าเราควรจำรีบเร่งและทำเวลาในตอนนี้...ไม่งั้นพวกเขาทั้งคู่คงต้องสายแน่ๆ
คยองซูได้แต่พยักหน้ารับเพราะไม่อาจจะหาข้อโต้เถียงอะไรได้อีก
และมันก็จริงอย่างที่พี่เขาพูดว่าเรามัวแต่เล่นกันมาจนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
คยองซูและจงอินจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารเช้าของตัวเองแล้วพากันออกจากบ้านทันทีที่กินเสร็จ...
************
จงอินเคลื่อนรถมาจนถึงที่โรงเรียนของเด็กตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างเขาเหมือนทุกวัน
เทียบจอดที่เดิมตรงหน้าตึกเรียนแล้วจึงเหยียบเบรกแล้วหันไปหาน้องเขา
ตอนนี้ข้างนอกรถฝนยังตกอยู่...จงอินมองที่ท้องฟ้าแล้วจึงขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
“คยองซู...วันนี้ฝนอาจจะตกทั้งวันนะ
ลองหาร่มดูที่เบาะหลังสิ แล้วพกมันไปด้วย
เดินไปเดินมาอย่าให้โดนฝนรู้เปล่า? นายยิ่งป่วยง่ายๆอยู่”
“หืม...ร่มที่หลังรถเหรอ? คยองจำได้ว่าเอาออกไปเก็บในบ้านตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วนะจงอิน
อ่า...แต่ไม่เป็นไรหรอกมั้งครับ เดี๋ยวคยองวิ่งฝ่าไปแป๊ปเดียวก็ถึงตึกแล้วล่ะ จงอินไม่ต้องห่วงน้า”
คยองซูหันมาส่ายหน้าให้คนเป็นพี่แล้วยกยิ้มให้อย่างจะบอกว่าไม่ต้องห่วงอะไร
หากแต่จงอินกลับขมวดคิ้วแล้วตอบกลับไปอย่างเป็นห่วง
“บ้าเหรอ? นายใส่เสื้อนักเรียนมาตัวเดียว...แถมบางด้วย
เอางี้เอาสูทฉันไปแล้วกัน นายจะได้ไม่เปียกมาก” จงอินบอก
“เฮ้...แล้วจงอินจะใส่อะไรล่ะครับ วันนี้มีประชุมด้วยไม่ใช่เหรอครับ?” คยองซูถามอย่างตกใจและเบิกตากว้าง
“ช่างมันเหอะ...มีประชุมมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเสื้อผ้าหรอกน่า”
จงอินตอบก่อนจะปลดกระดุมเสื้อสูทสีดำของตัวเองออก
หากแต่ยังไม่ได้ถอดมันออกมา เสียงเคาะที่กระจกก็เรียกให้ทั้งสองคนหันไปให้ความสนใจเสียก่อน
ก่อนที่จงอินจะพบว่า...จงฮยอนกำลังยืนกางร่มอยู่ที่ข้างรถฝั่งคยองซู
คยองซูรีบยกยิ้มแล้วกดปุ่มปรับกระจกรถลงอย่างไม่ได้ถามผมก่อน
ก่อนจะหันไปทักทายกับจงฮยอนเสียงใส
“อ้าว...จงฮยอนนี่ ทำไมวันนี้มาโรงเรียนสายจัง แล้วมีอะไรเหรอ?”
คยองซูหันไปยิ้มแล้วถามอย่างร่าเริง รอยยิ้มนั้นกว้างซะจนผมรู้สึกหงุดหงิดไปนิดหน่อย
บางทีการแจกยิ้มไปทั่วก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ โดยเฉพาะกับไอ้เด็กไร้มารยาทคนนี้
“วันนี้ฝนตก กว่าจะถึงก็แย่เลย
เห็นรถพี่จงอินมาจอดตั้งนานแล้วยังไม่ลงมา
ฉันคิดว่านายคงไม่มีร่ม ฉันเลยเดินมารับ”
“โอ...ดีจัง ขอบใจมากนะ งั้นรอฉันแปปเดียวนะจงฮยอน เดี๋ยวฉันออกไป”
เด็กตัวเล็กยกยิ้มอย่างดีใจจนตาปิด
ก่อนจะกดปุ่มปรับกระจกรถให้เลื่อนขึ้นไปสนิทแล้วหันมาลาผม
“โชคดีจังเลยเนอะจงอิน จงฮยอนมาพอดีเลยอ่ะ
งั้นคยองไปเรียนก่อนนะครับ จงอินตั้งใจทำงานน้า”
คยองซูไม่พูดลาเปล่าๆ หากแต่ยังเอี้ยวตัวมากดริมฝีปากที่แก้มผมที่หนึ่งอย่างถือวิสาสะ
แล้วจากนั้นจึงออกจากรถไป...แล้วเดินคู่ไปกับจงฮยอนที่เดินกางร่มให้กับเขา
จงอินกัดริมฝีปากแล้วมองเด็กทั้งคู่อย่างไม่ค่อยชอบใจนัก แต่ก็รู้ว่าทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านี้
จงอินมองเด็กทั้งสองไปจนสุดทาง...และเมื่อเห็นว่าคยองซูเดินเข้าตึกเรียนไปแล้วนั่นแหละจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ
หลังจากนั้นก็เริ่มออกรถแล้วขับไปทำงานทันที
************
จงอินเดินเข้าบริษัทมาด้วยอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย
จนแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างการที่แทยอนเดินมาเปิดประตูห้องให้เขาช้านั้นกลายเป็นเรื่องที่น่ารำคาญ
จงอินเหวี่ยงตัวลงกับเก้าอี้บุนวมของตัวเองแล้วถอนหายใจ ก่อนที่ไม่นานเท่าไหร่แทยอนก็เดินเข้ามาเสิร์ฟกาแฟให้เขา
“ท่านประธานดูหงุดหงิดนะคะวันนี้...ทะเลาะกับน้องคยองซูเหรอคะ?”
แทยอนถามจงอินเบาๆอย่างเป็นห่วง สรรพนามที่พวกคุณได้ยินนั้นมันไม่ได้ผิดไปหรอกครับ...
เพราะตอนนี้ผมกลายเป็นประธานสาขาของบริษัทเอเชียร์ซอฟต์โดยการแนะนำของท่านประธานยู
ในตอนนั้นผมคิดว่าผมจะโดนไล่ออกซะแล้ว...แต่โชคดีที่ท่านประธานยูเป็นคนมีเหตุผล
และมีเมตตาพอจะเข้าใจสิ่งที่ผมทำเสียมารยาทกับเขาในวันนั้น แล้วยังคงเห็นว่าตำแหน่งนี้เหมาะกับผมเท่านั้น
ผมเลยได้ก้าวเข้ามาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อย่างที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะเป็นไปได้ด้วยซ้ำไป
ถอนหายใจเมื่อได้ฟังคำถามของแทยอน...ความจริงก็อยากจะตอบออกไปว่าใช่อยู่หรอก
แต่เอากันตามจริงจงอินก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังหงุดหงิดเรื่องอะไรด้วยซ้ำ
เรื่องทะเลาะกับคยองซูนั้นไม่น่าจะใช่แน่ เพราะวันนี้เราเริ่มต้นวันกันอย่างดีและไม่ได้มีปากเสียงอะไรทั้งนั้น
ความจริงก็เห็นได้ชัดว่าวันนี้เราพูดคุยกันและหัวเราะให้กันอย่างดีด้วยซ้ำไป
แต่จงอินก็ไม่แน่ใจว่าทำไมจู่ๆก็รู้สึกเซ็งๆขึ้นมาแบบนี้....
“เปล่าหรอก...
ผมหงุดหงิดเรื่องอื่นน่ะ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไร” จงอินตอบแทยอนก่อนจะคว้าแก้วกาแฟนั้นขึ้นมาจิบ
“งั้นหรือคะ? ฉันก็นึกว่าวันนี้ท่านทะเลาะกับน้องคยองซูมาซะอีก
เห็นอารมณ์ไม่ดีแต่เช้าเชียว...ถ้าเกิดท่านมีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกได้นะคะ”
แทยอนพูดพลางส่งยิ้มมาให้ผมบางๆ...เธอยังคงทำหน้าที่เลขาได้อย่างดีเสมอมา
ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับความหวังดีของเธอเอาไว้แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ขอบคุณครับแทยอน...ว่าแต่วันนี้ผมต้องทำอะไรบ้าง”
“วันนี้หลักๆแล้วก็เรื่องประชุมกับฝ่ายบริหารแล้วก็ท่านประธานของลีกรุ๊ปค่ะ
นอกนั้นก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากท่านจะต้องพิจารณาเอกสารในแฟ้มที่อยู่ตรงหน้าท่าน
ฝ่ายบุคคลส่งเข้ามาเมื่อเช้านี้ อยากให้ท่านช่วยพิจารณาหน่อยค่ะ
อ้อ...และตอนกลางวันท่านมีนัดทานข้าวกับคุณจงแดแล้วก็คุณชานยอลใช่ไหมคะ? เห็นท่านบอกกับฉันเมื่อวานก่อน”
“อืม...จริงด้วยสิ ผมลืมไปสนิทเลย
ถ้าคุณไม่เตือนผมต้องโดนไอ้แด้กระชากหัวแน่ๆ
ขอบคุณมากนะครับแทยอน คุณกลับไปทำงานเถอะ...ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” จงอินตอบก่อนจะส่งยิ้มให้แทยอนไปเล็กน้อย
“ค่ะท่าน...ถ้ามีอะไรก็เรียกฉันได้ตลอดเวลาเลยนะคะ”
แทยอนพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะเอ่ยลาแล้วเดินออกจากห้องไป
ทิ้งไอ้จงอินกลับเข้าสู่การทำงานและอยู่ในโลกของตัวเองเงียบๆ
************
“หน้าบูดอย่างกับไก่ป่วย”
เสียงของจงแดดังขึ้นมาทำให้ผมต้องกรอกตาใส่เขา
ตอนนี้เรากำลังนั่งอยู่ในร้านประจำที่ผมและเพื่อนๆมักจะมากินข้าวด้วยกันเมื่อมีเวลาว่าง
หรือว่าไม่ว่างแต่อยากจะมานัดเจอกัน ก็จะนัดกันที่นี่เสมอๆ
“ใครไก่ป่วย...มึงหุบปากไปเลยไปไอ้แด้”
“โห่...แค่นี้ทำเป็นเหวี่ยง” จงแดหัวเราะพลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจในคำขู่ของผม
และชานยอลเองก็เช่นกัน เขายกยิ้มกว้างก่อนจะหันมาเป็นฝ่ายแซวผมบ้าง
“กูว่ามึงก็ดูป่วยอย่างที่ไอ้แด้มันว่าจริงๆนะ เป็นห่าไรวะ ทะเลาะกับเมียเหรอ” ชานยอลถาม
“เมีย?..ใคร?” ผมถามพลางยกคิ้ว
“เอ้า...ก็น้องคยองของมึงไง” ชานยอลตอบ
“ไอ้เลว...ใครบอกว่าน้องเขาเป็นเมียกู”
ผมด่าเพื่อนๆทั้งสองที่หัวเราะกันคิกคัก
ทำเอาผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเพราะท่าทางน่าหมั่นไส้ของเพื่อนทั้งสองคนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“อ้าว...นี่พวกมึงยังไม่ได้กันอีกเหรอ? กูนึกว่ามึงฟาดน้องเขาไปแล้วซะอีก
เห็นช่วงนี้แบคฮยอนบอกว่าคยองซูมีคนมาจีบอย่างเยอะ
ถ้ามึงไม่รีบนะ ระวังเถอะมึง...หมาจะคาบไปแดก”
“หุบปากของพวกมึงไปเลย...กูไม่ฟาดใครทั้งนั้นล่ะ
แต่มึงว่าอะไรนะ...คยองซูมาคนมาจีบ?” ผมทวนคำถามของเขา
“ถูก...เยอะด้วยครับเพื่อน เอาแต่ปฏิเสธไปเหอะ ซักวันจะเสียใจ
ช่วงนี้กูว่าคยองซูน่ารักขึ้นทุกวันเลย
ถ้ากูอ่อนกว่านี้ซักสิบปี กูคงไปจีบสู้กับไอ้เด็กพวกนั้นอยู่”
ชานยอลทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มส่งมาให้ผม
แล้วจากนั้นก็หันไปหัวเราะคิกคักกับไอ้จงแดอีกหน
ผมรู้สึกโมโหจริงๆที่พวกเขาทำอย่างนั้น และไม่แน่ใจนักว่าโมโหเรื่องอะไรกันแน่
เรื่องที่ไอ้พวกนี้มันยัดเยียดคยองซูให้กับผม...หรือข่าวที่ผมได้รู้ว่าคยองซูมีคนมาจีบ...
“หยุดความคิดมึงไปเลยไอ้ยอล ก่อนที่กูจะเอากุ้งอบเนยตบปากมึง” ผมขู่เขา...แต่ชานยอลทำหน้าทะเล้นตอบกลับมา
“อู้ยยยยยยย น่ากลัวชิบหายเลยครับพี่จงอิน
แต่เอาเถอะ...ถ้าจะหวงก้างขนาดนั้น กูว่ามึงน่าจะไปขู่คนอื่นมากกว่าขู่กูนะ”
“ไม่เห็นจำเป็นต้องขู่...คยองซูไม่เห็นจะสนใจใครเลย
วันๆก็ทำตัวเป็นเด็กๆ กูยังไม่เห็นว่าคยองซูจะพูดถึงใครตรงไหน”
ผมตอบไปส่งๆหากแต่ในใจก็ยังรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
ทั้งๆที่ปากก็บอกว่าน้องเขาไม่น่าจะชอบใครตอนนี้หรอก
แต่เอากันตามจริงแล้วก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก เพราะน้องเขาไม่เคยพูดกับผมเรื่องนี้เลย
เราพูดกันเรื่องความรักครั้งสุดท้ายก็ตอนที่เขาอายุ 14 โน่น
และหลังจากนั้นเราก็ไม่เคยคุยกันเรื่องนี้อีกเลย...ไม่เลยซักครั้งเดียว...
“เหอะ...นี่มึงโง่หรือแกล้งโง่ ก็ในเมื่อน้องเขาชอบมึงแล้วจะให้น้องเขาพูดถึงใครที่ไหน
ระวังเอาเถอะถ้าน้องเขาพูดถึงผู้ชายคนอื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ล่ะ ตอนนั้นมึงจะรู้สึกเอง”
ไอ้จงแดพูดเยาะผมก่อนจะจิ้มสเต็กชิ้นหนาเข้าไปในปากแล้วเคี้ยวพลางยักไหล่ส่งให้ผม
ผมรู้สึกว่าอาหารไม่ค่อยอร่อยเลยเมื่อเรากำลังพูดกันเรื่องนี้
ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่ผมต้องเผชิญมากขึ้นทุกวัน
และผมออกจะมั่นใจด้วยว่าไอ้พวกเพื่อนๆของผมไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเราเลยซักนิด
เขาไม่รู้หรอกว่าคยองซูรู้สึกยังไง...และผมเองก็ภาวนาว่ามันก็ไม่ใช่อย่างที่พวกมันพูด
ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจหรอก...แต่มันเป็นไปไม่ได้
เราห่างกันเกือบรอบนึง และถ้าหากว่าคยองซูชอบผมจริงผมก็ไม่แน่ใจว่าเขารักผมจริงๆหรือเปล่า
เขาจะรู้ได้ยังไงว่าเขาชอบหรือรักผมแบบไหน เขาอาจจะรักผมเพราะเราอยู่ด้วยกันมาตลอดเวลา
อาจจะรักผมเพราะผมเหมือนเป็นหลักยึดสุดท้ายก็ได้ และนั่นก็หมายความว่ามันไม่ใช่ความรักที่แท้จริง...
แต่เป็นความรักแบบมีเงื่อนไขและกลายเป็นว่าเขาจำเป็นต้องรักผมก็เท่านั้น...
“กูว่ากูคงต้องกลับก่อน...
มีประชุมตอนบ่าย ต้องเตรียมเอกสารนิดหน่อย
ไว้เจอกันก็แล้วกัน...กูไปก่อนล่ะ บาย”
ผมบอกลาเพื่อนๆทั้งสองก่อนจะวางช้อนส้อมลงกับโต๊ะ หยิบกระเป๋าขึ้นมาถือแล้วเดินออกจากร้านไป
โดยไม่ได้รู้เลยว่าเพื่อนทั้งสองที่กำลังงุนงงกับการจากไปของผมนั้นต่างก็ถอนหายใจออกมา
“มึงว่าเมื่อไหร่มันจะรู้ใจตัวเองวะ”
ชานยอลหันมาถามจงแดอย่างกลุ้มใจ แล้วก็ต้องเป่าปากออกมาเมื่อเห็นเพื่อนรักเองกำลังขมวดคิ้วไม่ต่างจากตน
จงแดยักไหล่...ก่อนจะหันไปมองหน้าชานยอลแล้วถอนหายใจออกมายาวเหยียด
“กูว่าทำท่าทางหงุดหงิดแบบนี้อาจจะเป็นสัญญาณที่ดีก็ได้นะ
กูว่าอีกไม่นานหรอกมันคงจะรู้ตัวเอง” จงแดพูด
“มึงจะแน่ใจได้ไง มึงก็รู้ไอ้จงอินแม่งบื้อจะตาย
ขนาดเราบอกมันมาอย่างนี้ตั้งหลายปีแม่งยังไม่รู้สึก...กูว่าแม่งจนตายเผลอๆก็ยังไม่รู้ตัว”
ชานยอลพูดพลางหัวเราะในลำคออย่างเวทนาไอ้เพื่อนซื่อบื้อของตัวเอง
หากแต่จงแดกลับยกยิ้มออกมาที่มุมปากก่อนจะหันมาหาชานยอลแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“งั้นมาพนันกันไหม...มึงกล้าสู้เปล่า?” จงแดถามพลางยักคิ้วข้างหนึ่ง
“พนันด้วยอะไร?”
“ถ้าไอ้จงอินมันรู้ตัว มึงต้องเลี้ยงเหล้ากูเดือนนึง
แต่ถ้ามันยังโง่อยู่...กูจะเลี้ยงเหล้ามึงสามเดือนเลย”
จงแดพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ ทำเอาชานยอลต้องหัวเราะออกมาเพราะท่าทางมั่นใจของจงแดอย่างนั้น
“โอ้...มึงดูมั่นใจจังนะไอ้แด้
เอาเด่ะ ถ้ามึงกล้าสู้ กูก็กล้าพนัน”
ชานยอลยักคิ้วตอบเพื่อนอย่างมั่นใจไม่แพ้กัน แต่ในใจจงแดนั้นกลับรู้สึกมั่นใจมากกว่า...
จงแดไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากหั่นสเต๊กในจานตรงหน้าแล้วส่งเข้าปากอย่างอารมณ์ดี
เพราะจงแดรู้ดีว่าถ้าหากเพื่อนโดนกระตุ้นอย่างนี้มากๆเข้า
แถมยังหงุดหงิดกับอิแค่ที่พวกเขามาบอกว่าคยองซูมีคนมาจีบเยอะ
แล้วถ้าเป็นอย่างนี้...
.
.
....ผมจะลองดูซิ ว่าจะมันจะอดทนได้นานแค่ไหนเชียว....
************
คยองซูนั่งมองสายฝนที่ตกกระทบพื้นแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมองแล้วจึงชะเง้อคอมองไปที่หน้าตึกเรียนที่จงอินมักจะมาจอดรถเทียบเพื่อรอรับเขาเสมอ
แต่ตอนนี้เลยเวลาปกติที่จงอินต้องมารับเขามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว
คยองซูพยายามกดโทรศัพท์เครื่องเล็กในมือเพื่อจะติดต่อว่าเขาอยู่ที่ไหน
แต่โทรศัพท์ทั้งสองเบอร์กลับถูกตัดเข้าสู่ระบบฝากข้อความไปซะหมด
และนั่นทำให้ผมส่ายหน้าอย่างเอือมระอา นี่แปลว่าพี่เขาไม่ได้ชาร์ตแบตโทรศัพท์เครื่องเล็กอีกแล้วสินะ
แถมแบตไอโฟนก็หมดเร็วจะตายชัก... อา...บ้าจังเลย
จนกระทั่งเมื่อเม็ดฝนเริ่มหนาขึ้นจนละอองฝนสาดเข้ามาข้างใน
ผมจึงตัดสินใจหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายเพื่อจะวิ่งไปรอที่ตึกฝั่งตรงข้าม
เพราะตรงนั้นคงหลบฝนได้ดีกว่า...และจงอินคงจะมองเห็นผมได้ชัดเจนกว่าถ้าผมวิ่งฝ่าฝนไปอยู่ตรงนั้น
“ร...รุ่นพี่คยองซูครับ”
เสียงตะกุกตะกักของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปมอง
และก็ได้พบกับเด็กผู้ชายรุ่นน้องคนหนึ่งกำลังยืนอยู่
ผมไม่เคยรู้จักเขาแต่ผมเองก็ไม่ได้เป็นคนหยิ่งถึงขั้นคนไม่รู้จักมาทักแล้วจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นหรอกนะครับ
“ครับ...อะไรเหรอ?” ผมหันไปถามเขาอย่างงงๆ เมื่อเห็นในมือของเขามีดอกลิลลี่ดอกหนึ่งผูกโบว์เอาไว้
ดอกลิลลี่งั้นเหรอ...
“ผม...ผมตั้งใจเอามันมาให้รุ่นพี่...ช่วยรับไว้ได้มั้ยครับ?”
เด็กคนนั้นยื่นมันมาตรงหน้าผม
ถึงแม้ว่าที่หน้าอกเขาจะปักสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเขาเป็นรุ่นน้องของผมปีหนึ่ง
แต่ที่แน่ๆ...เขาสูงกว่าผมมากทีเดียว จนผมต้องเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ
“หืม...ให้พี่เหรอ? อ้อ...ขอบคุณมากนะครับ”
ผมยื่นมือไปรับมันมาเพราะว่าคนตรงหน้ากำลังกัดริมฝีปากแน่นซะจนดูเหมือนว่าเขากับเคร่งเครียด
ผมรู้สึกเหมือนกับว่าถ้าผมไม่รับมันมาเขาอาจจะโมโหก็ได้
ผมจึงตัดสินใจไปรับมันมาถือไว้ แล้วบอกขอบคุณเขาเบาๆอีกครั้ง
“พ...พี่คยองซูมีแฟนหรือยังครับ?
ผมชอบพี่มากนานแล้วนะ พ...พูดจริงๆ”
เด็กคนนั้นหน้าแดงก่ำแล้วพูดตะกุกตะกัก...ผมคิดว่านั่นทำเอาผมหน้าแดงไปด้วย
บ้าจริง ก็ไม่ใช่ว่าเจออย่างนี้ครั้งแรกซะหน่อย...แต่ทำไมยังเขินทุกที
“เอ่อ...พี่ขอโทษนะครับ แต่พี่มีคนที่ชอบแล้ว
คือ...พี่ชอบเขามาก จนตอนนี้ยังไม่ได้เผื่อใจไว้มองใครเลย พี่...ขอโทษจริงๆนะ”
ผมตอบกลับเขาไปเสียงแผ่วเบา เพราะกลัวว่าน้องเขาจะรับไม่ได้
แต่การที่น้องเขาถอนหายใจออกมาอย่างแรงแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ทำให้ผมรู้ได้ว่าเขารับสถานการณ์ได้ดีกว่าที่ผมคิดไว้...
“ผม...เฮ้อ...กะไว้แล้วเชียว
ผมไม่ต้องการอะไรหรอกครับ ขอแค่ได้บอกรุ่นพี่ก็พอแล้ว
ดอกไม้นั่น...รับไว้เถอะนะครับ เพราะผมตั้งใจเอามันมาให้พี่
แล้วก็...ผมขอให้พี่สมหวังกับความรักของพี่เร็วๆแล้วกันนะครับ”
เด็กคนนั้นพูดรัวเร็วต่างจากเมื่อกี้ราวกับคนละคน
ก่อนที่เขาจะโค้งให้ผมเมื่อพูดจบแล้วก้าวเท้าเดินออกไปฉับๆ
ไม่ใช่ว่าผมไม่สงสารหรอก...แต่เขาไม่ใช่คนแรกที่เข้ามาทำอย่างนี้กับผม
โดยเฉพาะกับคำตอบนี้...ผมพูดมันจนไม่ต้องหยุดคิดแล้ว
เพราะไม่ว่าใครจะเข้ามาบอกรักผมซักกี่คน...ก็มีเพียงคนเดียวที่ผมรอเท่านั้น
จงอิน...พี่เกลียดผมหรือพี่โง่กันแน่ ผมยังชัดเจนไม่พออีกเหรอที่จะบอกพี่ให้รู้ว่าผมรักพี่แค่ไหน
หรือว่าพี่แกล้งทำเป็นไม่รู้เพราะว่าพี่ไม่เคยคิดกับผมแบบนั้นเลย...
ผมอยากจะถาม...แต่ผมกลัวว่าจงอินจะเกลียดผมถ้าผมทำแบบนั้น
...และผมคงต้องเสียใจแน่ๆถ้ามันเป็นอย่างนั้น...
“ยังพูดมันเหมือนเดิมเลยนะ...ประโยคพวกนั้น”
เสียงที่ผมคุ้นเคยดังขึ้นและทำให้ผมต้องกลับไปสนใจเขา
จงฮยอนกำลังเดินเข้ามาใกล้แล้วส่งยิ้มเจื่อนๆให้ผม
ผมไม่แน่ใจนักว่าเขาเป็นอะไร...แต่รอยยิ้มของเขากลับทำให้ผมเป็นห่วงขึ้นมาจริงๆ
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ...เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ผมถามจงฮยอนอย่างเป็นห่วงก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เขา
แต่จงฮยอนกลับเดินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง...และนั่นทำให้ผมไม่เข้าใจที่เขาทำอย่างนั้น
“อย่าเพิ่งเป็นห่วงเลย...ฉัน...ฉันก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันเป็นอะไร?
แต่เหมือนกับว่าฉันจะยังไม่พร้อมจะคุยกับนาย”
จงฮยอนกระซิบตอบมาเสียงเรียบ ใบหน้านั้นไร้ความรู้สึก แต่สายตานั้นกำลังบ่งบอกอะไรบางอย่าง...
“นายหมายความว่ายังไง? ถ้านายไม่บอกฉันแล้วฉันจะรู้ได้ยังไง?” ผมถามเขา
“นายก็น่าจะรู้ดี...คยองซู
มันผ่านมาหลายปีแล้วนะ แต่ความรู้สึกของฉันก็ยังคงเหมือนเดิม
เหมือนกับที่นายเอาแต่พูดแบบนั้นกับคนอื่นนั่นแหละ...
ฉันรู้ว่านายยังไม่เปลี่ยนไป เหมือนกับฉันที่ยังไม่เคยเปลี่ยนใจ”
“ฉันขอโทษ...แต่จะให้ฉันทำยังไงล่ะจงฮยอน? นายก็รู้ว่าความรักมันบังคับกันไม่ได้หรอกนะ
เราเป็นเพื่อนกันมาหลายปีแล้วนะ...ฉันรู้ว่านายเป็นคนดี และไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีนายก็ยังเป็นเพื่อนที่ฉันรักเสมอ”
ผมตอบเขาไปแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ...
เพราะผมเองไม่รู้ว่าควรต้องทำหน้าตาแบบไหนในสภานการณ์แบบนี้
ผมรู้ดีว่าจงฮยอนยังไม่เปลี่ยนไป เขายังคงรักผมมาตลอด
เพราะว่าเขายังคงคอยดูแลและอยู่เป็นเพื่อนผมเสมอเวลาที่ผมต้องการใครซักคน
รองจากจื่อเทาและเซฮุน คนที่ผมให้ความสนิทสนมก็คือจงฮยอนเสมอ...
และผมไม่อยากเสียเพื่อนดีๆแบบเขาไปเลย...
“ช่างเถอะ...ฉันไม่ได้ต้องการอะไรหรอก
ฉันก็แค่อยากให้นายรู้ว่าความรู้สึกฉันยังไม่เปลี่ยนไปนะ” จงฮยอนพูดกับผม
“อื้ม...ฉันรู้แล้ว”
ผมกระซิบตอบเขาและพยักหน้าเพื่อบ่งบอกว่าเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการให้ผมรับรู้
“เฮ้อ...ตอนนี้ฝนตกหนักมากนะ นายจะไปที่ตึกฝั่งตรงข้ามใช่ไหม?
ฉันมีร่มนะ เราไปด้วยกันเถอะ...ถ้าขืนนายวิ่งฝ่าไป นายต้องเปียกโชกแน่ๆ”
“ไม่ต้อง...”
นั่นไม่ใช่ผมที่ตอบกลับ...
หากแต่เป็นเสียงที่ผมคุ้นเคย และถึงแม้ว่าผมจะไม่ต้องหันหลังกลับไปมองผมก็จำได้
จงอิน...เขามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ และเขาได้ยินอะไรไปบ้าง?
“จ...จงอิน”
ผมหันไปมองเขา แล้วก็ต้องกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่
เพราะสีหน้าของจงอินตอนนี้เย็นชาจนผมรู้สึกกลัว...
...เขาไม่เคยทำสีหน้าอย่างนี้กับผมมาก่อน...
“กลับบ้าน...เดี๋ยวนี้”
เขากระซิบออกมาเสียงเย็นก่อนจะคว้าแขนผมแล้วเริ่มลากผมไปตามทางเดิน
แรงที่เขาบีบมาที่ต้นแขนนั้นทำให้ผมรู้สึกเจ็บ จนอดไม่ไหวต้องร้องออกมาให้เขาลดแรงที่จับลงไปบ้าง
“โอ้ย...จงอิน! คยองเจ็บนะ! ปล่อยคยองสิ คยองเจ็บ!”
ผมตะโกนบอกเขา แต่เขาก็ไม่ฟังผมเลย
แรงบีบยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีกเมื่อผมพยายามดึงดันตัวเองและไม่ยอมเดินไปพร้อมๆกับเขา
จนกระทั่งเขาลากผมไปจนสุดทางเดิน ผมจึงยกมือขึ้นตีเขาที่แผ่นหลังกว้าง
เพราะว่าผมรู้สึกกลัวเขาในเวลานี้เหลือเกิน...
“จงอิน!!! ปล่อยคยองเดี๋ยวนี้นะ!!”
ผมยกกำปั้นขึ้นไปทุบเขา เพราะรู้สึกว่ากระดูกที่ต้นแขนนั้นกำลังจะหัก
จนกระทั่งเราผ่านพ้นหัวมุมทางเดิน เขาจึงปล่อยผมให้เป็นอิสระ
“ฉันส่งนายให้มาเรียนนะ!! แต่นายกำลังทำบ้าอะไรอยู่!!
มันใช่เวลามาคิดเรื่องความรักเหรอ?!
ฉันขอสั่งให้นายเลิกคบกับไอ้เด็กนั่นตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป!!”
จงอินตวาดใส่หน้าผม...ก่อนจะหอบหายใจแรงด้วยความโกรธ
ผมร้องไห้ออกมาเพราะรู้สึกว่ามันไม่แฟร์เลยกับคำพูดที่เขาเพิ่งพูดมันออกมา
“คยองทำอะไร?!! จงอินไม่รู้อะไรอย่ามาพูดเลยดีกว่า!
คยองไม่เลิกคบกับจงฮยอนหรอก!
จงฮยอนเป็นเพื่อนคยอง! จงอินไม่มีเหตุผล!!!”
“เออ! ฉันไม่มีเหตุผล!! แล้วทำไมอ่ะ?!
ก็ฉันไม่ชอบ! จะให้ฉันจ่ายเงินค่าเทอมเพื่อจะให้นายมาอี๋อ๋อกับไอ้นั่นน่ะเหรอ?!!!”
จงอินตะคอกใส่ผมจนเส้นเลือดที่ขมับของเขาปูดขึ้นมา
น้ำตาผมไหลลงมาเพราะคำกล่าวหาที่เขาพูดกับผม
เจ็บมาก...มันเจ็บจนผมแทบจะทนไม่ไหว
“ท...ทำไมจงอินพูดกับคยองแบบนี้ จงอินก็รู้ว่าคยองมีแค่จงอินคนเดียว!
คยองรักจงอิน! คยองรู้ว่าจงอินรู้ดี แต่จงอินแกล้งทำเป็นไม่รู้มันมาตลอด
ทำไมอ่ะ! รังเกียจคยองมากเหรอ? ทำไมต้องคอยหนีความจริงเรื่องนี้ด้วย!
บอกคยองดิ! ทำไมจงอินถึงต้องหลีกเลี่ยงมันด้วย!!
ความรู้สึกของคยองไม่ใช่ของเล่นนะ!!”
“นายรู้จักความรักดีแค่ไหนถึงกล้าพูดออกมาแบบนั้น!!
นายรู้ไหมว่าความรักมันเป็นยังไง?! มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเหมือนเล่นพ่อแม่ลูกนะคยองซู!
นายรู้จักมันหรือไง?! รู้จักกอดไหม? จูบ?! เซ็กส์ล่ะ!! เลิกเล่นซักทีคยองซู
ถ้าวันไหนที่นายรู้จักมันดีพอ...นายจะไม่พูดกับฉันแบบนี้”
“คยองโตแล้วนะจงอิน!! ต..แต่ถ้าเด็กแล้วจะยังไงอ่ะ!! เป็นเด็กแล้วไม่มีหัวใจเหรอ?!!!
คยองจะรู้จักมันได้ยังไงถ้าคยองยังมีแค่จงอินอยู่แบบนี้!
หัวใจคยองมันไม่เคยเปิดรับใครเลย! มันเพราะอะไรล่ะ?! เพราะจงอินไม่ใช่เหรอ?
ถ้าคยองไม่รู้จงอินก็ช่วยสอนคยองสิ! ส...สอนคำว่ารักกับคยองสิ!!”
ผมตวาดออกไปด้วยแรงอารมณ์...ตอนนี้น้ำตากำลังไหลอาบแก้มของผมราวกับเขื่อนแตก
จงอินกรอกตาแล้วถอนหายใจออกมาอย่างแรงแล้วยกมือขยี้ผมของเขาอย่างหัวเสีย
ก่อนที่เขาจะตอบกลับผม...ด้วยประโยคที่ทำให้หัวใจผมแตกสลาย
ถ้าเขาบอกว่าการที่เป็นเด็กแล้วไม่มีหัวใจ...แต่ทำไมผมถึงเจ็บปวดอย่างนี้
“หยุดมันไว้แค่นี้คยองซู...เรารักกันไม่ได้”
เสียงกระซิบของจงอินทำให้ผมหัวใจของผมแทบหยุดเต้น...
น้ำตาของผมพร่างพรูลงมาราวกับว่าชีวิตนี้ผมจะทำอะไรไม่ได้อีกแล้วนอกจากร้องไห้
ในใจผมเต็มไปด้วยความสงสัย...มีร้อยพันคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวแต่ผมไม่อาจจะกลั่นกรองมันออกมาเป็นคำพูดได้
“ท...ทำไม? บอกคยองสิ...”
“นายกับฉันห่างกันตั้งสิบปี นายอยู่กับฉันมาตั้งแต่เด็ก...ฉันทำไม่ได้!
ฉันดูแลนายมาเกือบครึ่งชีวิต! แถมเรายังห่างกันตั้งเกือบรอบนึง!!! แล้วเราจะรักกันได้ยังไง?!!
ไหนจะพ่อนาย! ไหนจะซูจองอีก! นายเคยคิดบ้างไหมว่าพวกเขาจะคิดยังไง?!!!
โลกนี้ไม่ได้มีแค่เราแค่สองคนนะ!”
จงอินตวาดใส่ผม..เขากำหมัดแน่นแล้วเหวี่ยงไปที่ผนังข้างๆทางเดินที่เรากำลังยืนอยู่
ผมสะอึกออกมาเมื่อได้ฟังคำพูดของเขา...ผมฟังมันทุกคำพูด
แต่ผมไม่เข้าใจมันเลยซักนิดเดียว...
“ทำไมล่ะ? อายุห่างกันสิบปีแล้วมันเป็นยังไง?
ใครกำหนดกฏเกณฑ์ไว้เหรอว่าห่างกันเกือบรอบแล้วรักกันไม่ได้
เราอยู่ด้วยกันมาตลอดก็แล้วยังไงล่ะ! ถ้าเราเข้าใจกันแล้วทำไมมันจะเป็นไปไม่ได้
จงอินอย่าอ้างเหตุผลสารพัดสารพันเลย...
แค่บอกมาคำเดียวว่าไม่ได้รักคยอง...บอกมาเลยว่าจงอินรังเกียจคยอง!!”
“นายพูดบ้าอะไรของนาย! ถ้าฉันรังเกียจฉันจะเลี้ยงดูนายมาตั้งเป็นสิบปีอย่างนี้ได้ยังไง!!
นายอย่าเอาคำว่ารักมาล้อเล่นได้ไหม ฉันรู้ดี...ฉันรู้ว่านายมีฉันแค่คนเดียวเท่านั้น
และเพราะอย่างนี้ใช่ไหมนายถึงได้รักฉัน...
ฉันขอถามหน่อยเถอะว่าถ้าหากตอนนี้นายอยู่กับพ่อของนายที่อเมริกา นายจะบอกว่ารักฉันอยู่ไหม??
คิดสิ...มองโลกความจริงสิคยองซู แล้วบอกฉันว่านายรักฉันที่อะไร?
รักเพราะว่าฉันเป็นผู้ชายที่นายรัก...หรือรักเพราะว่าฉันเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่เคยทิ้งนายไปไหน!!!!
บอกสิว่ารักฉันที่ฉันเป็นคิมจงอิน...ไม่ใช่คนที่นายรักเพราะมีเงื่อนไขว่าต้องรัก!!!”
จงอินตวาด...เขาตัวสั่นด้วยความโกรธหลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่ผมพูด
ผมได้แต่สะอึกสะอื้นแล้วร้องไห้ ความรู้สึกน้อยอกน้อยใจพวยพุ่งขึ้นมาข้างในอก
ผมอยากจะพูด...อยากจะบอก...อยากทำให้เขาได้เข้าใจ
แต่ผมพูดไม่ได้...ผมพูดไม่ออก...
ผมน้อยใจ...น้อยใจที่ทั้งๆที่ผมเอ่ยความรู้สึกของผมออกมาทั้งหมดแล้ว สารภาพออกไปจนหมดใจ
แต่เขากลับไม่เชื่อมันเลยซักนิด...เขายังคงคิดว่าความรักที่ผมมีให้เขานั้นเป็นแค่ความไร้เดียงสา
ผมก้มหน้าลงกับพื้นแล้วร้องไห้ ปล่อยให้หยดน้ำตาไหลลงไปที่พื้นอย่างเงียบเชียบ
ความเงียบเกิดขึ้นกับเราจนน่าอึดอัด
แต่ผมกลับได้ยินเสียงกรีดร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดในหัวใจได้อย่างชัดเจน
เป็นเสียงตะโกนก้องที่อยากจะบอกออกไป แต่จงอินกลับไม่มีวันรับรู้...
“คุณมันโง่...คิมจงอิน
คุณยังจะกล้าบอกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่อีกเหรอ ในเมื่อแม้แต่หัวใจดวงเล็กๆคุณยังมองข้ามมันไป
ใครกันแน่ที่เป็นเด็ก?....ใครกันแน่ที่ไม่มีเหตุผล?
ผมว่าถ้าคุณเปิดใจฟังคยองซูซักหน่อย...ข้ออ้างสารพัดที่คุณพูดมามันก็ไม่มีความหมายหรอก”
เสียงของจงฮยอนดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่เดินออกมาจากหัวมุมของทางเดิน
ผมร้องไห้และมองหน้าจงฮยอน...รู้สึกเจ็บปวดแทบขาดใจ
เพราะทั้งๆที่คนที่ผมไม่เคยรักเขา แต่เขากลับเข้าใจหัวใจผมได้มากกว่าคนตรงหน้านี้เสียอีก
เขาเดินเข้ามายืนข้างผม ประจันหน้ากับจงอิน...จับมือผมไว้แล้วบีบมันเบาๆเพื่อปลอบใจ
“นายไม่รู้อะไรอย่ามาทำเป็นสั่งสอนฉัน
เลิกยุ่งกับคยองซูซะ...ฉันขอสั่งในฐานะที่เป็นผู้ปกครองของเขา!!!”
ผู้ปกครองเหรอ?...
คำก็ผู้ปกครอง...สองคำก็ผู้ปกครอง
สำหรับจงอิน...เขาคงเป็นแค่เด็กน้อยที่น่าสงสาร
ที่จงอินอุปการะไว้เลี้ยงดูด้วยความเวทนาเพราะว่าผมไม่เหลือใครสินะ
ผม...เจ็บเหลือเกิน
“ไม่!...คยองจะไม่เลิกคบกับจงฮยอน
จะเป็นผู้ปกครองแล้วยังไง?! หัวใจของคยองมีคยองเป็นเจ้าของ!!
ถ้าจงอินรังเกียจ...จงอินไม่ยินดีที่จะสอนคำว่ารักให้คยอง
.
.
คยองก็จะให้จงฮยอนเป็นคนสอนคำว่ารักให้เอง”
✚ TALK
มัน...ดราม่า...มากกกกกกกกกกกกกกกกกก
ฮือออออออออออออออออออออออออออออ
ไรเตอร์ขอโทษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษา
เจอกันแชปหน้านะ T T
ป.ล.ขอบคุณรีดเดอร์ทุกคนที่ทำให้ฟิคเรื่องนี้ติด Top 10 จนได้
รักนะคะ รักรีดเดอร์มากๆค่ะ ... ให้ความรักกับน้องคยองและฟิคของไรเตอร์ต่อไปน้าาา
ยังไงก็ช่วยติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ รักรีดเดอร์ทุกคนมากค่ะ ♥
- ไรเตอร์นมน. -
ความคิดเห็น