ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF-EXO] ✚ :: THE TWINS :: ✚ [ D.O. x KYUNGS00 ]*

    ลำดับตอนที่ #11 : ✚ THE END I :: DRAMA ENDING VER.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.27K
      7
      20 ก.ย. 55


     

     

     

    Author : MR.SNOWMAN
    Pairing : D.O. x Kyungsoo
    Rate : NC - 18





    THE TWINS*





     

    -------------------------------------------







     

     THE  END
    OF THE TWINS STORY
    --
    DRAMA VER.
     --

     

    คำเตือน :
    มันคือโคตรมหากาพย์ของความดราม่า
    มันโคตรจะบ้า...
    และ....
    มันยาว...มาก









    คยองซูปรือตาตื่นขึ้นมาเมื่อแสงสว่างจ้าที่ลอดมาจากรูผ้าม่านนั้นทำให้เขาต้องตื่นจากความฝัน

    ความฝันที่ทำให้ตอนนี้หางตามีน้ำใสไหลรินลงมาอย่างไม่อาจหักห้ามได้

    เหงื่อผุดพรายบนหน้าผากแม้ว่าแอร์คอนดิชันเนอร์จะทำงานของมันจนห้องนี้เย็นเฉียบ

     

     

    ผมฝันร้ายตลอดทั้งคืน...ผมฝันถึงแม่ 

    ผมเห็นแม่นั่งร้องไห้อยู่ในความฝัน ชี้มือไปทางดีโอที่กำลังเดินอยู่ และเขาก็เดินห่างออกไป....

    แต่ไม่ว่าผมจะยิ่งวิ่งตามเขาไปเท่าไหร่เขาก็ยิ่งเดินห่างออกไปมากเท่านั้น

    ระยะห่างของผมกับเขาไม่ได้ลดลง...และจู่ๆเขาก็หายไปเสียเฉยๆ  ฝันวนไปวนมาอย่างนี้อยู่ตลอดทั้งคืน

     

     

    ผมสะดุ้งตื่นและหอบหายใจอย่างแรงก่อนจะสะอื้นไห้...

    นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงอย่างนั้นเมื่อสมองเริ่มประมวลผลได้ว่าอันไหนกันแน่ที่เป็นความฝันและความจริงที่ผมต้องเจอ

    ผมบิดตัวคุดคู้และกอดตัวเองเอาไว้...

    เมื่อรับรู้ได้ว่าไม่ว่าจะความฝันหรือความจริง...ผมก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน

     

     

    ผมนอนร้องไห้อยู่เงียบๆและปฏิเสธที่จะทำอะไรแม้แต่ขยับตัว

    เป็นอย่างนั้นมาร่วมหลายชั่วโมง...จนกระทั่งเสียงกริ่งที่หน้าห้องนั้นดังขึ้น

     
     

    ผมค่อยๆขยับตัวให้ลุกขึ้นจากเตียงกว้าง

    ปาดน้ำตาพลางถอนหายใจออกมา...

    มองกระจกที่ตรงหน้าห้องนอนก็พบว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องปกปิดน้ำตาของผมเลย

    เพราะดวงตาของผมแดงก่ำและบวมเปล่งจนน่าตกใจ...

    มันแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผมผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

     
     

    เสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้ง...และนั่นทำให้ผมต้องเดินออกไปเปิดประตูอย่างเลี่ยงไม่ได้

    รับรู้ว่าเป็นเพื่อนๆทั้งสามคน เพราะเสียงทะเลาะกันโหวกเหวกโวยวายของแบคฮยอนและจงอินกำลังดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ผมถอนหายใจออกมาเมื่อแอบได้ยินประโยคสนทนาที่พวกเขากำลังเถียงกันแล้วก็ต้องกัดริมฝีปาก

     

     

    “มึงห้ามพูดถึงชื่อไอ้ดีโอออกมาแม้แต่คำเดียวเข้าใจไหม?

    ต่อจากนี้คำนี้เป็นคำต้องห้าม ถ้าคยองซูจะพูดเรื่องมันมึงก็หาเรื่องเบื่องประเด็นซะ” 


    จงอินพูดอย่างร้อนใจในขณะที่ผมเองก็ได้ยินเสียงของแบคฮยอนแหวกลับ

     

    “เออ! กูรู้แล้ว! กูไม่ได้โง่นะไอ้จงอิน...มึงเหอะอย่าหลุดโมโหออกมาแล้วกัน

    ไม่งั้นกูถีบมึงแน่ๆ นี่กูเอาจริงนะคราวนี้!

     

     

    “พอเลยพวกมึงอ่ะ...เดี๋ยวคยองซูก็ได้ยินหรอก

    กดกริ่งอีกครั้งสิ และเลิกเถียงกันได้แล้ว”

     
     

    เสียงของชานยอลดังขึ้นมาอย่างเอือมระอา...ทำให้ผมพยายามปาดน้ำตาออกจากแก้มอีกครั้ง

    เพื่อให้แน่ใจว่าตอนนี้จะไม่มีหยดน้ำตาบนใบหน้าที่ทำให้พวกเขาต้องกังวลใจ

     
     

    ผมพยายามจะฝืนบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร...เพราะผมเป็นห่วงใจของเพื่อนๆมาก

    พวกเขารักและเป็นห่วงผมเสมอ อยู่เคียงข้างมาตลอดไม่ว่าเรื่องราวจะเลวร้ายแค่ไหน

    ผมรู้สึกดีใจที่พวกเขาไม่เลิกคบกับผม แต่พยายามจะทำให้เหมือนว่าเรื่องพวกนี้ไม่เคยเกิดขึ้น

    ทำให้รู้สึกเหมือนที่ดีโอต้องการให้ผมลบเขาจากใจ...

     

     

    ผมไม่โกรธแบคฮยอนและจงอินที่พวกเขากีดกันความรักของเรา

    เพราะผมรู้ว่าที่พวกเขาทำทั้งหมดนั้นเพราะว่าเขาเป็นห่วงผม

    และผมมั่นใจว่าถ้าหากได้อยู่ข้างๆพวกเขา...ซักวันผมอาจจะลืมดีโอและความผิดบาปที่ผ่านมา

     

     

    เสียงกริ่งกดขึ้นอีกครั้งและนั่นทำให้ผมต้องสูดหายใจเข้าไปลึก

    พยายามจะฝืนยิ้มออกมาให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุดในขณะที่เปิดประตูออกไป

    แต่เห็นได้ชัดว่ามันคงเป็นยิ้มที่ฝืดมากจริงๆ...

     
     

    ผมเห็นชานยอลหุบยิ้มที่พยายามส่งมาแล้วขมวดคิ้วส่งมาเมื่อเห็นสภาพของผม

    แบคฮยอนและจงอินเองก็เช่นกัน...เขาเจื่อนยิ้มลงทันทีที่ผมเปิดประตูออกไป

    จงอินกัดริมฝีปากแล้วมองไปทางอื่นอย่างจงใจ ราวกับว่าเขาไม่อยากจะเห็นผมในสภาพแบบนี้

    แต่แบคฮยอนรีบกลับมาส่งยิ้มให้ผมอย่างร่าเริงเกินเหตุ

     
     

    “คยองซู...นายตื่นนานรึยัง?

    พวกฉันไปแวะซุปเปอร์มา...เลยกะว่าจะมาทำหม้อไฟกินที่ห้องนาย

    นี่งายยย เรามาปาร์ตี้กันเหอะ!

     
     

    เขายิ้มส่งมาอย่างน่ารักแล้วชูถุงที่ถือพะรุงพะรังในมือขึ้นมาให้ผมดู

    ผมยกยิ้มออกมาบางๆเมื่อเห็นอย่างนั้น...ก่อนจะเดินถอยหลังให้พวกเขาเข้ามาในห้อง

     
     

    “มาสิ...ฉันเพิ่งตื่นได้ไม่นาน พวกนายเข้ามาเตรียมของได้เลยนะ

    ขอฉันไปอาบน้ำแปปเดียวแล้วจะออกมาช่วย”

     
     

    “เอาเด่ะ...เดี๋ยวฉันกับไอ้พวกนี้เตรียมของรอแล้วกัน

    นายไปอาบน้ำเหอะ ไม่ต้องเป็นห่วงว่าครัวจะไหม้นะ

    ว้า....ห้องนายมืดจัง  เราเปิดม่านกันเหอะ”

     
     

    ผมเดินนำเข้ามาแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนู

    ส่งยิ้มบางๆให้ชานยอลที่เดินเข้ามาเปิดผ้าม่านในห้องออกจนห้องไม่ได้ดูมืดมนอีกต่อไป

     
     

    “เออ...เปิดม่านอย่างนี้สิค่อยดูดีหน่อย อากาศกำลังดีเชียว

    นี่ฉันเช่าดีวีดีมาดูด้วยนะ เรื่องนี้เพิ่งออกแผ่น

    เดี๋ยวเรามาดูพร้อมกันตอนกินหม้อไฟดีกว่า”

     
     

    จงอินยกยิ้มพลางชูแผ่นดีวีดีในมือขึ้นให้ผมดูแล้ววางลงไปบนโซฟา

    ในขณะที่แบคฮยอนก็ง่วนอยู่กับการวางถุงข้าวของนั้นลงบนโต๊ะในห้องครัว

     
     

    “นายรีบไปเหอะคยองซู...จะได้ออกมาช่วยฉันไง”

     
     

    แบคฮยอนส่งยิ้มมาให้ผมที่กำลังยืนบื้ออยู่ตรงหน้าห้องอีกครั้ง

    ผมสะดุ้งแล้วพยักหน้าตอบรับคำพูดของแบคฮยอน

    ยกยิ้มส่งให้พวกเขา...ก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมาอย่างช่วยไม่ได้

     

     

    “ข...ขอบใจพวกนายมากนะ  ฉัน...ฉันขอโทษ”

     
     

    ผมเริ่มร้องไห้...ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นแต่เพราะผมซาบซึ้งใจในความใจดีของพวกเขา

    จงอินหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะเดินมาหาผม  เขายกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆแล้วปลอบประโลม

     
     

     

    “ไม่เอาน่ะ...จะขอบใจทำไมล่ะ  เลิกร้องไห้ได้แล้วนะคยองซู

    นายนี่ตลกจัง...ทั้งๆที่ตอนเลิกกับฉันยังไม่เห็นร้องไห้ขนาดนี้เลยแท้  ฉันงอนนะรู้เปล่า?”

     
     

    จงอินบ่นออกมาในขณะที่ทำปากจู๋ดูน่ารัก

    ผมหัวเราะออกมาทั้งน้ำตาเพราะว่าไม่บ่อยนักหรอกที่เขาจะทำท่าทางน่ารักแบบนั้น

    ชานยอลเดินเข้ามาโอบบ่าผมและแบคฮยอนเองเดินเข้ามาโอบเอวของผมก็เช่นกัน

     
     

    “อย่ามาทำแอ๊บหน่อยเลยมึงอ่ะ เอามือออกไปด้วย เดี๋ยวกูก็ฟ้องพี่ลู่หานซะหรอก” ชานยอลพูดแหย่

     
     

    “เหยยย  กูก็แค่พูดเล่นกับคยองซูหรอกน่า” จงอินรีบแก้ตัว ผมหัวเราะออกมาเมื่อเห็นอย่างนั้น

     
     

    “ขอบใจมาก...ขอบใจพวกนายที่เป็นห่วงฉัน” ผมพูดออกไปทั้งน้ำตา แบคฮยอนส่ายหน้าพลางกระชับกอดของเขาแน่นขึ้น

     
     

    “ไม่เป็นไรหรอกคยองซู...เรื่องนี้พวกฉันเองก็มีส่วนผิด

    แต่จากนี้ไปพวกเราจะอยู่ข้างนายเสมอนะเพื่อน”

     
     

    “ฮือ...ข...ขอบคุณนะ”

     
     

    แบคฮยอนกอดผม...ผมสะอึกแต่ก็ร้องไห้ออกมาไม่หยุด

    ชานยอลยกยิ้มแล้วใช้แขนกว้างโอบเราสามคนเข้าไปกอดกันเสียจนแน่น

     
     

    “เย้ๆๆๆๆๆๆ คยองซูยิ้มแล้ว...”

     

     

    เขาตะโกนออกมาแล้วหมุนเราสามคนให้กระโดดโลดเต้นตามเขาเหมือนเด็กๆ

    ผมหัวเราะออกมาเมื่อรู้สึกว่ากำลังทำอะไรไม่ค่อยเข้าท่านัก แต่เพื่อนๆก็ส่งยิ้มร่าและเล่นตามชานยอลแบบนั้น

     

     

    “พอได้แล้วน่ะ...ทุกคนเลย

    ฉันจะไปอาบน้ำล่ะ ปล่อยได้แล้วนะ”

     

     

    “อื้ม...งั้นเราไปเตรียมของกันเหอะ ปาร์ตี้กัน หม้อไฟ หม้อไฟฟฟฟ”

     
     

    ชานยอลกระโดดโลดเต้นพลางคว้ามือแบคฮยอนให้เดินกลับไปที่ครัว

    จงอินหัวเราะและยกมือขึ้นมาลูบหัวผมอีกที

     
     

    “หายเศร้าเร็วๆนะ...มันอาจจะยากหน่อย แต่พวกฉันจะรอคยองซูคนเดิมกลับมา”

     

     

    เขาทิ้งประโยคที่ทำให้ต้องยกยิ้มออกมาบางๆก่อนจะเดินออกไปสบทบกับชานยอลและแบคฮยอนทันที...

     

     

    ผมเดินหันหลังมาในขณะที่ปาดน้ำตาออกจากแก้ม...

    รู้สึกดีใจที่ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่คนเดียว แต่ยังมีมิตรภาพดีๆของเพื่อนๆช่วยทำให้ยิ้มได้

     

    ผมเริ่มต้นอาบน้ำแล้วปล่อยให้น้ำเย็นๆไหลผ่านร่างกายลงไป

    หวังเพียงแค่จะทิ้งเรื่องของดีโอลงไปกับสายน้ำที่กำลังชำระร่างกายของผมให้หมดจด

    ผมเพียงแค่ปรารถนาให้ผมลืมเขาออกไปจากหัวได้เพียงแค่ชั่ววินาทีหนึ่งก็ยังดี

     

    .

    .

    .
    .

     

    แม้รู้ดีว่าไม่มีทางลืมเขาได้เลย...

     

     

     

    ************

     

     

     

    ผมอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จนานแล้ว

    แต่ที่ไม่ยอมออกจากห้องเพราะกำลังได้ยินบทสนทนาอันแผ่วเบาที่ทั้งสามคนกำลังคุยกันอยู่

    อันความจริงพวกเขาไม่น่าพูดเรื่องนี้เลย แม้ว่าจะเป็นต่อหน้าหรือลับหลังผมก็ตาม

    เพราะมันทำให้ผมคิดถึงดีโออีกแล้ว...

     
     

    “มึงว่า...ตอนนี้ไอ้ดีโอมันจะไปถึงไหนแล้ววะ” แบคฮยอนถาม

     
     

    “ทำไม...จู่ๆเป็นห่วงมันขึ้นมาหรือไงหืม?” ชานยอลเอ่ยแซว

     
     

    “มันจะถึงหรือยังวะ? ป่านนี้มันจะไปอยู่ที่ไหนแล้วนะ

    กูสงสารมันเหมือนกันนะที่มันเลือกที่จะทำแบบนี้

    ถึงกูจะไม่อยากให้ทั้งสองคนคบกัน แต่กูก็ไม่อยากทิ้งไอ้ดีโอให้อยู่คนเดียวแบบนั้นเลย” แบคฮยอนตอบเสียงแผ่ว

     
     

    “มึงคิดว่าถ้ามันไปถึง...มันจะโทรหาพวกเราไหมวะ?” ผมได้ยินเสียงจงอินถามขึ้นมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก

     
     

    “กูเองก็ไม่รู้...แต่ในเมื่อมันกำชับกับเราแล้วว่าเราต้องทำทุกอย่างให้คยองซูลืมมัน

    เราก็ต้องทำอย่างที่มันต้องการให้ได้ อย่างน้อยก็เพื่อไอ้ดีโอ มันจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงคยองซูอีก”

     
     

    “กูไม่อยากให้มันทำอย่างนี้เลย...

    แต่กูก็ไม่เห็นทางไหนที่คยองซูจะลืมมันได้นอกจากทางนี้

    กูนับถือใจมันนะ มันใจแข็งมากๆ

    ถึงแม้จะหน้าตาท่าทางเหมือนกัน แต่พวกมันแตกต่างกันมากจริงๆ“  แบคฮยอนพูดพลางถอนหายใจ

     
     

     

    “มันคงเติบโตมาในสังคมที่เป็นอย่างนั้น

    เอาจริงๆถึงแม้ว่ากูจะไม่ค่อยชอบมัน แต่กูก็ไม่ได้เกลียดมันหรอกนะ

    กูแค่ไม่ชอบที่มันกวนประสาทเรื่องคยองซู แต่กับเรื่องอื่นๆกูโอเคกับมัน

    กูรู้สึกเสียดายที่มันต้องจากเราไป รู้สึกเหงาเหมือนกันว่ะ...ไม่มีคนให้ทะเลาะด้วยเลย เหงาปาก....”  จงอินพูด

     

     

    “แต่ในเมื่อมันตัดสินใจและฝากฝังเราไว้เราก็ต้องทำให้ได้นะ

    เลิกเสียดายและเลิกพูดถึงมันซะ...

    เพื่อคยองซูและเพื่อไอ้ดีโอด้วย” ชานยอลกระซิบ

     

     

    “อืม...งั้นเอาโต๊ะมาตั้งกันเถอะ

    กูได้ยินเสียงในห้องน้ำเงียบไป...เดี๋ยวซักพักคยองซูก็คงออกมาแล้ว”

     

     

    แบคฮยอนชักชวนให้ทั้งหมดไปเตรียมของตามเดิม

    และเสียงบทสนทนาที่เจ็บปวดนั้นก็จบลง แต่มันกลับทำให้ผมต้องกลืนก้อนสะอื้นลงไปในคออย่างยากลำบาก

     
     

    ดีโอ...นายมันบ้าที่สุด

    คิดเหรอว่าแค่การบอกไม่ให้พูดถึงมันจะทำให้ฉันลืมนายได้

    ฉันเห็นนายอยู่ในตาของฉันในทุกเวลาที่ฉันส่องกระจก

    ฉันเห็นนายอยู่ในความทรงจำเสมอไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนหรือทำอะไร

    นายคิดว่าฉันจะลืมได้งั้นหรือไง....ไม่มีวันหรอก

     

    บ้า...นายมันโง่ที่สุด....

     

     

     

     

    ผมและเพื่อนๆผ่านมื้ออาหารกันไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

    ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกว่ากินไม่ค่อยลงและหนังจะไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่นัก

    เพราะในหัวมีแต่แว๊บภาพใบหน้าของดีโอขึ้นมาอยู่เรื่อยๆจนไม่เป็นอันทำอะไร

    ผมเดินเข้าไปเอาจานไปเก็บล้างในครัว และปล่อยให้พวกเขาได้เล่นเกมส์กันต่ออย่างสนุกสนาน

     

     

    ผมถอนหายใจออกมาเมื่อจัดวางจานแล้วเห็นแก้วกาแฟของเขาวางอยู่ตรงนั้น

    เม้มริมฝีปากแน่นแล้วหันเหสายตาไปทางอื่นเพราะรู้สึกว่าน้ำตาพาลจะไหล

    ในเมื่อเรื่องราวของเขายังอยู่...มันเหมือนว่าเขาไม่ได้หายไปไหน...

     

     

    “ทำหน้าอย่างนี้อีกแล้วนะ”  เสียงของชานยอลที่ดังขึ้นมานั้นทำให้ผมต้องสะดุ้ง...

     

     

    “ขอโทษที...”  ผมกระซิบกลับไป

     

     

    “ไม่เป็นไรหรอก...ฉันเข้าใจว่ามันลืมยาก

    ฉันไม่โกรธหรอกถ้านายจะคิดถึง...

    แต่ฉันไม่อยากให้นายเอาชีวิตที่เหลือไปผูกติดอยู่กับคนที่จากไปนัก”

     

    ชานยอลกระซิบตอบมาพลางยกมือลูบหลังผม

    ผมถอนหายใจและพยักหน้าออกมาเมื่อรู้สึกผิดที่ทำให้เพื่อนต้องเป็นห่วงอีกแล้ว

     
     

    “อื้ม...ฉันจะพยายามนะ”  ผมตอบไป

     

     

    “ไม่เป็นไรหรอก...นายเสร็จหรือยังล่ะ ฉันว่าเราไปนั่งเล่นไพ่กันต่อเถอะ” ชานยอลชักชวนผม

     
     

    “อ่า...เอาสิ นายไปก่อนเลยก็ได้ ฉันขอเก็บแก้วนี่แป๊ปเดียว”

     
     

    ผมยิ้มออกมาบางๆแล้วคว้าเอาแก้วกาแฟของดีโอขึ้นมาถือไว้

    เปิดตู้เก็บจานข้างบนเพื่อหมายจะเก็บมันเอาไว้ให้ลึกที่สุดและไม่ต้องพบเจอมันอีก

    แต่ผมก็ไม่ทันได้ทำอย่างที่ตั้งใจ....

     

     

     

    “อ๊ะ!

     

    เพล้ง!!!!

     

    ผมร้องออกมาเมื่อจู่ๆหัวใจผมก็สั่นอย่างไม่มีสาเหตุ...

    มันเต้นรัวเร็วและจู่ๆก็เจ็บแปลบจนทำให้ผมต้องยกมือขึ้นมากุมที่หน้าอกไว้

    ชานยอลวิ่งเข้ามาประคองผมที่ตอนนี้รู้สึกว่ากำลังหน้ามืดเหมือนโลกทั้งใบกำลังดับวูบไป

    ที่ขมับนั้นเต้นตุบๆแล้วปวดจนแทบระเบิดราวกับจะตายให้ได้

    ผมทรุดตัวลงไปในอ้อมแขนของชานยอลแล้วเริ่มกระตุก!

     

     

    “คยองซู!! คยองซู!!

     

     

    ชานยอลตะโกนพลางเขย่าตัวผม ผมเห็นจงอินและแบคฮยอนวิ่งปึงปังแล้วมาจับผมไว้

    ผมหลับตาปี๋แน่นเมื่อภาพในตาเป็นสีขาวสว่างจ้าและหัวใจก็บีบแน่นจนเจ็บปวด

    ...แต่เมื่อผมหอบหายใจอยู่ซักพักหนึ่งอาการทุกอย่างก็หายไป...

     

    “ค...คยองซู เป็นยังไงบ้าง?”

     

     

    แบคฮยอนถามผมเสียงสั่น

    เขายกมือขึ้นทาบอกแล้วเขย่าตัวผมอย่างร้อนรน

    ผมกลืนน้ำลายลงไปในคอก่อนจะยกมือบอกเขาว่าผมไม่เป็นไร

     

     

    “ม...ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร”

     
     

    ผมหอบหายใจ...รีบบอกแบคฮยอนออกไปเมื่อผมเห็นว่าเขากำลังจะร้องไห้

    หน้าของจงอินดูซีดเผือดและชานยอลก็แสดงออกถึงความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

     
     

    “นาย...ไม่เป็นไรแล้วแน่เหรอ? “ จงอินถามผม

     
     

    “อืม...ไม่เป็นไรแล้ว

    ม...เมื่อกี้ฉันหน้ามืดน่ะ อาจจะเพราะเมื่อคืนนอนไม่พอ”

     

     

    ผมตอบกลับไปทั้งๆที่หัวใจยังคงเต้นตุบๆ

    ผมรีบปรับลมหายใจแล้วลุกขึ้นยืนเป็นปกติ

    แม้ความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อกี้จะหายไป แต่หัวใจก็ยังคงสั่นอยู่ดี

     

     

    “ฉันตกใจหมด...อย่าเป็นอะไรไปนะ

    เราไปที่โซฟากันเถอะ จงอินนายช่วยที” 

     

     

    “แบคฮยอน...ช่วยเก็บเศษแก้วนั้นทิ้งที”

     

     

    ชานยอลพูดขึ้นมาเสียงแผ่ว ในขณะที่ขอร้องจงอินให้ช่วยพยุงผมเดินไปที่โซฟาอีกแรงหนึ่ง

    ผมมองลงไปที่เศษแก้วที่แตกนั้นด้วยความเสียใจ

    ...แก้วของดีโอนั้นแตกไปแล้ว...

     
     

    จงอินรีบคว้าไหล่ของผมให้ออกเดินแต่ผมกลับขืนตัวไว้

    ผมรีบปัดมือพวกเขาออกแล้วรีบปฏิเสธว่าตัวเองไม่เป็นอะไร

    ก่อนจะชักชวนพวกเขาให้เดินไปนั่งที่ห้องนั่งเล่นและเล่นเกมส์กันตามปกติ

     
     

    ในตอนแรกพวกเขามองผมอย่างเป็นห่วง แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานเราก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

    ผมกลับนั่งมองทั้งสามคนนั่งเล่นไพ่กินเงินกันและแสร้งทำเป็นหัวเราะอย่างสนุกสนาน

    แต่ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าหัวใจยังสั่น...ผมไม่เข้าใจว่าผมเป็นอะไรแต่ที่ผมรู้คือแสงสีขาวนั้นสว่างจ้าจนผมรู้สึกกลัว

     
     

    แบคฮยอนสบถออกมาเมื่อเขาแพ้เป็นครั้งที่สิบ เรียกสติให้ผมกลับมาสนใจพวกเขา

    ผมเห็นเขาทิ้งไพ่ลงไปบนพื้นอย่างหัวเสียแล้วเดินมานั่งข้างผม

     
     

    “อะไรกัน...แพ้แล้วหรือ?”  ผมแสร้งยกยิ้มถามเขา

     

    “อือ...ไม่เล่นแล้วโมโห ดูทีวีดีกว่า”

     
     

    แบคฮยอนพูดพลางคว้ารีโมททีวีขึ้นมากดหาช่องที่ถูกใจ

    ผมหันขึ้นไปดูทีวีกับเขาจนกระทั่งรายการนั้นถูกตัดด้วยการรายงานข่าวด่วน

    ผมและแบคฮยอนไม่ได้สนใจ หากแต่เมื่อนักข่าวรายงานข่าวขึ้นมา...บรรยากาศทั้งห้องก็เงียบสนิท...

     

     

    มีเหตุเครื่องบินตกเมื่อครู่ที่ผ่านมาที่ทางตอนใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกาในรัฐ South Carolina

    โดยเครื่องบินที่เกิดอุบัติเหตุคือเที่ยวบินของสายการบิน Northwest Airline เที่ยวบินที่ JFK – 1672

    ซึ่งออกเดินทางจากเกาหลีใต้เมื่อคืนนี้...

    และจะมีกำหนดลงจอดที่สนามบินนานาชาติ JOHN F. KENNEDY ของกรุงนิวยอร์คในอีกสามชั่วโมงข้างหน้า

     

     

    ทางสายการบินยังไม่ได้ระบุสาเหตุที่แน่ชัดว่าเหตุเกิดเพราะอะไร

    หากแต่ทางวิศวะกรและเจ้าหน้าที่ๆเข้าไปตรวจสอบสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากระบบไฟฟ้าในเครื่องขัดข้อง

    ทำให้เครื่องบินไม่สามารถปรับความดันในอากาศได้ และเป็นสาเหตุให้เครื่องบินตก

    ทางรายงานกล่าวว่าเหตุการณ์เครื่องบินตกครั้งนี้ไม่มีผู้รอดชีวิต

    ทางเราจะรายงานข่าวให้ทราบหากมีข่าวคืบหน้าต่อไปค่ะ...

     

     
     

    “...............................................”

     

     
     

     

    ทั้งห้องเงียบกริบ...แม้แต่ตัวผมเองยังลืมหายใจ

    ผมนั่งทบทวนเนื้อหาในข่าวที่ถูกรายงานออกมาแล้วพบว่าตัวเองกำลังมีน้ำตาไหลรินลงมาจากดวงตา

    โลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุนไป...เรี่ยวแรงของผมที่เคยมีในตอนนี้มันกลับหายไปหมด

    สมองของผมว่างเปล่า คิดไม่ออกแม้กระทั่งว่าควรจะทำอะไรในตอนนี้

     
     

    “ค...คยองซู”  แบคฮยอนหันมาสัมผัสที่หัวไหล่ของผมแผ่วเบา

     
     

    น้ำตาของผมไหลอาบแก้ม...หัวใจเหมือนถูกบีบให้แตกเป็นเสี่ยงๆ

    ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย ผมกำลังจะตายอยู่ตรงนี้

     
     

    เครื่องบินตก...ไม่มีผู้รอดชีวิต...

     

    ...เขาตายแล้ว...

     

     

     

    “ม...ไม่จริงอ่ะ ไม่จริง -- ช...ใช่มั้ย...?”

     
     

     

    ผมเอ่ยขึ้นมาทั้งๆที่น้ำตาไหลอาบแก้ม...ร่างกายกำลังสั่นระริกจนไม่อาจจะทำให้มันกลับไปเป็นปกติได้

    ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วเสียจนผมคิดว่าผมอาจกำลังจะฝันไป

    แต่แบคฮยอนเองก็ร้องไห้ออกมาเช่นกัน น้ำตาของเขาร่วงผล็อยในขณะที่มองหน้าผม

    ซึ่งนั่นทำให้ผมรับรู้ว่านี่คือความจริง...ไม่ใช่ความฝัน

     
     

    ...เขาตายแล้ว...

     

     
     

    “จ...ใจเย็นๆก่อนนะคยองซู ใจเย็นก่อน”

     
     

    ชานยอลลุกขึ้นมาเขย่าตัวผม

    ผมลืมตาเบิกโพลงก่อนจะมองหน้าเขา...ใจเย็นงั้นเหรอ?

     
     

    “ช...ชานยอล บอกฉันทีว่ามันไม่จริง

    ไม่จริงใช่มั้ย!! ด...ดีโอ...เขายังไม่ตายใช่มั้ย!!!!

     
     

    “คยองซู...จ...ใจเย็นก่อนได้ไหม”

     

     
     

    “ไม่!!! ไม่นะ มันไม่จริง!!!

    ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!

     

     

    ผมตะโกนออกมาจนสุดเสียงแล้วผุดลุกขึ้นจากโซฟา ผมยกมือปัดป่ายมือของชานยอลที่เข้ามารวบตัวผมไว้

    ผมอยากจะวิ่งหนีไปจากที่นี่...ไม่อยากเห็นใคร ไม่ต้องการคำปลอบใจจากใครๆทั้งนั้น!

    แค่อยากจะหนีไปให้ไกล ไม่อยากได้ยินหรือรับรู้อะไรอีก!

     
     

    ...เขาตายแล้วดีโอตายแล้ว...

     
     

    “หยุดนะ! นายจะไปไหน!!!!

     
     

    ชานยอลตะโกนก้องในขณะที่กอดรัดตัวผมเอาไว้

    ผมร้องไห้ออกมาเป็นบ้าเป็นหลังในขณะที่พยายามเหวี่ยงตัวเองให้ออกจากอ้อมกอดของชานยอล

    ผมอยากจะวิ่งไปไหนก็ได้! อยากจะหลีกหนีไปจากตรงนี้!!!

     

     

    “ปล่อย! ปล่อยฉัน!! ปล่อยฉันเซ่!!!!!!!

     

     

    ผมตะโกนออกไปเสียงดังลั่น น้ำตาที่ไหลลงมายังคงทำให้ร่างกายกระตุกสั่น

    ผมพยายามจะขัดขืนอ้อมกอดของชานยอล แต่เขากลับล๊อคตัวผมไว้ไม่ให้ขยับไปไหน
    จงอินก็วิ่งเข้ามาช่วยดึงผมเอาไว้อีกแรง เมื่อเห็นว่าผมกำลังเหวี่ยงตัวไปมาเหมือนคนบ้า...


    ใช่...ผมบ้าไปแล้ว...

     
     

    “คยองซู!! นายช่วยใจเย็นหน่อยได้ไหม?!!!!

     

     

    “ปล่อยฉัน...ปล่อยฉัน...ไม่ก็ฆ่าฉันให้ตายซะสิ! ฆ่าฉันเลย!!!!!

     

     

    เพื๊ยะ!!!!!!

     

     

    “เลิกบ้าได้แล้วคยองซู!! ดีโอตายไปแล้วและฉันจะไม่ยอมเสียนายไปอีกคนแน่!”

     

     

    แบคฮยอนวิ่งเข้ามาตบหน้าผมจนผมชาไปหมด

    ที่ชาไม่ใช่แค่ที่ใบหน้า...แต่มันชาไปถึงหัวใจ...ชาไปทั้งร่างกายจนผมไม่สามารถจะทำอะไรได้อีก

    แข้งขาของผมไร้เรี่ยวแรงเพราะแรงตบนั้น และความจริงที่ราวกับจะฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น...

    คำพูดของแบคฮยอนกำลังทำร้ายผม...

    คำพูดที่บอกว่าเขาจากไปแล้ว  เขาจากไปในที่ๆผมตามไปไม่ได้....

     
     

    “ฮึก....ฮือออออออออออออออออออ”

     
     

    ผมร้องไห้ออกมาอย่างอ่อนแรง ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วปล่อยตัวเองให้ลงไปนอนกองกับพื้น

    ผมไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะทำอะไรอีกแล้ว...

    เป็นผมเองที่ผลักไสเขา...เป็นผมเองที่หยิบยื่นความตายให้เขาแบบนี้....

     
     

    ผมเกลียดที่พระเจ้ากลั่นแกล้งผมให้ตายทั้งเป็น...

    มันอาจเป็นบาปกรรมที่เราควรได้รับจากการกระทำชั่วๆที่ผ่านมา

    ผมเกลียดพระเจ้าที่พิพากษาเราเร็วเกินไป...
    ผมยังไม่พร้อมรับมัน...

     

    ผมเกลียดพระเจ้า...ผมเกลียดที่พระองค์ทำให้ชีวิตเราต้องเป็นแบบนี้

    ผมเคยอธิษฐาน...ปรารถนาขอเพียงแค่โอกาสจากพระองค์เท่านั้น...

    ....แต่พระองค์ก็ไม่ยอมมอบให้...

     

     

    .

    .

    .

    .

     

    แต่กลับพรากเขาไปจากผม...ตลอดกาล

     

     

     

     

    ************

     




     

    ความรักไม่ได้ทำให้เราทรมานหรอก...
    แต่สิ่งที่ทำให้เราต้องทรมาน คือ ความคิดถึง

    -  I  MISS  YOU : รักฉัน....อย่าคิดถึงฉัน -  


     

     

    ผมนอนอยู่บนเตียงกว้างอ่อนนุ่มในโรงพยาบาล นอนจมน้ำตาที่ไม่อาจจะหมดสิ้นไปจากดวงตาของผมเสียที

    ร่างกายของผมอ่อนแอลงมากราวกับว่าถ้ามีใครมาสั่งให้ตายตอนนี้ผมคงจะต้องตายแน่ๆ...
    ผมอยากให้มันเป็นอย่างนั้น....แต่พระเจ้ากลับไม่ยอมให้ผมตายเสียที

    บาปที่ผมกับดีโอทำไว้มันคงผิดบาปมากซะจนความดีไหนๆก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงมันไปได้

    ผมเสียเขาไปแล้ว...และคนที่ต้องทนทุกข์ต่อไปก็คือผม

     
     

    เขาตายแล้ว...ผมเสียเขาไปแล้ว...

     
     

    ผมควรจะเอะใจตั้งแต่ตอนที่ผมมีอาการประหลาด...

    ควรจะเอะใจตั้งแต่ตอนที่แก้วกาแฟใบโปรดของเขาแตกลงไป

    สัญชาติญาณฝาแฝดของเขาถูกส่งมาถึงผมในห้วงสุดท้ายของชีวิต

    หากแต่ผมกลับโง่งมจนไม่ได้คิดถึงสัญญาณนั้นเลย...

     
     

    หัวใจของเจ็บปวดที่ได้รับรู้มันซ้ำไปซ้ำมาอย่างนี้

    รับรู้ว่าเขายังคงคิดถึงผมแม้แต่ในลมหายใจสุดท้ายของเขา...

    ผมคิดถึงเขาเหลือเกิน...

     

     

    ดีโอ...นายอยู่ที่ไหนนะ

     

     

    พาฉันไปด้วยได้ไหม.....

     

     

     

    วูบ.....

     

     

    ลมที่พัดเข้ามาวูบหนึ่งนั้นทำให้ผมต้องประหลาดใจ

    หน้าต่างทุกบานถูกปิดไว้แต่กลับมีสายลมวูบหนึ่งที่พัดมาจนทำให้ผมต้องผุดลุกขึ้นนั่ง

     

    ...ดีโอ....

     
     

    ผมปาดน้ำตาออกไปจากข้างแก้ม...ก่อนจะผุดลุกขึ้นมองไปรอบห้องเพื่อจะตามหาต้นตอของสายลมนั้น

    แต่ฉับพลันที่พยายามมองหา ก็มีกลิ่นบางอย่างที่โชยมาติดจมูก และทำให้หัวใจผมเต้นระทึก

    ...กลิ่นบุหรี่ของเขา...

     
     

    หัวใจของผมเต้นรัวจนน่ากลัวว่ามันจะหลุดออกมาจากอก

    น้ำตายังคงรินไหลลงมาจากหางตา แต่ผมไม่ได้คิดจะปาดมันออกอีกแล้ว

    แต่ผมกลับพยายามจะถามตัวเองว่ากลิ่นนั้นใช่หรือไม่...

    แต่หัวใจของผมกลับเต้นระรัวและฟันธงไปก่อนแล้ว...

     
     

    ไม่ผิดแน่...กลิ่นบุหรี่ของดีโอ...

     
     

    ผมลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินตามกลิ่นที่ปลายจมูกไปเรื่อย...

    ค้นหาต้นตอและที่มาของมัน...เผื่อว่ามันจะทำให้ผมได้พบเขาอีกซักครั้ง

    ...ผมคิดถึงเขาเหลือเกิน...

     
     

    ผมกัดริมฝีปากแน่นเมื่อออกแรงกระชากสายน้ำเกลือออกไปจากมือของผม

    มันเจ็บ...แต่ในตอนนี้ความเจ็บนั้นไม่ได้น่าสนใจหรือเจ็บปวดเท่ากับหัวใจของผม

    ผมปรารถนาที่จะพบเขา...อยากพบกับดีโออีกครั้งจนแทบบ้า...

    ปรารถนาว่าเขาจะพาผมไปอยู่กับเขา...

     
     

     

    ผมเดินออกตามหาต้นตอของกลิ่นที่ผมคิดถึง...

    ผมคิดว่าผมอาจจะเป็นบ้าไปแล้ว...แต่ผมกลับมองเห็นแผ่นหลังของเขาอยู่จากที่ไกลๆ

    ผมรีบวิ่งตามเขาไป และรู้สึกถึงเรี่ยวแรงมหาศาลที่พวยพุ่งขึ้นมาจากร่างกายของผม

     
     

    ทั้งๆที่ตลอดหลายวันที่ผ่านมา...ผมไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัว...

    แต่ตอนนี้ร่างกายของผมกลับตื่นตัวอย่างเต็มที่

    มันกำลังกลับมาเป็นร่างกายของผมอีกครั้ง....

    เรี่ยวแรงอีกครึ่งหนึ่งของผมที่หายไปกำลังกลับมา...

     

     

    ร่างกายและจิตวิญญาณของผมกลับมาอีกครั้ง...

    ผมยกยิ้มออกมาทั้งน้ำตาเมื่อเห็นว่าเค้ากำลังยืนอยู่เบื้องหน้า

    ฝนกำลังตก...แต่หัวใจของผมกลับเต็มไปด้วยความสุข

    คยองซูกำลังกวักมือเรียกผมจากที่ไกลๆ...ผมกำลังเดินตามเขาไปติดๆ

     

    ผมกำลังจะไปหาเขา...

     

     

    เขาหายวับไปอีกครั้งแต่กลิ่นบุหรี่นั้นก็ยังไม่จางหายไป...

    ผมมั่นใจว่าผมอยู่ใกล้มากขึ้นเพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่กลิ่นของบุหรี่อีกแล้วที่ลอยมาเข้าจมูกของผม...

    กลิ่นแชมพูของเรา...สบู่กลิ่นโปรด และกลิ่นกายหอมๆของดีโอลอยกลับเข้ามาในจมูกของผมจนทำให้ผมต้องยกยิ้มร่า

    นั่นไง...เขาอยู่ข้างหน้า...เขากำลังส่งยิ้มมาให้ผม

     

    อีกฟากถนนนั้น...มีเขาอยู่

    เขายืนล้วงกระเป๋าเสียเท่ห์เชียว...แล้วส่งคำพูดแบบไร้เสียงกลับมาให้ผม

    สรรพสิ่งบนโลกนี้เงียบสนิท...ผมได้ยินแค่เสียงหัวใจของตัวเองเท่านั้น

     

    แม้แต่เสียงกระซิบจากอีกฟากถนนนั้นก็ยังชัดเจนราวกับว่าเขามากระซิบอยู่ข้างๆผม

     

    ฉันรักนาย...

     

     

    น้ำตาของผมไหลอาบแก้ม...เมื่อได้เห็นสีหน้าของเขา

    สายฝนที่กำลังหลั่งรินนั้นทำให้ตัวผมเปียกโชก หนาวไปทั้งร่างกาย...แต่หัวใจกลับอบอุ่น

     

    ผมยกยิ้มให้เขาก่อนจะกระซิบตอบกลับไป...เท้าผมก้าวเดินไปหาเขา

     

    ฉันก็รักนาย...ดีโอ

     

    ผมสาวเท้าเดินไปเรื่อยๆ...รอยยิ้มของเขาพรายกว้างเต็มแก้ม

    ผมได้ยินเสียงหัวเราะของเขาดังอยู่ที่ข้างหู...

    อยากกอดเหลือเกิน...

     

    นายพร้อมจะไปกับฉันไหมที่รัก...  เขากระซิบอีกครั้ง...

     

    ที่ไหนมีนาย...ที่นั่นมีฉัน...ที่รัก  ผมกระซิบตอบกลับไป

     

     

    ดีโอยกยิ้มกว้าง...น้ำตาของเขารินไหล...

    เขายื่นมือมาข้างหน้าเพื่อรอให้ผมเดินไปจับ...

    ...แล้วผมจะปฏิเสธมันทำไมเล่า ในเมื่อเขามาอยู่ตรงหน้านี้....

     

    ผมออกแรงวิ่งเพื่อหวังจะเข้าไปกอดเขา...

    ทุกสิ่งในโลกของผมยังไร้สรรพเสียง

    ถึงแม้ว่าเสียงๆหนึ่งจะดังกังวานไปทั่วบริเวณนั้น...

     

     

    ปรี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

     

     

     

     

    หากคุณเป็นฝาแฝด พวกคุณย่อมไม่มีวันแยกจากกันได้...

    มันเป็นกฎธรรมชาติที่ฝาแฝดต้องเกิดมาอยู่และใช้ชีวิตร่วมกัน

    พวกคุณเดินทางมาสู่โลกนี้ด้วยกัน จึงควรอยู่ด้วยกันตลอดจนชั่วชีวิตที่เหลืออยู่

     

     

    ใช่...เกิดมาด้วยกันก็ต้องตายไปด้วยกัน

     

    .

    .

    .

     

    ...ตายไปด้วยกัน...

     

     

     

     

    โครม!!!!!!!!

     

     

    โอ...มันไม่เจ็บเลย...ความตายไม่ได้เจ็บปวด

    เพราะแค่ผมได้รู้ว่าเขากำลังรออยู่เบื้องหน้า  ผมก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือเจ็บปวดอะไรแล้ว...

    หากว่ามันจะเจ็บปวด...ผมพร้อมจะยอมเจ็บปวดเพื่อเขา...

     

     

    ...และสุดท้ายเราก็จะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง....

     

     

    โดยที่พระเจ้าก็ไม่อาจจะพรากเราจากกันได้อีก....







     

    -  THE  END  - 








    P.S. อย่าเพิ่งฆ่าไรเตอร์...
    .        พรุ่งนี้ต้องลงแฮปปี้เวอร์ ไรเตอร์ยังตายไม่ได้....







    © Tenpoints !
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×