คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ✚ BE MY BABY :: TEN
Author : MR.$N0WMAN*
Pairing : Kim Jongin & Do Kyungsoo
Story : Jackboiz
Rate : PG - 15
Be my Baby*
‘0.10’
“จงอิน...คยองว่านี่ไม่ใช่เล่นๆแล้วนะ”
เสียงเล็กๆของคยองซูดังขึ้นมาในขณะที่เราอยู่ด้วยกันบนห้องนอน ซึ่งผิดปกติวิสัยเหลือเกินที่เราจะขึ้นมาแต่หัวค่ำ
ผมเองก็ไม่อาจจะพูดอะไรได้ เพราะนอกจากจะถกเถียงเหตุผลที่คยองซูยกมาไม่ได้
แถมยังไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับสถานการณ์เหล่านี้เสียด้วย...
....สถานการณ์ที่บ้านเรากำลังกลายเป็นสถานสงเคราะห์คนโดนเมียทิ้ง...
จงแดมาอยู่ที่บ้านเราสามวันแล้ว...แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ปัญหาอะไรเท่าไหร่
ประเด็นมันอยู่ที่ว่าพอย่างเข้าวันที่สี่ ไอ้ชานยอลก็หอบเสื้อผ้าตามไอ้จงแดมาด้วยอีกคน
นี่ดาวมฤตยูดวงไหนโคจรผ่านแบคฮยอนกับมินซอกมันเหรอครับ?
มันถึงได้รวมตัวรวมใจกันขับไสไล่ส่งเพื่อนรักทั้งสองคนของผมออกมาอย่างนี้...
“แล้วจะให้ฉันทำไง? จะให้ไล่ไอ้พวกนั้นไปก็น่าสงสารออก”
ผมพูดพลางยักไหล่ เพราะไม่รู้จะทำยังไงจริงๆอย่างที่ปากว่า
มองคยองซูที่กำลังเดินไปเดินมาทั่วห้องแล้วถอนหายใจ
ผมคิดอะไรไม่ออกหรอกเพราะตอนนี้งานก็ยังสุมหัวจนเบลอไปหมด
ไหนยังจะเรื่องโปรเจ็คผลงานที่ผมยื่นไปเสนอขอเลื่อนตำแหน่งอีกล่ะ
จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้รับการตอบกลับเลย...ผมล่ะกลุ้มใจจริงๆ
“จงอิน...ทำหน้าเครียดอีกแล้วนะ”
เสียงของคยองซูเรียกให้ผมกลับไปสนใจแล้วจำเป็นต้องเสแสร้งปั้นหน้ายิ้มให้เขา
ผมลอบถอนหายใจออกมาเบาๆเพราะว่าความเครียดที่มีมากเกินไป แต่แสดงออกไม่ได้
คยองซูมักจะทำตัวเครียดตามผมเสมอแหละเวลาที่ผมเครียด
และนั่นเป็นเหตุผลที่ผมไม่ค่อยอยากจะแสดงออกต่อหน้าเขาเท่าไหร่นัก
แต่เอาจริงๆนะครับ...เรื่องแบบนี้น่ะมันห้ามกันไม่ได้หรอก
“ขอโทษที...ฉันแค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ”
“อื้ม...จงอิน คยองว่าเราจัดปาร์ตี้กันดีไหม?
ให้ทุกคนมาปาร์ตี้กัน แล้วจะได้ใช้โอกาสนี้ให้พี่จงแดกับพี่ชานยอลปรับความเข้าใจกับพี่มินซอกแล้วก็พี่แบคฮยอนด้วย
....จงอินว่าดีไหมครับ?”
คยองซูนั่งลงที่ปลายเตียงข้างๆผม ก่อนจะยื่นมือมาเขย่าแขนของผมอย่างอารมณ์ดี
เหมือนกับว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วที่เขาคิดออก ผมถามเขาพลางยกยิ้มที่มุมปากอย่างติดตลก
หัวเราะออกมาเพราะได้กวนโมโหน้องเขาแล้วก็สำเร็จซะด้วย
“ปาร์ตี้อะไร? ปาร์ตี้ฉลองน้องคยองสูงเกิน 155 ซม.เหรอ?”
“คิมจงอิน!!!!” เด็กน้อยตวาดใส่ผมพร้อมทั้งยกมือตีที่ท่อนแขน
“อะไรครับ...น้อง -- คยอง”
ผมแกล้งทำลอยหน้าลอยตาใส่เขา...
ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีที่เห็นน้องเขามุ่ยปากแล้วทำหรี่ตาลงมองผม
แต่สีหน้าคยองซูกลับบ่งบอกถึงอาการจ้องจับผิดขึ้นมาเลยทันที
“นี่จงอินคงไม่ลืมใช่ไหมว่าอาทิตย์หน้าวันเกิดคยอง” เด็กน้อยหรี่ตาลงมองผม
Oh…shit!
ขอสารภาพว่าผมลืมไปซะสนิท ที่มันตลกก็คือผมลืมวันเกิดตัวเองด้วย
เพราะผมและคยองซูเกิดห่างกันแค่วันเดียว คยองซูเกิดวันที่ 12 และผมเกิดวันที่ 14
เพราะงั้นทุกๆปีงานวันเกิดของเราสองคนจะจัดขึ้นวันที่ 12 เสมอ...ซึ่งก็คือวันศุกร์ที่จะถึงนี้
แต่ปกติแล้วเราสองคนก็มักจะไปหาอะไรกินกันอร่อยๆ แพงๆกันในบางที
แต่เรื่องจะจัดขึ้นมาเป็นปาร์ตี้นั้นน่ะ เราไม่เคยทำกันเลยจริงๆ
อย่างมากก็แค่ชวนเพื่อนสนิทของผมมากินข้าวด้วยกัน อะไรประมาณนั้นมากกว่า
“บ้า...จะลืมได้ไงเล่า ฉันก็แค่อำเล่นๆ”
ผมตอบพลางยักไหล่และส่งมือขึ้นไปลูบหัวน้องเขาอย่างเบามือ
แต่คยองซูก็ยังทำหน้ามุ่ยอยู่ราวกับว่าไม่เชื่อที่ผมแก้ตัว
“อะไร...ไม่เชื่อฉันหรือไง? หรืองอนที่ฉันว่าสูง 155 เหรอ?”
“ใช่สิ...แล้วก็งอนเรื่องเก่าด้วยนะ
คยองให้จงอินติดไว้ ไม่ได้หมายความให้เลื่อนออกไปนะ”
เด็กน้อยกอดอกแล้วสะบัดหน้าหนี...ทำเอาผมต้องหัวเราะออกมาอย่างขันๆในท่าทางของเขา
“ฮ่าๆ...แต่ฉันยังไม่ว่างเลยนะ เลื่อนออกไปอีกหน่อยได้ไหม?” ผมยื่นข้อเสนอให้เขา
“โห...จงอินเอาเปรียบอ่ะ แล้วเมื่อไหร่จะมาง้อคยองล่ะครับ”
“ไว้งานนี้ผ่านก่อนนะ พี่จงอินจะมาง้อน้องคยองโอเคไหมไอ้เด็กดื้อ”
ผมไม่พูดเปล่าแต่ยังบีบจมูกน้องเขาเล่นให้หน้ามุ่ยของเด็กนั้นยิ่งมุ่ยขึ้นไปอีก
แต่กลับรู้สึกสนุกและหายเครียดไปได้นิดหนึ่งเมื่อแกล้งเขา
“งั้นก็เอาเถอะ...
สรุปว่าเราจะจัดปาร์ตี้กันไหมจงอิน...คยองอยากจัดจริงๆน้า
ทำกับข้าวกินกันกับพี่ๆ แล้วให้พวกพี่ๆเค้ามาเจอหน้ากันก็พอ
คยองไม่ขออะไรหรอก ขอแค่เค้กซักก้อนก็พอแล้วน้า”
เด็กน้อยแกล้งเหวี่ยงแขนมากอดผมแล้วส่งเสียงอ้อน
ผมครุ่นคิดนิดหน่อยในขณะที่เสมองเด็กที่กำลังจ้องผมตาแป๋วแล้วกระพริบตาปริบๆ
ถึงแม้ว่าจะผ่านไปกี่ปีแต่เวลาเด็กคนนี้ทำอย่างนี้ผมก็มักจะใจอ่อนเสมอล่ะ
เฮ้อ...แล้วคำตอบมันจะเป็นยังไงได้ล่ะครับ
“อืม...จัดก็จัด” ผมตอบพลางยักไหล่
“เย้!! จงอินใจดี๊ใจดี...คยองรักจงอินที่สุด!”
เด็กน้อยกระโดดโลดเต้นเหยงๆก่อนจะวิ่งมากอดผมที่เอวอีกหน
ผมยกยิ้มออกมาเล็กน้อยเพราะความเป็นเด็กของเจ้าตัว
ก่อนจะผลักน้องเขาออกไปแล้วแสร้งทำเป็นดุน้องเขา
“พอได้แล้วน่า...โตแล้วนะคยองซู ยังจะทำตัวเป็นเด็กๆอีก” ผมดุเขา
“พบู่วววว...ทำไมต้องดุด้วยล่ะ คยองก็รู้นะว่าคยองโตแล้ว
แต่คยองไม่รู้ว่าคยองเป็นอะไร...เพราะถ้าเป็นกับจงอินแล้วล่ะก็
.
.
.
คยองอยากจะอ้อนตลอดเวลาเลย”
***********
ผ่านไปสองวันแล้วที่คยองซูจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับปาร์ตี้เองหมด
โดยมีชานยอลและจงแดคอยช่วยพาไปซื้อนั่นซื้อนี้
เพราะผมเองไม่ว่างจะดูแลทุกอย่างกับเขา เพราะว่าโปรเจ็คที่ผมเสนอนั้นใกล้จะถึงกำหนดส่งเต็มที
และตอนนี้มันอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการทำงานแล้ว ซึ่งมันก็ตรงตามกำหนดที่ผมต้องการและตั้งใจพอดิบพอดี
ผมอยากให้งานเสร็จภายในวันนี้เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ปลดแอกทุกอย่างลงจากบ่าแล้วมีปาร์ตี้วันเกิดอย่างสบายใจเสียที
และนั่นส่งผลให้ตอนนี้ผมเครียดมากๆจนแทบจะไม่มีเวลาคุยหรือกินข้าวพร้อมกับคยองซูและเพื่อนรักทั้งสองคนเลย
“จงอินครับ...กินอะไรซักหน่อย”
เสียงใสของเด็กน้อยเรียกสติผมให้ละออกจากหน้าจอคอม
ผมหันไปมองใบหน้าอมทุกข์ของเขาแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆทีหนึ่ง
ก็รู้สึกไม่ดีหรอกที่ทำให้คยองซูเป็นห่วง...แต่มันเฮือกสุดท้ายแล้วจริงๆ
แล้วเขาก็จะกลับมายิ้มอีกครั้ง
“ขอบใจนะคยองซู...แต่เฮ้ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ
พรุ่งนี้ก็วันเกิดนายแล้ว จะฉลองวันเกิดแบบนี้น่ะเหรอฮึ?”
ผมถามเขาพลางยกมือขึ้นไปลูบหัวเด็กน้อยที่ทรุดตัวนั่งลงข้างๆ
“ก็จงอินเครียดแบบนี้...คยองก็เลยยิ้มไม่ออก
แถมจงอินก็ยังไม่ได้กินข้าวเลย รู้ไหมครับว่าตอนนี้มันกี่โมงแล้ว”
คยองซูกระซิบเบาๆเพื่อเตือนผมให้ต้องเงยหน้ามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังแล้วก็ต้องตกใจมากจริงๆ
เพราะตอนนี้เป็นเวลากว่าสี่ทุ่มแล้ว และข้าวซักเม็ดก็ยังไม่ตกถึงท้องของผมเลย
มีแต่น้ำส้มหรือลูกอมเม็ดเล็กๆที่คยองซูเอาวางทิ้งไว้บนโต๊ะเท่านั้นที่ผมจะให้ความสนใจและเอื้อมมือไปหยิบมันเข้าปาก
เพิ่งสังเกตว่าน้องเขาอาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดนอนไปแล้ว โดยที่ผมเองไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขาเข้าห้องมาตอนไหน
“โอ...ฉันไม่รู้เลย เพิ่งจะรู้สึกหิวขึ้นมาก็ตอนนี้แหละ
แต่งานก็ใกล้จะเสร็จแล้ว ฉันคิดว่าอีกชั่วโมงเดียวมันก็น่าจะเรียบร้อย”
“พูดอย่างนี้คือจะไม่ยอมกินข้าวใช่ไหม?” คยองซูถามอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“กลัวว่ากว่าจะกินกว่าจะอะไรเสร็จก็จะดึกซะก่อน
ฉันต้องตื่นไปพรีเซ้นส์งานพวกนี้แต่เช้า คงต้องรีบนอน”
ผมยักไหล่พลางถอนหายใจ มองหน้าเด็กน้อยที่ดูเคร่งเครียดแล้วก็รู้สึกสงสาร
มองถาดข้าวที่ส่งควันกรุ่นแล้วก็รู้สึกผิดไปใหญ่ เพราะมันทำให้ผมรู้ว่าเขาเพิ่งลงไปทำมันมาใหม่ๆเพื่อผม
“ขอโทษนะคยองซู...ฉันสัญญาว่าถ้าเสร็จงานนี้แล้วจะพาไปเที่ยวนะ”
ผมยิ้มบางๆเพื่อจะทำให้เขาสบายใจ แล้วจึงยกมือขึ้นไปโอบไหล่เขาแล้วบีบเบาๆทีหนึ่ง
คยองซูเอนตัวลงมาอิงที่ไหล่ผมไว้แล้วถอนหายใจ
“ไม่ต้องหรอกครับ...
แค่จงอินรีบทำงานให้เสร็จแล้วกลับมาเป็นจงอินคนเดิมของคยองแค่นั้นก็พอแล้ว” เด็กน้อยตอบผม
“อื้ม...มันใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ นายไปนอนก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวซักพักฉันจะตามไป” ผมพูดพลางยิ้ม
“ไม่เอาครับ...เพราะคยองจะให้จงอินกินข้าวให้ได้
คยองจะป้อนจงอินเอง จงอินจะได้ไม่เสียเวลากินไง กินไปทำไปเถอะครับ
แล้วคยองจะอยู่เป็นเพื่อน” คยองซูมองหน้าผมและยืนกรานอย่างนั้น
“แต่พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนไม่ใช่เหรอ? นอนดึกไม่ดีนะรู้ไหม?”
“แต่ถึงจงอินไล่...ยังไงคยองก็ไม่ไปอยู่ดี”
เด็กนั่นตอบกลับมาเสียงแข็ง ทำให้ผมต้องหัวเราะออกมาในความดื้อของเขา
ยิ่งหน้าตาจริงจังแบบนั้นก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกตลกและดีใจไปพร้อมๆกัน
“เฮ้อ...นายนี่มันดื้อจริงๆ...แต่ก็เอาเถอะนะ
งั้นเอาสิ ป้อนฉันทีแล้วกัน ฉันจะได้ทำงานต่อ อ้า...”
ผมอ้าปากค้างรอให้น้องเขาได้ป้อน
ซึ่งทันทีที่ผมทำอย่างนั้น คยองซูก็ยิ้มออกมาแล้วคว้าเอาช้อนในถาดแล้วเริ่มตักข้าวให้ผมกินทันที
จนเวลาผ่านไปนานเกือบชั่วโมงครึ่ง...งานผมถึงเสร็จเรียบร้อย
ผมหันไปมองคยองซูที่บอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนผม
แต่กลับเผลอฟุบหลับอยู่บนขอบโต๊ะข้างๆดูไม่ค่อยจะสบายตัวเท่าไหร่นัก
เพราะถึงแม้ว่าผมจะไล่เขาไปนอนยังไงเขาก็ยังปฏิเสธและยังยืนกรานบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนผมทำงานจนเสร็จ
แต่ดูเอาเถอะ...เด็กมันปากดีได้ไม่นานเท่าไหร่หรอก เผลอแป๊ปเดียวก็ฟุบกับโต๊ะแล้วก็นอนหลับไปซะแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังซึ้งใจที่น้องเขาพยายามจะทำทุกอย่างให้ผมรู้สึกดีขึ้นอยู่ดีนั่นแหละนะ...
ผมจัดการปิดโน๊ตบุ๊คและตัดสินใจไม่ปลุกเขา
หากแต่กลับช้อนตัวเด็กน้อยขึ้นมาไว้ในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบาและระวังไม่ให้เขาตื่น
คยองซูในวันนั้นกับวันนี้แตกต่างกันมาก ด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นและความสูงแต่ผมก็ยังยกเขาได้ไหว
ผมค่อยๆเดินไปวางน้องเขาลงที่เตียงฝั่งหนึ่งแล้วก็ยกยิ้มออกมา...
เมื่อน้องเขาพลิกตัวตะแคงข้างแล้วกอดแขนผมไว้อย่างกับคิดว่ามันเป็นหมอนข้างอย่างไรก็อย่างนั้น
ผมรู้สึกดีที่ได้เห็นอย่างนั้น เพราะงานนั้นเสร็จลงไปหมดแล้ว
และความเครียดทั้งหมดก็ถูกทำให้มลายไปเพราะไอ้เด็กตัวเล็กๆที่นอนกอดผมอยู่
จงอินค่อยๆดึงแขนตัวเองออกจากพันธนาการของน้องเขา แล้วจับตุ๊กตาโปโรโระที่แสนจะเก่าลงไปให้น้องเขากอดมันแทน
หัวเราะออกมาน้อยๆเมื่อได้เห็นท่าทางที่น้องเขาทำไปโดยไม่รู้ตัวในขณะที่หลับ และเขากอดโปโรโระไว้แน่นเชียว
จงอินเดินไปปิดไฟดวงใหญ่ที่หน้าห้องจนเหลือแค่เพียงไฟบนหัวเตียง
หันไปมองนาฬิกาก็พบว่ามันเป็นเวลาดึกมากเหลือเกินแล้ว และควรจะรีบนอนได้แล้ว
จงอินเดินเข้าไปทรุดตัวนอนอีกฝั่ง แล้วกดปิดไฟหัวเตียง...
และโดยไม่ได้รู้ตัวเลยซักนิด เขาก็เขยิบตัวเองมาที่เตียงอีกฝั่ง
แล้วคว้าเอาน้องเขามากอดไว้เสียแน่นราวกับเป็นหมอนข้างส่วนตัว
นอนเบียดกันและใช้พื้นที่แค่เพียงฝั่งเดียวแม้ว่าเตียงจะกว้างขนาดไหน
จงอินสูดหายใจเอากลิ่นแชมพูที่โชยอ่อนออกมาจากศีรษะเล็กๆตรงปลายจมูกแล้วหลับตาลง
ความกังวลทุกอย่างหายไปหมดเพียงแค่จงอินได้กลิ่นและสัมผัสคุ้นเคยเหล่านั้น
และไม่นานเท่าไหร่...เขาก็เข้าสู่ห้วงนิทรา...
***********
จงอินกำลังยกยิ้มกว้าง...เพราะงานนำเสนอโปรเจ็คของเขาเป็นไปได้ด้วยดีและเกินกว่าที่เขาคาดหมายไว้
นี่อาจเป็นเพราะเขาเตรียมตัวและทุ่มเทกับมันมานาน ผลลัพธ์ที่ได้มันจึงออกมาดีอย่างที่ตั้งใจ
จงอินเก็บของลงกระเป๋าอย่างมีความสุข ในใจคิดว่าน่าจะรีบกลับไปที่บ้านและเตรียมตัวให้ทันปาร์ตี้คืนนี้
หากแต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอย่างนั้น เลขาคนสวยของเขากลับเคาะประตูกระจกเรียกให้เขาหันไปสนใจเสียก่อน
“หืม? ว่าไงครับแทยอน?” จงอินเอ่ยถามเลขาสาวออกไปอย่างแปลกใจ
“ขอโทษค่ะท่าน...แต่ท่านประธานจางเพิ่งเรียกให้ท่านเข้าไปพบ
ดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องด่วนค่ะ เพราะเขาบอกให้ท่านขึ้นไปพบเขาตอนนี้” แทยอนตอบกลับจงอินอย่างสุภาพ
“งั้นหรือ... อืม...งั้นเดี๋ยวผมจะขึ้นไปตอนนี้ล่ะ”
จงอินยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วหลังจากนั้นจึงตอบรับ
ยังมีเวลามากพอที่จะเข้าไปพูดคุยกับท่านประธานเล็กน้อย และเขาคิดว่าคงเป็นเรื่องโปรเจ็คของเขา
เขาจึงรีบเดินออกจากห้องแล้วขึ้นลิฟท์ไปยังห้องของท่านประธานทันที
********
“โปรเจ็คของคุณดีมากเลยนะคุณคิม
และโชคดีจริงๆที่วันนี้ท่านประธานยูมีปาร์ตี้ขอบคุณลูกค้าที่โรงแรมในเครือของเขา
และผมอยากให้คุณไปกับผมคืนนี้ ผมจะได้ช่วยพรีเซ้นส์โปรเจ็คของคุณให้ท่านประธานยูได้ฟัง
ผมว่ามันน่าจะเป็นโอกาสดีถ้าคุณไปร่วมงานเลี้ยงในวันนี้...โอกาสที่คุณจะได้เลื่อนตำแหน่งมีสูงมาก”
จาง กึนซอก ยกยิ้มกว้างแล้วพูดกับผม...ในขณะที่ผมรู้สึกตกใจอย่างมาก
ท่านประธานยูที่เขาพูดถึงคือเจ้าของบริษัทที่ผมทำงานอยู่และยังเป็นเจ้าของธุรกิจมากมายในเกาหลี
มันเหมือนบุญกำลังหล่นทับเมื่อผมได้ยินอย่างนั้น แต่ผมกลับรู้สึกหนักใจจริงๆที่ได้ฟังข้อเสนอของเขา
ผมรู้ดีว่าโปรเจ็คของผมจะทำให้ผมได้เลื่อนตำแหน่งที่ต้องการ ถ้าผมไปเสนอมันต่อหน้าเขา
แต่ผมจะดีใจมากกว่านี้ถ้าหากว่ามันไม่ใช่วันนี้....
...วันเกิดของคยองซูและปาร์ตี้วันเกิดของเขาและผม...
“จริงหรือครับท่าน? โอ...ผมดีใจจริงๆ
แต่ -- ไม่รู้สิครับ...ผมเกรงว่าวันนี้ผมจะไม่ค่อยสะดวก”
ผมตอบกึนซอกไปอย่างรู้สึกลังเล...และเมื่อกึนซอกได้ฟังเขาก็เจื่อนยิ้มในใบหน้าลง
เลื่อนตัวมาใกล้แล้วพยายามจะชักจูงผมอีกหน
“คุณคิม...เชื่อผมเถอะ ถ้าหากว่านี่เป็นโอกาสคุณก็ไม่ควรให้มันปล่อยมือไปนะ
โอกาสนี้อาจจะมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตคุณก็ได้...เฮ้ ผมเคยผ่านมันมาก่อนและผมแนะนำว่าคุณควรจะไป
คุณรู้ไหมว่าวันนั้นที่ผมเป็นแบบคุณผมก็ลังเลแบบนี้แหละ
และวันนั้นผมคงเสียใจมากๆถ้าปฏิเสธ...เพราะผมก้าวข้ามขั้นมาเพราะการตัดสินใจในวันนั้น
และผมเองก็หวังว่าคุณคงจะเลือกให้ดีนะครับ”
กึนซอกพูดแค่นั้นแล้วถอยหลังไปเอนหลังพิงกับเก้าอี้โซฟาบุนวมที่เขานั่งอยู่
ปลายนิ้วจรดกันแล้วนิ่งเงียบให้ผมได้คิด แต่ผมกลับรู้สึกเครียดเมื่อเห็นเขาทำอย่างนั้น
ผมกัดริมฝีปากแล้วครุ่นคิดอย่างขัดใจ...ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นวันนี้
วันที่คยองซูจัดการทุกอย่างและตั้งใจกับมันมาก
และผมเองก็เช่นกัน...ผมสู้อุตส่าห์ตั้งใจเคลียร์ทุกอย่างเพื่อที่จะได้มีเวลาปาร์ตี้ที่สนุกสนานในวันนี้
แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมดเลย...และผมไม่รู้ว่าควรทำยังไง
แต่มันก็จริงอย่างที่กึนซอกพูด...ว่าโอกาสนี้มันอาจจะผ่านมาแค่ครั้งเดียวในชีวิตผมก็ได้
และเมื่อได้คิดว่าผมตั้งใจและทุ่มเทกับมันมานานแค่ไหน มันก็ทำให้ผมลังเล
ถ้าหากผมได้เลื่อนตำแหน่ง...เงินเดือนผมก็จะมากขึ้นและเพียงพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองคยองซูในแต่ละเดือนได้อย่างสบาย
และมันจะทำให้ผมมีหน้ามีตาในสังคมมากขึ้นด้วย และนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ควรปฏิเสธ
“ว่าไงครับ...คุณคิม” กึนซอกเอ่ยขึ้นเบาๆอีกครั้งเพื่อเร่งให้ผมตอบเขา
ผมกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่...ก่อนจะหลับตาลงแล้วตัดสินใจเป็นเฮือกสุดท้าย
ผม...ต้องเลือกแล้ว
“ผม -- ตกลงครับท่าน
.
.
.
ผมจะไปงานเลี้ยงคืนนี้”
-- 50% --
“เข้าใจฉันใช่ไหมคยองซู...ขอโทษด้วยนะที่คืนนี้อยู่ด้วยไม่ได้”
ผมกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ไปด้วยความรู้สึกผิด หลังจากที่อธิบายเหตุการณ์ทุกอย่างผ่านสายโทรศัพท์ไปแล้ว
คยองซูเงียบเสียงไปจนน่ากลัว เขาไม่พูดหรือถามอะไรเลยหลังจากที่ผมบอกสาเหตุที่ต้องเบี้ยวปาร์ตี้วันนี้กับเขา
เขาเงียบกริบจนผมรู้สึกกลัว...ไม่ได้คิดว่าเขาจะเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าน้องเขาจะไร้ปฏิกิริยาขนาดนี้
“คยองซู...พูดกับฉันสิ
โกรธฉันเหรอ...ฉันขอโทษ”
ผมกระซิบเข้าไปในสายก่อนจะกลืนน้ำลายลงไปในคออย่างยากลำบาก
ก่อนที่จะได้ยินเสียงน้องเขาถอนหายใจผ่านสายโทรศัพท์เบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นกับผม
“คยองไม่ได้โกรธ...จงอินไปทำงานเถอะ อย่าห่วงคยองเลยครับ”
เด็กน้อยกรอกเสียงผ่านมาทางสายโทรศัพท์ ด้วยถ้อยคำที่ถึงแม้ว่าจะฟังดูดี
แต่ผมฟังแล้วไม่ได้รู้สึกดีเลย...
“อย่าประชดฉันสิคยองซู...ไว้ถ้าเสร็จงานแล้วฉันจะชดเชยให้นะ
ไปดูหนังกันดีไหม กินไอศกรีม หรือจะไปสวนสนุก? ไปที่ไหนก็ได้...ฉันจะพาไปหมดเลย” ผมบอกกับเขา
“ไม่ต้องหรอกครับ...คยองไม่ต้องการอะไรหรอก
จงอินทำงานไปเถอะครับอย่าห่วงคยองเลย
พี่แบคฮยอนมาแล้ว คยองขอวางก่อน...”
จบประโยคแล้วคยองซูก็ตัดสายไป...ทิ้งให้ผมอึ้งไปกับประโยคที่เขาเอ่ยทิ้งไว้ และยังไม่ทันได้เอ่ยลา
ผมไม่รู้ว่าเขาโกรธหรือเปล่า ถึงแม้ว่าคำพูดนั้นจะบอกไม่ให้ผมห่วงอะไร
แต่หัวใจผมเจ็บปวดจริงๆที่ทำให้เขาต้องเสียความรู้สึก...
“คุณคิม...ถึงเวลาที่เราต้องไปกันแล้ว คุณพร้อมหรือยังครับ?”
เสียงกึนซอกที่ดังขึ้นจากข้างหลังทำให้ผมต้องหันไปสนใจเขา
ผมถอนหายใจให้กับมือถือเครื่องเล็กในมืออีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจหย่อนมันลงไปในกระเป๋าเสื้อสูท
“มือถือน่ารักผิดกับลุคของคุณเลยนะครับ...
รุ่นนี้มันก็เก่าพอดูแล้วนะ ไม่คิดว่าคุณจะยังใช้มือถือรุ่นนี้”
กึนซอกเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะให้กับมือถือของผม...ผมรีบแก้ตัวก่อนจะบอกกับเขา
“โอ้...ไม่ใช่ครับ เครื่องนี้ผมใช้คู่กับน้องชาย
ผมมีไอโฟนอีกเครื่องหนึ่งน่ะ ไม่ได้ใช้แค่เครื่องเดียว”
ผมรีบเอ่ยปฏิเสธกับกึนซอกไป เพราะไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นคนชอบอนุรักษ์ของเก่าอะไรแบบนั้น
แถมอีกอย่าง มือถือที่ผมใช้คู่กับคยองซูน่ะ มันออกจะดูน่ารักไปซักหน่อยซะด้วย
“โอ้...จริงเหรอครับ? คุณมีน้องชายด้วยหรือ?”
กึนซอกถามต่อในขณะที่เรานั่งลงในรถเบนซ์คันยาวที่จอดอยู่หน้าบริษัท
ผมยกยิ้มออกมาบางๆแล้วส่ายหน้า ก่อนจะตอบเขาไปเสียงเรียบ
“เปล่าหรอกครับ...ผมเป็นแค่ผู้ดูแลเขาเท่านั้น
พอดีพี่สาวผมหล่อนเป็นทนายความ แล้วลูกความหล่อนโดนฟ้องล้มละลายแล้วหนีไปอยู่เมืองนอก
เขาทิ้งลูกไว้ที่นี่ ผมเลยต้องรับภาระดูแลเขาแทน”
“โอ้...จริงเหรอครับ? แล้วนี่คุณอุปการะเขาไว้นานเท่าไหร่แล้วล่ะ?” กึนซอกถามต่อด้วยความตกใจ
“หลายปีมากแล้วครับ...ตั้งแต่เขาเก้าขวบ จนตอนนี้อายุสิบห้าแล้ว”
“โอ...แปลกจังนะครับ ทั้งๆที่ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ
แต่คุณดูรักน้องเขามากเลย” กึนซอกพูดพลางขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด...ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วขมวดคิ้วตาม
“หืม? มันแปลกตรงไหนเหรอครับ?” ผมถามเขาอย่างไม่เข้าใจนัก
“แปลกสิครับ...แปลกมากด้วย
ผมเองก็มีน้องสาวนะครับ...
.
.
.
แต่ผมไม่เคยเห็นพี่ชายคนไหนหรอกที่คิดจะใช้มือถือเป็นคู่กัน”
************
“ไม่เป็นไรใช่ไหมคยองซู?”
เสียงใสของแบคฮยอนดังขึ้นมาและทำให้ผมต้องหันไปมองเขา
ผมยอมรับว่าผมยิ้มไม่ออกเลยเพราะว่าจงอินไม่ได้อยู่ที่นี่...
ผมโกรธ...แต่ผมก็รู้ดีว่าโกรธไปก็ทำอะไรไม่ได้
เพราะจงอินเห็นโปรเจ็คนี้สำคัญมาก และผมจำเป็นที่จะต้องเข้าใจเขา
ถึงแม้ว่าจะไม่อยากเข้าใจอะไรทั้งนั้นก็ตามเถอะ....
“ไม่เป็นอะไรครับพี่แบคฮยอน...เอาบาร์บีคิวเพิ่มไหมครับ?”
ผมถามเขาในขณะที่พลิกไม้บาร์บีคิวกลิ่นหอมฉุยในเตาปิ้งกลับไปกลับมาเพื่อให้มันสุดทั่วถึงกัน
แต่ก็ต้องเจื่อนยิ้มลงเมื่อเห็นว่าอีกด้านหนึ่งของเนื้อย่างพวกนั้นกลายเป็นสีดำ...มันไหม้ไปเสียครึ่งหนึ่ง...
“แล้วอย่างนี้มันจะกินได้เหรอ ไหม้ซะขนาดนี้”
“ข...ขอโทษฮะ ผมจะย่างให้ใหม่นะ” ผมตะกุกตะกักตอบเขาอย่างรู้สึกผิด
แบคฮยอนถอนหายใจพลางมองมาที่ผมอย่างสงสาร
ผมกัดริมฝีปากก่อนจะรีบเอาบาร์บีคิวที่ยังไม่ได้ย่างวางลงบนเตาแล้วเริ่มย่างมันใหม่
ก่อนที่ผมจะมองเห็นแบคฮยอนส่ายหัวไปมาๆเบาๆอย่างเวทนาผมเสียเหลือเกิน
“นี่คยองซู...ถ้าไม่ชอบใจทำไมไม่บอกไปตรงๆล่ะ
ไอ้จงอินน่ะมันซื่อบื้อนะ งี่เง่าด้วย...ถ้าไม่บอกมัน มันก็ไม่มีวันรู้หรอก
เก็บไว้คนเดียวมันจะได้อะไรขึ้นมา ถ้าไม่ชอบก็บอกออกไปซะ
ไอ้จงอินมันแคร์คยองซูมากนะ ถึงแม้ว่ามันจะไม่เคยพูดก็เถอะ”
แบคฮยอนพูดกับผมเบาๆในขณะที่ดันผมให้เดินออกจากหน้าเตาย่างแล้วจัดการทำทุกอย่างแทนผม
ผมเลยทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆเตานั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ไม่หรอกครับ...คยองไม่พูดหรอก
ถ้าคยองพูดจงอินก็จะหนักใจ คยองไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น
คยองรู้ว่าพี่เขาตั้งใจกับงานนี้มาก...เขาทำเพื่อให้เราสองคนสบาย
คยองก็อยากจะโกรธ แต่คยองก็โกรธจงอินไม่ลง”
“เฮ้อ...เรื่องนี้มันก็พูดยาก พี่ก็เข้าใจเหตุผลนะ
เป็นพี่ก็ไม่รู้จะทำยังไง พี่คงจะปวดหัวมากๆถ้าเป็นไอ้จงอินมัน” แบคฮยอนพูดพลางยักไหล่
“คยองไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน...อยากจะบอกให้พี่เขากลับมาแต่คยองก็ไม่กล้า
อยากจะทำตัวงอแงไม่ยอมซะให้จบๆ แต่คยองก็สงสารจงอิน
คยองเห็นพี่เขาเครียดกับมันมาเป็นเดือนๆ คยองไม่กล้าจะทำอย่างนั้น
แต่อีกใจนึงคยองก็เสียใจ...วันเกิดมันมีทุกปีก็จริง แต่วันที่คยองจะอายุสิบห้ามันมีแค่วันเดียวนะ”
ผมพูดออกมา ถึงแม้ว่าปลายประโยคจะเข้าใจจงอินเป็นอย่างดี
แต่พอได้พูดความรู้สึกของตัวเองออกไปบ้าง แล้วผมรู้ว่าอยากจะร้องไห้ออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
ผมไม่ใช่เด็กอายุเก้าขวบคนเดิมอีกแล้วนะ ที่ไม่มีเขาแล้วจะร้องไห้งอแงเรียกให้เขามาหา
แต่ถ้าหากการเป็นผู้ใหญ่จะทำให้เจ็บปวดแบบนี้...ผมก็ไม่อยากจะเป็นซักเท่าไหร่หรอก
“เฮ้...อย่าร้องไห้นะ นายยังมีพี่ๆอยู่นะ
พี่รู้ดีว่ามันแทนกันไม่ได้ แต่ยังไงวันนี้นายก็ไม่ได้อยู่คนเดียวนะโอเคไหม?”
แบคฮยอนเดินเข้ามาโอบไหล่ผมและลูบหัวเบาๆ
ผมยกยิ้มออกมาบางๆเมื่อเขาทำอย่างนั้น แม้ว่าสัมผัสนั้นจะอบอุ่นสู้มือของจงอินไม่ได้
แต่อย่างน้อยก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อกี้มาก...มันก็จริงอย่างที่แบคฮยอนว่านั่นแหละ
.
.
.
อย่างน้อยวันนี้เขาก็ไม่ได้อยู่คนเดียว...
************
ในงานเลี้ยงที่มีคนพลุกพล่านและอื้ออึงไปด้วยเสียงต่างๆมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดคุยกันอย่างออกรสเกี่ยวกับราคาหุ้นตัวโปรดของแต่ละคนที่พุ่งเขียวกันทั้งกระดาน
เรื่องสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม อย่างเช่นปารีสหรือสวิสเซอร์แลนด์
หรือแม้จะเป็นเสียงดนตรีคลาสสิคที่เล่นคลออยู่ในบรรยากาศของงานอย่างต่อเนื่อง
ทุกเสียงนั้นผ่านหูของจงอินไปหมด แต่จงอินกลับรับรู้ได้ว่าเขาแทบจะไม่ได้ใส่ใจมันเลย
จงอินรู้สึกว่าเป็นบ้าไปแล้ว...หรือไม่ก็ใกล้จะบ้าเต็มที
เมื่อทุกครั้งที่ขยับตัวหรือเดินไปทางไหน
เขาก็มักจะคิดว่าโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงนั้นสั่นอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่ความจริงมันไม่มีอะไรเลย...
“คุณคิม มาทางนี้สิ...ท่านประธานครับ นี่ไงครับเจ้าของโปรเจ็คที่ผมบอกท่าน
คนนี้ชื่อ คิม จงอิน เป็นหัวหน้างานฝ่ายการตลาดและพัฒนาซอฟแวร์ของบริษัทเรา”
เสียงของกึนซอกที่เริ่มพูดคุยกับท่านประธานยูที่ผมมักจะพบเขาในทีวีมากกว่าจะเจอในบริษัท
ทำให้ผมต้องเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมา และพร้อมจะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างที่ตั้งใจไว้
ยกยิ้มออกมาบางๆและทำตัวเองให้ดูภูมิฐานที่สุดเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าเขา
“สวัสดีครับท่านประธาน...ผมชื่อคิม จงอินครับ”
ผมทักทายก่อนจะก้มหัวลงไปโค้งให้เขา แล้วยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อเป็นมารยาท
“โอ้...สวัสดีครับ คุณนี่เองสินะที่กึนซอกแนะนำ
เขาบอกว่าโปรเจ็คของคุณเยี่ยมที่สุดในบรรดาโปรเจ็คที่ส่งมา
ผมได้อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับมันนิดหน่อยเมื่อตอนหัวค่ำ
ผมชอบความคิดในการเพิ่มการเข้าถึงของกลุ่มผู้เล่นมากนะ เมื่อก่อนผมก็เคยคิด แต่ผมกลับคิดว่ามันยุ่งยากที่จะทำ
ทำไมคุณถึงกล้าที่จะให้คนอัพโหลดแบบเสื้อผ้าที่ต้องการเข้าตัวละครเองได้ล่ะ
ทำแบบนั้นไม่เป็นการเพิ่มภาระให้กับฝ่ายกราฟฟิคหรอกหรือ”
ประธานยูหัวเราะร่าในขณะที่เอื้อมมือมาตบบ่าผมเบาๆ
ก่อนจะถามความคิดเห็นผมเกี่ยวกับโปรเจ็คนั้นๆ
“ไม่หรอกครับท่าน...เอากันตามจริงแล้วโครงสร้างกราฟฟิคของเสื้อผ้านั้นก็มีอยู่ไม่กี่แบบ
และจากที่ผมสำรวจดู ฐานข้อมูลของเราก็มีกราฟฟิคเสื้อผ้าแทบจะทุกรูปแบบอยู่แล้ว
ผมเห็นว่าเกมส์ตัวใหม่ที่เพิ่งปล่อยออกไปกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ยังเป็นวัยรุ่นผู้ชายเท่านั้น
และผมคิดว่ามันอาจจะดีขึ้นถ้าเราเอาเรื่องแฟชั่นเข้ามาดึงดูดกลุ่มเด็กผู้หญิงและเด็กเล็กๆที่อยากใช้ความคิดสร้างสรรค์”
ผมตอบไปอย่างเป็นธรรมชาติ...มันดูดีมากทีเดียวที่ได้พูดมันออกไป
ประธานยูพยักหน้าแล้วยิ้มออกมาบางๆอย่างชอบใจในคำตอบของผม
ก่อนจะหันไปเรียกบริกรแล้วหยิบเอาแก้วไวน์ทรงสูงส่งให้ผมและเขาอย่างละแก้ว
“อืม...ดีจริง ผมชอบความคิดคุณ
คุณนี่เข้าใจเด็กๆดีจังเลยนะ ” ประธานยูพูดขึ้นพลางยกยิ้ม
“ครับ...อาจจะเป็นเพราะผมได้รับอิทธิพลมาจากน้องชายน่ะครับ
รายนั้นถึงจะโตขึ้นมากี่ปีก็ยังเด็กอยู่ดี จนผมรู้สึกเหมือนว่าผมอยู่กับเด็กๆตลอดเวลา”
ผมตอบพลางหัวเราะเมื่อได้พูดถึงเด็กน้อยที่บ้านที่ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง
“โอ้...ดีจริงๆที่ได้ยินว่าอย่างนั้น คุณอยากไปทางโน้นกับผมไหม
ทางนั้นคือเจ้าของบริษัท เอเชียร์ซอฟต์ เขากำลังจะเปิดสาขาใหม่แถวๆอัพกูจอง
ผมคิดว่าเขาต้องการผู้บริหารสาขาคนใหม่นะ คุณน่าจะตามผมมา”
ประธานยูพูดพลางขยิบตาแล้วหมายจะให้ผมเดินตามเขาไป
ผมเบิกตากว้างเพราะตกใจในสิ่งที่ท่านประธานยูเพิ่งพูดออกมา
ผู้บริหารสาขา...พระเจ้า นี่เรื่องจริงหรือ?
ผมอยากจะเดินตามเขาไปแต่ก็ต้องชะงัก...
เมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋านั้นสั่นขึ้นมาและทำให้ผมต้องสะดุด
ผมยกมือขึ้นจับทาบที่กระเป๋าเสื้อสูทเพื่อสัมผัสดูว่าโทรศัพท์มันสั่นจริงๆหรือเป็นแค่ผมที่คิดไปเอง
แต่เมื่อผมรับรู้ได้ว่ามันกำลังสั่น มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นกระตุก
รีบหยิบเอามือถือขึ้นมาดูที่หน้าจอ แล้วก็พบว่าเป็นคยองซูนั่นเองที่โทรมา
ตอนนี้เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว...แต่เขามีอะไรกันนะ
“ท่านครับ...ช่วยรอผมซักครู่ได้ไหม สายนี้สายสำคัญจริงๆครับ”
ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วร้องขอ
ประธานยูพยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้ผมบางๆก่อนจะบอกว่าเขาไม่ถือสาอะไร
“ได้สิ...ผมรอได้ แต่ผมว่าคุณน่าจะรีบหน่อยนะ
คุณคงเห็นว่ามีแต่คนอยากคุยกับเขาเต็มไปหมด”
ประธานยูพูดพลางยักไหล่ ผมจึงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วกดรับสายของคยองซู
“ว่าไงคยองซู...ที่บ้านมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” ผมเอ่ยถามเขาอย่างร้อนรนเล็กน้อย
‘ไม่มีอะไรครับ...คยองแค่อยากโทรมาหา ตอนนี้จงอินยุ่งอยู่เหรอ?’
เสียงใสของเด็กน้อยที่ส่งมานั้นทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
เพราะถึงแม้ว่าน้ำเสียงนั้นจะร่าเริง แต่ผมกลับจับได้ว่ามันแตกต่างออกไปจากทุกที
...เหมือนว่าเขากำลังฝืนทำตัวให้ร่าเริงอยู่...
“ก็ยุ่งนิดหน่อย...มีอะไรหรือเปล่า? บอกฉันมาสิ” ผมถามเขาอีกครั้ง
“..............................”
แต่คยองซูกลับเงียบไปเมื่อผมถามเขา จนผมอดแปลกใจไม่ได้ที่เขาทำอย่างนั้น
ผมตวัดสายตาไปมองที่ประธานยูที่ยกแก้วขึ้นดื่มอย่างช้าๆเพื่อรอผมอยู่
ผมยอมรับว่านั่นทำให้ผมรู้สึกร้อนรน...
แต่ผมก็ยังไม่อยากจะวางสาย...
“คยองซูอ่า...เป็นอะไรไป บอกพี่สิครับ”
ผมถามเขาเบาๆ เมื่อเห็นเขาเงียบไปนาน
จนกระทั่งรู้สึกตัวว่าหัวใจตัวเองกำลังบีบรัดด้วยความเจ็บปวด...
เมื่อได้ยินว่าคยองซูกำลังเสียงสั่น...เหมือนกับว่าเขากำลังฝืนไม่ให้ตัวเองร้องไห้
“คยองซู...ร้องไห้ทำไม?”
‘ค...คยองไม่รู้ แต่คยองไม่มีความสุขเลย คยองคิดถึงจงอิน...’
“.................................”
‘ คยองขอโทษนะครับ คยองรู้ตัวว่าไม่ควรเอาแต่ใจ
แต่คยองเพิ่งรู้ตัวว่าคยองไม่ได้ต้องการของขวัญวันเกิดอะไรเลย
น...นอกจากขอให้จงอินกลับมาอยู่ตรงนี้’
เสียงสั่นๆตอบกลับผมมาและนั่นทำให้ผมใจหาย...
ทุกอาการร้อนรนนั้นหายไปหมด...เหลือแค่เพียงความรู้สึกชาที่ใบหน้า
แค่คำพูดไม่กี่คำของเขาเหมือนกับทำให้ผมโดนตบหน้าไปฉาดใหญ่
ผมกำโทรศัพท์ไว้แน่นแล้วครุ่นคิดสิ่งที่ลังเลใจมาตั้งแต่เมื่อตอนเย็น
อันความจริงแล้ว...คนที่ดิ้นรนมันเป็นแค่ผมคนเดียวไม่ใช่หรือ
เป็นผมคนเดียวที่ต้องการจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่ได้ถามคยองซูว่าเขาต้องการมันหรือเปล่า
ผมเพิ่งจะรู้สึกตัว...ว่าทุกวันนี้ถึงแม้ว่าเราจะอยู่กันสองคนด้วยเงินเดือนของผม
แต่มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรไม่ใช่หรือ? เรามีความสุขดีไม่ใช่หรือไง?
แล้วทำไมผมต้องทำให้น้องเขาเสียใจทั้งๆที่เราก็มีความสุขกับทุกวันที่เป็นอยู่ล่ะ
นี่มันบ้าที่สุดเลย...ผมไม่เคยรู้เลยว่าผมยัดเยียดอะไรให้คยองซูไปบ้าง
ผมอยู่กับคยองซูมาร่วมเจ็ดปี...และผมรู้จักนิสัยของเขาดีที่สุด
เพราะถึงแม้ว่าเขาจะดื้อหรือเอาแต่ใจ
แต่เขาไม่เคยร้องไห้งอแงเพราะความต้องการของตัวเองมาก่อนเลยซักครั้ง
และในตอนนี้เขาคงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ...เขาถึงได้ร้องไห้ออกมาแบบนั้น
“ค...คยองซู รอฉันก่อนนะ ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
‘ม..ไม่เอานะ จงอินทำงานให้เสร็จเถอะ อ..อ๋า! ม...เมื่อกี้คยองแค่พูดเล่นนะ
ค..คยองแค่อยากรู้ว่าจงอินจะทำยังไงถ้าคยองพูดออกไป ลองใจจงอินเฉยๆหรอก
ไม่ต้องกลับมานะถ้างานยังไม่เสร็จ...คยองอยู่ได้’
เสียงเล็กๆนั้นรีบตอบกลับมาอย่างร้อนรนเมื่อรู้สึกว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องเปลี่ยนใจ
ผมฟังเหตุผลของเขาแล้วกัดริมฝีปาก ยิ่งรู้สึกผิดไปใหญ่เมื่อเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องเขาต้องฝืนทำตัวแบบนี้
แต่นั่นมันไม่ได้เนียนเอาซะเลย...ผมบอกแล้วไงว่าผมรู้จักเขาดีที่สุด
“ไม่...ฉันไม่สนงานบ้าอะไรแล้ว รอฉันที่บ้านนะ แล้วฉันจะรีบกลับไป”
ผมตัดสินใจกดตัดสายหลังจากที่พูดจบ...แล้วหันไปหาประธานยูที่กำลังยืนรอผมอยู่ตรงนั้น
แก้วไวน์ของเขาเต็มเปี่ยมและนั่นแสดงให้ผมเห็นว่าเขาเพิ่งหยิบแก้วที่สองขึ้นมาในขณะที่ยืนรอ
ผมสูดลมหายใจลึกแล้วเดินตรงดิ่งไปหาเขา...
คิดอะไรไม่ออกนอกจากรู้สึกถึงความรู้สึกผิดที่วนเวียนอยู่เต็มหัวใจแบบนี้
“ท่านประธานครับ...ผมไม่ทราบจะอธิบายกับท่านยังไงแต่ผมคงต้องขอกลับก่อน” ผมบอกเขา
“อ...เอ๋...แต่คุณคิม” ประธานยูเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ
“ท่านครับ...ผมรู้ดีว่าโอกาสนี้อาจจะมีมาแค่ครั้งเดียวในชีวิต
แต่ถ้าท่านเป็นผมในตอนนี้ ท่านจะรู้ว่าถ้าหากผมเลือกทางนี้ผมอาจจะต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
ผมรู้ดีว่าตำแหน่งนั้นมันดีที่สุดแล้วที่ผมจะคว้ามัน
แต่ผมคงไม่มีความสุขแน่ถ้าตัดสินใจเดินไปข้างหน้าในตอนนี้แล้วทิ้งคนข้างหลังไว้
ผม...ถ้าหากว่านี่เป็นโชคชะตา ผมก็ควรจะคิดว่ามันไม่ใช่ของผมมาตั้งแต่แรก”
ผมพูดรัวเร็วจนแทบจะลืมหายใจ...กำหมัดแน่นเพราะรู้สึกเสียดายเหลือเกินกับสิ่งที่พูดออกไป
ผมอาจจะโดนไล่ออกก็ได้ แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
ประธานยูอ้าปากค้างไปเล็กน้อย เขานิ่งจนผมไม่รู้ว่าผมควรต้องทำยังไงต่อไป
“ผม...ขอบคุณท่านที่รับฟังโปรเจ็คของผมนะครับ
ผมมีความยินดีถ้าท่านจะตัดสินใจอะไรกับผมต่อจากนี้
แต่ตอนนี้ผมเกรงว่าต้องเสียมารยาท...ผมขอโทษจริงๆ
ผม -- ผมลาล่ะครับ”
ผมพูดรัวเร็วอีกครั้งก่อนจะโค้งศีรษะให้ท่านประธานเพื่อบอกลา
ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินดุ่มๆออกจากโรงแรมไปโดยไม่หันหลังกลับไปมองอีก
กัดริมฝีปากเมื่อรู้สึกเสียดายในสิ่งที่เพิ่งละออกมา
แต่ในเมื่อผมตัดสินใจแล้วว่านี่คือสิ่งที่ผมและคยองซูต้องการ...ผมก็ไม่ควรจะลังเลอีก
ผมเดินลงมาที่หน้าโรงแรมหรูในเครือของท่านประธานยูแล้วกวักเรียกแท็กซี่
บอกปลายทางแก่คนขับ แล้วจากนั้นจึงปล่อยให้ตัวเองจมกับความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว
...ผมควรทำยังไงให้เพื่อจะแก้ตัวกับความผิดทั้งหมดของผมดี...
************
ทันทีที่ถึงหน้าบ้าน...ผมก็ลงมายืนหยุดนิ่งอยู่นาน
ในมือถือกล่องเค้กใบเล็กๆเอาไว้ในมือ เพราะหวังว่ามันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นได้
แม้ว่าจะไม่ค่อยมั่นใจนักว่ามันจะช่วยอะไรได้
ผมค่อยๆเดินก้าวเข้าไปในบ้าน...ก่อนจะพบว่าคยองซูกำลังนั่งอยู่ที่ขั้นบันไดตรงหน้าประตู
ทั้งๆที่อากาศหนาวขนาดนี้...แต่น้องเขากลับเลือกที่จะมานั่งอยู่ตรงนี้เพื่ออะไรกัน
“คยองซู...” ผมเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา ก่อนจะพบว่าคยองซูเปรยตาขึ้นมามองผมเงียบๆ
ในตอนแรกดวงตาของเขาไม่ได้เจืออะไรนอกจากแววตาใสตามประสาเด็ก
หากแต่ไม่นาน น้ำตาเม็ดเล็กๆก็ไหลลงมา
ผมรีบก้าวเท้าเข้าไปหาเขา แล้วทรุดตัวนั่งลงข้างๆ
คยองซูรีบก้มหน้าลงกับพื้นจนน้ำตาร่วงลงไปที่พื้นเบื้องล่าง
โอ...นี่ทำให้ผมยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่เลย
“ร้องไห้ทำไมหืม...ไอ้เด็กขี้แย”
ผมถามเขาพลางยกมือเข้าไปลูบที่ศีรษะของเด็กน้อยอย่างเบามือ
คยองซูยิ่งร้องไห้หนักขึ้นอีกเมื่อผมทำอย่างนั้น แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าควรจะทำอะไรดี
“พ...พี่บ้า... กลับมาทำไม
คยองบอกว่าคยองอยู่ได้ แล้วจะรีบกลับมาทำไมกัน?”
คยองซูแกล้งเงยหน้าขึ้นมาแล้วขมวดคิ้ว
เขาส่งกำปั้นเล็กๆนั้นทุบที่ไหล่ผมแล้วถามเสียงเข้ม
ทำเอาผมต้องหัวเราะออกมาน้อยๆเพราะท่าทางของเขา
“ฉันกลับมาหาเด็กขี้แยไง...กะไว้แล้วว่าถ้าฉันไม่อยู่เด็กขี้แยต้องร้องไห้แน่ๆ” ผมตอบ
“ถ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วทำไมถึงทิ้งคยองไว้คนเดียวเล่า...คนงี่เง่า ฮือออออออออออออ”
เด็กนั่นยกมือขึ้นทุบที่ไหล่ผมเบาๆอีกครั้ง...ก่อนจะโผเข้ามากอดแล้วร้องไห้เสียยกใหญ่
ผมกลืนน้ำลายลงไปในคออย่างยากลำบากเมื่อน้องเขาซบหน้าลงที่ท่อนแขนแล้วร้องไห้
รู้สึกไม่ดีแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงจริงๆ นอกจากยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้น้องเขาเบาๆ
“อย่าร้องไห้ซี่...มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ
แล้วนี่ทุกคนไปไหนกันหมด...ทำไมนายถึงอยู่คนเดียว?”
ผมถามถึงเพื่อนรักทั้งสี่คนที่ควรจะอยู่ที่นี่แต่กลับไม่อยู่
ก่อนที่คยองซูจะผละกอดออกมาปาดน้ำตาออกจากแก้ม แล้วตอบกลับผมเสียงแผ่วเบา...
“ค...คยองบอกให้กลับไปแล้วครับ คยองไม่อยากร้องไห้ให้พี่ๆเห็น
เลยบอกให้พี่ๆเขากลับบ้าน พ...เพราะคยองบอกว่าคยองปวดหัวอยากจะนอนพัก
พวกพี่ๆดีกันแล้วด้วย...คยองเลยไม่อยากให้ทุกคนมัวแต่มาเป็นห่วงคยอง คยองก็เลยไล่ทุกคนให้กลับไปหมดเลย...
ต...แต่ตอนที่คยองโทรหาจงอินคือคยองเหงามาก คยองคิดถึงจงอิน”
“ฉันก็อยู่นี่แล้วไงเด็กโง่...กลับมาแล้วเห็นไหม
ฉันซื้อเค้กมาด้วยนะ นายน่าจะหยุดร้องไห้แล้วเราจะได้ไปเป่าเทียนกัน”
ผมลุกขึ้นแล้วจูงมือเด็กน้อยให้เข้ามาในบ้าน
อากาศที่หนาวจัดในต้นเดือนมกราคมทำให้จมูกของคยองซูเป็นสีแดงแจ๋และมือก็เย็นเฉียบ
ผมบีบมือนั้นไว้แน่นไม่ปล่อยเพื่อหมายจะทำให้มันอุ่นขึ้น
ลากคยองซูให้เดินมานั่งที่โซฟา ก่อนจะเปิดกล่องเค้กแล้วปักเทียนลงไปทีละเล่มจนครบทั้งสิบหกเล่ม
จุดไฟจนทั้งห้องสว่างไสว และทำให้ผมมองเห็นคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มน้องเขาได้อย่างชัดเจน
“หยุดร้องไห้ได้แล้วน่าเด็กโง่...วันนี้วันเกิดนายนะ อธิษฐานสิแล้วเป่าเทียนซะ”
ผมพูดออกมาพลางหัวเราะน้อยๆในขณะที่ปาดน้ำตาออกจากแก้มให้เขา
เด็กน้อยมุ่ยหน้าไปอย่างงอนๆ ก่อนจะบึนปากออกมาเมื่อได้ยินที่ผมพูด
ก่อนจะจับมือผมไว้แล้วพูดกับผมว่า
“แต่มันก็เหมือนวันเกิดจงอินเหมือนกัน...เรามาอธิษฐานแล้วเป่าพร้อมกันนะจงอิน”
“อื้ม...เอาสิ งั้นอธิษฐานกัน”
ผมพูดก่อนจะหลับตา...ไม่ได้อธิษฐานอะไรหากแต่ขอให้ผมกับคยองซูมีความสุข
ผมลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองหน้าเด็กตัวเล็กที่ยังคงหลับตาแล้วอธิษฐาน
จนผ่านไปซักครู่หนึ่งเขาถึงเงยหน้าแล้วมองผม...ผมจึงส่งยิ้มให้เขา
“งั้นเป่าพร้อมกันนะ หนึ่ง...สอง...สาม...”
ผมนับแล้วหลังจากนั้นเราก็เป่ามันพร้อมกัน...
คยองซูยกยิ้มกว้างเมื่อเทียนทั้งหมดดับลงในครั้งเดียวและผมเองก็เช่นกัน
รู้สึกดีที่ตอนนี้น้องเขาไม่ได้ร้องไห้แล้ว และเขาก็ยังจับมือผมไว้ไม่ปล่อย
“เมื่อกี้อธิษฐานอะไร ทำไมนานจัง?”
ผมถามเขาอย่างอยากรู้อยากเห็นแต่ก็ไม่ได้อยากได้คำตอบซักเท่าไหร่
เพียงแค่เอ่ยออกไปเป็นแนวว่าแหย่เขาเล่นเสียมากกว่า
คยองซูส่ายหน้าแล้วหันมามองหน้าผม
“อื้อ...ไม่ได้นะบอกไม่ได้!
เค้าบอกว่าถ้าบอกคำอธิษฐานนั้นกับใคร คำอธิษฐานนั้นจะไม่เป็นจริง” คยองซูพูดพลางหันมามองผมตาใส
“เค้าที่ว่านั่นใคร?” ผมแหย่
“ก็เค้าไง...เค้าบอกกันมา”
เด็กน้อยไม่พูดเปล่าหากแต่ปาดครีมที่แต่งหน้าเค้กมาป้ายหน้าผม
ผมไม่ได้ป้ายน้องเขาตอบ เพราะดูคยองซูจะสนุกที่ได้แกล้งผมแบบนั้น
ผมจึงได้แต่ยิ้มที่น้องเขาป้ายครีมลงไปที่แก้ม หากแต่กลับเอานิ้วนั้นตวัดกลับไปเข้าปากไปเสียเอง
ถ้าเป็นคนอื่นผมคงเรียกว่ายั่ว...แต่คยองซูคงทำไปโดยที่ไม่รู้ตัวล่ะมั้ง
ผมคิดในใจก่อนจะปล่อยให้น้องเขาเอานิ้วปาดครีมออกจากหน้าจนหมด...
ก่อนที่เด็กน้อยจะถามผมกลับมาบ้าง
“แล้วเมื่อกี้จงอินอธิษฐานอะไร?” เขาถามผมเสียงใสก่อนจะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองไว้แน่นดูน่ารัก
ผมหลิ่วตาแล้วยักไหล่ ก่อนจะถามน้องเขากลับไปบ้าง
“ก็ไหนว่าถ้าบอกแล้วคำอธิษฐานจะไม่เป็นจริงไงล่ะ?”
“ใครบอก?” คยองซูถามเสียงใส
“เค้าบอกมาไง” ผมตอบเขาอย่างร่าเริง
“แล้วเค้าคนนั้นเป็นใครอ่ะ?” คยองซูถามผมอีกครั้ง
“เค้าคนนั้นเป็นเด็กดื้อแถมยังขี้แยที่ชื่อว่าน้องคยองไง ฮ่าๆๆๆๆๆ”
ผมหัวเราะออกมาเมื่อยกนิ้วขึ้นบีบจมูกน้องเขา
เมื่ออีกข้างของเรายังคงจับกันไว้แน่น...และผมรู้สึกดีใจที่ตอนนี้มันอุ่นขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว
คยองซูเบ้ปากหากแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วเอนตัวมาพิงผมเอาไว้
ผมแปลกใจนิดหน่อยที่จู่ๆเขาก็เงียบไป แต่ผมเองไม่ได้คิดอะไรเพราะว่ามีคำถามจะถามน้องเขาอยู่แล้ว
“นี่...วันเกิดปีนี้อยากได้อะไรล่ะ บอกฉันเลยนะถ้าอยากได้อะไร...เดี๋ยวฉันจะซื้อมาให้
นายก็รู้ใช่ไหมว่าก่อนหน้านี้ฉันไม่มีเวลาไปซื้อของขวัญให้นายเลย”
ผมพูดกับเขาแผ่วเบาอย่างรู้สึกผิด...หากแต่น้องเขากลับส่ายหัวอย่างแรงจนตัวโอนเอนไปตามแรงที่สะบัด
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมอีกครั้งแล้วกระซิบตอบ
“คยองไม่อยากได้อะไรหรอกครับ...คยองบอกแล้วไงว่าแค่จงอินอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว
คยองไม่คิดว่าจงอินจะกลับมา แต่สุดท้ายจงอินก็อยู่ตรงนี้แล้ว
นี่เป็นของขวัญของคยองแล้ว คยองก็เลยไม่ต้องการอะไรอีก”
เด็กน้อยตอยผมพร้อมทั้งยกยิ้มออกมา...ผมยกยิ้มออกมาบางๆเมื่อมองหน้าเขา
ก่อนที่จะแกล้งถามต่อเพื่ออยากจะแหย่
“แล้วไหนของขวัญของฉันล่ะ...ไหนบอกว่าวันนี้ก็เหมือนวันเกิดฉันไง
ทำไมนายไม่เห็นมีของขวัญอะไรให้ฉันเลยหืม?”
ผมแซวเขาเล่นๆ เพราะทุกปีคยองซูมักจะมีของขวัญเล็กๆน้อยๆที่เขาทำเองมอบให้ผมเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นการ์ดที่เขาวาดเอง หรือแม้แต่คุกกี้ที่แอบไปอบที่บ้านจื่อเทาให้ผมได้โมโหเมื่อปีก่อน
ความจริงผมเองก็ไม่ได้หวังอะไร หากแต่ก็อยากจะถามเขาว่าลืมมันไปหรือเปล่า
คยองซูทำหน้าครุ่นคิดไปนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา
เขาขยับตัวให้หันมาประจันหน้ากับผมก่อนจะกระพริบตาปริบๆ
แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงตามแบบฉบับของเขา
“มีสิครับ...แต่จงอินต้องหลับตาก่อน” คยองซูพูดขึ้น
“หืม...มันเป็นอะไรล่ะ ทำไมต้องหลับตาด้วย” ผมถามอย่างประหลาดใจ
“เอาเถอะน่า...หลับตาก่อนสิครับ” คยองซูพูดก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นมาปิดตาของผม
“อืม...หลับตาแล้ว”
ผมบอกเขาพลางยกยิ้มบางๆอย่างมีความหวัง คิดว่ามันอาจจะเป็นอะไรที่คยองซูเตรียมเอาไว้อย่างที่พูด
หากแต่คยองซูกลับพูดออกมาอีกครั้ง
“แต่เรามาตกลงกันก่อนนะจงอิน...จงอินห้ามลืมตาจนกว่าคยองจะบอกให้ลืมนะ” คยองซูยื่นข้อเสนอ
“อืม...โอเค” ผมตอบกลับทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่
“แล้วก็...ความจริงมันเป็นของขวัญที่คยองจะให้จงอิน
แต่ถ้าจงอินไม่ชอบ คยองจะขอให้มันเป็นของขวัญของคยองแทนนะ” เขาพูดขึ้นอีกครั้ง
“เอ้า...ทำไมฉันต้องไม่ชอบด้วยล่ะ ก็นายให้ฉัน...ฉันก็ต้องชอบซี่” ผมตอบเขาอีกครั้ง
“งั้น...คยองจะให้แล้วน้า” คยองซูพูดอย่างร่าเริง...และนั่นทำให้ผมหงุดหงิดนิดหน่อยที่เขาเอาแต่ลีลาอย่างนั้น
“อืม...รออยู่ ฉันหลับตานานไปแล้วนะ”
ผมพูดขึ้นอย่างขัดใจก่อนที่จะได้ยินเสียงหัวเราะของน้องเขาดังขึ้นอย่างชอบใจที่ผมพูดออกมาอย่างนั้น
ผมยังคงหลับตาแล้วรอให้น้องเขาบอกให้ลืมตาขึ้นมา
.
.
จนกระทั่ง...ผมรู้สึกถึงสัมผัสเบาๆที่ริมฝีปาก
มันแผ่วเบาและกำลังสั่นระริกหากแต่ว่าก็ประทับลงมาอย่างหนักแน่น...
ผมลืมตาโพลงแล้วก็พบว่าน้องเขากำลังมอบจูบให้ผม...
พระเจ้า...นี่มันอะไรกัน
ผมนิ่งไปนานเพราะน้องเขายังไม่ถอนจูบออกไป หัวใจกำลังเต้นแรงอย่างไม่แน่ใจนักว่าตื่นตระหนกหรือว่าเพราะอะไร
มือเล็กของคยองซูที่ผมกุมไว้สั่นระริก หากแต่เขากลับบีบมันเบาๆทีหนึ่งเมื่อค่อยๆถอนจูบออกไป
ผมได้แต่นิ่งอึ้งแล้วมองหน้าน้องเขาอย่างไม่เข้าใจ
เมื่อกี้...คยองซูจูบผม...
“จ....จงอินลืมตาทำไม...
คยองยังไม่ได้บอกให้ลืมซักหน่อย” คยองซูพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประหม่า
ใบหน้าของเขาแดงไปหมดและท่าทางก็ดูเงอะๆงะๆไม่มั่นใจนักว่าควรทำหน้าแบบไหน
“นาย...ทำอะไรน่ะ ทำแบบนี้ทำไม?” ผมถามเขาอย่างไม่เข้าใจ...หากแต่น้องเขากลับช้อนตาขึ้นมองผมอย่างช้าๆ
“คยองให้ของขวัญจงอินไง...ให้จูบแรกของคยอง
แต่ถ้าจงอินไม่ชอบ คยองก็บอกแล้วนะว่าจะถือว่ามันเป็นของขวัญของคยอง”
เด็กน้อยพูดพลางมองมาที่ผมตาแป๋ว...แต่ดวงตาใสนั้นไม่ได้ทำให้ผมมองเห็นแต่ความไร้เดียงสาของเขาอีกแล้ว
กำลังมีอะไรบางอย่างที่วูบไหวอยู่ในสายตานั้น...
“แล้วทำไมต้องจูบ...”
ผมถามเขาพร้อมทั้งขมวดคิ้ว...ผมไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน
ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าควรจะพูดอะไร และควรจะทำอย่างไรต่อไปในสถานการณ์แบบนี้
หัวสมองผมกำลังขาวโพลนไปหมดเลย...
“เพราะ -- มันเป็นของขวัญที่จะบอกให้จงอินได้รู้ซักที...
.
.
.
ว่าตอนนี้คยองไม่ใช่เด็กน้อยของจงอินอีกต่อไปแล้วนะ”
✚ TALK
น้องคยองเป็นสาวแล้ว ชุดที่ 2
คือขอโทษนะ....แต่ตอนนี้มันไม่ได้ดราม่าใช่ไหม 55555555555555
เอาเป็นว่าตอนนี้อิน้องคยองมันเป็นสาวเต็มตัวแล้วนะคะ
แก่แดดมากด้วยค่ะขอบอกกกกกกกก
ไรเตอร์มาต่อให้จนจบแล้วนะ และคือมันยาวมากกกก
ตอนนี้มันโคตรอภิมหากาพย์แห่งความยาววววววว
มันกลายเป็นว่าอิที่ลงไปห้าสิบแรกมันไม่ใช่ห้าสิบแต่เป็นสามสิบต่างหาก OTZ
คือเอาจริงๆไม่มีอะไรจะพูดค่ะ แค่อยากจะขอบคุณทุกคนที่รักฟิคเรื่องนี้
แต่คือมันยังไม่จบง่ายๆนะ บอกแล้วว่าถ้าทุกคนอยากได้ฟิคยาวไรเตอร์ก็ยินดีจะจัดให้ เตรียมใจไว้เถอะ ถถถถถถถ
ไม่รู้จะพูดไรแล้วอ่ะ แต่อยากจะขอบคุณทุกคนจริงๆที่เข้ามาอ่านแล้วให้กำลังใจไรเตอร์
ถึงแม้ว่าบางคอมเม้นท์จะสั้นแต่ไรเตอร์ก็ซึ้งใจนะคะนะ พูดไม่ออก...บอกไม่ถูก
อยากให้ทุกคนที่ได้อ่านฟิคเรื่องนี้ช่วยๆกันบอกต่อให้กับคนอื่นๆด้วย แบ่งปันความฟินให้ถ้วนหน้ากัน
ไรเตอร์ไม่ได้อะไรแค่อยากให้ทุกคนได้เข้ามาอ่าน
เห็นคนรักตัวละครในฟิคเราแล้วมันรู้สึกดีนะ เหมือนว่าทุกคนก็รักเราไปด้วย #มโน
ยังไงก็ช่วยติดตามกันต่อไปนะคะ รักรีดเดอร์ทุกคนมากค่ะ ♥
- ไรเตอร์นมน. -
ความคิดเห็น