ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [C0MPLETE] ✚ :: BE MY BABY :: ✚ [KAI x D.O.]*

    ลำดับตอนที่ #10 : ✚ BE MY BABY :: TEN

    • อัปเดตล่าสุด 15 ต.ค. 55


     

    Author : MR.$N0WMAN*

    Pairing : Kim Jongin & Do Kyungsoo

    Story : Jackboiz

    Rate : PG - 15

     

     

    Be my Baby*





     



     

    ‘0.10’

     









    “จงอิน...คยองว่านี่ไม่ใช่เล่นๆแล้วนะ”

     
     

    เสียงเล็กๆของคยองซูดังขึ้นมาในขณะที่เราอยู่ด้วยกันบนห้องนอน ซึ่งผิดปกติวิสัยเหลือเกินที่เราจะขึ้นมาแต่หัวค่ำ

    ผมเองก็ไม่อาจจะพูดอะไรได้ เพราะนอกจากจะถกเถียงเหตุผลที่คยองซูยกมาไม่ได้

    แถมยังไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับสถานการณ์เหล่านี้เสียด้วย...



    ....สถานการณ์ที่บ้านเรากำลังกลายเป็นสถานสงเคราะห์คนโดนเมียทิ้ง...

     

     

    จงแดมาอยู่ที่บ้านเราสามวันแล้ว...แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ปัญหาอะไรเท่าไหร่

    ประเด็นมันอยู่ที่ว่าพอย่างเข้าวันที่สี่ ไอ้ชานยอลก็หอบเสื้อผ้าตามไอ้จงแดมาด้วยอีกคน

    นี่ดาวมฤตยูดวงไหนโคจรผ่านแบคฮยอนกับมินซอกมันเหรอครับ?

    มันถึงได้รวมตัวรวมใจกันขับไสไล่ส่งเพื่อนรักทั้งสองคนของผมออกมาอย่างนี้...

     
     

     

    “แล้วจะให้ฉันทำไง? จะให้ไล่ไอ้พวกนั้นไปก็น่าสงสารออก”

     

     

    ผมพูดพลางยักไหล่ เพราะไม่รู้จะทำยังไงจริงๆอย่างที่ปากว่า

    มองคยองซูที่กำลังเดินไปเดินมาทั่วห้องแล้วถอนหายใจ

    ผมคิดอะไรไม่ออกหรอกเพราะตอนนี้งานก็ยังสุมหัวจนเบลอไปหมด

    ไหนยังจะเรื่องโปรเจ็คผลงานที่ผมยื่นไปเสนอขอเลื่อนตำแหน่งอีกล่ะ

    จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้รับการตอบกลับเลย...ผมล่ะกลุ้มใจจริงๆ

     

     
     

    “จงอิน...ทำหน้าเครียดอีกแล้วนะ”

     
     

     

    เสียงของคยองซูเรียกให้ผมกลับไปสนใจแล้วจำเป็นต้องเสแสร้งปั้นหน้ายิ้มให้เขา

    ผมลอบถอนหายใจออกมาเบาๆเพราะว่าความเครียดที่มีมากเกินไป แต่แสดงออกไม่ได้

    คยองซูมักจะทำตัวเครียดตามผมเสมอแหละเวลาที่ผมเครียด

    และนั่นเป็นเหตุผลที่ผมไม่ค่อยอยากจะแสดงออกต่อหน้าเขาเท่าไหร่นัก

    แต่เอาจริงๆนะครับ...เรื่องแบบนี้น่ะมันห้ามกันไม่ได้หรอก

     
     

    “ขอโทษที...ฉันแค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ”

     
     

     “อื้ม...จงอิน คยองว่าเราจัดปาร์ตี้กันดีไหม?

    ให้ทุกคนมาปาร์ตี้กัน แล้วจะได้ใช้โอกาสนี้ให้พี่จงแดกับพี่ชานยอลปรับความเข้าใจกับพี่มินซอกแล้วก็พี่แบคฮยอนด้วย

    ....จงอินว่าดีไหมครับ?”

     
     

    คยองซูนั่งลงที่ปลายเตียงข้างๆผม ก่อนจะยื่นมือมาเขย่าแขนของผมอย่างอารมณ์ดี

    เหมือนกับว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วที่เขาคิดออก ผมถามเขาพลางยกยิ้มที่มุมปากอย่างติดตลก

    หัวเราะออกมาเพราะได้กวนโมโหน้องเขาแล้วก็สำเร็จซะด้วย

     

     

    “ปาร์ตี้อะไร? ปาร์ตี้ฉลองน้องคยองสูงเกิน 155 ซม.เหรอ?”

     

     

    “คิมจงอิน!!!!เด็กน้อยตวาดใส่ผมพร้อมทั้งยกมือตีที่ท่อนแขน

     
     

    “อะไรครับ...น้อง -- คยอง”

     

     

    ผมแกล้งทำลอยหน้าลอยตาใส่เขา...

    ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีที่เห็นน้องเขามุ่ยปากแล้วทำหรี่ตาลงมองผม

    แต่สีหน้าคยองซูกลับบ่งบอกถึงอาการจ้องจับผิดขึ้นมาเลยทันที

     
     

    “นี่จงอินคงไม่ลืมใช่ไหมว่าอาทิตย์หน้าวันเกิดคยอง” เด็กน้อยหรี่ตาลงมองผม

     
     

     

    Oh…shit!

     

     
     

    ขอสารภาพว่าผมลืมไปซะสนิท ที่มันตลกก็คือผมลืมวันเกิดตัวเองด้วย

    เพราะผมและคยองซูเกิดห่างกันแค่วันเดียว คยองซูเกิดวันที่ 12 และผมเกิดวันที่ 14

    เพราะงั้นทุกๆปีงานวันเกิดของเราสองคนจะจัดขึ้นวันที่ 12 เสมอ...ซึ่งก็คือวันศุกร์ที่จะถึงนี้

    แต่ปกติแล้วเราสองคนก็มักจะไปหาอะไรกินกันอร่อยๆ แพงๆกันในบางที

    แต่เรื่องจะจัดขึ้นมาเป็นปาร์ตี้นั้นน่ะ เราไม่เคยทำกันเลยจริงๆ

    อย่างมากก็แค่ชวนเพื่อนสนิทของผมมากินข้าวด้วยกัน อะไรประมาณนั้นมากกว่า

     

     

    “บ้า...จะลืมได้ไงเล่า ฉันก็แค่อำเล่นๆ”

     
     

     

    ผมตอบพลางยักไหล่และส่งมือขึ้นไปลูบหัวน้องเขาอย่างเบามือ

    แต่คยองซูก็ยังทำหน้ามุ่ยอยู่ราวกับว่าไม่เชื่อที่ผมแก้ตัว

     

     

    “อะไร...ไม่เชื่อฉันหรือไง? หรืองอนที่ฉันว่าสูง 155 เหรอ?”

     

     

    “ใช่สิ...แล้วก็งอนเรื่องเก่าด้วยนะ

    คยองให้จงอินติดไว้ ไม่ได้หมายความให้เลื่อนออกไปนะ”

     

     

    เด็กน้อยกอดอกแล้วสะบัดหน้าหนี...ทำเอาผมต้องหัวเราะออกมาอย่างขันๆในท่าทางของเขา

     

     

    “ฮ่าๆ...แต่ฉันยังไม่ว่างเลยนะ เลื่อนออกไปอีกหน่อยได้ไหม?” ผมยื่นข้อเสนอให้เขา

     

     

    “โห...จงอินเอาเปรียบอ่ะ แล้วเมื่อไหร่จะมาง้อคยองล่ะครับ”

     

     

    “ไว้งานนี้ผ่านก่อนนะ พี่จงอินจะมาง้อน้องคยองโอเคไหมไอ้เด็กดื้อ”

     

     

    ผมไม่พูดเปล่าแต่ยังบีบจมูกน้องเขาเล่นให้หน้ามุ่ยของเด็กนั้นยิ่งมุ่ยขึ้นไปอีก

    แต่กลับรู้สึกสนุกและหายเครียดไปได้นิดหนึ่งเมื่อแกล้งเขา

     
     

     

    “งั้นก็เอาเถอะ...

    สรุปว่าเราจะจัดปาร์ตี้กันไหมจงอิน...คยองอยากจัดจริงๆน้า

    ทำกับข้าวกินกันกับพี่ๆ แล้วให้พวกพี่ๆเค้ามาเจอหน้ากันก็พอ

    คยองไม่ขออะไรหรอก ขอแค่เค้กซักก้อนก็พอแล้วน้า”

     

     

    เด็กน้อยแกล้งเหวี่ยงแขนมากอดผมแล้วส่งเสียงอ้อน

    ผมครุ่นคิดนิดหน่อยในขณะที่เสมองเด็กที่กำลังจ้องผมตาแป๋วแล้วกระพริบตาปริบๆ

    ถึงแม้ว่าจะผ่านไปกี่ปีแต่เวลาเด็กคนนี้ทำอย่างนี้ผมก็มักจะใจอ่อนเสมอล่ะ

    เฮ้อ...แล้วคำตอบมันจะเป็นยังไงได้ล่ะครับ

     
     

     

    “อืม...จัดก็จัด” ผมตอบพลางยักไหล่

     

     
     

    “เย้!! จงอินใจดี๊ใจดี...คยองรักจงอินที่สุด!

     

     

    เด็กน้อยกระโดดโลดเต้นเหยงๆก่อนจะวิ่งมากอดผมที่เอวอีกหน

    ผมยกยิ้มออกมาเล็กน้อยเพราะความเป็นเด็กของเจ้าตัว

    ก่อนจะผลักน้องเขาออกไปแล้วแสร้งทำเป็นดุน้องเขา

     
     

    “พอได้แล้วน่า...โตแล้วนะคยองซู ยังจะทำตัวเป็นเด็กๆอีก”  ผมดุเขา

     

     

    “พบู่วววว...ทำไมต้องดุด้วยล่ะ คยองก็รู้นะว่าคยองโตแล้ว

    แต่คยองไม่รู้ว่าคยองเป็นอะไร...เพราะถ้าเป็นกับจงอินแล้วล่ะก็

     

    .

    .

    .

     

    คยองอยากจะอ้อนตลอดเวลาเลย”

     

     

     

     

    ***********

     

     


     

    ผ่านไปสองวันแล้วที่คยองซูจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับปาร์ตี้เองหมด

    โดยมีชานยอลและจงแดคอยช่วยพาไปซื้อนั่นซื้อนี้


    เพราะผมเองไม่ว่างจะดูแลทุกอย่างกับเขา เพราะว่าโปรเจ็คที่ผมเสนอนั้นใกล้จะถึงกำหนดส่งเต็มที

    และตอนนี้มันอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการทำงานแล้ว ซึ่งมันก็ตรงตามกำหนดที่ผมต้องการและตั้งใจพอดิบพอดี

    ผมอยากให้งานเสร็จภายในวันนี้เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ปลดแอกทุกอย่างลงจากบ่าแล้วมีปาร์ตี้วันเกิดอย่างสบายใจเสียที

    และนั่นส่งผลให้ตอนนี้ผมเครียดมากๆจนแทบจะไม่มีเวลาคุยหรือกินข้าวพร้อมกับคยองซูและเพื่อนรักทั้งสองคนเลย

     

     

    “จงอินครับ...กินอะไรซักหน่อย”




    เสียงใสของเด็กน้อยเรียกสติผมให้ละออกจากหน้าจอคอม

    ผมหันไปมองใบหน้าอมทุกข์ของเขาแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆทีหนึ่ง

    ก็รู้สึกไม่ดีหรอกที่ทำให้คยองซูเป็นห่วง...แต่มันเฮือกสุดท้ายแล้วจริงๆ

    แล้วเขาก็จะกลับมายิ้มอีกครั้ง

     

     

    “ขอบใจนะคยองซู...แต่เฮ้ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ

    พรุ่งนี้ก็วันเกิดนายแล้ว จะฉลองวันเกิดแบบนี้น่ะเหรอฮึ?”

     

     

    ผมถามเขาพลางยกมือขึ้นไปลูบหัวเด็กน้อยที่ทรุดตัวนั่งลงข้างๆ

     
     

     

    “ก็จงอินเครียดแบบนี้...คยองก็เลยยิ้มไม่ออก

    แถมจงอินก็ยังไม่ได้กินข้าวเลย รู้ไหมครับว่าตอนนี้มันกี่โมงแล้ว”

     

     
     

    คยองซูกระซิบเบาๆเพื่อเตือนผมให้ต้องเงยหน้ามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังแล้วก็ต้องตกใจมากจริงๆ

    เพราะตอนนี้เป็นเวลากว่าสี่ทุ่มแล้ว และข้าวซักเม็ดก็ยังไม่ตกถึงท้องของผมเลย

    มีแต่น้ำส้มหรือลูกอมเม็ดเล็กๆที่คยองซูเอาวางทิ้งไว้บนโต๊ะเท่านั้นที่ผมจะให้ความสนใจและเอื้อมมือไปหยิบมันเข้าปาก

    เพิ่งสังเกตว่าน้องเขาอาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดนอนไปแล้ว โดยที่ผมเองไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขาเข้าห้องมาตอนไหน

     
     

     

    “โอ...ฉันไม่รู้เลย เพิ่งจะรู้สึกหิวขึ้นมาก็ตอนนี้แหละ

    แต่งานก็ใกล้จะเสร็จแล้ว ฉันคิดว่าอีกชั่วโมงเดียวมันก็น่าจะเรียบร้อย”

     

     

    “พูดอย่างนี้คือจะไม่ยอมกินข้าวใช่ไหม?” คยองซูถามอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

     

     

    “กลัวว่ากว่าจะกินกว่าจะอะไรเสร็จก็จะดึกซะก่อน

    ฉันต้องตื่นไปพรีเซ้นส์งานพวกนี้แต่เช้า คงต้องรีบนอน”

     

     

    ผมยักไหล่พลางถอนหายใจ มองหน้าเด็กน้อยที่ดูเคร่งเครียดแล้วก็รู้สึกสงสาร

    มองถาดข้าวที่ส่งควันกรุ่นแล้วก็รู้สึกผิดไปใหญ่ เพราะมันทำให้ผมรู้ว่าเขาเพิ่งลงไปทำมันมาใหม่ๆเพื่อผม

     

     

    “ขอโทษนะคยองซู...ฉันสัญญาว่าถ้าเสร็จงานนี้แล้วจะพาไปเที่ยวนะ”

     


     

    ผมยิ้มบางๆเพื่อจะทำให้เขาสบายใจ แล้วจึงยกมือขึ้นไปโอบไหล่เขาแล้วบีบเบาๆทีหนึ่ง

    คยองซูเอนตัวลงมาอิงที่ไหล่ผมไว้แล้วถอนหายใจ

     


     

    “ไม่ต้องหรอกครับ...

    แค่จงอินรีบทำงานให้เสร็จแล้วกลับมาเป็นจงอินคนเดิมของคยองแค่นั้นก็พอแล้ว”  เด็กน้อยตอบผม

     
     

     

    “อื้ม...มันใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ นายไปนอนก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวซักพักฉันจะตามไป” ผมพูดพลางยิ้ม

     

     

     

    “ไม่เอาครับ...เพราะคยองจะให้จงอินกินข้าวให้ได้ 

    คยองจะป้อนจงอินเอง จงอินจะได้ไม่เสียเวลากินไง กินไปทำไปเถอะครับ

    แล้วคยองจะอยู่เป็นเพื่อน” คยองซูมองหน้าผมและยืนกรานอย่างนั้น

     

     
     

    “แต่พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนไม่ใช่เหรอ? นอนดึกไม่ดีนะรู้ไหม?”

     

     

     

    “แต่ถึงจงอินไล่...ยังไงคยองก็ไม่ไปอยู่ดี”

     

     

     

    เด็กนั่นตอบกลับมาเสียงแข็ง ทำให้ผมต้องหัวเราะออกมาในความดื้อของเขา

    ยิ่งหน้าตาจริงจังแบบนั้นก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกตลกและดีใจไปพร้อมๆกัน

     
     

     

    “เฮ้อ...นายนี่มันดื้อจริงๆ...แต่ก็เอาเถอะนะ

    งั้นเอาสิ ป้อนฉันทีแล้วกัน ฉันจะได้ทำงานต่อ อ้า...”

     

     

     

    ผมอ้าปากค้างรอให้น้องเขาได้ป้อน

    ซึ่งทันทีที่ผมทำอย่างนั้น คยองซูก็ยิ้มออกมาแล้วคว้าเอาช้อนในถาดแล้วเริ่มตักข้าวให้ผมกินทันที

     

     

     

    จนเวลาผ่านไปนานเกือบชั่วโมงครึ่ง...งานผมถึงเสร็จเรียบร้อย

    ผมหันไปมองคยองซูที่บอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนผม

    แต่กลับเผลอฟุบหลับอยู่บนขอบโต๊ะข้างๆดูไม่ค่อยจะสบายตัวเท่าไหร่นัก

     

     

    เพราะถึงแม้ว่าผมจะไล่เขาไปนอนยังไงเขาก็ยังปฏิเสธและยังยืนกรานบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนผมทำงานจนเสร็จ

    แต่ดูเอาเถอะ...เด็กมันปากดีได้ไม่นานเท่าไหร่หรอก เผลอแป๊ปเดียวก็ฟุบกับโต๊ะแล้วก็นอนหลับไปซะแล้ว

    แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังซึ้งใจที่น้องเขาพยายามจะทำทุกอย่างให้ผมรู้สึกดีขึ้นอยู่ดีนั่นแหละนะ...

    ผมจัดการปิดโน๊ตบุ๊คและตัดสินใจไม่ปลุกเขา

    หากแต่กลับช้อนตัวเด็กน้อยขึ้นมาไว้ในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบาและระวังไม่ให้เขาตื่น

    คยองซูในวันนั้นกับวันนี้แตกต่างกันมาก ด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นและความสูงแต่ผมก็ยังยกเขาได้ไหว

    ผมค่อยๆเดินไปวางน้องเขาลงที่เตียงฝั่งหนึ่งแล้วก็ยกยิ้มออกมา...

    เมื่อน้องเขาพลิกตัวตะแคงข้างแล้วกอดแขนผมไว้อย่างกับคิดว่ามันเป็นหมอนข้างอย่างไรก็อย่างนั้น

    ผมรู้สึกดีที่ได้เห็นอย่างนั้น เพราะงานนั้นเสร็จลงไปหมดแล้ว

    และความเครียดทั้งหมดก็ถูกทำให้มลายไปเพราะไอ้เด็กตัวเล็กๆที่นอนกอดผมอยู่

     
     

    จงอินค่อยๆดึงแขนตัวเองออกจากพันธนาการของน้องเขา แล้วจับตุ๊กตาโปโรโระที่แสนจะเก่าลงไปให้น้องเขากอดมันแทน

    หัวเราะออกมาน้อยๆเมื่อได้เห็นท่าทางที่น้องเขาทำไปโดยไม่รู้ตัวในขณะที่หลับ และเขากอดโปโรโระไว้แน่นเชียว

     

     

     

    จงอินเดินไปปิดไฟดวงใหญ่ที่หน้าห้องจนเหลือแค่เพียงไฟบนหัวเตียง

    หันไปมองนาฬิกาก็พบว่ามันเป็นเวลาดึกมากเหลือเกินแล้ว และควรจะรีบนอนได้แล้ว

    จงอินเดินเข้าไปทรุดตัวนอนอีกฝั่ง แล้วกดปิดไฟหัวเตียง...

     
     

    และโดยไม่ได้รู้ตัวเลยซักนิด เขาก็เขยิบตัวเองมาที่เตียงอีกฝั่ง  

    แล้วคว้าเอาน้องเขามากอดไว้เสียแน่นราวกับเป็นหมอนข้างส่วนตัว

    นอนเบียดกันและใช้พื้นที่แค่เพียงฝั่งเดียวแม้ว่าเตียงจะกว้างขนาดไหน

     
     

    จงอินสูดหายใจเอากลิ่นแชมพูที่โชยอ่อนออกมาจากศีรษะเล็กๆตรงปลายจมูกแล้วหลับตาลง

    ความกังวลทุกอย่างหายไปหมดเพียงแค่จงอินได้กลิ่นและสัมผัสคุ้นเคยเหล่านั้น

    และไม่นานเท่าไหร่...เขาก็เข้าสู่ห้วงนิทรา...

     

     
     

     

    ***********

     

     

     

    จงอินกำลังยกยิ้มกว้าง...เพราะงานนำเสนอโปรเจ็คของเขาเป็นไปได้ด้วยดีและเกินกว่าที่เขาคาดหมายไว้

    นี่อาจเป็นเพราะเขาเตรียมตัวและทุ่มเทกับมันมานาน ผลลัพธ์ที่ได้มันจึงออกมาดีอย่างที่ตั้งใจ

    จงอินเก็บของลงกระเป๋าอย่างมีความสุข ในใจคิดว่าน่าจะรีบกลับไปที่บ้านและเตรียมตัวให้ทันปาร์ตี้คืนนี้

    หากแต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอย่างนั้น เลขาคนสวยของเขากลับเคาะประตูกระจกเรียกให้เขาหันไปสนใจเสียก่อน

     

     
     

    “หืม? ว่าไงครับแทยอน?” จงอินเอ่ยถามเลขาสาวออกไปอย่างแปลกใจ

     

     

     

    “ขอโทษค่ะท่าน...แต่ท่านประธานจางเพิ่งเรียกให้ท่านเข้าไปพบ

    ดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องด่วนค่ะ เพราะเขาบอกให้ท่านขึ้นไปพบเขาตอนนี้” แทยอนตอบกลับจงอินอย่างสุภาพ

     
     

     

    “งั้นหรือ... อืม...งั้นเดี๋ยวผมจะขึ้นไปตอนนี้ล่ะ”

     

     

     

    จงอินยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วหลังจากนั้นจึงตอบรับ

    ยังมีเวลามากพอที่จะเข้าไปพูดคุยกับท่านประธานเล็กน้อย และเขาคิดว่าคงเป็นเรื่องโปรเจ็คของเขา

    เขาจึงรีบเดินออกจากห้องแล้วขึ้นลิฟท์ไปยังห้องของท่านประธานทันที

     

     
     

    ********

     


     

    “โปรเจ็คของคุณดีมากเลยนะคุณคิม

    และโชคดีจริงๆที่วันนี้ท่านประธานยูมีปาร์ตี้ขอบคุณลูกค้าที่โรงแรมในเครือของเขา

    และผมอยากให้คุณไปกับผมคืนนี้ ผมจะได้ช่วยพรีเซ้นส์โปรเจ็คของคุณให้ท่านประธานยูได้ฟัง

    ผมว่ามันน่าจะเป็นโอกาสดีถ้าคุณไปร่วมงานเลี้ยงในวันนี้...โอกาสที่คุณจะได้เลื่อนตำแหน่งมีสูงมาก”

     


     

    จาง กึนซอก ยกยิ้มกว้างแล้วพูดกับผม...ในขณะที่ผมรู้สึกตกใจอย่างมาก

    ท่านประธานยูที่เขาพูดถึงคือเจ้าของบริษัทที่ผมทำงานอยู่และยังเป็นเจ้าของธุรกิจมากมายในเกาหลี

    มันเหมือนบุญกำลังหล่นทับเมื่อผมได้ยินอย่างนั้น แต่ผมกลับรู้สึกหนักใจจริงๆที่ได้ฟังข้อเสนอของเขา

    ผมรู้ดีว่าโปรเจ็คของผมจะทำให้ผมได้เลื่อนตำแหน่งที่ต้องการ ถ้าผมไปเสนอมันต่อหน้าเขา




    แต่ผมจะดีใจมากกว่านี้ถ้าหากว่ามันไม่ใช่วันนี้....

    ...วันเกิดของคยองซูและปาร์ตี้วันเกิดของเขาและผม...

     

     

    “จริงหรือครับท่าน? โอ...ผมดีใจจริงๆ

    แต่ -- ไม่รู้สิครับ...ผมเกรงว่าวันนี้ผมจะไม่ค่อยสะดวก”

     


     

    ผมตอบกึนซอกไปอย่างรู้สึกลังเล...และเมื่อกึนซอกได้ฟังเขาก็เจื่อนยิ้มในใบหน้าลง

    เลื่อนตัวมาใกล้แล้วพยายามจะชักจูงผมอีกหน

     


     

    “คุณคิม...เชื่อผมเถอะ ถ้าหากว่านี่เป็นโอกาสคุณก็ไม่ควรให้มันปล่อยมือไปนะ

    โอกาสนี้อาจจะมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตคุณก็ได้...เฮ้ ผมเคยผ่านมันมาก่อนและผมแนะนำว่าคุณควรจะไป

    คุณรู้ไหมว่าวันนั้นที่ผมเป็นแบบคุณผมก็ลังเลแบบนี้แหละ

    และวันนั้นผมคงเสียใจมากๆถ้าปฏิเสธ...เพราะผมก้าวข้ามขั้นมาเพราะการตัดสินใจในวันนั้น

    และผมเองก็หวังว่าคุณคงจะเลือกให้ดีนะครับ”

     


     

    กึนซอกพูดแค่นั้นแล้วถอยหลังไปเอนหลังพิงกับเก้าอี้โซฟาบุนวมที่เขานั่งอยู่

    ปลายนิ้วจรดกันแล้วนิ่งเงียบให้ผมได้คิด แต่ผมกลับรู้สึกเครียดเมื่อเห็นเขาทำอย่างนั้น

    ผมกัดริมฝีปากแล้วครุ่นคิดอย่างขัดใจ...ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นวันนี้

    วันที่คยองซูจัดการทุกอย่างและตั้งใจกับมันมาก



    และผมเองก็เช่นกัน...ผมสู้อุตส่าห์ตั้งใจเคลียร์ทุกอย่างเพื่อที่จะได้มีเวลาปาร์ตี้ที่สนุกสนานในวันนี้

    แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมดเลย...และผมไม่รู้ว่าควรทำยังไง

     

     

    แต่มันก็จริงอย่างที่กึนซอกพูด...ว่าโอกาสนี้มันอาจจะผ่านมาแค่ครั้งเดียวในชีวิตผมก็ได้

    และเมื่อได้คิดว่าผมตั้งใจและทุ่มเทกับมันมานานแค่ไหน มันก็ทำให้ผมลังเล

    ถ้าหากผมได้เลื่อนตำแหน่ง...เงินเดือนผมก็จะมากขึ้นและเพียงพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองคยองซูในแต่ละเดือนได้อย่างสบาย

    และมันจะทำให้ผมมีหน้ามีตาในสังคมมากขึ้นด้วย และนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ควรปฏิเสธ

     

     

    “ว่าไงครับ...คุณคิม” กึนซอกเอ่ยขึ้นเบาๆอีกครั้งเพื่อเร่งให้ผมตอบเขา

    ผมกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่...ก่อนจะหลับตาลงแล้วตัดสินใจเป็นเฮือกสุดท้าย

     


     

    ผม...ต้องเลือกแล้ว

     

     

     

    “ผม -- ตกลงครับท่าน

    .

    .

    .

    ผมจะไปงานเลี้ยงคืนนี้” 




     

    --  50% --

     








    “เข้าใจฉันใช่ไหมคยองซู...ขอโทษด้วยนะที่คืนนี้อยู่ด้วยไม่ได้”

     

     

    ผมกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ไปด้วยความรู้สึกผิด หลังจากที่อธิบายเหตุการณ์ทุกอย่างผ่านสายโทรศัพท์ไปแล้ว

    คยองซูเงียบเสียงไปจนน่ากลัว เขาไม่พูดหรือถามอะไรเลยหลังจากที่ผมบอกสาเหตุที่ต้องเบี้ยวปาร์ตี้วันนี้กับเขา

    เขาเงียบกริบจนผมรู้สึกกลัว...ไม่ได้คิดว่าเขาจะเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าน้องเขาจะไร้ปฏิกิริยาขนาดนี้

     
     

    “คยองซู...พูดกับฉันสิ
    โกรธฉันเหรอ...ฉันขอโทษ”

     

     

    ผมกระซิบเข้าไปในสายก่อนจะกลืนน้ำลายลงไปในคออย่างยากลำบาก

    ก่อนที่จะได้ยินเสียงน้องเขาถอนหายใจผ่านสายโทรศัพท์เบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นกับผม

     
     

    “คยองไม่ได้โกรธ...จงอินไปทำงานเถอะ อย่าห่วงคยองเลยครับ”

     
     

    เด็กน้อยกรอกเสียงผ่านมาทางสายโทรศัพท์ ด้วยถ้อยคำที่ถึงแม้ว่าจะฟังดูดี

    แต่ผมฟังแล้วไม่ได้รู้สึกดีเลย...

     
     

     

    “อย่าประชดฉันสิคยองซู...ไว้ถ้าเสร็จงานแล้วฉันจะชดเชยให้นะ

    ไปดูหนังกันดีไหม กินไอศกรีม หรือจะไปสวนสนุก? ไปที่ไหนก็ได้...ฉันจะพาไปหมดเลย” ผมบอกกับเขา

     

     
     

    “ไม่ต้องหรอกครับ...คยองไม่ต้องการอะไรหรอก

    จงอินทำงานไปเถอะครับอย่าห่วงคยองเลย

    พี่แบคฮยอนมาแล้ว คยองขอวางก่อน...

     

     
     

    จบประโยคแล้วคยองซูก็ตัดสายไป...ทิ้งให้ผมอึ้งไปกับประโยคที่เขาเอ่ยทิ้งไว้ และยังไม่ทันได้เอ่ยลา

    ผมไม่รู้ว่าเขาโกรธหรือเปล่า ถึงแม้ว่าคำพูดนั้นจะบอกไม่ให้ผมห่วงอะไร

    แต่หัวใจผมเจ็บปวดจริงๆที่ทำให้เขาต้องเสียความรู้สึก...

     
     

     

    “คุณคิม...ถึงเวลาที่เราต้องไปกันแล้ว คุณพร้อมหรือยังครับ?”

     

     
     

    เสียงกึนซอกที่ดังขึ้นจากข้างหลังทำให้ผมต้องหันไปสนใจเขา

    ผมถอนหายใจให้กับมือถือเครื่องเล็กในมืออีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจหย่อนมันลงไปในกระเป๋าเสื้อสูท

     

     
     

    “มือถือน่ารักผิดกับลุคของคุณเลยนะครับ...

    รุ่นนี้มันก็เก่าพอดูแล้วนะ ไม่คิดว่าคุณจะยังใช้มือถือรุ่นนี้”

     
     

    กึนซอกเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะให้กับมือถือของผม...ผมรีบแก้ตัวก่อนจะบอกกับเขา

     

     

    “โอ้...ไม่ใช่ครับ เครื่องนี้ผมใช้คู่กับน้องชาย

    ผมมีไอโฟนอีกเครื่องหนึ่งน่ะ ไม่ได้ใช้แค่เครื่องเดียว”

     

     

    ผมรีบเอ่ยปฏิเสธกับกึนซอกไป เพราะไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นคนชอบอนุรักษ์ของเก่าอะไรแบบนั้น

    แถมอีกอย่าง มือถือที่ผมใช้คู่กับคยองซูน่ะ มันออกจะดูน่ารักไปซักหน่อยซะด้วย

     

     
     

    “โอ้...จริงเหรอครับ? คุณมีน้องชายด้วยหรือ?”

     

     
     

     กึนซอกถามต่อในขณะที่เรานั่งลงในรถเบนซ์คันยาวที่จอดอยู่หน้าบริษัท

    ผมยกยิ้มออกมาบางๆแล้วส่ายหน้า ก่อนจะตอบเขาไปเสียงเรียบ

     

     

    “เปล่าหรอกครับ...ผมเป็นแค่ผู้ดูแลเขาเท่านั้น

    พอดีพี่สาวผมหล่อนเป็นทนายความ แล้วลูกความหล่อนโดนฟ้องล้มละลายแล้วหนีไปอยู่เมืองนอก

    เขาทิ้งลูกไว้ที่นี่ ผมเลยต้องรับภาระดูแลเขาแทน”

     

     
     

    “โอ้...จริงเหรอครับ? แล้วนี่คุณอุปการะเขาไว้นานเท่าไหร่แล้วล่ะ?” กึนซอกถามต่อด้วยความตกใจ

     

     
     

    “หลายปีมากแล้วครับ...ตั้งแต่เขาเก้าขวบ จนตอนนี้อายุสิบห้าแล้ว”

     
     

     

    “โอ...แปลกจังนะครับ ทั้งๆที่ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ

    แต่คุณดูรักน้องเขามากเลย” กึนซอกพูดพลางขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด...ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วขมวดคิ้วตาม

     

     
     

    “หืม? มันแปลกตรงไหนเหรอครับ?” ผมถามเขาอย่างไม่เข้าใจนัก

     

     
     

    “แปลกสิครับ...แปลกมากด้วย

    ผมเองก็มีน้องสาวนะครับ...

     

    .

    .

    .

     

     

    แต่ผมไม่เคยเห็นพี่ชายคนไหนหรอกที่คิดจะใช้มือถือเป็นคู่กัน”

     

     

     

     

    ************

     

     
     

    “ไม่เป็นไรใช่ไหมคยองซู?”

     

     
     

    เสียงใสของแบคฮยอนดังขึ้นมาและทำให้ผมต้องหันไปมองเขา

    ผมยอมรับว่าผมยิ้มไม่ออกเลยเพราะว่าจงอินไม่ได้อยู่ที่นี่...

    ผมโกรธ...แต่ผมก็รู้ดีว่าโกรธไปก็ทำอะไรไม่ได้

    เพราะจงอินเห็นโปรเจ็คนี้สำคัญมาก และผมจำเป็นที่จะต้องเข้าใจเขา

    ถึงแม้ว่าจะไม่อยากเข้าใจอะไรทั้งนั้นก็ตามเถอะ....

     

     
     

    “ไม่เป็นอะไรครับพี่แบคฮยอน...เอาบาร์บีคิวเพิ่มไหมครับ?”

     
     

     

    ผมถามเขาในขณะที่พลิกไม้บาร์บีคิวกลิ่นหอมฉุยในเตาปิ้งกลับไปกลับมาเพื่อให้มันสุดทั่วถึงกัน

    แต่ก็ต้องเจื่อนยิ้มลงเมื่อเห็นว่าอีกด้านหนึ่งของเนื้อย่างพวกนั้นกลายเป็นสีดำ...มันไหม้ไปเสียครึ่งหนึ่ง...

     
     

    “แล้วอย่างนี้มันจะกินได้เหรอ ไหม้ซะขนาดนี้”

     

     

    “ข...ขอโทษฮะ ผมจะย่างให้ใหม่นะ” ผมตะกุกตะกักตอบเขาอย่างรู้สึกผิด

     

     

    แบคฮยอนถอนหายใจพลางมองมาที่ผมอย่างสงสาร

    ผมกัดริมฝีปากก่อนจะรีบเอาบาร์บีคิวที่ยังไม่ได้ย่างวางลงบนเตาแล้วเริ่มย่างมันใหม่

    ก่อนที่ผมจะมองเห็นแบคฮยอนส่ายหัวไปมาๆเบาๆอย่างเวทนาผมเสียเหลือเกิน

     
     

     

    “นี่คยองซู...ถ้าไม่ชอบใจทำไมไม่บอกไปตรงๆล่ะ

    ไอ้จงอินน่ะมันซื่อบื้อนะ งี่เง่าด้วย...ถ้าไม่บอกมัน มันก็ไม่มีวันรู้หรอก

    เก็บไว้คนเดียวมันจะได้อะไรขึ้นมา ถ้าไม่ชอบก็บอกออกไปซะ

    ไอ้จงอินมันแคร์คยองซูมากนะ ถึงแม้ว่ามันจะไม่เคยพูดก็เถอะ”

     

     

    แบคฮยอนพูดกับผมเบาๆในขณะที่ดันผมให้เดินออกจากหน้าเตาย่างแล้วจัดการทำทุกอย่างแทนผม

    ผมเลยทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆเตานั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

     
     

     

    “ไม่หรอกครับ...คยองไม่พูดหรอก

    ถ้าคยองพูดจงอินก็จะหนักใจ คยองไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น

    คยองรู้ว่าพี่เขาตั้งใจกับงานนี้มาก...เขาทำเพื่อให้เราสองคนสบาย

    คยองก็อยากจะโกรธ แต่คยองก็โกรธจงอินไม่ลง”

     

     
     

    “เฮ้อ...เรื่องนี้มันก็พูดยาก พี่ก็เข้าใจเหตุผลนะ

    เป็นพี่ก็ไม่รู้จะทำยังไง พี่คงจะปวดหัวมากๆถ้าเป็นไอ้จงอินมัน” แบคฮยอนพูดพลางยักไหล่

     

     
     

    “คยองไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน...อยากจะบอกให้พี่เขากลับมาแต่คยองก็ไม่กล้า

    อยากจะทำตัวงอแงไม่ยอมซะให้จบๆ แต่คยองก็สงสารจงอิน

    คยองเห็นพี่เขาเครียดกับมันมาเป็นเดือนๆ คยองไม่กล้าจะทำอย่างนั้น

    แต่อีกใจนึงคยองก็เสียใจ...วันเกิดมันมีทุกปีก็จริง แต่วันที่คยองจะอายุสิบห้ามันมีแค่วันเดียวนะ”

     
     

    ผมพูดออกมา ถึงแม้ว่าปลายประโยคจะเข้าใจจงอินเป็นอย่างดี

    แต่พอได้พูดความรู้สึกของตัวเองออกไปบ้าง แล้วผมรู้ว่าอยากจะร้องไห้ออกมาให้รู้แล้วรู้รอด

    ผมไม่ใช่เด็กอายุเก้าขวบคนเดิมอีกแล้วนะ ที่ไม่มีเขาแล้วจะร้องไห้งอแงเรียกให้เขามาหา

    แต่ถ้าหากการเป็นผู้ใหญ่จะทำให้เจ็บปวดแบบนี้...ผมก็ไม่อยากจะเป็นซักเท่าไหร่หรอก

     

     
     

    “เฮ้...อย่าร้องไห้นะ นายยังมีพี่ๆอยู่นะ

    พี่รู้ดีว่ามันแทนกันไม่ได้ แต่ยังไงวันนี้นายก็ไม่ได้อยู่คนเดียวนะโอเคไหม?”

     


     

    แบคฮยอนเดินเข้ามาโอบไหล่ผมและลูบหัวเบาๆ

    ผมยกยิ้มออกมาบางๆเมื่อเขาทำอย่างนั้น แม้ว่าสัมผัสนั้นจะอบอุ่นสู้มือของจงอินไม่ได้

    แต่อย่างน้อยก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อกี้มาก...มันก็จริงอย่างที่แบคฮยอนว่านั่นแหละ

     

    .

    .

    .

     

    อย่างน้อยวันนี้เขาก็ไม่ได้อยู่คนเดียว...

     

     


     

    ************

     



     

    ในงานเลี้ยงที่มีคนพลุกพล่านและอื้ออึงไปด้วยเสียงต่างๆมากมาย

    ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดคุยกันอย่างออกรสเกี่ยวกับราคาหุ้นตัวโปรดของแต่ละคนที่พุ่งเขียวกันทั้งกระดาน

    เรื่องสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม อย่างเช่นปารีสหรือสวิสเซอร์แลนด์

    หรือแม้จะเป็นเสียงดนตรีคลาสสิคที่เล่นคลออยู่ในบรรยากาศของงานอย่างต่อเนื่อง


    ทุกเสียงนั้นผ่านหูของจงอินไปหมด แต่จงอินกลับรับรู้ได้ว่าเขาแทบจะไม่ได้ใส่ใจมันเลย

    จงอินรู้สึกว่าเป็นบ้าไปแล้ว...หรือไม่ก็ใกล้จะบ้าเต็มที

    เมื่อทุกครั้งที่ขยับตัวหรือเดินไปทางไหน

    เขาก็มักจะคิดว่าโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงนั้นสั่นอยู่ตลอดเวลา  ทั้งๆที่ความจริงมันไม่มีอะไรเลย...

     
     

     

    “คุณคิม มาทางนี้สิ...ท่านประธานครับ นี่ไงครับเจ้าของโปรเจ็คที่ผมบอกท่าน

    คนนี้ชื่อ คิม จงอิน เป็นหัวหน้างานฝ่ายการตลาดและพัฒนาซอฟแวร์ของบริษัทเรา”

     

     
     

    เสียงของกึนซอกที่เริ่มพูดคุยกับท่านประธานยูที่ผมมักจะพบเขาในทีวีมากกว่าจะเจอในบริษัท

    ทำให้ผมต้องเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมา และพร้อมจะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างที่ตั้งใจไว้

    ยกยิ้มออกมาบางๆและทำตัวเองให้ดูภูมิฐานที่สุดเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าเขา

     

     
     

    “สวัสดีครับท่านประธาน...ผมชื่อคิม จงอินครับ”

     
     

    ผมทักทายก่อนจะก้มหัวลงไปโค้งให้เขา แล้วยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อเป็นมารยาท

     

     

    “โอ้...สวัสดีครับ คุณนี่เองสินะที่กึนซอกแนะนำ

    เขาบอกว่าโปรเจ็คของคุณเยี่ยมที่สุดในบรรดาโปรเจ็คที่ส่งมา

    ผมได้อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับมันนิดหน่อยเมื่อตอนหัวค่ำ

    ผมชอบความคิดในการเพิ่มการเข้าถึงของกลุ่มผู้เล่นมากนะ เมื่อก่อนผมก็เคยคิด แต่ผมกลับคิดว่ามันยุ่งยากที่จะทำ

    ทำไมคุณถึงกล้าที่จะให้คนอัพโหลดแบบเสื้อผ้าที่ต้องการเข้าตัวละครเองได้ล่ะ

    ทำแบบนั้นไม่เป็นการเพิ่มภาระให้กับฝ่ายกราฟฟิคหรอกหรือ”

     

     
     

    ประธานยูหัวเราะร่าในขณะที่เอื้อมมือมาตบบ่าผมเบาๆ

    ก่อนจะถามความคิดเห็นผมเกี่ยวกับโปรเจ็คนั้นๆ

     
     

     

    “ไม่หรอกครับท่าน...เอากันตามจริงแล้วโครงสร้างกราฟฟิคของเสื้อผ้านั้นก็มีอยู่ไม่กี่แบบ

    และจากที่ผมสำรวจดู ฐานข้อมูลของเราก็มีกราฟฟิคเสื้อผ้าแทบจะทุกรูปแบบอยู่แล้ว

    ผมเห็นว่าเกมส์ตัวใหม่ที่เพิ่งปล่อยออกไปกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ยังเป็นวัยรุ่นผู้ชายเท่านั้น

    และผมคิดว่ามันอาจจะดีขึ้นถ้าเราเอาเรื่องแฟชั่นเข้ามาดึงดูดกลุ่มเด็กผู้หญิงและเด็กเล็กๆที่อยากใช้ความคิดสร้างสรรค์”

     


    ผมตอบไปอย่างเป็นธรรมชาติ...มันดูดีมากทีเดียวที่ได้พูดมันออกไป

    ประธานยูพยักหน้าแล้วยิ้มออกมาบางๆอย่างชอบใจในคำตอบของผม

    ก่อนจะหันไปเรียกบริกรแล้วหยิบเอาแก้วไวน์ทรงสูงส่งให้ผมและเขาอย่างละแก้ว

     


     

    “อืม...ดีจริง ผมชอบความคิดคุณ 

    คุณนี่เข้าใจเด็กๆดีจังเลยนะ ” ประธานยูพูดขึ้นพลางยกยิ้ม

     

     

     

    “ครับ...อาจจะเป็นเพราะผมได้รับอิทธิพลมาจากน้องชายน่ะครับ

    รายนั้นถึงจะโตขึ้นมากี่ปีก็ยังเด็กอยู่ดี จนผมรู้สึกเหมือนว่าผมอยู่กับเด็กๆตลอดเวลา” 

     

     
     

    ผมตอบพลางหัวเราะเมื่อได้พูดถึงเด็กน้อยที่บ้านที่ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง

     




    “โอ้...ดีจริงๆที่ได้ยินว่าอย่างนั้น คุณอยากไปทางโน้นกับผมไหม

    ทางนั้นคือเจ้าของบริษัท เอเชียร์ซอฟต์ เขากำลังจะเปิดสาขาใหม่แถวๆอัพกูจอง

    ผมคิดว่าเขาต้องการผู้บริหารสาขาคนใหม่นะ คุณน่าจะตามผมมา”

     
     

     

    ประธานยูพูดพลางขยิบตาแล้วหมายจะให้ผมเดินตามเขาไป

    ผมเบิกตากว้างเพราะตกใจในสิ่งที่ท่านประธานยูเพิ่งพูดออกมา

    ผู้บริหารสาขา...พระเจ้า นี่เรื่องจริงหรือ?

     

     

    ผมอยากจะเดินตามเขาไปแต่ก็ต้องชะงัก...

    เมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋านั้นสั่นขึ้นมาและทำให้ผมต้องสะดุด

    ผมยกมือขึ้นจับทาบที่กระเป๋าเสื้อสูทเพื่อสัมผัสดูว่าโทรศัพท์มันสั่นจริงๆหรือเป็นแค่ผมที่คิดไปเอง

    แต่เมื่อผมรับรู้ได้ว่ามันกำลังสั่น มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นกระตุก

    รีบหยิบเอามือถือขึ้นมาดูที่หน้าจอ แล้วก็พบว่าเป็นคยองซูนั่นเองที่โทรมา

    ตอนนี้เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว...แต่เขามีอะไรกันนะ

     

     

    “ท่านครับ...ช่วยรอผมซักครู่ได้ไหม สายนี้สายสำคัญจริงๆครับ”

     
     

     

    ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วร้องขอ

    ประธานยูพยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้ผมบางๆก่อนจะบอกว่าเขาไม่ถือสาอะไร

     

     
     

    “ได้สิ...ผมรอได้ แต่ผมว่าคุณน่าจะรีบหน่อยนะ

    คุณคงเห็นว่ามีแต่คนอยากคุยกับเขาเต็มไปหมด”

     

     

    ประธานยูพูดพลางยักไหล่ ผมจึงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วกดรับสายของคยองซู

     

     

     

    “ว่าไงคยองซู...ที่บ้านมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” ผมเอ่ยถามเขาอย่างร้อนรนเล็กน้อย

     

     

     

    ไม่มีอะไรครับ...คยองแค่อยากโทรมาหา ตอนนี้จงอินยุ่งอยู่เหรอ?

     
     

     

    เสียงใสของเด็กน้อยที่ส่งมานั้นทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

    เพราะถึงแม้ว่าน้ำเสียงนั้นจะร่าเริง แต่ผมกลับจับได้ว่ามันแตกต่างออกไปจากทุกที

    ...เหมือนว่าเขากำลังฝืนทำตัวให้ร่าเริงอยู่...

     
     

     

    “ก็ยุ่งนิดหน่อย...มีอะไรหรือเปล่า? บอกฉันมาสิ”  ผมถามเขาอีกครั้ง

     

     
     

    “..............................” 

     

     
     

    แต่คยองซูกลับเงียบไปเมื่อผมถามเขา จนผมอดแปลกใจไม่ได้ที่เขาทำอย่างนั้น

    ผมตวัดสายตาไปมองที่ประธานยูที่ยกแก้วขึ้นดื่มอย่างช้าๆเพื่อรอผมอยู่

    ผมยอมรับว่านั่นทำให้ผมรู้สึกร้อนรน...

    แต่ผมก็ยังไม่อยากจะวางสาย...

     
     

     

    “คยองซูอ่า...เป็นอะไรไป บอกพี่สิครับ

     

     
     

    ผมถามเขาเบาๆ เมื่อเห็นเขาเงียบไปนาน

    จนกระทั่งรู้สึกตัวว่าหัวใจตัวเองกำลังบีบรัดด้วยความเจ็บปวด...

    เมื่อได้ยินว่าคยองซูกำลังเสียงสั่น...เหมือนกับว่าเขากำลังฝืนไม่ให้ตัวเองร้องไห้

     

     
     

    “คยองซู...ร้องไห้ทำไม?”

     
     

     
     

    ค...คยองไม่รู้ แต่คยองไม่มีความสุขเลย คยองคิดถึงจงอิน...

     

     

     

    “.................................”

     
     

     

    คยองขอโทษนะครับ คยองรู้ตัวว่าไม่ควรเอาแต่ใจ

    แต่คยองเพิ่งรู้ตัวว่าคยองไม่ได้ต้องการของขวัญวันเกิดอะไรเลย

    น...นอกจากขอให้จงอินกลับมาอยู่ตรงนี้

     


     

    เสียงสั่นๆตอบกลับผมมาและนั่นทำให้ผมใจหาย...

    ทุกอาการร้อนรนนั้นหายไปหมด...เหลือแค่เพียงความรู้สึกชาที่ใบหน้า

    แค่คำพูดไม่กี่คำของเขาเหมือนกับทำให้ผมโดนตบหน้าไปฉาดใหญ่

    ผมกำโทรศัพท์ไว้แน่นแล้วครุ่นคิดสิ่งที่ลังเลใจมาตั้งแต่เมื่อตอนเย็น

     

     

    อันความจริงแล้ว...คนที่ดิ้นรนมันเป็นแค่ผมคนเดียวไม่ใช่หรือ

    เป็นผมคนเดียวที่ต้องการจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่ได้ถามคยองซูว่าเขาต้องการมันหรือเปล่า

    ผมเพิ่งจะรู้สึกตัว...ว่าทุกวันนี้ถึงแม้ว่าเราจะอยู่กันสองคนด้วยเงินเดือนของผม

    แต่มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรไม่ใช่หรือ? เรามีความสุขดีไม่ใช่หรือไง?

    แล้วทำไมผมต้องทำให้น้องเขาเสียใจทั้งๆที่เราก็มีความสุขกับทุกวันที่เป็นอยู่ล่ะ

     
     

    นี่มันบ้าที่สุดเลย...ผมไม่เคยรู้เลยว่าผมยัดเยียดอะไรให้คยองซูไปบ้าง

    ผมอยู่กับคยองซูมาร่วมเจ็ดปี...และผมรู้จักนิสัยของเขาดีที่สุด

    เพราะถึงแม้ว่าเขาจะดื้อหรือเอาแต่ใจ

    แต่เขาไม่เคยร้องไห้งอแงเพราะความต้องการของตัวเองมาก่อนเลยซักครั้ง

    และในตอนนี้เขาคงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ...เขาถึงได้ร้องไห้ออกมาแบบนั้น

     
     

     

    “ค...คยองซู รอฉันก่อนนะ ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”

     

     
     

    ม..ไม่เอานะ จงอินทำงานให้เสร็จเถอะ  อ..อ๋า! ม...เมื่อกี้คยองแค่พูดเล่นนะ

    ค..คยองแค่อยากรู้ว่าจงอินจะทำยังไงถ้าคยองพูดออกไป ลองใจจงอินเฉยๆหรอก

    ไม่ต้องกลับมานะถ้างานยังไม่เสร็จ...คยองอยู่ได้

     

     
     

    เสียงเล็กๆนั้นรีบตอบกลับมาอย่างร้อนรนเมื่อรู้สึกว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องเปลี่ยนใจ

    ผมฟังเหตุผลของเขาแล้วกัดริมฝีปาก ยิ่งรู้สึกผิดไปใหญ่เมื่อเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องเขาต้องฝืนทำตัวแบบนี้

    แต่นั่นมันไม่ได้เนียนเอาซะเลย...ผมบอกแล้วไงว่าผมรู้จักเขาดีที่สุด

     
     

     

    “ไม่...ฉันไม่สนงานบ้าอะไรแล้ว รอฉันที่บ้านนะ แล้วฉันจะรีบกลับไป”

     

     

    ผมตัดสินใจกดตัดสายหลังจากที่พูดจบ...แล้วหันไปหาประธานยูที่กำลังยืนรอผมอยู่ตรงนั้น

    แก้วไวน์ของเขาเต็มเปี่ยมและนั่นแสดงให้ผมเห็นว่าเขาเพิ่งหยิบแก้วที่สองขึ้นมาในขณะที่ยืนรอ

    ผมสูดลมหายใจลึกแล้วเดินตรงดิ่งไปหาเขา...

    คิดอะไรไม่ออกนอกจากรู้สึกถึงความรู้สึกผิดที่วนเวียนอยู่เต็มหัวใจแบบนี้

     
     

     

    “ท่านประธานครับ...ผมไม่ทราบจะอธิบายกับท่านยังไงแต่ผมคงต้องขอกลับก่อน” ผมบอกเขา

     
     

     

    “อ...เอ๋...แต่คุณคิม” ประธานยูเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ

     

     
     

    “ท่านครับ...ผมรู้ดีว่าโอกาสนี้อาจจะมีมาแค่ครั้งเดียวในชีวิต

    แต่ถ้าท่านเป็นผมในตอนนี้ ท่านจะรู้ว่าถ้าหากผมเลือกทางนี้ผมอาจจะต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต

    ผมรู้ดีว่าตำแหน่งนั้นมันดีที่สุดแล้วที่ผมจะคว้ามัน

    แต่ผมคงไม่มีความสุขแน่ถ้าตัดสินใจเดินไปข้างหน้าในตอนนี้แล้วทิ้งคนข้างหลังไว้

    ผม...ถ้าหากว่านี่เป็นโชคชะตา ผมก็ควรจะคิดว่ามันไม่ใช่ของผมมาตั้งแต่แรก”

     
     

     

    ผมพูดรัวเร็วจนแทบจะลืมหายใจ...กำหมัดแน่นเพราะรู้สึกเสียดายเหลือเกินกับสิ่งที่พูดออกไป

    ผมอาจจะโดนไล่ออกก็ได้ แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว

    ประธานยูอ้าปากค้างไปเล็กน้อย เขานิ่งจนผมไม่รู้ว่าผมควรต้องทำยังไงต่อไป

     

     
     

    “ผม...ขอบคุณท่านที่รับฟังโปรเจ็คของผมนะครับ

    ผมมีความยินดีถ้าท่านจะตัดสินใจอะไรกับผมต่อจากนี้

    แต่ตอนนี้ผมเกรงว่าต้องเสียมารยาท...ผมขอโทษจริงๆ

    ผม -- ผมลาล่ะครับ”

     
     

     

    ผมพูดรัวเร็วอีกครั้งก่อนจะโค้งศีรษะให้ท่านประธานเพื่อบอกลา

    ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินดุ่มๆออกจากโรงแรมไปโดยไม่หันหลังกลับไปมองอีก

    กัดริมฝีปากเมื่อรู้สึกเสียดายในสิ่งที่เพิ่งละออกมา

    แต่ในเมื่อผมตัดสินใจแล้วว่านี่คือสิ่งที่ผมและคยองซูต้องการ...ผมก็ไม่ควรจะลังเลอีก

     
     

    ผมเดินลงมาที่หน้าโรงแรมหรูในเครือของท่านประธานยูแล้วกวักเรียกแท็กซี่

    บอกปลายทางแก่คนขับ แล้วจากนั้นจึงปล่อยให้ตัวเองจมกับความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว

     

     

    ...ผมควรทำยังไงให้เพื่อจะแก้ตัวกับความผิดทั้งหมดของผมดี...

     

     


     

    ************

     



     

    ทันทีที่ถึงหน้าบ้าน...ผมก็ลงมายืนหยุดนิ่งอยู่นาน

    ในมือถือกล่องเค้กใบเล็กๆเอาไว้ในมือ เพราะหวังว่ามันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นได้

    แม้ว่าจะไม่ค่อยมั่นใจนักว่ามันจะช่วยอะไรได้

     

     
     

    ผมค่อยๆเดินก้าวเข้าไปในบ้าน...ก่อนจะพบว่าคยองซูกำลังนั่งอยู่ที่ขั้นบันไดตรงหน้าประตู

    ทั้งๆที่อากาศหนาวขนาดนี้...แต่น้องเขากลับเลือกที่จะมานั่งอยู่ตรงนี้เพื่ออะไรกัน

     

     

    “คยองซู...” ผมเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา ก่อนจะพบว่าคยองซูเปรยตาขึ้นมามองผมเงียบๆ

     
     

     

    ในตอนแรกดวงตาของเขาไม่ได้เจืออะไรนอกจากแววตาใสตามประสาเด็ก

    หากแต่ไม่นาน น้ำตาเม็ดเล็กๆก็ไหลลงมา

     
     

     

    ผมรีบก้าวเท้าเข้าไปหาเขา แล้วทรุดตัวนั่งลงข้างๆ

    คยองซูรีบก้มหน้าลงกับพื้นจนน้ำตาร่วงลงไปที่พื้นเบื้องล่าง

    โอ...นี่ทำให้ผมยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่เลย

     

     
     

    “ร้องไห้ทำไมหืม...ไอ้เด็กขี้แย”




    ผมถามเขาพลางยกมือเข้าไปลูบที่ศีรษะของเด็กน้อยอย่างเบามือ

    คยองซูยิ่งร้องไห้หนักขึ้นอีกเมื่อผมทำอย่างนั้น แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าควรจะทำอะไรดี

     

     

    “พ...พี่บ้า... กลับมาทำไม

    คยองบอกว่าคยองอยู่ได้ แล้วจะรีบกลับมาทำไมกัน?”

     

     

    คยองซูแกล้งเงยหน้าขึ้นมาแล้วขมวดคิ้ว

    เขาส่งกำปั้นเล็กๆนั้นทุบที่ไหล่ผมแล้วถามเสียงเข้ม

    ทำเอาผมต้องหัวเราะออกมาน้อยๆเพราะท่าทางของเขา

     

     

    “ฉันกลับมาหาเด็กขี้แยไง...กะไว้แล้วว่าถ้าฉันไม่อยู่เด็กขี้แยต้องร้องไห้แน่ๆ” ผมตอบ

     
     

     

    “ถ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วทำไมถึงทิ้งคยองไว้คนเดียวเล่า...คนงี่เง่า ฮือออออออออออออ”

     


     

    เด็กนั่นยกมือขึ้นทุบที่ไหล่ผมเบาๆอีกครั้ง...ก่อนจะโผเข้ามากอดแล้วร้องไห้เสียยกใหญ่

    ผมกลืนน้ำลายลงไปในคออย่างยากลำบากเมื่อน้องเขาซบหน้าลงที่ท่อนแขนแล้วร้องไห้

    รู้สึกไม่ดีแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงจริงๆ นอกจากยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้น้องเขาเบาๆ

     

     

    “อย่าร้องไห้ซี่...มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ

    แล้วนี่ทุกคนไปไหนกันหมด...ทำไมนายถึงอยู่คนเดียว?”

     

     

    ผมถามถึงเพื่อนรักทั้งสี่คนที่ควรจะอยู่ที่นี่แต่กลับไม่อยู่

    ก่อนที่คยองซูจะผละกอดออกมาปาดน้ำตาออกจากแก้ม แล้วตอบกลับผมเสียงแผ่วเบา...

     

     

    “ค...คยองบอกให้กลับไปแล้วครับ คยองไม่อยากร้องไห้ให้พี่ๆเห็น

    เลยบอกให้พี่ๆเขากลับบ้าน  พ...เพราะคยองบอกว่าคยองปวดหัวอยากจะนอนพัก

    พวกพี่ๆดีกันแล้วด้วย...คยองเลยไม่อยากให้ทุกคนมัวแต่มาเป็นห่วงคยอง  คยองก็เลยไล่ทุกคนให้กลับไปหมดเลย...

    ต...แต่ตอนที่คยองโทรหาจงอินคือคยองเหงามาก คยองคิดถึงจงอิน”

     
     

     

    “ฉันก็อยู่นี่แล้วไงเด็กโง่...กลับมาแล้วเห็นไหม

    ฉันซื้อเค้กมาด้วยนะ นายน่าจะหยุดร้องไห้แล้วเราจะได้ไปเป่าเทียนกัน”

     


     ผมลุกขึ้นแล้วจูงมือเด็กน้อยให้เข้ามาในบ้าน 

    อากาศที่หนาวจัดในต้นเดือนมกราคมทำให้จมูกของคยองซูเป็นสีแดงแจ๋และมือก็เย็นเฉียบ 

    ผมบีบมือนั้นไว้แน่นไม่ปล่อยเพื่อหมายจะทำให้มันอุ่นขึ้น

    ลากคยองซูให้เดินมานั่งที่โซฟา ก่อนจะเปิดกล่องเค้กแล้วปักเทียนลงไปทีละเล่มจนครบทั้งสิบหกเล่ม

    จุดไฟจนทั้งห้องสว่างไสว และทำให้ผมมองเห็นคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มน้องเขาได้อย่างชัดเจน

     

     
     

    “หยุดร้องไห้ได้แล้วน่าเด็กโง่...วันนี้วันเกิดนายนะ อธิษฐานสิแล้วเป่าเทียนซะ”

     

     
     

    ผมพูดออกมาพลางหัวเราะน้อยๆในขณะที่ปาดน้ำตาออกจากแก้มให้เขา

    เด็กน้อยมุ่ยหน้าไปอย่างงอนๆ ก่อนจะบึนปากออกมาเมื่อได้ยินที่ผมพูด

    ก่อนจะจับมือผมไว้แล้วพูดกับผมว่า

     

     
     

    “แต่มันก็เหมือนวันเกิดจงอินเหมือนกัน...เรามาอธิษฐานแล้วเป่าพร้อมกันนะจงอิน”

     

     
     

    “อื้ม...เอาสิ งั้นอธิษฐานกัน”

     
     

     

    ผมพูดก่อนจะหลับตา...ไม่ได้อธิษฐานอะไรหากแต่ขอให้ผมกับคยองซูมีความสุข

    ผมลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองหน้าเด็กตัวเล็กที่ยังคงหลับตาแล้วอธิษฐาน

    จนผ่านไปซักครู่หนึ่งเขาถึงเงยหน้าแล้วมองผม...ผมจึงส่งยิ้มให้เขา

     


     

    “งั้นเป่าพร้อมกันนะ หนึ่ง...สอง...สาม...”

     


     

    ผมนับแล้วหลังจากนั้นเราก็เป่ามันพร้อมกัน...

    คยองซูยกยิ้มกว้างเมื่อเทียนทั้งหมดดับลงในครั้งเดียวและผมเองก็เช่นกัน

    รู้สึกดีที่ตอนนี้น้องเขาไม่ได้ร้องไห้แล้ว และเขาก็ยังจับมือผมไว้ไม่ปล่อย

     
     

     

    “เมื่อกี้อธิษฐานอะไร ทำไมนานจัง?”



    ผมถามเขาอย่างอยากรู้อยากเห็นแต่ก็ไม่ได้อยากได้คำตอบซักเท่าไหร่

    เพียงแค่เอ่ยออกไปเป็นแนวว่าแหย่เขาเล่นเสียมากกว่า

    คยองซูส่ายหน้าแล้วหันมามองหน้าผม

     

     

    “อื้อ...ไม่ได้นะบอกไม่ได้!

    เค้าบอกว่าถ้าบอกคำอธิษฐานนั้นกับใคร คำอธิษฐานนั้นจะไม่เป็นจริง” คยองซูพูดพลางหันมามองผมตาใส

     

     

    “เค้าที่ว่านั่นใคร?” ผมแหย่

     
     

     

    “ก็เค้าไง...เค้าบอกกันมา”

     
     

     

    เด็กน้อยไม่พูดเปล่าหากแต่ปาดครีมที่แต่งหน้าเค้กมาป้ายหน้าผม

    ผมไม่ได้ป้ายน้องเขาตอบ เพราะดูคยองซูจะสนุกที่ได้แกล้งผมแบบนั้น

    ผมจึงได้แต่ยิ้มที่น้องเขาป้ายครีมลงไปที่แก้ม หากแต่กลับเอานิ้วนั้นตวัดกลับไปเข้าปากไปเสียเอง

     

     

    ถ้าเป็นคนอื่นผมคงเรียกว่ายั่ว...แต่คยองซูคงทำไปโดยที่ไม่รู้ตัวล่ะมั้ง

     

     

    ผมคิดในใจก่อนจะปล่อยให้น้องเขาเอานิ้วปาดครีมออกจากหน้าจนหมด...

    ก่อนที่เด็กน้อยจะถามผมกลับมาบ้าง

     

     

    “แล้วเมื่อกี้จงอินอธิษฐานอะไร?” เขาถามผมเสียงใสก่อนจะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองไว้แน่นดูน่ารัก

     

     

    ผมหลิ่วตาแล้วยักไหล่ ก่อนจะถามน้องเขากลับไปบ้าง

     
     

     

    “ก็ไหนว่าถ้าบอกแล้วคำอธิษฐานจะไม่เป็นจริงไงล่ะ?”

     
     

     

    “ใครบอก?” คยองซูถามเสียงใส

     
     

     

    “เค้าบอกมาไง” ผมตอบเขาอย่างร่าเริง

     

     
     

    “แล้วเค้าคนนั้นเป็นใครอ่ะ?” คยองซูถามผมอีกครั้ง

     

     
     

    “เค้าคนนั้นเป็นเด็กดื้อแถมยังขี้แยที่ชื่อว่าน้องคยองไง ฮ่าๆๆๆๆๆ”

     
     

     

    ผมหัวเราะออกมาเมื่อยกนิ้วขึ้นบีบจมูกน้องเขา

    เมื่ออีกข้างของเรายังคงจับกันไว้แน่น...และผมรู้สึกดีใจที่ตอนนี้มันอุ่นขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว

     
     

    คยองซูเบ้ปากหากแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วเอนตัวมาพิงผมเอาไว้

    ผมแปลกใจนิดหน่อยที่จู่ๆเขาก็เงียบไป แต่ผมเองไม่ได้คิดอะไรเพราะว่ามีคำถามจะถามน้องเขาอยู่แล้ว

     

     
     

    “นี่...วันเกิดปีนี้อยากได้อะไรล่ะ บอกฉันเลยนะถ้าอยากได้อะไร...เดี๋ยวฉันจะซื้อมาให้

    นายก็รู้ใช่ไหมว่าก่อนหน้านี้ฉันไม่มีเวลาไปซื้อของขวัญให้นายเลย”

     
     

    ผมพูดกับเขาแผ่วเบาอย่างรู้สึกผิด...หากแต่น้องเขากลับส่ายหัวอย่างแรงจนตัวโอนเอนไปตามแรงที่สะบัด

    ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมอีกครั้งแล้วกระซิบตอบ

     

     
     

    “คยองไม่อยากได้อะไรหรอกครับ...คยองบอกแล้วไงว่าแค่จงอินอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว

    คยองไม่คิดว่าจงอินจะกลับมา แต่สุดท้ายจงอินก็อยู่ตรงนี้แล้ว

    นี่เป็นของขวัญของคยองแล้ว คยองก็เลยไม่ต้องการอะไรอีก”

     

     

    เด็กน้อยตอยผมพร้อมทั้งยกยิ้มออกมา...ผมยกยิ้มออกมาบางๆเมื่อมองหน้าเขา

    ก่อนที่จะแกล้งถามต่อเพื่ออยากจะแหย่

     

     
     

    “แล้วไหนของขวัญของฉันล่ะ...ไหนบอกว่าวันนี้ก็เหมือนวันเกิดฉันไง

    ทำไมนายไม่เห็นมีของขวัญอะไรให้ฉันเลยหืม?”

     

     
     

    ผมแซวเขาเล่นๆ เพราะทุกปีคยองซูมักจะมีของขวัญเล็กๆน้อยๆที่เขาทำเองมอบให้ผมเสมอ

    ไม่ว่าจะเป็นการ์ดที่เขาวาดเอง หรือแม้แต่คุกกี้ที่แอบไปอบที่บ้านจื่อเทาให้ผมได้โมโหเมื่อปีก่อน

    ความจริงผมเองก็ไม่ได้หวังอะไร หากแต่ก็อยากจะถามเขาว่าลืมมันไปหรือเปล่า

     
     

    คยองซูทำหน้าครุ่นคิดไปนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา

    เขาขยับตัวให้หันมาประจันหน้ากับผมก่อนจะกระพริบตาปริบๆ

    แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงตามแบบฉบับของเขา

     

     

     

    “มีสิครับ...แต่จงอินต้องหลับตาก่อน” คยองซูพูดขึ้น

     

     
     

    “หืม...มันเป็นอะไรล่ะ ทำไมต้องหลับตาด้วย” ผมถามอย่างประหลาดใจ

     
     

     

    “เอาเถอะน่า...หลับตาก่อนสิครับ” คยองซูพูดก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นมาปิดตาของผม

     

     

     

    “อืม...หลับตาแล้ว”

     
     

     

    ผมบอกเขาพลางยกยิ้มบางๆอย่างมีความหวัง คิดว่ามันอาจจะเป็นอะไรที่คยองซูเตรียมเอาไว้อย่างที่พูด

    หากแต่คยองซูกลับพูดออกมาอีกครั้ง

     
     

     

    “แต่เรามาตกลงกันก่อนนะจงอิน...จงอินห้ามลืมตาจนกว่าคยองจะบอกให้ลืมนะ” คยองซูยื่นข้อเสนอ

     
     

     

    “อืม...โอเค” ผมตอบกลับทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่

     
     

     

    “แล้วก็...ความจริงมันเป็นของขวัญที่คยองจะให้จงอิน

    แต่ถ้าจงอินไม่ชอบ คยองจะขอให้มันเป็นของขวัญของคยองแทนนะ” เขาพูดขึ้นอีกครั้ง

     

     
     

    “เอ้า...ทำไมฉันต้องไม่ชอบด้วยล่ะ ก็นายให้ฉัน...ฉันก็ต้องชอบซี่” ผมตอบเขาอีกครั้ง

     

     
     

    “งั้น...คยองจะให้แล้วน้า” คยองซูพูดอย่างร่าเริง...และนั่นทำให้ผมหงุดหงิดนิดหน่อยที่เขาเอาแต่ลีลาอย่างนั้น

     

     
     

    “อืม...รออยู่ ฉันหลับตานานไปแล้วนะ”

     
     

     

    ผมพูดขึ้นอย่างขัดใจก่อนที่จะได้ยินเสียงหัวเราะของน้องเขาดังขึ้นอย่างชอบใจที่ผมพูดออกมาอย่างนั้น

    ผมยังคงหลับตาแล้วรอให้น้องเขาบอกให้ลืมตาขึ้นมา

     


    .


    .





     

    จนกระทั่ง...ผมรู้สึกถึงสัมผัสเบาๆที่ริมฝีปาก

    มันแผ่วเบาและกำลังสั่นระริกหากแต่ว่าก็ประทับลงมาอย่างหนักแน่น...

    ผมลืมตาโพลงแล้วก็พบว่าน้องเขากำลังมอบจูบให้ผม...

     

     
     

    พระเจ้า...นี่มันอะไรกัน

     

     

     

    ผมนิ่งไปนานเพราะน้องเขายังไม่ถอนจูบออกไป หัวใจกำลังเต้นแรงอย่างไม่แน่ใจนักว่าตื่นตระหนกหรือว่าเพราะอะไร

    มือเล็กของคยองซูที่ผมกุมไว้สั่นระริก หากแต่เขากลับบีบมันเบาๆทีหนึ่งเมื่อค่อยๆถอนจูบออกไป

    ผมได้แต่นิ่งอึ้งแล้วมองหน้าน้องเขาอย่างไม่เข้าใจ



    เมื่อกี้...คยองซูจูบผม...

     
     

     

    “จ....จงอินลืมตาทำไม...

    คยองยังไม่ได้บอกให้ลืมซักหน่อย” คยองซูพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประหม่า

     
     

     

    ใบหน้าของเขาแดงไปหมดและท่าทางก็ดูเงอะๆงะๆไม่มั่นใจนักว่าควรทำหน้าแบบไหน

     

     
     

    “นาย...ทำอะไรน่ะ ทำแบบนี้ทำไม?” ผมถามเขาอย่างไม่เข้าใจ...หากแต่น้องเขากลับช้อนตาขึ้นมองผมอย่างช้าๆ

     
     

     

    “คยองให้ของขวัญจงอินไง...ให้จูบแรกของคยอง

    แต่ถ้าจงอินไม่ชอบ คยองก็บอกแล้วนะว่าจะถือว่ามันเป็นของขวัญของคยอง”

     

     
     

    เด็กน้อยพูดพลางมองมาที่ผมตาแป๋ว...แต่ดวงตาใสนั้นไม่ได้ทำให้ผมมองเห็นแต่ความไร้เดียงสาของเขาอีกแล้ว

    กำลังมีอะไรบางอย่างที่วูบไหวอยู่ในสายตานั้น...

     

     
     

    “แล้วทำไมต้องจูบ...”

     
     

     

    ผมถามเขาพร้อมทั้งขมวดคิ้ว...ผมไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน

    ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าควรจะพูดอะไร และควรจะทำอย่างไรต่อไปในสถานการณ์แบบนี้

    หัวสมองผมกำลังขาวโพลนไปหมดเลย...

     
     

     
     

    “เพราะ -- มันเป็นของขวัญที่จะบอกให้จงอินได้รู้ซักที...

     

    .

    .

    .

     

    ว่าตอนนี้คยองไม่ใช่เด็กน้อยของจงอินอีกต่อไปแล้วนะ” 




















    ✚ TALK



    น้องคยองเป็นสาวแล้ว ชุดที่ 2
    คือขอโทษนะ....แต่ตอนนี้มันไม่ได้ดราม่าใช่ไหม 55555555555555

    เอาเป็นว่าตอนนี้อิน้องคยองมันเป็นสาวเต็มตัวแล้วนะคะ
    แก่แดดมากด้วยค่ะขอบอกกกกกกกก
    ไรเตอร์มาต่อให้จนจบแล้วนะ และคือมันยาวมากกกก
    ตอนนี้มันโคตรอภิมหากาพย์แห่งความยาววววววว
    มันกลายเป็นว่าอิที่ลงไปห้าสิบแรกมันไม่ใช่ห้าสิบแต่เป็นสามสิบต่างหาก OTZ

    คือเอาจริงๆไม่มีอะไรจะพูดค่ะ แค่อยากจะขอบคุณทุกคนที่รักฟิคเรื่องนี้
    แต่คือมันยังไม่จบง่ายๆนะ บอกแล้วว่าถ้าทุกคนอยากได้ฟิคยาวไรเตอร์ก็ยินดีจะจัดให้ เตรียมใจไว้เถอะ ถถถถถถถ

    ไม่รู้จะพูดไรแล้วอ่ะ แต่อยากจะขอบคุณทุกคนจริงๆที่เข้ามาอ่านแล้วให้กำลังใจไรเตอร์
    ถึงแม้ว่าบางคอมเม้นท์จะสั้นแต่ไรเตอร์ก็ซึ้งใจนะคะนะ พูดไม่ออก...บอกไม่ถูก
    อยากให้ทุกคนที่ได้อ่านฟิคเรื่องนี้ช่วยๆกันบอกต่อให้กับคนอื่นๆด้วย แบ่งปันความฟินให้ถ้วนหน้ากัน
    ไรเตอร์ไม่ได้อะไรแค่อยากให้ทุกคนได้เข้ามาอ่าน
    เห็นคนรักตัวละครในฟิคเราแล้วมันรู้สึกดีนะ เหมือนว่าทุกคนก็รักเราไปด้วย #มโน


    ยังไงก็ช่วยติดตามกันต่อไปนะคะ รักรีดเดอร์ทุกคนมากค่ะ 





    - ไรเตอร์นมน. -





    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×