ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [C0MPLETE] ✚ :: BE MY BABY :: ✚ [KAI x D.O.]*

    ลำดับตอนที่ #11 : ✚ BE MY BABY :: ELEVEN

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 14.54K
      39
      18 ต.ค. 55

     

    Author : MR.$N0WMAN*

    Pairing : Kim Jongin & Do Kyungsoo

    Story : Jackboiz

    Rate : PG - 15

     

     

    Be my Baby*

     


     






    เพราะคนเราไม่ได้เกิดมาได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ

    การที่เราจะครอบครองอะไรซักอย่างที่ไม่ใช่ของเรา...

    เราอาจจะต้องแลกทั้งชีวิตและหยดน้ำตาเป็นพันลิตรเพื่อได้มันมา

    แต่หากผลลัพธ์จากการที่เราต้องเสียน้ำตามันคุ้มค่า

    ...เราก็น่าจะลองแลกหมื่นหยดน้ำตาเพื่อสิ่งนั้นไม่ใช่หรือ...

     
     



    ‘0.11’



     


     

    ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าของวันอังคารที่อากาศมืดหม่นไม่ค่อยจะสดใสนักเพราะมีฝนตกลงมากระทบหลังคาดังเป็นจังหวะ

    หันไปมองข้างๆแล้วก็พบว่าคนหน้าคมนั้นกำลังนอนหลับสบายและหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข

    ยกยิ้มออกมาบางๆเมื่อได้หันไปมองใบหน้าไร้ความทุกข์ร้อนนั้นแล้วยกยิ้มออกมาบางๆ

    ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นแล้วบิดขี้เกียจให้คลายเมื่อย

    แล้วจึงเดินลงจากเตียงไปหยิบผ้าขนหนูที่พาดอยู่ตรงราวแขวนขึ้นมาพาดบ่าแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังห้องน้ำทันที...

     

     

    ไม่นานเท่าไหร่นักคยองซูก็อาบน้ำและสวมชุดเครื่องแบบนักเรียนม.ปลายจนเสร็จสรรพ

    หันไปมองนาฬิกาก็พบว่ามันเป็นเวลาที่ดีและเหมาะกับการทำอาหารเช้าโดยที่ไม่ต้องเร่งรีบ

    แต่ก่อนที่จะลงไปทำอาหารเช้า...สิ่งที่ผมควรจะทำก็คือการปลุกคนขี้เซาให้ตื่นขึ้นซะก่อน

    เพราะการจะปลุกจงอินให้ลุกขึ้นมาน่ะ ยากยิ่งกว่าอะไรเสียอีก

     

     

    “จงอิน...จงอิน...ตื่นได้แล้ว”

     

     

    ผมเดินไปที่ข้างเตียงแล้วเขย่าที่แขนของเขาเบาๆสองสามทีเพื่อปลุกให้ตื่น

    ก่อนจะค่อยๆเพิ่มแรงที่เขย่าขึ้นไปอีกเมื่อพี่เขายังนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเลยซักนิด

    ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะกรอกตา...ก่อนจะเริ่มต้นเขย่าพี่เขาอีกครั้งพร้อมกับเพิ่มความดังของเสียงที่ตะโกนปลุก

     

     

    “จงอิน! ตื่นนนนนนนนนนนน!

     

     

    ผมเขย่าพี่เขาอย่างแรงและนั่นก็ทำได้เพียงแค่เรียกเสียงครางฮือในลำคอจากพี่เขาเท่านั้น

    ผมเป่าปากอย่างเอือมระอา ดูเอาเถอะ...ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีจงอินก็ยังเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย

    นี่ขนาดว่าผมปลุกเขาแบบนี้ทุกวันมาตั้งแต่เก้าขวบจนตอนนี้สิบแปดแล้วแต่จงอินก็ยังเป็นเหมือนเดิม

    ยังไงก็ยังปลุกยากไม่เคยเปลี่ยน...

     
     

    แต่โชคยังดีหน่อยที่ตอนเก้าขวบกับตอนนี้มันต่างกันก็คือ

    ตอนนั้นถ้าผมปลุกเขามักจะเหวี่ยงใส่...แต่ตอนนี้เขาดูเหมือนจะชินแล้วที่ผมเป็นคนปลุกเขา

    และผมออกจะมั่นใจว่าไม่มีใครจะปลุกเขาได้เหมือนผมแล้วล่ะครับ

    เพราะขนาดพี่จงแดมาปลุกยังโดนถีบตกเตียงไปเลย  มันเลยเห็นได้ชัดว่ามีแค่ผมเท่านั้นแหละที่ปลุกพี่เขาได้...

     
     

    ผมยกยิ้มออกมาบางๆก่อนจะปลุกพี่เขาด้วยวิธีที่ทำเหมือนทุกที

    จงอินน่ะใช้วิธีปลุกทั่วไปไม่ได้ผลหรอก...ต้องทำให้รำคาญ ไม่นานเขาตื่นแน่นอน

     

     

    ผมก้มลงไปที่ข้างหูพี่เขาก่อนจะเป่ามันเข้าไปยาว ก่อนจะตัดสินใจกระซิบที่ข้างหูของเขา

     

     

    “จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...จงอิน...

    ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...ตื่น...

    นี่!....คยองรู้นะว่าจงอินตื่นแล้ว... และถ้าจงอินไม่ลืมตาเดี๋ยวนี้ คยองจะจุ๊บจงอินสิบทีเลยคอยดู”

     

     

    “พอเลย...หยุดคิดอะไรที่นายจะทำไปเลย... ฉันตื่นแล้ว”

     

     

    จงอินพูดออกมาในขณะที่ยังไม่ลืมตา ผมยกยิ้มออกมาบางๆเมื่อได้ยินอย่างนั้น

    แต่ก็ยังจงใจแหย่พี่เขาไม่หยุด จนกว่าจะลืมตาขึ้นมาน่ะแหละถึงจะถือว่าสำเร็จ

    แต่...ผมว่าผมน่าจะแกล้งจงอินซักหน่อยนะ เขาจะได้ตื่นขึ้นมาซักที

     
     

     

    “งั้นก็ลืมตาก่อนสิ ถ้านับหนึ่งถึงสามแล้วจงอินไม่ลืมตาคยองจุ๊บนะ

    หนึ่ง....สอง....จุ๊บๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

     
     

    ผมนับถึงแค่สองแล้วก้มลงไปแนบปากกับแก้มพี่เขา แล้วกดซ้ำๆย้ำๆลงไปอย่างที่พูด

    ก่อนที่จงอินจะตวัดตัวพลิกไปที่เตียงอีกฝั่งเพื่อหนีผม

    แล้วลุกขึ้นมาชี้หน้าแล้วตวาดใส่อย่างที่ผมไม่ค่อยจะเห็นว่าจริงจังเท่าไหร่นักหรอก

     
     

    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

    โดคยองซู! นี่นายยังนับไม่ถึงสามเลยนะ!

    แล้วสิบทีบ้าอะไรทำไมมันเยอะขนาดนั้น!

    พอเลย! ฉันตื่นแล้ว จะไปอาบน้ำแล้ว!!!” จงอินตวาดใส่ผม แต่ผมกลับยกยิ้มขึ้นมาพลางยักไหล่

     

     
     

    “อืม...นี่สิถึงจะเรียกว่าตื่นจริง  ก็ถ้าจงอินตื่นง่ายๆคยองก็คงไม่ต้องทำอย่างนี้หรอกน่า

    รีบไปอาบน้ำได้แล้วครับ...เดี๋ยวคยองจะลงไปทำข้าวเช้าให้

    วันนี้จงอินอยากกินอะไร ระหว่าง...” ผมเว้นวรรคแล้วหยุดครุ่นคิดไปซักครู่หนึ่ง ขนมปังกับข้าวต้ม” ก่อนจะพูดออกมาเมื่อคิดออกแล้ว

     

     

    “เอาๆ...เอาไรดีหว่า...เอาข้าวต้มไก่ ใส่ไข่สองฟอง ใส่พริกไทยเยอะๆแล้วก็ผักชีเยอะๆ”

     

     

    จงอินยักไหล่ก่อนจะตอบผมมา ตาของเขายังคงปรือและเห็นได้ชัดว่ายังไม่ตื่นดีนัก

    หากแต่เขาก็ยังหาวหวอดแล้วเดินไปหยิบเอาผ้าขนหนูขึ้นพาดบ่า

    ผมยิ้มออกมาพลางพยักหน้ารับคำสั่งของเขา ก่อนจะตอบรับไปเบาๆ

     

     

    “อ่าฮะ...จัดไปตามนั้น  

    เอ้อ...คยองแขวนชุดให้จงอินที่หน้าตู้แล้วน้า

    งั้นคยองลงไปทำข้าวเช้าล่ะ”

     

     

    “อืม...เดี๋ยวฉันอาบน้ำเสร็จแล้วจะรีบลงไปแล้วกัน”

     

     

    จงอินตอบรับคยองซูก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปแล้วเริ่มทำธุระส่วนตัวของตัวเอง

    คุณอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราทั้งสองคนตั้งแต่วันนั้น

    เวลาผ่านมานานหลายปีอย่างรวดเร็ว และในตอนนี้คยองซูก็อายุสิบแปดแล้ว

    สถานะของเรายังเหมือนเดิมนั่นคือผมเป็นผู้อุปการะ และเขาก็เป็นน้องชายแต่ในนามของผม

     

    หลังจากคืนนั้น สิ่งที่ผมเฝ้าพยายามจะทำมาตลอดก็คือทำเป็นหูทวนลมเมื่อเขาพูดถึงเรื่องวันเกิดอายุสิบห้าของเขา

    ผมพยายามทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยซักนิด

    แต่ถึงแม้ว่าผมจะพยายามทำอย่างนั้น แต่คยองซูกลับไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไหร่

    ถึงเวลาจะผ่านมาหลายปีจนเขาโตแบบนี้ แต่ความเอาแต่ใจและดื้อเงียบนั้นกลับยิ่งทวีคูณ

    เขาเป็นไอ้ตัวแสบ...เรื่องนี้ผมรู้ดีอยู่แล้ว แต่ที่มันไม่ธรรมดาก็คือเขามักจะคอยแสดงความเป็นเจ้าของกับผมตลอดเวลา

    และผมเองก็ไม่แน่ใจนักว่าอึดอัดกับมันหรือเปล่า...

     

    ว่ากันตามจริงผมเองก็ไม่ได้รู้สึกเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมายนักอะไรหรอก...

    เพราะสำหรับผมเองมันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว

    แต่ที่มันน่าเหนื่อยใจก็คือเขามักจะทำให้ผมต้องหนักใจทุกที

    เวลาที่เขามักจะพูดเรื่องจูบหรือกอดหรืออะไรต่อมิอะไรกับผมจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา

    อย่างเช่นเมื่อเช้านี้...

     

     

    ผมพรูลมหายใจยาวออกมาจากปากเมื่อหยิบเอาเนกไทด์ที่คยองซูจัดเต็มไว้ให้ขึ้นมาคล้องคอแล้วผูกมัน

    กลิ่นหอมๆของอาหารเช้าที่คยองซูกำลังทำนั้นโชยขึ้นมาในห้องและนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกว่าท้องกิ่ว

    หิวขึ้นมาทันทีเมื่อคิดถึงอาหารฝีมือเขา...ถึงแม้ว่าจะกินทุกวันก็เถอะ แต่ผมก็ไม่ได้เบื่อมันเลยซักนิด

    คยองซูทำกับข้าวอร่อยและเหมือนว่าเจ้าตัวเองจะรู้ตัวด้วย

    เพราะตอนนี้เขาไม่ให้ผมแตะต้องอะไรในห้องครัว(ของเขา)อีกแล้ว

    และยังยืนกรานที่จะเป็นคนจัดการทุกอย่างโดยที่ผมไม่ต้องเข้าไปยุ่ง

    ความจริงผมก็โอเคกับมันอ่ะนะ...แม้ว่าบางครั้งจะอยากทำอะไรด้วยตัวเองบ้างก็เถอะ

     

     

    “อา...หิวชะมัด ข้าวเสร็จหรือยังอ่ะคยองซู?”

     

     

    ผมเดินไปทรุดตัวนั่งที่โต๊ะทานอาหารตัวเล็กในห้องครัวของเราแล้วเริ่มบ่น

    มองเห็นคยองซูหันมาส่งยิ้มให้ก่อนจะตอบผมเสียงใส

     

     

    “อื้ม ใกล้แล้วครับจงอิน...รอแป๊ปนึงน้า

    คยองใส่ไก่ให้จงอินเต็มหม้อเลย คยองรู้ว่าจงอินชอบ”

     

     

    คยองซูพูดพลางหัวเราะในลำคออย่างร่าเริง

    แล้วจากนั้นจึงหันกลับไปหั่นผักชีแล้วโรยลงไปในหม้อก่อนจะปิดเตา

    ผมยกยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเขาพูด อา...อย่างนี้สิค่อยรู้ใจหน่อย

     

     

    “โอ้เยี่ยม...น่ารักมาก” ผมกระซิบผมทั้งยกยิ้ม

     

     
     

    “อ่าฮะ...น่ารักแล้วรักมั้ยล่ะ?





    เขาหันมาถามผมพร้อมทั้งยกยิ้มอย่างน่ารัก 
    หากแต่ผมกรอกตาอย่างให้เขาเอือมระอาไปแทนคำตอบ

     
     

     

    “หยุดพูดแล้วตักมาให้ฉันด่วนๆเลย...หิวจะตายแล้ว

    และฉันว่าเราน่าจะรีบกินนะ เดี๋ยวจะสายซะก่อน”

     

     

    ผมตอบเขาไปพร้อมทั้งเสตามองไปทางอื่นเหมือนที่ทำมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา...

    มันก็เป็นมุขที่ดูน่ารักดีอ่ะนะแต่ผมว่ามันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ถ้าจะต่อมุขกับเขาตอนนี้

     

     

    “โห่...จงอินไม่รับมุขคยองเลยอ่ะ

    อ่ะ เสร็จแล้วครับ...นี่ถ้วยของจงอิน”

     

     

    เด็กน้อยเบะปากใส่ผมในขณะที่ตักข้าวต้มที่ส่งกลิ่นหอมฉุยลงไปในถ้วยสองใบที่วางอยู่

    ก่อนที่ไม่นานเท่าไหร่เขาก็เดินเอามาวางไว้ตรงหน้าผมแล้วเดินไปนั่งที่ผั่งตรงข้ามซึ่งเป็นที่ประจำของเขา

    ผมยกยิ้มออกมาอย่างขอบใจเขาแล้วเริ่มต้นหยิบช้อนขึ้นมาตักมันเข้าปาก

    อืม...อร่อยเหมือนเดิม...

     

     

    “แล้วไหงถ้วยนายมันไร้สีสันขนาดนั้นอ่ะ...นี่นายกินเจรึไงฮึ?”

     

     

    ผมยกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเห็นในถ้วยข้าวต้มของเด็กตัวเล็ก ซึ่งมีแต่ผักชีและข้าวเท่านั้น

    ถือวิสาสะเอาช้อนตัวเองลงไปเขี่ยดูก็พบว่ามันมีไก่เพียงแค่สองชิ้น

    ในขณะที่ถ้วยของผมมีเยอะจนไม่ต้องใช้ช้อนเขี่ยก็เจอมันลอยอยู่เต็มไปหมด

     
     

    “เปล่าซักหน่อย...แต่คยองกินแค่นี้ก็พอแล้ว

    ก็จงอินชอบกินไก่นี่ คยองเลยยกให้จงอินหมดเลย”

     
     

    คยองซูตอบกลับผมก่อนจะตักข้าวต้มเข้าไปในปาก

    ผมถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะตัดสินใจเลื่อนถ้วยข้าวต้มของตัวเองไปใกล้ถ้วยของเขา

    แล้วตักแบ่งเอาเนื้อไก่ที่อยู่ในนั้นลงไปในชามของเขาเพิ่มอีก

     

     

    “อย่ามาทำตัวน่ารักไปหน่อยเลยน่า

    เป็นเด็กกำลังเรียนต้องกินโปรตีนเยอะๆสิ

    เอามาให้ฉันกินหมดแล้วนายจะเอาที่ไหนไปบำรุงสมอง”

     
     

    ผมพูดกับเขาเบาๆในขณะที่คยองซูยกยิ้มออกมาแล้วจ้องหน้าผมเขม็ง

     
     

    “โธ่จงอิน...คยองไม่ต้องบำรุงคยองก็เรียนเก่งอยู่แล้วน่า

    จงอินก็รู้นี่นา...คยองทำได้ดีออกนะเรื่องเรียน

    เพราะงั้นจงอินน่ะกินไปเยอะๆน่ะดีแล้ว แค่นี้คยองก็พอแล้วครับ”

     
     

    เด็กน้อยยักไหล่ก่อนจะตอบกลับผมมาเสียงใส ยกมือขึ้นจับมือผมให้หยุดตักแบ่ง

    แล้วเลื่อนชามข้าวต้มกลับมาอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้ง

    ทำเอาผมต้องหัวเราะออกมาในลำคอเพราะรู้สึกหมั่นไส้ไอ้เด็กตัวเล็กตรงหน้านี้ขึ้นมาตงิดๆ

     

     
     

    “นี่นายกำลังบอกว่าฉันต้องบำรุงสมองงั้นสินะ

    เออใช่เซ่...ฉันมันไม่ฉลาดเหมือนนายนี่” ผมบอกเขา

     
     

     

    “เฮ้! คยองไม่ได้พูดซักหน่อย...จงอินนั่นแหละคิดไปเอง

    คยองแค่เห็นว่าจงอินชอบกินก็เลยใส่ให้เยอะๆ

    กินไปเยอะๆสิครับ...คยองอุตส่าห์ตั้งใจทำให้กินนะ ถ้าจงอินเขี่ยมันอีกคยองจะงอนแล้วนะ!

     

     

    คยองซูพูดพลางเบะปากออกมาอย่างน่ารักเมื่อผมเอาแต่เขี่ยเนื้อไก่ในถ้วยมาไว้ในถ้วยของเขาเสียเยอะแยะ

    ผมรีบยกมือขึ้นไปเกาที่คางของน้องเขาเล่น เมื่อน้องเขาเบะปากออกมาจนริมฝีปากนั้นยื่นออกมาเสียยกใหญ่

     
     

     

    “โอ๋ๆๆๆๆๆ กินก็กินไม่ต้องทำปากยื่นขนาดนี้ก็ได้น่า

    อ่ะๆๆๆฉันกินแล้วเห็นไหม อย่างอนสิ”

     
     

     

    “อือฮึ...งั้นคยองไม่งอนแล้วก็ได้”

     
     

     

    เด็กน้อยโคลงศีรษะไปมาก่อนจะกลับมาตักข้าวต้มเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆอีกหน

    ผมหัวเราะออกมาเพราะว่าคยองซูก็ยังเป็นคยองซูคนเดิมไม่เปลี่ยนไปจากคยองซูตัวน้อยเลยซักนิด

    เพราะนอกจากจะยังคงมาตรฐานความเตี้ยเหมือนเดิม

    และเขาก็ยังหายงอนง่ายๆเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปด้วย

     

     
     

    “อ่าฮะ...งั้นฉันว่าเรารีบกินกันเหอะ ไม่งั้นนายต้องสายแน่”

     
     

     

    ผมไม่พูดเปล่าแต่ยังเอาช้อนตักข้าวในชามของเขาแล้วป้อนให้คยองซู

    ไม่ได้ตะขิดตะขวงใจอะไรเพราะว่าทำมันเป็นปกติตั้งแต่เขายังเด็กแล้วด้วย

    แต่กลับเป็นแค่คยองซูนั่นแหละที่หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดจากอกเพราะว่าจงอินทำอย่างนั้น

     

     

    “อืม...ไม่ต้องป้อนคยองหรอกน่า คยองโตแล้วนะ”

     

     

    คยองซูปฏิเสธทั้งๆที่เมื่อครู่ก็ยังยื่นหน้าเข้ามากินข้าวต้มที่จงอินเป็นคนตักให้

    ก่อนจะเคี้ยวข้าวคำใหญ่จนแก้มป่องดูน่ารัก จงอินไม่ได้พูดอะไรต่อหากแต่มองน้องเขากินอย่างเอร็ดอร่อย

    แต่ก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาแล้วแกล้งแหย่น้องเขาให้โกรธไปทีหนึ่ง

     
     

    “โตแล้วจริงดิ ฉันยังรู้สึกว่านายยังเหมือนเดิมเป๊ะเลย

    ตอนเด็กเตี้ยยังไง ตอนโตก็เตี้ยอย่างนั้น ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

     

     

    “ย๊า!! คิมจงอิน!!!

    คำว่าเตี้ยเป็นคำหยาบ!! คยองจะตี!!!!

     

     

    “โห...พอเหอะ ตีฉันมาตั้งแต่สิบเก้า จนตอนนี้ยี่สิบแปดล่ะ

    เลิกทำตัวง๊องแง๊งแล้วกินๆไปเถอะน่า...แล้วจะได้ไปกันซักที”

     

     

    จงอินพูดพลางหัวเราะเมื่อได้แหย่น้องเขาให้โมโหเล่นได้สำเร็จ

    แต่ก็กลับพยักเพยิดไปที่นาฬิกาบนผนังเมื่อน้องเขาเบะปากออกมาทำท่าว่าจะงอนอีกรอบแล้ว

     

     

    “ก็จงอินน่ะกวนโมโหคยองก่อน”

     

     

    “เอาเหอะน่า...ใครเริ่มก่อนไม่สำคัญแล้ว

    ตอนนี้รีบๆโซ้ยเหอะ จะเจ็ดโมงครึ่งแล้วนะ”

     
     

    จงอินเอ่ยเตือนน้องเขาอีกครั้งเพื่อบอกว่าเราควรจำรีบเร่งและทำเวลาในตอนนี้...ไม่งั้นพวกเขาทั้งคู่คงต้องสายแน่ๆ

    คยองซูได้แต่พยักหน้ารับเพราะไม่อาจจะหาข้อโต้เถียงอะไรได้อีก

    และมันก็จริงอย่างที่พี่เขาพูดว่าเรามัวแต่เล่นกันมาจนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

    คยองซูและจงอินจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารเช้าของตัวเองแล้วพากันออกจากบ้านทันทีที่กินเสร็จ...








     

    ************








     

    จงอินเคลื่อนรถมาจนถึงที่โรงเรียนของเด็กตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างเขาเหมือนทุกวัน

    เทียบจอดที่เดิมตรงหน้าตึกเรียนแล้วจึงเหยียบเบรกแล้วหันไปหาน้องเขา

    ตอนนี้ข้างนอกรถฝนยังตกอยู่...จงอินมองที่ท้องฟ้าแล้วจึงขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก

     

     

    “คยองซู...วันนี้ฝนอาจจะตกทั้งวันนะ

    ลองหาร่มดูที่เบาะหลังสิ แล้วพกมันไปด้วย

    เดินไปเดินมาอย่าให้โดนฝนรู้เปล่า? นายยิ่งป่วยง่ายๆอยู่”

     

     

    “หืม...ร่มที่หลังรถเหรอ? คยองจำได้ว่าเอาออกไปเก็บในบ้านตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วนะจงอิน

    อ่า...แต่ไม่เป็นไรหรอกมั้งครับ เดี๋ยวคยองวิ่งฝ่าไปแป๊ปเดียวก็ถึงตึกแล้วล่ะ จงอินไม่ต้องห่วงน้า”

     

     

    คยองซูหันมาส่ายหน้าให้คนเป็นพี่แล้วยกยิ้มให้อย่างจะบอกว่าไม่ต้องห่วงอะไร

    หากแต่จงอินกลับขมวดคิ้วแล้วตอบกลับไปอย่างเป็นห่วง

     

     

    “บ้าเหรอ? นายใส่เสื้อนักเรียนมาตัวเดียว...แถมบางด้วย

    เอางี้เอาสูทฉันไปแล้วกัน นายจะได้ไม่เปียกมาก” จงอินบอก

     

     

    “เฮ้...แล้วจงอินจะใส่อะไรล่ะครับ วันนี้มีประชุมด้วยไม่ใช่เหรอครับ?” คยองซูถามอย่างตกใจและเบิกตากว้าง

     

     

    “ช่างมันเหอะ...มีประชุมมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเสื้อผ้าหรอกน่า”



    จงอินตอบก่อนจะปลดกระดุมเสื้อสูทสีดำของตัวเองออก

    หากแต่ยังไม่ได้ถอดมันออกมา เสียงเคาะที่กระจกก็เรียกให้ทั้งสองคนหันไปให้ความสนใจเสียก่อน

    ก่อนที่จงอินจะพบว่า...จงฮยอนกำลังยืนกางร่มอยู่ที่ข้างรถฝั่งคยองซู

    คยองซูรีบยกยิ้มแล้วกดปุ่มปรับกระจกรถลงอย่างไม่ได้ถามผมก่อน

    ก่อนจะหันไปทักทายกับจงฮยอนเสียงใส

     

     

    “อ้าว...จงฮยอนนี่ ทำไมวันนี้มาโรงเรียนสายจัง แล้วมีอะไรเหรอ?”

     

     

    คยองซูหันไปยิ้มแล้วถามอย่างร่าเริง รอยยิ้มนั้นกว้างซะจนผมรู้สึกหงุดหงิดไปนิดหน่อย

    บางทีการแจกยิ้มไปทั่วก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ โดยเฉพาะกับไอ้เด็กไร้มารยาทคนนี้

     

     

    “วันนี้ฝนตก กว่าจะถึงก็แย่เลย

    เห็นรถพี่จงอินมาจอดตั้งนานแล้วยังไม่ลงมา

    ฉันคิดว่านายคงไม่มีร่ม ฉันเลยเดินมารับ”

     

     

    “โอ...ดีจัง  ขอบใจมากนะ งั้นรอฉันแปปเดียวนะจงฮยอน เดี๋ยวฉันออกไป”

     

     

    เด็กตัวเล็กยกยิ้มอย่างดีใจจนตาปิด

    ก่อนจะกดปุ่มปรับกระจกรถให้เลื่อนขึ้นไปสนิทแล้วหันมาลาผม

     

     

    “โชคดีจังเลยเนอะจงอิน จงฮยอนมาพอดีเลยอ่ะ

    งั้นคยองไปเรียนก่อนนะครับ จงอินตั้งใจทำงานน้า”

     

     

    คยองซูไม่พูดลาเปล่าๆ หากแต่ยังเอี้ยวตัวมากดริมฝีปากที่แก้มผมที่หนึ่งอย่างถือวิสาสะ

    แล้วจากนั้นจึงออกจากรถไป...แล้วเดินคู่ไปกับจงฮยอนที่เดินกางร่มให้กับเขา

    จงอินกัดริมฝีปากแล้วมองเด็กทั้งคู่อย่างไม่ค่อยชอบใจนัก แต่ก็รู้ว่าทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านี้

    จงอินมองเด็กทั้งสองไปจนสุดทาง...และเมื่อเห็นว่าคยองซูเดินเข้าตึกเรียนไปแล้วนั่นแหละจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ

    หลังจากนั้นก็เริ่มออกรถแล้วขับไปทำงานทันที

     


     

    ************




     

     

    จงอินเดินเข้าบริษัทมาด้วยอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย

    จนแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างการที่แทยอนเดินมาเปิดประตูห้องให้เขาช้านั้นกลายเป็นเรื่องที่น่ารำคาญ

    จงอินเหวี่ยงตัวลงกับเก้าอี้บุนวมของตัวเองแล้วถอนหายใจ ก่อนที่ไม่นานเท่าไหร่แทยอนก็เดินเข้ามาเสิร์ฟกาแฟให้เขา

     

     

    “ท่านประธานดูหงุดหงิดนะคะวันนี้...ทะเลาะกับน้องคยองซูเหรอคะ?”

     

     

    แทยอนถามจงอินเบาๆอย่างเป็นห่วง  สรรพนามที่พวกคุณได้ยินนั้นมันไม่ได้ผิดไปหรอกครับ...

    เพราะตอนนี้ผมกลายเป็นประธานสาขาของบริษัทเอเชียร์ซอฟต์โดยการแนะนำของท่านประธานยู

    ในตอนนั้นผมคิดว่าผมจะโดนไล่ออกซะแล้ว...แต่โชคดีที่ท่านประธานยูเป็นคนมีเหตุผล

    และมีเมตตาพอจะเข้าใจสิ่งที่ผมทำเสียมารยาทกับเขาในวันนั้น แล้วยังคงเห็นว่าตำแหน่งนี้เหมาะกับผมเท่านั้น

    ผมเลยได้ก้าวเข้ามาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อย่างที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะเป็นไปได้ด้วยซ้ำไป

     

    ถอนหายใจเมื่อได้ฟังคำถามของแทยอน...ความจริงก็อยากจะตอบออกไปว่าใช่อยู่หรอก

    แต่เอากันตามจริงจงอินก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังหงุดหงิดเรื่องอะไรด้วยซ้ำ

    เรื่องทะเลาะกับคยองซูนั้นไม่น่าจะใช่แน่ เพราะวันนี้เราเริ่มต้นวันกันอย่างดีและไม่ได้มีปากเสียงอะไรทั้งนั้น

    ความจริงก็เห็นได้ชัดว่าวันนี้เราพูดคุยกันและหัวเราะให้กันอย่างดีด้วยซ้ำไป

    แต่จงอินก็ไม่แน่ใจว่าทำไมจู่ๆก็รู้สึกเซ็งๆขึ้นมาแบบนี้....

     

     

    “เปล่าหรอก...

    ผมหงุดหงิดเรื่องอื่นน่ะ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไร”  จงอินตอบแทยอนก่อนจะคว้าแก้วกาแฟนั้นขึ้นมาจิบ

     

     

    “งั้นหรือคะ? ฉันก็นึกว่าวันนี้ท่านทะเลาะกับน้องคยองซูมาซะอีก

    เห็นอารมณ์ไม่ดีแต่เช้าเชียว...ถ้าเกิดท่านมีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกได้นะคะ”

     

     

    แทยอนพูดพลางส่งยิ้มมาให้ผมบางๆ...เธอยังคงทำหน้าที่เลขาได้อย่างดีเสมอมา

    ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับความหวังดีของเธอเอาไว้แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

     

     

    “ขอบคุณครับแทยอน...ว่าแต่วันนี้ผมต้องทำอะไรบ้าง”

     

     

    “วันนี้หลักๆแล้วก็เรื่องประชุมกับฝ่ายบริหารแล้วก็ท่านประธานของลีกรุ๊ปค่ะ

    นอกนั้นก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากท่านจะต้องพิจารณาเอกสารในแฟ้มที่อยู่ตรงหน้าท่าน

    ฝ่ายบุคคลส่งเข้ามาเมื่อเช้านี้ อยากให้ท่านช่วยพิจารณาหน่อยค่ะ

    อ้อ...และตอนกลางวันท่านมีนัดทานข้าวกับคุณจงแดแล้วก็คุณชานยอลใช่ไหมคะ? เห็นท่านบอกกับฉันเมื่อวานก่อน”

     

     

    “อืม...จริงด้วยสิ ผมลืมไปสนิทเลย

    ถ้าคุณไม่เตือนผมต้องโดนไอ้แด้กระชากหัวแน่ๆ

    ขอบคุณมากนะครับแทยอน คุณกลับไปทำงานเถอะ...ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” จงอินตอบก่อนจะส่งยิ้มให้แทยอนไปเล็กน้อย

     

    “ค่ะท่าน...ถ้ามีอะไรก็เรียกฉันได้ตลอดเวลาเลยนะคะ”

     

    แทยอนพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะเอ่ยลาแล้วเดินออกจากห้องไป

    ทิ้งไอ้จงอินกลับเข้าสู่การทำงานและอยู่ในโลกของตัวเองเงียบๆ

     

     

     

     

    ************


     

     


     

    “หน้าบูดอย่างกับไก่ป่วย”

     

     

    เสียงของจงแดดังขึ้นมาทำให้ผมต้องกรอกตาใส่เขา

    ตอนนี้เรากำลังนั่งอยู่ในร้านประจำที่ผมและเพื่อนๆมักจะมากินข้าวด้วยกันเมื่อมีเวลาว่าง

    หรือว่าไม่ว่างแต่อยากจะมานัดเจอกัน ก็จะนัดกันที่นี่เสมอๆ

     

     

    “ใครไก่ป่วย...มึงหุบปากไปเลยไปไอ้แด้”

     

     

    “โห่...แค่นี้ทำเป็นเหวี่ยง”  จงแดหัวเราะพลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจในคำขู่ของผม

    และชานยอลเองก็เช่นกัน เขายกยิ้มกว้างก่อนจะหันมาเป็นฝ่ายแซวผมบ้าง

     

     

    “กูว่ามึงก็ดูป่วยอย่างที่ไอ้แด้มันว่าจริงๆนะ เป็นห่าไรวะ ทะเลาะกับเมียเหรอ” ชานยอลถาม

     

     

    “เมีย?..ใคร?” ผมถามพลางยกคิ้ว

     

     

    “เอ้า...ก็น้องคยองของมึงไง” ชานยอลตอบ

     

     

    “ไอ้เลว...ใครบอกว่าน้องเขาเป็นเมียกู”

     

     

    ผมด่าเพื่อนๆทั้งสองที่หัวเราะกันคิกคัก

    ทำเอาผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเพราะท่าทางน่าหมั่นไส้ของเพื่อนทั้งสองคนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

     

     

    “อ้าว...นี่พวกมึงยังไม่ได้กันอีกเหรอ?  กูนึกว่ามึงฟาดน้องเขาไปแล้วซะอีก

    เห็นช่วงนี้แบคฮยอนบอกว่าคยองซูมีคนมาจีบอย่างเยอะ

    ถ้ามึงไม่รีบนะ ระวังเถอะมึง...หมาจะคาบไปแดก”

     

     

    “หุบปากของพวกมึงไปเลย...กูไม่ฟาดใครทั้งนั้นล่ะ

    แต่มึงว่าอะไรนะ...คยองซูมาคนมาจีบ?”  ผมทวนคำถามของเขา

     

     

    “ถูก...เยอะด้วยครับเพื่อน เอาแต่ปฏิเสธไปเหอะ ซักวันจะเสียใจ

    ช่วงนี้กูว่าคยองซูน่ารักขึ้นทุกวันเลย

    ถ้ากูอ่อนกว่านี้ซักสิบปี กูคงไปจีบสู้กับไอ้เด็กพวกนั้นอยู่”

     

     

    ชานยอลทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มส่งมาให้ผม

    แล้วจากนั้นก็หันไปหัวเราะคิกคักกับไอ้จงแดอีกหน

    ผมรู้สึกโมโหจริงๆที่พวกเขาทำอย่างนั้น และไม่แน่ใจนักว่าโมโหเรื่องอะไรกันแน่

    เรื่องที่ไอ้พวกนี้มันยัดเยียดคยองซูให้กับผม...หรือข่าวที่ผมได้รู้ว่าคยองซูมีคนมาจีบ...

     

     

    “หยุดความคิดมึงไปเลยไอ้ยอล ก่อนที่กูจะเอากุ้งอบเนยตบปากมึง” ผมขู่เขา...แต่ชานยอลทำหน้าทะเล้นตอบกลับมา

     

     

    “อู้ยยยยยยย น่ากลัวชิบหายเลยครับพี่จงอิน

    แต่เอาเถอะ...ถ้าจะหวงก้างขนาดนั้น กูว่ามึงน่าจะไปขู่คนอื่นมากกว่าขู่กูนะ”

     

     

    “ไม่เห็นจำเป็นต้องขู่...คยองซูไม่เห็นจะสนใจใครเลย

    วันๆก็ทำตัวเป็นเด็กๆ กูยังไม่เห็นว่าคยองซูจะพูดถึงใครตรงไหน”

     

    ผมตอบไปส่งๆหากแต่ในใจก็ยังรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

    ทั้งๆที่ปากก็บอกว่าน้องเขาไม่น่าจะชอบใครตอนนี้หรอก

    แต่เอากันตามจริงแล้วก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก เพราะน้องเขาไม่เคยพูดกับผมเรื่องนี้เลย

    เราพูดกันเรื่องความรักครั้งสุดท้ายก็ตอนที่เขาอายุ 14 โน่น

    และหลังจากนั้นเราก็ไม่เคยคุยกันเรื่องนี้อีกเลย...ไม่เลยซักครั้งเดียว...

     

     

    “เหอะ...นี่มึงโง่หรือแกล้งโง่ ก็ในเมื่อน้องเขาชอบมึงแล้วจะให้น้องเขาพูดถึงใครที่ไหน

    ระวังเอาเถอะถ้าน้องเขาพูดถึงผู้ชายคนอื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ล่ะ ตอนนั้นมึงจะรู้สึกเอง”

     

     

    ไอ้จงแดพูดเยาะผมก่อนจะจิ้มสเต็กชิ้นหนาเข้าไปในปากแล้วเคี้ยวพลางยักไหล่ส่งให้ผม

    ผมรู้สึกว่าอาหารไม่ค่อยอร่อยเลยเมื่อเรากำลังพูดกันเรื่องนี้

    ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่ผมต้องเผชิญมากขึ้นทุกวัน

    และผมออกจะมั่นใจด้วยว่าไอ้พวกเพื่อนๆของผมไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเราเลยซักนิด

    เขาไม่รู้หรอกว่าคยองซูรู้สึกยังไง...และผมเองก็ภาวนาว่ามันก็ไม่ใช่อย่างที่พวกมันพูด

     

    ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจหรอก...แต่มันเป็นไปไม่ได้

    เราห่างกันเกือบรอบนึง และถ้าหากว่าคยองซูชอบผมจริงผมก็ไม่แน่ใจว่าเขารักผมจริงๆหรือเปล่า

    เขาจะรู้ได้ยังไงว่าเขาชอบหรือรักผมแบบไหน เขาอาจจะรักผมเพราะเราอยู่ด้วยกันมาตลอดเวลา

    อาจจะรักผมเพราะผมเหมือนเป็นหลักยึดสุดท้ายก็ได้ และนั่นก็หมายความว่ามันไม่ใช่ความรักที่แท้จริง...

    แต่เป็นความรักแบบมีเงื่อนไขและกลายเป็นว่าเขาจำเป็นต้องรักผมก็เท่านั้น...

     

     

    “กูว่ากูคงต้องกลับก่อน...

    มีประชุมตอนบ่าย ต้องเตรียมเอกสารนิดหน่อย

    ไว้เจอกันก็แล้วกัน...กูไปก่อนล่ะ บาย”

     

    ผมบอกลาเพื่อนๆทั้งสองก่อนจะวางช้อนส้อมลงกับโต๊ะ หยิบกระเป๋าขึ้นมาถือแล้วเดินออกจากร้านไป

    โดยไม่ได้รู้เลยว่าเพื่อนทั้งสองที่กำลังงุนงงกับการจากไปของผมนั้นต่างก็ถอนหายใจออกมา

     

    “มึงว่าเมื่อไหร่มันจะรู้ใจตัวเองวะ”

     

    ชานยอลหันมาถามจงแดอย่างกลุ้มใจ แล้วก็ต้องเป่าปากออกมาเมื่อเห็นเพื่อนรักเองกำลังขมวดคิ้วไม่ต่างจากตน

    จงแดยักไหล่...ก่อนจะหันไปมองหน้าชานยอลแล้วถอนหายใจออกมายาวเหยียด

     

    “กูว่าทำท่าทางหงุดหงิดแบบนี้อาจจะเป็นสัญญาณที่ดีก็ได้นะ

    กูว่าอีกไม่นานหรอกมันคงจะรู้ตัวเอง” จงแดพูด

     

     

    “มึงจะแน่ใจได้ไง มึงก็รู้ไอ้จงอินแม่งบื้อจะตาย

    ขนาดเราบอกมันมาอย่างนี้ตั้งหลายปีแม่งยังไม่รู้สึก...กูว่าแม่งจนตายเผลอๆก็ยังไม่รู้ตัว”

     

     

    ชานยอลพูดพลางหัวเราะในลำคออย่างเวทนาไอ้เพื่อนซื่อบื้อของตัวเอง

    หากแต่จงแดกลับยกยิ้มออกมาที่มุมปากก่อนจะหันมาหาชานยอลแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

     

     

    “งั้นมาพนันกันไหม...มึงกล้าสู้เปล่า?”  จงแดถามพลางยักคิ้วข้างหนึ่ง

     

     

    “พนันด้วยอะไร?”

     

     

    “ถ้าไอ้จงอินมันรู้ตัว มึงต้องเลี้ยงเหล้ากูเดือนนึง

    แต่ถ้ามันยังโง่อยู่...กูจะเลี้ยงเหล้ามึงสามเดือนเลย”

     

     

    จงแดพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ ทำเอาชานยอลต้องหัวเราะออกมาเพราะท่าทางมั่นใจของจงแดอย่างนั้น

     

     

    “โอ้...มึงดูมั่นใจจังนะไอ้แด้

    เอาเด่ะ ถ้ามึงกล้าสู้ กูก็กล้าพนัน”  

     

     

    ชานยอลยักคิ้วตอบเพื่อนอย่างมั่นใจไม่แพ้กัน  แต่ในใจจงแดนั้นกลับรู้สึกมั่นใจมากกว่า...

    จงแดไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากหั่นสเต๊กในจานตรงหน้าแล้วส่งเข้าปากอย่างอารมณ์ดี

     

    เพราะจงแดรู้ดีว่าถ้าหากเพื่อนโดนกระตุ้นอย่างนี้มากๆเข้า

    แถมยังหงุดหงิดกับอิแค่ที่พวกเขามาบอกว่าคยองซูมีคนมาจีบเยอะ

    แล้วถ้าเป็นอย่างนี้...

     

    .

    .

     

    ....ผมจะลองดูซิ ว่าจะมันจะอดทนได้นานแค่ไหนเชียว....

     

     

     

    ************

     

    คยองซูนั่งมองสายฝนที่ตกกระทบพื้นแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

    ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมองแล้วจึงชะเง้อคอมองไปที่หน้าตึกเรียนที่จงอินมักจะมาจอดรถเทียบเพื่อรอรับเขาเสมอ

    แต่ตอนนี้เลยเวลาปกติที่จงอินต้องมารับเขามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว

    คยองซูพยายามกดโทรศัพท์เครื่องเล็กในมือเพื่อจะติดต่อว่าเขาอยู่ที่ไหน

    แต่โทรศัพท์ทั้งสองเบอร์กลับถูกตัดเข้าสู่ระบบฝากข้อความไปซะหมด

    และนั่นทำให้ผมส่ายหน้าอย่างเอือมระอา นี่แปลว่าพี่เขาไม่ได้ชาร์ตแบตโทรศัพท์เครื่องเล็กอีกแล้วสินะ

    แถมแบตไอโฟนก็หมดเร็วจะตายชัก... อา...บ้าจังเลย

     

    จนกระทั่งเมื่อเม็ดฝนเริ่มหนาขึ้นจนละอองฝนสาดเข้ามาข้างใน

    ผมจึงตัดสินใจหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายเพื่อจะวิ่งไปรอที่ตึกฝั่งตรงข้าม

    เพราะตรงนั้นคงหลบฝนได้ดีกว่า...และจงอินคงจะมองเห็นผมได้ชัดเจนกว่าถ้าผมวิ่งฝ่าฝนไปอยู่ตรงนั้น

     

     

    “ร...รุ่นพี่คยองซูครับ”

     

     

    เสียงตะกุกตะกักของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปมอง

    และก็ได้พบกับเด็กผู้ชายรุ่นน้องคนหนึ่งกำลังยืนอยู่

    ผมไม่เคยรู้จักเขาแต่ผมเองก็ไม่ได้เป็นคนหยิ่งถึงขั้นคนไม่รู้จักมาทักแล้วจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นหรอกนะครับ

     

     

    “ครับ...อะไรเหรอ?” ผมหันไปถามเขาอย่างงงๆ เมื่อเห็นในมือของเขามีดอกลิลลี่ดอกหนึ่งผูกโบว์เอาไว้

     

     

    ดอกลิลลี่งั้นเหรอ...

     

     

    “ผม...ผมตั้งใจเอามันมาให้รุ่นพี่...ช่วยรับไว้ได้มั้ยครับ?”

     

     

    เด็กคนนั้นยื่นมันมาตรงหน้าผม

    ถึงแม้ว่าที่หน้าอกเขาจะปักสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเขาเป็นรุ่นน้องของผมปีหนึ่ง

    แต่ที่แน่ๆ...เขาสูงกว่าผมมากทีเดียว จนผมต้องเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ

     

     

    “หืม...ให้พี่เหรอ? อ้อ...ขอบคุณมากนะครับ”

     

     

    ผมยื่นมือไปรับมันมาเพราะว่าคนตรงหน้ากำลังกัดริมฝีปากแน่นซะจนดูเหมือนว่าเขากับเคร่งเครียด

    ผมรู้สึกเหมือนกับว่าถ้าผมไม่รับมันมาเขาอาจจะโมโหก็ได้

    ผมจึงตัดสินใจไปรับมันมาถือไว้ แล้วบอกขอบคุณเขาเบาๆอีกครั้ง

     

     

    “พ...พี่คยองซูมีแฟนหรือยังครับ?

    ผมชอบพี่มากนานแล้วนะ พ...พูดจริงๆ”

     

    เด็กคนนั้นหน้าแดงก่ำแล้วพูดตะกุกตะกัก...ผมคิดว่านั่นทำเอาผมหน้าแดงไปด้วย

    บ้าจริง ก็ไม่ใช่ว่าเจออย่างนี้ครั้งแรกซะหน่อย...แต่ทำไมยังเขินทุกที

     

     

    “เอ่อ...พี่ขอโทษนะครับ แต่พี่มีคนที่ชอบแล้ว

    คือ...พี่ชอบเขามาก จนตอนนี้ยังไม่ได้เผื่อใจไว้มองใครเลย พี่...ขอโทษจริงๆนะ”

     

    ผมตอบกลับเขาไปเสียงแผ่วเบา เพราะกลัวว่าน้องเขาจะรับไม่ได้

    แต่การที่น้องเขาถอนหายใจออกมาอย่างแรงแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ

    ทำให้ผมรู้ได้ว่าเขารับสถานการณ์ได้ดีกว่าที่ผมคิดไว้...

     

     

    “ผม...เฮ้อ...กะไว้แล้วเชียว 

    ผมไม่ต้องการอะไรหรอกครับ ขอแค่ได้บอกรุ่นพี่ก็พอแล้ว

    ดอกไม้นั่น...รับไว้เถอะนะครับ เพราะผมตั้งใจเอามันมาให้พี่

    แล้วก็...ผมขอให้พี่สมหวังกับความรักของพี่เร็วๆแล้วกันนะครับ”

     

     

    เด็กคนนั้นพูดรัวเร็วต่างจากเมื่อกี้ราวกับคนละคน

    ก่อนที่เขาจะโค้งให้ผมเมื่อพูดจบแล้วก้าวเท้าเดินออกไปฉับๆ

     

    ไม่ใช่ว่าผมไม่สงสารหรอก...แต่เขาไม่ใช่คนแรกที่เข้ามาทำอย่างนี้กับผม

    โดยเฉพาะกับคำตอบนี้...ผมพูดมันจนไม่ต้องหยุดคิดแล้ว

    เพราะไม่ว่าใครจะเข้ามาบอกรักผมซักกี่คน...ก็มีเพียงคนเดียวที่ผมรอเท่านั้น

    จงอิน...พี่เกลียดผมหรือพี่โง่กันแน่ ผมยังชัดเจนไม่พออีกเหรอที่จะบอกพี่ให้รู้ว่าผมรักพี่แค่ไหน

    หรือว่าพี่แกล้งทำเป็นไม่รู้เพราะว่าพี่ไม่เคยคิดกับผมแบบนั้นเลย...

    ผมอยากจะถาม...แต่ผมกลัวว่าจงอินจะเกลียดผมถ้าผมทำแบบนั้น

     

    ...และผมคงต้องเสียใจแน่ๆถ้ามันเป็นอย่างนั้น...

     

     

    “ยังพูดมันเหมือนเดิมเลยนะ...ประโยคพวกนั้น”

     

    เสียงที่ผมคุ้นเคยดังขึ้นและทำให้ผมต้องกลับไปสนใจเขา

    จงฮยอนกำลังเดินเข้ามาใกล้แล้วส่งยิ้มเจื่อนๆให้ผม

    ผมไม่แน่ใจนักว่าเขาเป็นอะไร...แต่รอยยิ้มของเขากลับทำให้ผมเป็นห่วงขึ้นมาจริงๆ

     

     

    “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ...เป็นอะไรหรือเปล่า?”

     

     

    ผมถามจงฮยอนอย่างเป็นห่วงก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เขา

    แต่จงฮยอนกลับเดินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง...และนั่นทำให้ผมไม่เข้าใจที่เขาทำอย่างนั้น

     

     

    “อย่าเพิ่งเป็นห่วงเลย...ฉัน...ฉันก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันเป็นอะไร?

    แต่เหมือนกับว่าฉันจะยังไม่พร้อมจะคุยกับนาย”




    จงฮยอนกระซิบตอบมาเสียงเรียบ ใบหน้านั้นไร้ความรู้สึก แต่สายตานั้นกำลังบ่งบอกอะไรบางอย่าง...

     

     

    “นายหมายความว่ายังไง? ถ้านายไม่บอกฉันแล้วฉันจะรู้ได้ยังไง?” ผมถามเขา

     

     

    “นายก็น่าจะรู้ดี...คยองซู

    มันผ่านมาหลายปีแล้วนะ แต่ความรู้สึกของฉันก็ยังคงเหมือนเดิม

    เหมือนกับที่นายเอาแต่พูดแบบนั้นกับคนอื่นนั่นแหละ...

    ฉันรู้ว่านายยังไม่เปลี่ยนไป  เหมือนกับฉันที่ยังไม่เคยเปลี่ยนใจ”

     

     
     

    “ฉันขอโทษ...แต่จะให้ฉันทำยังไงล่ะจงฮยอน? นายก็รู้ว่าความรักมันบังคับกันไม่ได้หรอกนะ

    เราเป็นเพื่อนกันมาหลายปีแล้วนะ...ฉันรู้ว่านายเป็นคนดี และไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีนายก็ยังเป็นเพื่อนที่ฉันรักเสมอ”

     
     

     

    ผมตอบเขาไปแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ...

    เพราะผมเองไม่รู้ว่าควรต้องทำหน้าตาแบบไหนในสภานการณ์แบบนี้

    ผมรู้ดีว่าจงฮยอนยังไม่เปลี่ยนไป เขายังคงรักผมมาตลอด

    เพราะว่าเขายังคงคอยดูแลและอยู่เป็นเพื่อนผมเสมอเวลาที่ผมต้องการใครซักคน

    รองจากจื่อเทาและเซฮุน คนที่ผมให้ความสนิทสนมก็คือจงฮยอนเสมอ...

    และผมไม่อยากเสียเพื่อนดีๆแบบเขาไปเลย...

     

     

    “ช่างเถอะ...ฉันไม่ได้ต้องการอะไรหรอก

    ฉันก็แค่อยากให้นายรู้ว่าความรู้สึกฉันยังไม่เปลี่ยนไปนะ” จงฮยอนพูดกับผม

     
     

     

    “อื้ม...ฉันรู้แล้ว”

     
     

     

    ผมกระซิบตอบเขาและพยักหน้าเพื่อบ่งบอกว่าเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการให้ผมรับรู้

     

     

     

     

    “เฮ้อ...ตอนนี้ฝนตกหนักมากนะ นายจะไปที่ตึกฝั่งตรงข้ามใช่ไหม?

    ฉันมีร่มนะ เราไปด้วยกันเถอะ...ถ้าขืนนายวิ่งฝ่าไป นายต้องเปียกโชกแน่ๆ”

     

     
     

    “ไม่ต้อง...”

     

     
     

    นั่นไม่ใช่ผมที่ตอบกลับ...

    หากแต่เป็นเสียงที่ผมคุ้นเคย และถึงแม้ว่าผมจะไม่ต้องหันหลังกลับไปมองผมก็จำได้

    จงอิน...เขามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ และเขาได้ยินอะไรไปบ้าง?

     
     

     

    “จ...จงอิน”

     

     
     

    ผมหันไปมองเขา แล้วก็ต้องกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่

    เพราะสีหน้าของจงอินตอนนี้เย็นชาจนผมรู้สึกกลัว...

    ...เขาไม่เคยทำสีหน้าอย่างนี้กับผมมาก่อน...

     

     

    “กลับบ้าน...เดี๋ยวนี้

     

     

    เขากระซิบออกมาเสียงเย็นก่อนจะคว้าแขนผมแล้วเริ่มลากผมไปตามทางเดิน

    แรงที่เขาบีบมาที่ต้นแขนนั้นทำให้ผมรู้สึกเจ็บ จนอดไม่ไหวต้องร้องออกมาให้เขาลดแรงที่จับลงไปบ้าง

     

     

    “โอ้ย...จงอิน! คยองเจ็บนะ! ปล่อยคยองสิ คยองเจ็บ!

     

     

    ผมตะโกนบอกเขา แต่เขาก็ไม่ฟังผมเลย

    แรงบีบยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีกเมื่อผมพยายามดึงดันตัวเองและไม่ยอมเดินไปพร้อมๆกับเขา

    จนกระทั่งเขาลากผมไปจนสุดทางเดิน ผมจึงยกมือขึ้นตีเขาที่แผ่นหลังกว้าง

    เพราะว่าผมรู้สึกกลัวเขาในเวลานี้เหลือเกิน...

     

    “จงอิน!!! ปล่อยคยองเดี๋ยวนี้นะ!!



    ผมยกกำปั้นขึ้นไปทุบเขา เพราะรู้สึกว่ากระดูกที่ต้นแขนนั้นกำลังจะหัก

    จนกระทั่งเราผ่านพ้นหัวมุมทางเดิน เขาจึงปล่อยผมให้เป็นอิสระ

     

     

    “ฉันส่งนายให้มาเรียนนะ!! แต่นายกำลังทำบ้าอะไรอยู่!!

    มันใช่เวลามาคิดเรื่องความรักเหรอ?!

    ฉันขอสั่งให้นายเลิกคบกับไอ้เด็กนั่นตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป!!

     

     

    จงอินตวาดใส่หน้าผม...ก่อนจะหอบหายใจแรงด้วยความโกรธ

    ผมร้องไห้ออกมาเพราะรู้สึกว่ามันไม่แฟร์เลยกับคำพูดที่เขาเพิ่งพูดมันออกมา

     

     

    “คยองทำอะไร?!! จงอินไม่รู้อะไรอย่ามาพูดเลยดีกว่า!

    คยองไม่เลิกคบกับจงฮยอนหรอก!

    จงฮยอนเป็นเพื่อนคยอง! จงอินไม่มีเหตุผล!!!

     

     

    “เออ! ฉันไม่มีเหตุผล!! แล้วทำไมอ่ะ?!

    ก็ฉันไม่ชอบ! จะให้ฉันจ่ายเงินค่าเทอมเพื่อจะให้นายมาอี๋อ๋อกับไอ้นั่นน่ะเหรอ?!!!

     

     

    จงอินตะคอกใส่ผมจนเส้นเลือดที่ขมับของเขาปูดขึ้นมา

    น้ำตาผมไหลลงมาเพราะคำกล่าวหาที่เขาพูดกับผม

    เจ็บมาก...มันเจ็บจนผมแทบจะทนไม่ไหว

     

     

    “ท...ทำไมจงอินพูดกับคยองแบบนี้ จงอินก็รู้ว่าคยองมีแค่จงอินคนเดียว!

    คยองรักจงอิน! คยองรู้ว่าจงอินรู้ดี แต่จงอินแกล้งทำเป็นไม่รู้มันมาตลอด

    ทำไมอ่ะ! รังเกียจคยองมากเหรอ? ทำไมต้องคอยหนีความจริงเรื่องนี้ด้วย!

    บอกคยองดิ! ทำไมจงอินถึงต้องหลีกเลี่ยงมันด้วย!!

    ความรู้สึกของคยองไม่ใช่ของเล่นนะ!!

     
     

     

    “นายรู้จักความรักดีแค่ไหนถึงกล้าพูดออกมาแบบนั้น!!

    นายรู้ไหมว่าความรักมันเป็นยังไง?! มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเหมือนเล่นพ่อแม่ลูกนะคยองซู!

    นายรู้จักมันหรือไง?! รู้จักกอดไหม? จูบ?! เซ็กส์ล่ะ!! เลิกเล่นซักทีคยองซู

    ถ้าวันไหนที่นายรู้จักมันดีพอ...นายจะไม่พูดกับฉันแบบนี้”

     
     

     

    “คยองโตแล้วนะจงอิน!!  ต..แต่ถ้าเด็กแล้วจะยังไงอ่ะ!! เป็นเด็กแล้วไม่มีหัวใจเหรอ?!!!

    คยองจะรู้จักมันได้ยังไงถ้าคยองยังมีแค่จงอินอยู่แบบนี้!

    หัวใจคยองมันไม่เคยเปิดรับใครเลย! มันเพราะอะไรล่ะ?! เพราะจงอินไม่ใช่เหรอ?

    ถ้าคยองไม่รู้จงอินก็ช่วยสอนคยองสิ! ส...สอนคำว่ารักกับคยองสิ!!

     

     

    ผมตวาดออกไปด้วยแรงอารมณ์...ตอนนี้น้ำตากำลังไหลอาบแก้มของผมราวกับเขื่อนแตก

    จงอินกรอกตาแล้วถอนหายใจออกมาอย่างแรงแล้วยกมือขยี้ผมของเขาอย่างหัวเสีย

    ก่อนที่เขาจะตอบกลับผม...ด้วยประโยคที่ทำให้หัวใจผมแตกสลาย

    ถ้าเขาบอกว่าการที่เป็นเด็กแล้วไม่มีหัวใจ...แต่ทำไมผมถึงเจ็บปวดอย่างนี้

     

     

    “หยุดมันไว้แค่นี้คยองซู...เรารักกันไม่ได้”

     

     

    เสียงกระซิบของจงอินทำให้ผมหัวใจของผมแทบหยุดเต้น...

    น้ำตาของผมพร่างพรูลงมาราวกับว่าชีวิตนี้ผมจะทำอะไรไม่ได้อีกแล้วนอกจากร้องไห้

    ในใจผมเต็มไปด้วยความสงสัย...มีร้อยพันคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวแต่ผมไม่อาจจะกลั่นกรองมันออกมาเป็นคำพูดได้

     

     

    “ท...ทำไม? บอกคยองสิ...”

     

     

    “นายกับฉันห่างกันตั้งสิบปี  นายอยู่กับฉันมาตั้งแต่เด็ก...ฉันทำไม่ได้!

    ฉันดูแลนายมาเกือบครึ่งชีวิต! แถมเรายังห่างกันตั้งเกือบรอบนึง!!! แล้วเราจะรักกันได้ยังไง?!!

    ไหนจะพ่อนาย! ไหนจะซูจองอีก! นายเคยคิดบ้างไหมว่าพวกเขาจะคิดยังไง?!!!

    โลกนี้ไม่ได้มีแค่เราแค่สองคนนะ!

     

     

    จงอินตวาดใส่ผม..เขากำหมัดแน่นแล้วเหวี่ยงไปที่ผนังข้างๆทางเดินที่เรากำลังยืนอยู่

    ผมสะอึกออกมาเมื่อได้ฟังคำพูดของเขา...ผมฟังมันทุกคำพูด

    แต่ผมไม่เข้าใจมันเลยซักนิดเดียว...

     

     

    “ทำไมล่ะ? อายุห่างกันสิบปีแล้วมันเป็นยังไง?

    ใครกำหนดกฏเกณฑ์ไว้เหรอว่าห่างกันเกือบรอบแล้วรักกันไม่ได้

    เราอยู่ด้วยกันมาตลอดก็แล้วยังไงล่ะ! ถ้าเราเข้าใจกันแล้วทำไมมันจะเป็นไปไม่ได้


    จงอินอย่าอ้างเหตุผลสารพัดสารพันเลย...

    แค่บอกมาคำเดียวว่าไม่ได้รักคยอง...บอกมาเลยว่าจงอินรังเกียจคยอง!!

     

     
     

    “นายพูดบ้าอะไรของนาย! ถ้าฉันรังเกียจฉันจะเลี้ยงดูนายมาตั้งเป็นสิบปีอย่างนี้ได้ยังไง!!

    นายอย่าเอาคำว่ารักมาล้อเล่นได้ไหม ฉันรู้ดี...ฉันรู้ว่านายมีฉันแค่คนเดียวเท่านั้น

    และเพราะอย่างนี้ใช่ไหมนายถึงได้รักฉัน...

    ฉันขอถามหน่อยเถอะว่าถ้าหากตอนนี้นายอยู่กับพ่อของนายที่อเมริกา นายจะบอกว่ารักฉันอยู่ไหม??

    คิดสิ...มองโลกความจริงสิคยองซู แล้วบอกฉันว่านายรักฉันที่อะไร?

    รักเพราะว่าฉันเป็นผู้ชายที่นายรัก...หรือรักเพราะว่าฉันเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่เคยทิ้งนายไปไหน!!!!

    บอกสิว่ารักฉันที่ฉันเป็นคิมจงอิน...ไม่ใช่คนที่นายรักเพราะมีเงื่อนไขว่าต้องรัก!!!

     
     

    จงอินตวาด...เขาตัวสั่นด้วยความโกรธหลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่ผมพูด

    ผมได้แต่สะอึกสะอื้นแล้วร้องไห้ ความรู้สึกน้อยอกน้อยใจพวยพุ่งขึ้นมาข้างในอก

    ผมอยากจะพูด...อยากจะบอก...อยากทำให้เขาได้เข้าใจ

    แต่ผมพูดไม่ได้...ผมพูดไม่ออก...

     

     

    ผมน้อยใจ...น้อยใจที่ทั้งๆที่ผมเอ่ยความรู้สึกของผมออกมาทั้งหมดแล้ว สารภาพออกไปจนหมดใจ

    แต่เขากลับไม่เชื่อมันเลยซักนิด...เขายังคงคิดว่าความรักที่ผมมีให้เขานั้นเป็นแค่ความไร้เดียงสา

    ผมก้มหน้าลงกับพื้นแล้วร้องไห้ ปล่อยให้หยดน้ำตาไหลลงไปที่พื้นอย่างเงียบเชียบ


    ความเงียบเกิดขึ้นกับเราจนน่าอึดอัด

    แต่ผมกลับได้ยินเสียงกรีดร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดในหัวใจได้อย่างชัดเจน

    เป็นเสียงตะโกนก้องที่อยากจะบอกออกไป แต่จงอินกลับไม่มีวันรับรู้...

     

     

    “คุณมันโง่...คิมจงอิน

    คุณยังจะกล้าบอกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่อีกเหรอ ในเมื่อแม้แต่หัวใจดวงเล็กๆคุณยังมองข้ามมันไป

    ใครกันแน่ที่เป็นเด็ก?....ใครกันแน่ที่ไม่มีเหตุผล?

    ผมว่าถ้าคุณเปิดใจฟังคยองซูซักหน่อย...ข้ออ้างสารพัดที่คุณพูดมามันก็ไม่มีความหมายหรอก”

     

     
     

    เสียงของจงฮยอนดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่เดินออกมาจากหัวมุมของทางเดิน

    ผมร้องไห้และมองหน้าจงฮยอน...รู้สึกเจ็บปวดแทบขาดใจ

    เพราะทั้งๆที่คนที่ผมไม่เคยรักเขา แต่เขากลับเข้าใจหัวใจผมได้มากกว่าคนตรงหน้านี้เสียอีก

    เขาเดินเข้ามายืนข้างผม ประจันหน้ากับจงอิน...จับมือผมไว้แล้วบีบมันเบาๆเพื่อปลอบใจ

     
     

     

    “นายไม่รู้อะไรอย่ามาทำเป็นสั่งสอนฉัน

    เลิกยุ่งกับคยองซูซะ...ฉันขอสั่งในฐานะที่เป็นผู้ปกครองของเขา!!!

     
     

     

    ผู้ปกครองเหรอ?...

    คำก็ผู้ปกครอง...สองคำก็ผู้ปกครอง

     

     
     

    สำหรับจงอิน...เขาคงเป็นแค่เด็กน้อยที่น่าสงสาร

    ที่จงอินอุปการะไว้เลี้ยงดูด้วยความเวทนาเพราะว่าผมไม่เหลือใครสินะ

     
     

    ผม...เจ็บเหลือเกิน

     
     

     

     

    “ไม่!...คยองจะไม่เลิกคบกับจงฮยอน

    จะเป็นผู้ปกครองแล้วยังไง?!  หัวใจของคยองมีคยองเป็นเจ้าของ!!

    ถ้าจงอินรังเกียจ...จงอินไม่ยินดีที่จะสอนคำว่ารักให้คยอง

     

     

    .

    .

     

     

    คยองก็จะให้จงฮยอนเป็นคนสอนคำว่ารักให้เอง” 












    ✚ TALK



    มัน...ดราม่า...มากกกกกกกกกกกกกกกกกก
    ฮือออออออออออออออออออออออออออออ
    ไรเตอร์ขอโทษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษา

    เจอกันแชปหน้านะ T T 







    ป.ล.ขอบคุณรีดเดอร์ทุกคนที่ทำให้ฟิคเรื่องนี้ติด Top 10 จนได้
    รักนะคะ รักรีดเดอร์มากๆค่ะ ... ให้ความรักกับน้องคยองและฟิคของไรเตอร์ต่อไปน้าาา

    ยังไงก็ช่วยติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ รักรีดเดอร์ทุกคนมากค่ะ 





    - ไรเตอร์นมน. -


     

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×