[EXO] ✚ :: REBiRTH :: ✚ [ D.O. x KYUNGSOO ]* - [EXO] ✚ :: REBiRTH :: ✚ [ D.O. x KYUNGSOO ]* นิยาย [EXO] ✚ :: REBiRTH :: ✚ [ D.O. x KYUNGSOO ]* : Dek-D.com - Writer

    [EXO] ✚ :: REBiRTH :: ✚ [ D.O. x KYUNGSOO ]*

    โดย NMNSnowman

    เราจะรักกันอย่างนี้...ทุกๆชาติไป...

    ผู้เข้าชมรวม

    5,060

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    10

    ผู้เข้าชมรวม


    5.05K

    ความคิดเห็น


    55

    คนติดตาม


    78
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 พ.ย. 55 / 13:00 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    Author : `MR.$N0WMAN * 
    Pairing : D.O. x KYUNGSOO
    Rate : PG-15

     
     
     
    :: BACKGROUND MUSIC :: 
    Jay Chou - Ye Qu

    Now Playing...



     
    amanita.theme
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

       

       







      คลิกที่นี่..เพื่ออ่าน THE TWINS 1st

      หมายเหตุ: THE TWINS SAGA: REBiRTH
      เป็นบทสรุปของความรักต้องห้ามของฝาแฝด

      รีดเดอร์ควรอ่าน THE TWINS 1St เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันค่ะ 

       

       

       


       

      ผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน...

      เพราะในตอนนี้สิ่งที่เคยทำอยู่ทุกวันกลับกลายเป็นสิ่งที่ผมอึดอัดและทำให้เป็นปัญหา

                     

       

      ผมไม่ชอบใจนักที่คยองซูไม่ยอมคุยกับผมเลยตลอดทางที่เราเดินทางกลับบ้าน...

      เขามีท่าทางหงุดหงิดและใบหน้าก็บึ้งตึงแม้ว่าผมจะพยายามเรียกชื่อเขา หรือแม้กระทั่งดึงเขาให้หันหน้ามาคุยกันตรงๆ...

      เหมือนที่ผมพยายามอยู่ตอนนี้ก็เป็นครั้งที่สามแล้ว

       

      “นายเป็นบ้าอะไรทำไมต้องมาหงุดหงิดใส่ฉันด้วย?!

       

      ผมตวาดใส่เขาเพราะรู้สึกว่าเหลือทนกับความเงียบอันน่าอึดอัดของเรา...

      ผมเหวี่ยงตัวเขาให้หันมาประจันหน้ากัน หากแต่คยองซูก็ยังทำหน้าตาโกรธขึ้งใส่ผม


      “นายก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าทำอะไรลงไป!

       

      คยองซูตวาดใส่ผม...นั่นถือว่าเป็นเรื่องดีที่อย่างน้อยเขาก็บอกเบาะแสอะไรผมบ้างดีกว่าเงียบเป็นเป่าสาก

      แต่ที่แน่ๆ...เบาะแสที่เขาให้นั้นแทบจะบอกอะไรผมไม่ได้เลย...

       

      “ฉันไปทำบ้าอะไรล่ะ! ถ้านายไม่บอกแล้วฉันจะรู้ไหม? นี่หยุดสิ! เราต้องคุยกัน!




      “หยุดถามคำถามแล้วปล่อยให้ฉันได้อยู่คนเดียว!
      เพราะถ้าฉันพูดมันเมื่อไหร่นายหนาวแน่ จอง ดีโอ!

       

       

      คยองซูตวาดใส่หน้าผมก่อนที่จะเดินเข้าบ้านไป...

      ผมยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้นราวกับรูปปั้น คิดไม่ออกว่าไปทำอะไรเอาไว้อย่างที่เขาบอก

       

      ผมสบถออกมาก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าไปในบ้านของตัวเอง

      เพราะรู้ดีว่าตอนนี้ถึงจะตามไปพูดอะไรคยองซูก็คงทำตัวงี่เง่าใส่ผมอีกแน่ๆ

      ผมจึงตัดสินใจเดินเข้าบ้านตัวเองแล้วปิดประตูดังปังอย่างไม่สบอารมณ์นัก

       
       

      ก่อนที่จะวิ่งขึ้นไปบนห้องแล้วเดินไปเปิดประตูเชื่อมห้องของเราทั้งสองคน

      ผมเดินไปเปิดประตูหลังห้องนอนของเขาแล้วก็พบว่ามันถูกล็อคเอาไว้อย่างแน่นหนา..

       
       

      โอ...คยองซูคงจะกำลังโมโหผมมากจริงๆ เพราะปกติเขาไม่เคยจะล็อคมันเลยซักครั้ง

       

       

      คุณอาจจะงงเรื่องทางเชื่อมห้องของเรา...แต่เรื่องนี้อธิบายไม่ได้ยากนักหรอกครับ

      เพราะว่าเราดันเกิดมามีหน้าตาคล้ายกันอย่างกับฝาแฝด

      แถมตอนเด็กๆเรายังเป็นประเด็นข่าวโด่งดังขึ้นมาเพราะว่าเรื่องนี้ด้วย

       

      แม่บอกว่าทั้งโลกแทบจะช็อคเอาเลยตอนที่ข่าวของเราแพร่กระจายออกไป

      และพ่อกับแม่ของผมและป้าซันนี่กับลุงซองมินเลยตัดสินใจสร้างทางเชื่อมตรงระเบียงบ้านของเราทั้งสองเอาไว้ด้วยกัน

      และมันก็ทำให้ผมและคยองซูกลายเป็น เอ่อ...จะเรียกอะไรดีล่ะ

      เพื่อน พี่น้อง หรือครอบครัวเดียวกัน นับตั้งแต่วันนั้นมา...

       

       

      “เฮ้! นายจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะคยองซู นี่เป็นทางติดต่อสื่อสารเดียวของเรานะ!

      นายจะมาปิดเอาเองดื้อๆอย่างนี้ไม่ได้ เรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง!!

       

       

      ผมตะโกนเรียกเขา

      ซึ่งถ้ามองจากตรงนี้ผ่านเข้าไปในหน้าต่างห้องของเขาแล้วผมก็เห็นว่าเขากำลังนั่งกอดเข่าคุดคู้

      และทำหน้าตาบูดบึ้งบอกบุญไม่รับอยู่ตรงปลายเตียง

       

       

      “ประตูหน้าบ้านก็มีอย่ามาทำเป็นโง่น่า!

      แต่หยุดกวนใจฉันได้แล้ว! ฉันไม่อยากคุยกับนาย ไปให้พ้น!!!

       

       

      เสียงของคยองซูตะโกนออกมาจากห้องนอนของเขา...

      แล้วไม่นานเท่าไหร่นักรูผ้าม่านที่ถูกแหวกไว้ก็ถูกดึงให้ปิดลงไป...

      หมดกัน ตอนนี้ผมมองไม่เห็นเขาแล้ว

       

       

      “โอเคคยองซู...นายช่วยใจเย็นๆก่อนได้ไหม? แล้วเราออกมาคุยกันดีๆนะ”

                     

       

      ผมเรียกเขาเสียงอ่อย ไม่ชอบเลยที่เขาทำท่าทางแบบนี้ เพราะมันทำให้เรารู้สึกห่างเหิน

      ปกติเราสองคนไม่ค่อยจะทะเลาะกัน...หากแต่ช่วงนี้คยองซูมักจะพาลและทำตัวงี่เง่าใส่ผมเสมอๆ

      โดยที่ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าเขาเป็นอะไร เพราะถามทีไรเขาก็ไม่เคยจะยอมบอก...

                     

       

      “ฉันใจเย็นแน่ แต่มันไม่ใช่ตอนนี้...นายช่วยปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวซักพักได้ไหม

      ถ้าไม่อยากให้ฉันทำตัวงี่เง่าใส่นายอีก นายก็น่าจะปล่อยฉันไว้ตอนนี้!!

       

       

      คยองซูตอบกลับมาจากอีกฟากกำแพงโดยที่ผมไม่แน่ใจนักว่าเขากำลังทำหน้าแบบไหน

      ผมถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างหนักใจในคำพูดของเขา

      ใจนึงก็อยากจะพูดคุยกันให้รู้เรื่อง แต่อีกใจนึงก็รู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากทำตามที่เขาบอกไว้...

       

       

      “งั้นก็โอเค...ถ้านายหายโกรธแล้วเรามาคุยกันดีๆนะโอเคไหม?

      อย่าลืมกินข้าวนะ ฉันจะโกรธนายมากถ้าป้าซันนี่บอกว่านายไม่ยอมกินข้าวเย็น

      เพราะฉะนั้น...ฉันอยู่ตรงนี้เสมอนะ ถ้านายพร้อมเมื่อไหร่เราค่อยคุยกัน”

       

       

      “..........................................................”

       

       

      ไม่มีเสียงตอบรับจากคยองซูอีก และนั่นทำให้ผมต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้

      ผมหันหลังกลับแล้วเดินผ่านทางเดินยาวที่เป็นทางเชื่อมระหว่างห้องของเราสองคนแล้วเข้าไปในห้องตัวเอง...      

      เลื่อนประตูปิดก่อนจะกัดริมฝีปากอย่างหนักใจ แต่สุดท้ายก็เลื่อนเปิดมันทิ้งไว้เหมือนเก่า...

      เผื่อว่าคยองซูจะใจเย็นลงเร็วกว่าที่ผมคิด แล้วเขาจะได้เดินมาหาผมได้ตลอดเวลา

      ทั้งๆที่ตอนนี้ผมแทบอยากจะกระชากมาคุยกับเขาให้เข้าใจจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว...

                     

       

      ผมไม่สามารถอธิบายอาการร้อนรนของตัวเองเวลาที่เขาโกรธผมได้เลยซักครั้ง...

      และความรู้สึกแปลกๆเวลาที่เขาทำอย่างนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ชอบใจเอาเสียเลย

       

      ผมไม่ชอบให้คยองซูเมินเฉยกับผม...ทั้งๆที่ตอนเราไม่ทะเลาะกันผมออกจะมีความสุขกับสิ่งที่เราเป็นอยู่

      เพราะตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งเติบโตมาด้วยกันกว่า 18 ปีแล้ว...เรายังไม่เคยห่างกันเลยซักวินาทีเดียว...

      แล้วจะให้ผมไม่คุยไม่เห็นหน้าเขาอย่างนี้...ผมทำไม่ได้หรอกนะ...

       

       

       

      Rebirth

       

       

      “ทะเลาะกับคยองซูเหรอลูก?”

       

      เสียงของเจสสิก้าที่ดังขึ้นกลางโต๊ะอาหารทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นกลับไปสนใจ

      เจสสิก้ามองหน้าลูกชายของตัวเองแล้วจากนั้นจึงตักอาหารลงไปวางในจานข้าวของดีโอแล้วยกยิ้มให้อย่างปลอบโยน...

      ดีโอถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นอย่างนั้น

       

      “ก็...เหมือนเคยล่ะครับ คยองซูไม่ยอมคุยกับผมเลย

      และผมไม่รู้ว่าทำอะไรผิดด้วย เลยไม่รู้ว่าจะง้อยังไง” ดีโอตอบเธอไปพลางกลอกสายตา

       

      “คนโมโหก็ต้องให้เวลาเขาหน่อย...

      จะไปทู่ซี้ถาม ดันทุรังจะโดนตวาดใส่น่ะซี

      แม่ว่าปล่อยให้คยองซูอาบน้ำกินข้าวอะไรให้เรียบร้อยก่อนเถอะ แล้วอยากจะไปง้อก็ค่อยว่ากัน...

      ถึงตอนนั้นก็คงจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้วล่ะ”

       

       

      เจสสิก้าเอ่ยขึ้นยิ้มๆในขณะที่มองลูกชายตัวเองทำหน้าเป็นเดือดเป็นร้อน

      แม้ว่าจะอยากช่วยให้เด็กๆดีกันแต่เธอกลับคิดว่าให้ลูกชายเป็นคนง้อเองน่าจะดีกว่า

      มันคงจะดีกว่าถ้าให้ดีโอได้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเอง เพราะเธอกับคริสมักจะปล่อยให้ลูกแก้ปัญหาของตัวเองเสมอๆ

      และนั่นทำให้ดีโอโตมาเป็นเด็กที่เข้มแข็งและมีจิตใจเด็ดเดี่ยวมากกว่าคยองซู

      โดยสิ่งที่เธอและคริสต้องทำก็คือคอยให้คำปรึกษาแบบห่างๆก็เท่านั้น...

       

       

      “เฮ้อ...ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะครับ หวังว่าถึงตอนนั้นแล้วคงจะใจเย็นลงบ้าง

      ดูเอาสิโตจนป่านนี้แล้วก็ยังทำตัวเอาแต่ใจไม่มีเหตุผลอยู่อีก” ดีโอบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด

       

       

       

      “อ้าว...แล้วไหงไปว่าเขาแบบนั้น เราเองโตกว่าเขานักหรือไงหืม?

      เห็นตอนที่ลูกโกรธ คยองซูก็ทำตัวแบบนี้เหมือนกันนี่

      อย่าไปว่าน้องเลย คนเราจะโกรธจะโมโหน่ะก็ไร้เหตุผลอย่างนี้กันหมดทั้งโลก” เจสสิก้ากล่าว

       

       

      “เอาเถอะครับ...ว่าแต่พ่อยังไม่กลับมาอีกเหรอ?” ดีโอเอ่ยถามก่อนจะเงยหน้ามองดูนาฬิกา

       

       

      “ยังไม่กลับ...วันนี้พ่อเรากับลุงซองมินน่ะไปตีกอล์ฟด้วยกันตั้งแต่เย็นแล้ว

      ตอนนี้ไปกินเบียร์ด้วยกันโน่นแล้ว พ่อเพิ่งโทรมาบอกแม่เมื่อกี้” เจสสิก้าตอบพลางยักไหล่

       

       

      “อ้อ...แต่ผมว่าจุดประสงค์ของพ่ออยู่ที่เบียร์มากกว่าออกรอบนะ ฮ่าๆ” ผมเอ่ยแซว

       

       

      “จริงด้วยซี...นับวันรอบเอวก็ยิ่งเพิ่ม

      ลุงซองมินน่ะชวนพ่อเราดื่มบ่อยแต่ทำไมยังหล่อเหมือนเดิมเลยนะ

      ดูสิ...มีแต่พ่อเราที่อ้วนขึ้น” เจสสิก้าบ่นออกมายิ้มๆ

       

      “ผมจะฟ้องพ่อที่แม่บอกว่าพ่ออ้วน” ดีโอแหย่เจสสิก้าอย่างอารมณ์ดี

       

      “ก็มันจริงนี่นา...แม่พูดอะไรผิดไปตรงไหนกัน

      เออจริงด้วยสิ...วันนี้แม่ไปช็อปปิ้งกับป้าซันนี่แล้วไปซื้อเค้กกันแต่ดันเผลอหยิบติดมือกลับมาบ้านด้วย

      ลูกเอาไปให้ป้าซันนี่หน่อยสิ จะได้เอาไปง้อคยองซูด้วยไง” เจสสิก้าพูดก่อนจะหลิ่วตา

       

       

      “แม่ว่าไปตอนนี้จะได้ผลเหรอ?” ดีโอถาม

       

      หันไปมองเจสสิก้าที่ผุดลุกจากโต๊ะกินข้าวไปเปิดเอากล่องเค้กใบเล็กๆที่อยู่ในตู้เย็นออกมาวางไว้

      เจสสิก้าเลื่อนมันมาวางไว้ต่อหน้าดีโอแล้วยกยิ้มกรุ้มกริ่ม...

       

      อันความจริงที่ไปช็อปปิ้งกับซันนี่ก็จริงอยู่

      แต่เค้กก้อนนี้เธอน่ะซื้อมาเก็บไว้ให้ลูกชายและคยองซูได้กินโดยเฉพาะ

      แต่ในเมื่อสถานการณ์ของลูกชายมันต้องพึ่งสื่อกลาง

      เธอก็น่าจะเปลี่ยนวัตถุประสงค์จากที่เก็บไว้ให้กินเฉยๆเป็นอย่างนี้น่าจะโอเคมากกว่า...

       

       

      เธอกับซันนี่เลี้ยงทั้งดีโอและคยองซูมาตั้งแต่เด็กจนโต

      ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าเด็กสองคนนี้มีนิสัยยังไง คยองซูน่ะขี้ใจอ่อนอยู่แล้ว...

      โดยเฉพาะถ้าเป็นกับลูกชายเธอล่ะยิ่งแล้วใหญ่ แค่เอาเค้กไปอ้อนก็คร้านจะยกโทษให้แบบง่ายๆ

       

       

      “ก็ไปดูลาดเลาก่อนน่าจะดีกว่าอยู่เฉยๆไม่ใช่หรือไง? ลองยื่นให้แล้วยิ้มหวานๆสิ...”

       

      เจสสิก้ากล่าวพร้อมทั้งยกยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี...

       

       

       

      Rebirth

       

       

       

       

       แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่ได้ง้อคยองซูอย่างที่ตั้งใจ

      เพราะเมื่อไปถึงบ้านคยองซูป้าซันนี่ก็บอกว่าเขาออกไปข้างนอกและไม่ได้บอกด้วยว่าจะไปไหน

      และถึงแม้ว่าผมจะโทรหาเป็นสิบๆสายเขาก็ยังไม่รับสายเลย

       

      ผมตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเบอร์โทรออกที่นานๆครั้งจะเป็นคนโทรหาเสียทีหนึ่ง

      จนกระทั่งสิบห้านาทีต่อมาผมก็มานั่งอยู่ตรงนี้...

      ในร้านกาแฟร้านประจำที่ผมมักจะมากับ คยองซูเสมอๆ

       

       

      “อาชานยอลว่าผมควรทำยังไง?”

       

       

      ผมถามชานยอลออกไปด้วยความหงุดหงิด

      เพราะคยองซูปฏิเสธที่จะรับโทรศัพท์ของผมเป็นครั้งที่สามสิบห้า

      ชานยอลหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางของผมอย่างนั้น

       

       

      ผมรู้จักกับชานยอลเพราะว่าเขาเป็นเพื่อนของพ่อแม่...

      เอากันตามจริงจะเรียกว่าเพื่อนก็ไม่ถูกต้องเท่าไหร่

      เพราะอาชานยอล อาแบคฮยอน และอาจงอินนั้นเข้ามาทำความรู้จักกับพ่อแม่ของผมและคยองซูตั้งแต่ที่เรายังเด็กๆ

      และข่าวตอนนั้นเพิ่งจะแพร่กระจายออกไปใหม่ๆ

       

       

      พวกเขาขออาสาเข้ามาเป็นผู้ดูแลพวกเราอีกแรงหนึ่งโดยการพาเราไปเที่ยวบ้าง

      ไปรับไปส่งโรงเรียนถ้าพ่อกับแม่ไม่ว่าง หรือไม่บางทีก็เป็นคนสอนการบ้านให้พวกเราด้วยสลับกันไป

       

      เพราะงั้นถ้าจะพูดก็คือ ผมรู้จักกับอาชานยอลและอาคนอื่นๆมาสิบแปดปีแล้ว

      แต่พ่อกับแม่ก็ยังไม่เคยบอกเหตุผลกับผมซักทีว่าทำไมเขาถึงจับพลัดจับผลูขออาสามาดูแลพวกผมแบบนี้

      และถึงแม้ว่าจะถามพวกอาๆไปกี่ครั้งพวกเขาก็ยังไม่เคยตอบเลยซักที

       

      “นายเนี่ยน้า...ลองคิดดูดีๆสิว่าไปทำอะไรเอาไว้บ้าง

      ถ้ามันทำให้คยองซูโกรธมากขนาดนี้อาว่าน่าจะเป็นเรื่องใหญ่นะ”

       

       

      ชานยอลพูดพลางตักเค้กตรงหน้าเข้าปากแล้วเคี้ยวหงึบหงับ

      ในขณะที่ผมเองก็คาบหลอดดูดโกโก้เอาไว้อย่างหงุดหงิดในหัวใจ...

      ก็แล้วมันจะเป็นเรื่องอะไรกันล่ะ วันนี้เขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย

       

       

       

      “ก็ตอนเช้าเราก็ไปโรงเรียนด้วยกันปกติ

      อย่างที่อาก็รู้ก็คือว่าเราแยกห้องเรียนกันใช่ไหมล่ะ

      ตลอดทั้งเช้าผมก็เรียนไปตามปกติ ยังซื้อนมกล้วยไปให้เขาอยู่เลยเมื่อตอนกลางวันน่ะ

      แต่พอเย็นมาจะไปรับที่ห้องเรียนเขาก็โมโหใส่ผมแล้วง่า” ผมตอบชานยอลไปพร้อมทั้งครุ่นคิด

       

       

      “งั้นก็ลองคิดตอนบ่ายดูซิ ไปทำอะไรมาบ้างล่ะ” ชานยอลถามอีกครั้ง

       

       

      “ตอนคาบบ่ายผมก็เรียนตามปกตินะ ไม่ได้ออกจากห้องไปไหนเลย

      เอ้อ! แต่ช่วงพักคาบบ่ายก็ออกจากห้องนะ

      ต...แต่...  ไม่น่า...คยองซูไม่น่าจะเห็นหรอก”

       

       

       

      น้ำเสียงที่แผ่วลงและสั่นในท้ายประโยคทำให้ชานยอลต้องยกคิ้ว

      ก่อนจะตัดสินใจเลื่อนหน้าเข้าไปถามเด็กที่นั่งหน้าซีดอยู่ตรงนั้นให้แน่ใจ

       

       

      “รู้อะไรบ้างแล้วสินะ ไหนบอกมาซิว่าทำอะไรมา” ชานยอลถาม

       

       

      “ผมเปล่านะ...คือก็ไปก็ใช่ แต่ก็ไม่ได้เต็มใจนะ ยัยนั่นทำอะไรไม่บอกไม่กล่าวเอง”

       

       

      “พูดมาให้เคลียร์เลย...ไหนเล่ามาสิ” ชานยอลคาดคั้นเมื่อเห็นดีโอทำหน้าลำบากใจ

       

       

      “ก็คือ...ยูริน่ะ เธอเป็นเพื่อนในชั้นของผม

      ตอนช่วงพักยูริบอกให้ผมไปช่วยเธอแบกชีทไปส่งที่ห้องพักอาจารย์

      แต่ขากลับเธอดันจูบผมอ้ะ” ตอบพลางยักไหล่และกัดริมฝีปากทีหนึ่งอย่างเคร่งเครียด...

       

       

      “เฮ้ย...นายจูบเธอเหรอ?” ชานยอลขมวดคิ้วแล้วถามผมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

       

      “เปล่านะ! ตอนนั้นน่ะผมกำลังหยิบมือถือขึ้นมาดูเพราะว่าคยองซูส่งข้อความมา

      ยูริแอบจูบไม่ให้ผมได้ตั้งตัวอ่ะ  แต่ผมว่าคยองซูคงไม่เห็นมันหรอกใช่ไหม?”

       

       

      ผมถามพลางยกยิ้มเจื่อนเพื่อขอความเห็นจากชานยอล  

      แล้วก็พบว่าชานยอลกำลังหลิ่วตาให้ผมอย่างคาดโทษ

      เขาส่ายหน้ามาให้ผมอย่างไม่เห็นด้วยนักกับคำพูดของผม

       

       

      “ภาวนาอย่าให้เห็นแล้วกัน ไม่งั้นล่ะเป็นเรื่องใหญ่แน่...

      แต่ดีโอเอ๊ย อาล่ะระแวงจริงๆ ถ้าไม่ได้ทำอะไรที่มันคอขาดบาดตายอย่างอื่นอีก

      แล้วคยองซูจะโกรธนายเรื่องอะไรได้อีกนอกจากเรื่องนี้ล่ะ

       ไอ้เด็กบ้านี่ ทำอะไรไม่ระวังเลย รู้ใช่ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นชอบนายน่ะ แล้วยังจะไปกับเขาอีก โง่จริงๆ...”

       

       

      ชานยอลพูดพลางถอนหายใจก่อนจะตักเค้กตรงหน้ายัดเข้าปากผม

      ผมเคี้ยวมันหงับๆแต่ในใจรู้สึกถึงความกังวลที่พุ่งขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

       

       

      “ทำยังไงดีอ่ะอาชานยอล...”

       

       

      “แต่ความจริงก็ไม่น่าจะทำยังไงนิ พวกนายเป็นแฟนกันหรือไง?” ชานยอลยักไหล่

       

       

      “ก็ไม่ใช่...แต่โธ่! อาอย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปหน่อยเลยน่า!!

      พวกอาเองไม่ใช่หรือไงที่ยัดเยียดเรื่องพวกนี้ใส่หัวเราสองคน” ผมแหวใส่เขา

       

       

      “พวกฉันเปล่าซักหน่อย...แค่บอกว่ามันเป็นโชคชะตาไม่ใช่หรือไง

      นายน่าจะคิดและตั้งคำถามกับเรื่องนี้บ้างนะ ไม่คิดหรือไงว่าทำไมพวกนายเกิดมาหน้าตาเหมือนกันอย่างกับฝาแฝด

      พ่อแม่ของนายสองคนก็มาบังเอิญเจอกัน บังเอิญมาอยู่บ้านข้างๆ กันโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน

       

      นายน่าจะคิดต่อไปอีกซักหน่อยนะ ว่าทำไมทั้งหมดทั้งมวลถึงได้มาลงล็อคที่พวกนายสองคนไปหมด

      ถ้ามันไม่ใช่เพราะพระเจ้ากำหนดมาให้นายมาแก้ตัวในเรื่องที่เคยพลาด นายคิดว่านายจะมีวันนี้ไหม?

      อยากจะทำอะไรก็รีบๆทำ ก่อนที่นายจะพลาดอีก”

       

       

      ชานยอลพูดพลางเงียบไปในอึดใจ เขาเสตามองไปที่หน้าต่างข้างนอกร้าน

      ผมเห็นสีหน้าเขาดูจริงจังแตกต่างจากที่เราพูดกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

      ผมครุ่นคิดถึงคำที่เขาเพิ่มเพื่อหาเบาะแส...แต่แน่นอนว่าผมไม่เคยพบมัน แม้ว่าเขาจะพูดแบบนี้มาเป็นสิบๆครั้ง

      เวลาที่เร่งเร้าอยากจะให้ผมทำอะไรที่ควรจะทำ...อย่างเช่นการได้รักกับคยองซู

       

       

      “อาพูดแบบนี้อีกแล้ว...

      บอกมาสิว่าอาหมายถึงอะไร อารู้อะไรทำไมไม่บอกผม”

       

       

      ผมถามเขาพลางขมวดคิ้วเมื่อมองเข้าไปในตาของชานยอลแล้วเขากลับหลบตา

      อาเขาหยิบแก้วกาแฟขึ้นดูดเข้าไปเงียบๆเพื่อเลี่ยงคำถามของผม

       

      และแล้วก็เหมือนทุกที...เขาเฉไฉเพื่อที่จะไม่ตอบมัน...

       

       

      “รีบหาทางง้อคยองซูซะไอ้หนุ่มน้อย...แล้วได้โปรดอย่าถามคำถามนี้กับอาหรือพวกอาคนไหนอีก

      นายพยายามมาหลายหนแล้วนี่ใช่ไหม

      เพราะงั้นก็น่าจะรู้ได้แล้วนะ...ว่าคำถามนี้น่ะไม่มีคำตอบให้นายหรอก

       

       

      Rebirth

                       


      เที่ยงคืนแล้ว...และไฟในห้องของคยองซูก็ดับลงไปแต่ผมกลับรับรู้ได้ว่าเขายังไม่หลับ

      เอาจริงๆแล้วไฟนั้นถูกปิดไปตั้งแต่ตอนสี่ทุ่มกว่าๆ...

      แต่ที่ทำให้ผมรับรู้ว่าเขายังไม่ได้นอนก็เพราะเขาเดินมาเลื่อนเปิดประตูทางเชื่อมทิ้งให้มันเปิดทิ้งเอาไว้เมื่อครู่นี้

       

      ผมยกยิ้มออกมาบางๆเมื่อได้ยินเสียงประตูนั้นถูกเลื่อนเปิด...

      เก็บปากกา ปิดหนังสือและปิดโคมไฟบนโต๊ะให้ดับสนิท

      หลังจากนั้นก็พาตัวเองเดินไปตามทางเชื่อมเพื่อไปหาคยองซูอย่างช้าๆ

       

       

      ผมเลื่อนประตูทางเชื่อมให้ปิดลงเพราะว่าวันนี้อากาศค่อนข้างเย็นแม้ว่าจะเป็นค่ำคืนกลางเดือนกันยายนแบบนี้

      หันเข้าไปมองและปรับสายตาให้ชินกับความมืดและพบว่าคยองซูนอนหันหลังให้ผม...

      แต่ที่ทำให้ผมต้องยกยิ้มออกมาก็คือ เขายังมีแก่ใจเว้นที่นอนไว้ให้ฟากหนึ่งสำหรับผมโดยเฉพาะ...

      ทั้งๆที่ไม่น่าทำอย่างนั้น...เพราะเราก็ใช้พื้นที่ของเตียงแค่เพียงฝั่งเดียวอยู่แล้ว...

       

      ผมค่อยๆแทรกตัวเข้าไปในผ้าห่มหนานุ่มกรุ่นกลิ่นหอมเฉพาะตัวของเขา

      ก่อนจะสอดแขนเข้าไปกอดคยองซูเอาไว้จากด้านหลังอย่างรักใคร่...

       

      ใช่สิ ผมจะรักใครได้ล่ะถ้าไม่ใช่เขา...

      แต่คนที่โดนกอดอยู่อาจจะไม่รู้ตัวนักหรอก

      เพราะเราทะเลาะกันเพราะคนอื่นมาหลายครั้งหลายหนแล้ว

      ทะเลาะกัน...ด้วยความรู้สึกที่อาจจะเรียกได้ว่าหึงหวง...

       

       

       

      “หายโกรธฉันแล้วใช่ไหม?”

       

       

      ผมกระซิบที่ข้างหูเขา จนกระทั่งคยองซูตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้นั่นแหละผมถึงได้รู้ว่าเขากำลังร้องไห้...

                     

       

      “ป..ปล่อยเลยนะ มากอดทำไม” เขาตอบ

                     

       

      “ไม่ปล่อย...จนกว่านายจะหยุดร้องไห้”

                     

       

      “ฉันหยุดแล้ว ปล่อยสิ”

                     

       

      “ไม่เอาน่าคยองซู บอกฉันสิว่าฉันทำผิดอะไร? ทำไมเราถึงไม่คุยกันดีๆ”

                     

      ผมพูดพลางส่งแขนเข้าไปโอบรัดเขาไว้ให้แน่นกว่าเก่า...

      จนรับรู้ได้ว่าคยองซูกำลังสะอื้นเพราะแรงกอดนั้น

                     

       

      “บอกฉันสิ...ฉันมันคนงี่เง่านะคยองซู ถ้านายไม่บอกฉันก็ไม่รู้หรอก” ผมรบเร้า

                     

       

      “เอาจริงๆฉันกำลังเสียใจและกำลังสับสนมากๆที่โกรธนาย...

      เพราะความจริงฉันไม่มีสิทธิจะโกรธนี่  

      เพราะนายอยากจะจูบใครก็ได้ทั้งนั้น ฉันรู้ดีว่าฉันไม่มีสิทธิโกรธนายหรอก”

                     

       

      ว่าแล้วเชียว...เขาเห็นจริงๆด้วยสินะ...

       

       

      ผมคิดในใจหลังจากที่ได้ฟังคยองซูพูดเสียงแผ่วก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาออก

      ผมมองไม่เห็นว่าเขาทำหน้าแบบไหนเพราะว่าเขากำลังนอนหันหลังให้ผม

       

      “เฮ้...ถ้านายไม่มีสิทธิแล้วใครจะมีสิทธิอีกล่ะ หันมาทางนี้สิที่รัก...หันมาคุยกับฉัน”

       

      ผมพูดพลางยื้อไหล่ของคยองซูให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับผม...

      ในตอนแรกคยองซูพยายามจะขืนตัวไว้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็หันมาจนได้...

       

      “มานี่สิ...หยุดร้องไห้ได้แล้ว นายไม่เห็นต้องคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย...

      ถ้านายไม่ชอบก็บอกฉันสิ ถ้านายรู้สึกแย่จนทนไม่ไหวก็ตีฉันสิ...

      มีอะไรช่วยบอกฉันได้ไหม เราไม่น่าจะทะเลาะกันเรื่องนี้เลย”

       

       

      ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง...และเป็นอีกครั้งที่คยองซูเริ่มร้องไห้ออกมา

      ผมปาดน้ำตาออกให้เขา หลังจากนั้นจึงดึงตัวเขาเข้ามากอดไว้

       

       

      “พอแล้ว...หยุดร้องไห้สิคยองซู

      เรื่องนี้มันเป็นอุบัติเหตุนะ แต่ฉันจะไม่จูบกับใครอีกแล้วล่ะ...ฉันสัญญา” ผมบอกกับเขา

       

       

      “รักษาสัญญาของนายด้วยดีโอ...

      รู้ไหมทุกครั้งที่ฉันเห็นนายจูบกับใครหรือแม้กระทั่งยิ้มให้ใครน่ะ...มันทำให้ฉันสติแตก”

       

       

      คยองซูปาดน้ำตาออกมาแล้วตวัดอ้อมแขนกลับมากอดผมเอาไว้แนบแน่น

      น้ำเสียงอู้อี้เอาแต่ใจนั้นทำให้ผมต้องหัวเราะออกมาเบาๆเพราะนั่นแสดงว่าเขาพอใจกับคำพูดของผม

      และนั่นแปลว่าเขากำลังจะหายโกรธผมแล้ว...

                     

      “โอเค...ฉันสัญญาจะไม่จูบใครอีกนอกจากนาย”

                     

       

      “ขี้ตู่...ใครบอกว่าฉันจะให้นายจูบกัน”

                     

       

      “ไม่มีใครบอก...แต่ฉันจะจูบเอง มาสิ...ริมฝีปากนี้เป็นของนายนะ นายควรจะใช้สิทธินั้นเดี๋ยวนี้”

                     

       

      “ถ้าริมฝีปากนี้เป็นของฉันจริง...นั่นหมายความว่าฉันจะจูบมันเมื่อไหร่ก็ได้”

                     

       

      “หายโกรธฉันแล้วใช่ไหม?” ผมกระซิบถามเขาพร้อมทั้งยกยิ้ม

                     

       

      “ในเมื่อนายยืนยันและสัญญาแล้ว...ฉันเลยคิดว่าฉันไม่ควรจะกังวลกับมันอีก”

       

       

      น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจนั้นเริ่มกลับมาเป็นเขาอีกครั้ง...

      ผมหัวเราะก่อนจะเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้เขา ก่อนจะกดจูบลงไปเบาๆที่ริมฝีปากนั้นอย่างรักใคร่

      มอบสัมผัสแผ่วเบาแล้วถอนออก

      มองเห็นคยองซูยกยิ้มออกมาบางๆทั้งๆที่น้ำตายังเคลียแก้มใส

      ผมจึงจัดการยกมือขึ้นเช็ดมันออกไปให้พ้นจากสายตา ก่อนจะพรมจูบลงไปที่หน้าผากอีกครั้ง

       

      “ว่าแต่วันนี้นายไปไหนมา ฉันไปง้อนายเมื่อตอนหัวค่ำ แต่แม่นายบอกว่านายไม่อยู่”

      ผมถามเขาเมื่อจู่ๆก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ คยองซูส่ายหน้าแล้วบอกกับผมแผ่วเบา

       

      “ก็แค่ที่ๆหนึ่งที่ฉันอยากจะไปนั่งอยู่เงียบๆและคิดถึงเรื่องของนาย...

      บางทีการได้อยู่ที่นั่นคนเดียวมันก็ทำให้ฉันสงบใจได้บ้าง” เขาตอบผมพลางกระพริบตาปริบๆอย่างอ่อนเพลีย

       

       

      “มันคือที่ไหนล่ะ...บอกฉันได้ไหม?” ผมถามเขาอีกครั้ง

       

      “บอกไม่ได้...มันเป็นความลับของฉัน

      แต่ฉันจะบอกนายเมื่อถึงเวลา และแน่นอนว่าไม่ใช่ตอนนี้แน่ๆล่ะ"

       

       

      เขาพูดก่อนจะหลับตาลง

      ผมเห็นแววตาของเขาบวมช้ำและท่าทางอ่อนเพลียที่เขาแสดงออกโดยไม่ได้ตั้งใจ

      และเมื่อเห็นเห็นอย่างนั้นผมจึงคิดว่าผมควรจะปล่อยให้เขาได้นอนพักผ่อน...

       

       

      “หยุดคิดมากและนอนได้แล้ว...

      พรุ่งนี้เราต้องไปเรียนแต่เช้าและเราไม่ควรสายนะจริงไหม?” ผมพูดกับเขาในขณะที่ลูบกลุ่มผมนุ่มเบาๆ

       

       

      “อืม...เราควรจะนอน”

       

      “ฝันดีนะคยองซู” ผมกระซิบกับเขาพร้อมทั้งยกยิ้มบางๆส่งไปให้

       

      “ฝันดีครับ”

       

       

      คยองซูกระซิบก่อนจะเคลื่อนตัวเข้ามาซุกที่อกของผมแล้วหลับตาลงอย่างว่าง่าย

      ผมรู้ว่าสัมผัสอบอุ่นที่เรามอบให้กันจะทำให้เขาหลับสบาย

      เขาพยักหน้าแล้วหลับตาพริ้ม ก่อนที่ผมเองจะเข้าสู่นิทราไปพร้อมๆกันกับเขา...

       

       

      ไม่นานเท่าไหร่นักที่ดีโอเข้าไปสู่ห้วงแห่งความฝัน

      หากแต่คนที่อยู่ในอ้อมกอดที่เขาคิดว่าหลับสนิทไปแล้วกลับไม่ได้หลับไปอย่างที่เขาเข้าใจ

       

      คยองซูลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด ข้างหน้าคือแผ่นอกกว้างของดีโอและอ้อมแขนที่ให้ความอบอุ่นแก่เขา

      คยองซูเคลื่อนตัวขึ้นไปจุมพิตที่ปลายคางของคนที่หน้าตาเหมือนตัวเอง

      ก่อนจะกระซิบเสียงแผ่วท่ามกลางความเงียบงันที่อยู่ภายใต้เสียงหายใจเข้าออกเป็นจังหวะของดีโอว่า...

       

       

      “ใช่ว่าฉันจะไม่รู้ว่าเราคิดเหมือนกันหรอกนะที่รัก...

      แต่สิ่งที่ฉันต้องทำคือการทำให้ความทรงจำของเราในตอนนี้แน่ชัดที่สุด 

      มันยังไม่ถึงเวลาที่นายจะต้องเอาอดีตพวกนั้นกลับมาใส่ใจ เพราะนั่นเป็นความผิดของฉัน

       

      แต่ฉันสัญญาว่านายจะได้รับรู้มันแน่นอน

      เพราะฉันจะบอกกับนายเมื่อความทรงจำในภพนี้ของเราแจ่มชัดมากพอที่จะไม่ทำให้นายสับสนกับคราวก่อน

      หลับตาเถอะที่รัก...และเก็บเกี่ยวความฝันในตอนนี้และยิ้มกับมันซะให้เพียงพอ

      และเมื่อไหร่ที่ถึงเวลา ฉันจะเป็นคนเฉลยเองว่าทำไมเราถึงต้องเกิดมาเป็นแบบนี้

      ...เกิดมาเพื่ออยู่คู่กัน...” 

                     

      คยองซูกระซิบเสียงแผ่วในลำคอ

      ก่อนที่สุดท้ายแล้วเขาก็ก้มลงจูบดีโอด้วยความรักและแผ่วเบาจนเขาไม่รู้สึก...

      มันยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องบอกเขา...คยองซูมีหลายอย่างที่ต้องทำเพื่อรอคอยให้วันนั้นได้มาถึงอย่างช้าๆ

      และเวลาก็คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกที...

      แค่รอคอยจนถึงวันนั้น...ก็เท่านั้นเอง

       

       

      Rebirth

                       

       

      2 ปีก่อน...

       

      คยองซูนั่งอยู่กับแบคฮยอนที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง...

      อาเขาร้องห่มร้องไห้ราวกับคนสติแตกและสุดท้ายก็โทรเรียกให้คยองซูมานั่งอยู่เป็นเพื่อนตรงนี้

      และถึงแม้ว่าจะสอบถามว่าเป็นอะไรแต่แบคฮยอนกลับได้แต่นิ่งเงียบและร้องไห้

      คยองซูคิดว่าอาเขาคงอยู่ในอาการช็อคหรืออะไรซักอย่างถึงได้ไม่ยอมพูดมันออกมา

      แต่กลับพึมพำเพียงแค่คำๆเดียวเท่านั้น...

       

       

      มันเป็นความผิดของฉัน...มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด...

       

       

      “อาควรจะบอกผมว่าอาทำผิดอะไร...เรื่องนี้เราช่วยกันแก้ไขได้ไม่ใช่หรือ?

      ทำไมต้องเอาแต่โทษตัวเองอย่างนั้น?

      อาบอกผมมาเถอะ...ในเมื่อเรียกผมออกมาแบบนี้แล้ว”

       

       

      ผมพูดกับแบคฮยอนที่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้และทำท่างกๆเงิ่นๆราวกับจะพูดกับผมแล้วก็หยุดชะงักไป...

      มันเป็นอย่างนี้มาร่วมสิบนาทีได้แล้ว และผมคิดว่าตอนนี้ผมชักจะทนไม่ไหว

      “อาไม่รู้ว่าควรจะบอกกับนายยังไง...มันยากมากนะคยองซู 

      อารู้สึกผิดกับมันเหลือเกิน...ทุกคนห้ามไม่ให้อาบอก

      แต่นายรู้ไหมว่ากี่ปีมาแล้วที่อาหลับฝันแล้วเห็นแต่ภาพพวกนั้น

      อาทรมานมาก...มันเหมือนตราบาป ตราบาปที่อาไม่รู้จะทำยังไงเพื่อลบมันออกไป”

       

       

      “ฝันอะไร? ตราบาปอะไร?

      อาพูดเหมือนกับว่าเคยไปฆ่าคนตายมาแล้วอย่างนั้นล่ะ”

       

       

      ผมถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก...

      ถึงแม้ว่าคำพูดที่แบคฮยอนจะเปิดใจพูดออกมาหลังจากที่นิ่งงันไปเกือบสองชั่วโมงเศษ

      อาเขาก็สารภาพ...แต่คำสารภาพนั้นทำให้ผมต้องคิ้วขมวด

       

       

      “ไม่ใช่ก็เหมือนใช่...อาทำผิดไปหมด

      อาไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้น อาไม่ได้ตั้งใจ

      ฉ..ฉันขอโทษนะคยองซู”

       

       

      แบคฮยอนพูดเสียงแผ่วก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมาอีกระลอกหนึ่ง...

      ผมเอื้อมมือไปแตะที่บ่าอาเขาเบาๆเพื่อปลอบโยน ก่อนจะรบเร้าถามเขาอีกครั้ง

       

      “ขอโทษผม? เรื่องอะไร? อาบอกผมสิ...”

       

       

      ผมถามเขาอย่างไม่เข้าใจ แบคฮยอนค่อยๆปาดน้ำตาก่อนจะสูดหายใจลึก

      เขาหลับตาลงแล้วเงียบไปเหมือนพยายามจะครุ่นคิดอะไรซักอย่าง

      แต่จนในที่สุดแล้วเขาก็พูดมันออกมาจนได้

       

       

      “เก็บเป็นความลับได้ไหมคยองซู...

      ต่อไปนี้เรื่องที่ฉัน... อ...อาจะพูดไปคือความลับระหว่างเราสองคนนะ

      อย่าบอกอาชานยอลและอาจงอินเด็ดขาด

      และหลังจากที่นายรู้เกี่ยวกับมันแล้ว นายจะทำยังไงกับมันก็ได้...แต่อาขอร้องให้นายยกโทษให้อาด้วย”

       

       

      แบคฮยอนพูดก่อนที่น้ำตาที่เขาเพิ่งปาดมันออกเมื่อกี้จะไหลลงมาอีกครั้ง

      ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจเมื่อได้ฟัง

       

      “อาหมายความว่ายังไง?”

       

      ผมถามอย่างไม่เข้าใจ...รู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นผิดจังหวะเมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติในสายตาของอาเขาอย่างนั้น

       

      “ตามอามาสิ...อามีที่นึงที่อยากจะพานายไป”

       

       

      Rebirth

                       

       

      “จำรหัสได้ไหม?”

       

      แบคฮยอนถามขึ้นก่อนจะผายมือให้ผมกลายเป็นคนกรอกรหัสที่หน้าประตูนั้น

      ความรู้สึกในใจของผมสับสนเหลือเกินในตลอดเวลาที่เดินทางมายังคอนโดแห่งนี้

      และมันหนักอึ้งทุกทีที่ผมเริ่มตั้งคำถาม...

       

      ผมยังไม่เคยมาที่คอนโดแห่งนี้มาก่อน และผมมั่นใจว่าเป็นอย่างนั้น

      แต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าทำไมผมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่จนน่าประหลาด

       

      เดจาวู...ผมคิดว่าผมอาจจะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น

       

       

      อาการปวดหนึบที่ศีรษะของผมเริ่มหนักหน่วงขึ้นมาเมื่อมองเห็นภาพต่างๆที่หมุนเวียนขึ้นมาในหัวแบบนั้น

      ตั้งแต่ที่ผมก้าวเท้าลงจากรถของอาเขา อาการเหล่านั้นก็ยิ่งทวีคูณขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

       

      “อ...อาพาผมมาที่นี่ทำไม?

      ผมจะจำรหัสได้ยังไง น...ในเมื่อผมไม่เคยมาที่นี่” ผมพูด

       

      “จำไม่ได้เลยหรือ? ไม่รู้สึกว่ามันคุ้นเคยบ้างเหรอ? ลองคิดดูหน่อยสิ”

       

      แบคฮยอนรบเร้าด้วยความกังวลใจ แต่ผมไม่อาจจะรับรู้ถึงมันได้เพราะรับรู้ถึงขมับที่กำลังเต้นตุบๆ

      ผมเดินไปยืนอยู่ที่หน้าประตูอย่างเก้ๆกังๆ...

      ไม่แน่ใจนักว่ากำลังทำอะไร แต่มือกลับยกขึ้นมาวางไว้ตรงที่ปลดล๊อคหน้าประตูนั้น

      พยายามจะคิดรหัสผ่านประตูที่แบคฮยอนคะยั้นคะยอให้ผมลองเปิดมันเสียเหลือเกิน

       

      น่าแปลกใจนักที่เมื่อนิ้วเรียวของผมไปจรดอยู่ที่ปุ่มกดเหล่านั้น

      ความคิดวูบหนึ่งที่แว๊บขึ้นมาในหัวสมองนั้นทำให้นิ้วของผมทำงานไปโดยอัตโนมัติ

       

      0112…วันเกิดของผมและดีโอ...

       

      แบคฮยอนยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจที่ได้ยินเสียงปลดล๊อคประตูนั้นดังขึ้น

      แต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่าจะกล้าเปิดมันไหม

      ผมไม่รู้ว่าจะพบเจออะไรในนั้น แต่ที่แน่ๆอาการที่หัวใจเต้นแรงของผมนั้นกำลังบ่งบอกว่าผมกำลังตื่นเต้นเสียเหลือเกิน

       

      “เข้าไปสิ...”

       

      แบคฮยอนบอกกับผมราวกับอ่านความคิดออก

      ผมจึงยกมือไปเปิดประตูออกเมื่อได้ยินที่เขาพูดแบบนั้น...

       

      “…………………………..……….”

       

      ผมกวาดตามองห้องที่ค่อนข้างจะเก่า  

      ไม่ใช่...ไม่ได้หมายถึงว่ามันดูเก่า ทุกอย่างยังคงดูดีไม่มีการชำรุดเสียหาย

      แต่เฟอร์นิเจอร์นี่สิ อย่างกับอยู่ในยุคเก่าสักเมื่อสิบปีก่อนเห็นจะได้

      สองขาของผมก้าวไปเรื่อยดูห้องนั้นห้องนี้ราวกับเคยอยู่ที่นี่มานานเสียหลายปี

       

      นี่มัน..              

       

      ผมเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะไม้ตัวหนึ่งที่มุมห้อง

      ลูบรอยสลักแบบลวกๆที่คิดว่าน่าจะเกิดจากการเอาคัทเตอร์หรือไม้บรรทัดขูดมันให้เป็นสัญลักษณ์ชื่อของใครคนหนึ่ง

       

      มันคือโต๊ะของผม...

       

      เพราะตรงมุมโต๊ะทำงานที่สลักชื่อ DK ’s desk ไว้เสียขนาดนั้น จะไม่รู้ได้ไงไหว...

       

       

      ผมเดินสำรวจตรวจตราไปรอบห้อง

      โดยที่ไม่แน่ใจนักว่าแต่ละจุดแต่ละมุมนั้นมีความทรงจำที่พวยพุ่งขึ้นมาได้อย่างไร...

      ผมรับรู้ว่าตรงไหนคือที่ของผม ตรงไหนที่ผมทิ้งสัญลักษณ์ไว้

      แม้กระทั่งขอบบิ่นของถ้วยกระเบื้องที่ผมคิดว่าไม่น่าจะอยู่ตรงนั้น...

       

      แต่มันกลับอยู่ที่เดิมไม่ผิดเพี้ยน...

       

      ความคิดนี้แล่นขึ้นมาในหัวของผมโดยที่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น

      ก่อนที่จะเดินไปมุมหนึ่งของห้องแล้วพบกับรูปของผมและดีโอ

       

      รูป.. รูปของผมงั้นเหรอ?

       

      ผมหันหน้าไปหาอาแบคฮยอนอย่างต้องการคำตอบ หากแต่เขากลับยักไหล่ก่อนจะกระซิบบอกกับผม

       

      “อาจะลงไปข้างล่างและซื้อกาแฟขึ้นมาให้

      อาแน่ใจว่านายอาจจะอยากใช้เวลานี้ รื้อฟื้นความทรงจำ หรืออะไรต่อมิอะไรซักหน่อย”

       

       

      แบคฮยอนพูดแผ่วเบาก่อนจะเดินออกไป...

      ทิ้งผมเอาไว้เพียงลำพังในห้องกว้างๆห้องนี้ ถึงแม้ว่ามันจะเงียบงันและดูเก่าลงไปเพราะฝุ่นจับ

      แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกลัวมันเลยซักนิด มิหนำซ้ำยังรู้สึกดีเหมือนว่านี่เป็นบ้านหลังที่สองอย่างไรก็อย่างนั้น...

                     

      ผมเดินสำรวจไปทั่วทั้งห้องตามลำพัง

      จนกระทั่งพบกล่องใบหน้าที่ถูกคล้องแม่กุญแจวางเอาไว้อยู่ที่หลืบมุมของใต้ตู้เก็บของที่ไม่น่าจะมีใครพบเจอหรือเห็นมันได้

      แม่กุญแจสีขาวอันเล็กถูกคล้องที่กล่องหนังนั้นเอาไว้ และไม่มีวี่แววของลูกกุญแจอยู่แถวนั้น....

      แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันน่าตลกจริงๆที่ผมรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน

      เมื่อผมเดินข้ามไปอีกฟากห้องเพื่อหยิบเอากุญแจที่ซ่อนอยู่ใต้กองเสื้อผ้าในตู้เพื่อมาเปิดมันออกจนได้

       

       

      ...แต่นั่นสินะ...แล้วผมรู้ได้ยังไง...

       

      ผมไขกุญแจให้เปิดออกก่อนที่แทบจะหยุดหายใจเมื่อพบเจออะไรบางอย่างอยู่ในนั้น

      สิ่งที่ผมไม่แน่ใจเลยว่าทำไมถึงต้องใจเต้นระทึกเมื่อเห็นมันนอนแน่นิ่งอยู่ในกล่องไม่ไปไหน

      ...ไอแพดรุ่นแรกๆที่ผมเคยเห็นแต่ในอินเตอร์เน็ต...

       

      ผมหยิบมันขึ้นมากดปุ่มเปิดอย่างคล่องแคล่ว...

      ถึงแม้ว่าไอแพดนั้นจะรุ่นเก่าคร่ำครึจนคิดว่าสมัยนี้น่าจะหาซื้อมันไม่ได้อีกแล้ว

      ก่อนจะพบว่ามันยังใช้การได้และอยู่ในสภาพดีมาก

      ที่สำคัญคือแบตเตอรี่ยังคงเต็มเปี่ยมแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตามแต่...

       

      หน้าจอสัมผัสเด้งโปรแกรมขึ้นมาให้กดรหัสที่หน้าจอ

      และมันเป็นอีกครั้งที่ผมเดาถูกเพราะผมรู้สึกคุ้นเคยเหลือเกินที่จะกดเปิดมันแบบนั้น

      ...ก่อนที่ภาพที่หน้าจอที่ปรากฏจะทำให้ผมแทบหยุดหายใจ...

       

      ใบหน้าของผมและใบหน้าของดีโอโชว์หราอยู่เต็มหน้าจอ..

      ในรูปนั้นผมและเขาดูมีอายุมากกว่านี้ซักสามถึงสี่ปีเห็นจะได้

      น้ำตาไหลลงมาเมื่อเห็นอย่างนั้นโดยไม่เข้าใจว่าทำไม

      และศีรษะที่ปวดหนึบก็กำลังเต้นตุบๆจนแทบจะระเบิดเมื่อมือและร่างกายของผมทำงานไปโดยโดยอัตโนมัติ

       

      มือของผมเลื่อนไปสัมผัสปุ่มแกลเลอรี่รูปภาพเพื่อพยายามจะค้นหาบางอย่าง

      ก่อนที่ผมจะรับรู้เรื่องราวทุกอย่างจากในนั้น...

       

      เหมือนกับว่าโลกทั้งหมดถูกทำให้มืดสนิทด้วยฝีมือของใครสักคน

      ผมรู้สึกหน้ามืด ก่อนที่จะล้มลงไปนั่งกับพื้น เข่าอ่อนฮวบและหลับตาปี๋

       

      ผมรู้สึกหัวหมุน และพื้นใต้ฝ่าเท้าก็เหมือนกำลังจะพลิกกลับขึ้นมา

      หัวใจของเต้นกระตุก ขมับสองข้างของผมลั่นดังตุบ

      ผมหายใจก่อนจะทรุดลงไปกองกับพื้นห้อง เมื่อภาพต่างๆถูกขุดขึ้นมาจากส่วนลึกที่ไม่อาจทราบได้

      ผมอ้าปากหอบหายใจเมื่อภาพความทรงจำนั้นวนเวียนผ่านสมองไปอย่างรวดเร็วราวกับม้วนเทปที่ถูกกรอกลับ

       

      ...จนกระทั่งทุกอย่างก็กลับเป็นปกติในเวลาไม่กี่อึดใจ...

       

      ผมยันตัวลุกขึ้นจากพื้นที่นอนอยู่ อาการปวดศีรษะหายเป็นปลิดทิ้ง

      และตอนนี้น้ำตาของผมก็ทะลักลงมาราวกับเขื่อนแตก

       

      ...ผมจำมันได้แล้วทุกอย่าง...

       

      ยกมือขึ้นปิดปากและร้องไห้จนตัวโยน

      มองหน้าแบคฮยอนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม...แต่รอยยิ้มกลับพรายเต็มหน้าเขา

       

       

      “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะเพื่อนรัก...และโปรดอภัยให้ฉัน

      เพราะนี่อาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันได้ทำ.. เพื่อนายทั้งสองคน

       

       

      Rebirth

                       

       

       

       

      มันเป็นเวลาผ่านมาหลายปีแล้วนับจากวันที่ผมและคยองซูได้ผ่านเหตุการณ์ทะเลาะกันในวันนั้น

      ผมแทบจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเราเคยพูดถึงสถานที่แห่งความลับของคยองซูมานานแค่ไหน

      ผมแค่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาหายตัวไปนั่นก็หมายความว่าเขาอยู่ที่นั่น...

      แต่ถึงแม้ว่าผมจะถามเขากี่หนเขาก็ไม่เคยเปิดเผยมันเลยซักที...

       

      ผมรู้สึกประหลาดใจเมื่อวันนี้ตื่นมาแล้วไม่เจอเขา

      แต่กลับพบโน๊ตแผ่นเล็กๆที่ติดไว้ตรงหน้ากระจกแทน...

      หยิบมาขึ้นมาอ่านแล้วก็ได้ใจความว่าวันนี้เขาไปสถานที่แห่งความลับอีกแล้ว...

      แต่ที่แปลกออกไปคือวันนี้เขาต้องการให้ผมไปหาเขาที่นั่นด้วย

       

       

      ผมรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวและออกจากบ้านมาในที่สุด

      ก่อนที่หัวใจจะเต้นระทึกเมื่อผมขึ้นรถแท๊กซี่มาตามที่อยู่ที่เขาเขียนไว้

      และผมค้นพบว่าทางที่ผมกำลังเดินทางไปมันช่างคุ้นตาและทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด

       

      ตามจริงแล้ววันนี้เราควรออกไปเดินหาหอพักเพื่อจะได้เริ่มต้นใช้ชีวิตนักศึกษาด้วยกัน

      และนั่นแหละที่ทำให้ผมประหลาดใจก็เพราะว่าเส้นทางนี้อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่เราทั้งคู่สอบติดเอามากๆ

       

      และมันน่าแปลกใจที่ตอนนี้ในหัวของผมกลับมีภาพต่างๆที่แล่นขึ้นมา

      ทั้งๆที่ผมแน่ใจว่าผมไม่เคยได้กระทำหรือว่าเห็นมันมาก่อน...

       

       

      ผมจำได้ถึงร้านนั้นที่ผมและคยองซูชอบลงมาหาอะไรกินด้วยกันในวันเสาร์...

      ร้านไอศกรีมที่เราชอบไปนั่งหย่อนอารมณ์นั้นเจ๊งไปแล้วแต่กลับกลายเป็นช็อปเครื่องสำอางแทน

      สวนสาธารณะที่บางทีเราก็ชอบลงมาเดินเล่นด้วยกันในเวลาที่มีแสงแดดอุ่นๆและอากาศดีๆ...

       

       

      มันอาจจะดูบ้าบอ...แต่ผมมั่นใจว่าผมกำลังคิดไม่ผิดไป

      หัวใจของผมเต้นกระตุกและดวงตาก็เบิกกว้างตลอดเวลาที่แท็กซี่ขับผ่านเส้นทางนั้น

       

      ก่อนที่สุดท้ายเมื่อผมถึงที่หมาย...ความทรงจำบางอย่างนั้นก็ผุดพรายขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ 

      ผมเริ่มออกวิ่ง...และแม้ไม่ต้องเช็คที่หมายในกระดาษโน๊ตแผ่นเล็ก ผมก็รับรู้ได้ว่าผมต้องไปที่ไหน

       

      แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...

       

       

      ผมหายใจหอบเมื่อวิ่งมาจนถึงลิฟท์ที่หมาย กดปุ่มชั้นปลายทางที่ต้องการแล้วหัวใจก็เต้นระทึก

      เสียงของคยองซูดังก้องเข้ามาในหู และผมเองมั่นใจว่าตลอดเวลาตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งเราอายุ 21 เหมือนอย่างตอนนี้

      ...เขาไม่เคยพูดมันกับผมเลยซักครั้งเดียว...

       

       

      เขาว่ากันว่าฝาแฝดมีสัญญาณพิเศษที่เชื่อมถึงกัน

      ฉันรู้ว่าฉันมีนายอยู่ที่นี่...

      เพราะฉันมักจะฝันถึงนายเสมอ คยองซู

       

       

      เราถูกฟ้ากำหนดให้เชื่อมโยงกัน...ให้คู่กัน

      ดังนั้นไม่ว่านายจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรบนโลกใบนี้

      ฉันก็จะอยู่ที่นั่นเสมอ...

       

       

      ตึกตัก....ตึกตัก...ตึกตัก...

       

       

      หัวใจของผมเต้นรัวอย่างกับยิงปืนกลเมื่อภาพทุกอย่างนั้นค่อยผุดขึ้นมาจากความทรงจำอย่างช้าๆ...

      ศีรษะของผมปวดร้าวจนแทบระเบิดจนผมต้องหลับตาลงแน่น

      ก่อนที่จะรู้สึกว่าหัวสมองขาวโพลนไปหมด ราวกับว่ามันคือระเบิดเวลาที่ฝังอยู่ในหัวผมเอง

       

       

      ฉันกับนายไม่ใช่พี่น้องกันหรอกคยองซู...

      ฟ้ากำหนดไว้แล้วให้ฉันและนายเกิดมาคู่กัน

      ฉันกับนาย นายกับฉัน...เราทั้งสองคน

      เราเป็นคนๆเดียวกัน

       

       

      “อ...อึก” 

       

       

      ผมอ้าปากหอบหายใจเมื่อประโยคสุดท้ายที่ผุดขึ้นในหัวนั้นราวกับว่าปลดปล่อยทุกอย่าง...

      ผมคว้าราวลิฟท์เอาไว้มั่นแล้วหอบหายใจเพื่อปรับลมหายใจให้กลับเป็นปรกติอย่างช้าๆ

      ลิฟท์มาถึงชั้นที่หมายแล้ว...และผมจึงเริ่มออกวิ่งไปยังห้องที่อยู่สุดปลายทางเดินของตึก

      กดรหัสเปิดหน้าห้องโดยไม่ต้องหยุดคิดด้วยซ้ำ

       

      ...เพราะผมจำมันได้หมดทุกอย่างแล้ว...

       

      ผมเปิดประตูห้องเข้าไปแล้วพบว่าคยองซูนั้นกำลังยืนยิ้มอยู่ที่กลางห้อง

      ดวงตาคู่หวานนั้นไม่ได้เหมือนคยองซูคนที่ผมรู้จักอีกต่อไป...

      แต่เขากลายเป็นคยองซูคนเดิมไปแล้ว

       

      ผมตวัดแขนไปโอบกอดเขาแล้วเริ่มร้องไห้

      กอดเขาไว้ราวกับว่าโหยหาอ้อมกอดของกันและกันมาแสนนานทั้งๆที่เมื่อคืนนี้เราก็โอบกอดกันอยู่ทั้งคืน

       

       

      “ฉันจำได้...ฉันจำมันได้แล้วที่รัก”

       

      ผมกระซิบบอกกับเขาแล้วเราทั้งสองคนก็เริ่มร้องไห้

      แต่มันไม่ใช่น้ำตาของความโศกเศร้าหรอก หากแต่เป็นน้ำตาแห่งความคิดถึง...

      ความคิดถึงที่ถูกฉีกแยกวิญญาณออกไปนานแสนนาน

      หากแต่ตอนนี้ราวกับว่าวิญญาณที่ถูกแยกไปนั้นตามหาร่างและหัวใจที่ถูกพลัดพรากไปแล้วในที่สุด...

       

      เราสองคนกอดกันเนิ่นนานและน้ำตาก็รินไหล

      ผมผละอ้อมกอดออกก่อนจะประทับจูบไปบนริมฝีปากสีแดงเอิบอิ่มของคยองซูด้วยความรักเต็มหัวใจ

       

      เรากลับมาเป็นเราแล้วในที่สุด...และทุกความทรงจำนั้นช่างมีค่า

      มันทำให้ผมเข้าใจว่าทำไมชาตินี้เราถึงต้องเกิดมาอยู่ข้างกันตั้งแต่เกิด...

      ชดใช้ทุกอย่างที่เราเคยทำพลาดไป

       

       

      ผมสะอึกหากแต่ก็พยายามกระซิบมันออกมา...

      คำพูดหนึ่งที่อยากจะให้คยองซูรับรู้ และจำได้...

      คำพูดหนึ่งที่ตราตรึงเราเอาไว้ในสองภพชาติที่เราล่วงเลยมา

       

      และถึงแม้ว่ามันจะผ่านมานานเท่านาน...แต่ความหมายและการกระทำของมันทุกอย่างนั้นก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนไป...

      ผมกอดรัดเขาแน่นและกระซิบกับเขา...

       

       

      “คยองซูยา...นายฟังฉันนะ

      และต่อให้ผ่านไปอีกกี่ภพกี่ชาติฉันก็ยังจะยืนยันที่จะบอกนายอย่างนี้...

      เพราะนายคือครึ่งหนึ่งของฉัน เป็นความฝันทั้งชีวิต...

      และเป็นทั้งหมดของลมหายใจ

       

       

      ใช่...

       

       

       

      และเราจะรักกันอย่างนี้...ทุกๆชาติไป...

       

       

       

       

      -   The End   -

       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      "รักเรื่องนี้มาก"

      (แจ้งลบ)

      หลังจากที่พี่นมนแต่ง THE TWINS* ออกมาแล้วว หนูติดจนไม่รู้จะติดยังไงแล้วค่ะ มันชอบมากๆๆเลยอ่ะ จนอยากได้เก็บไว้ (แต่ไม่ทัน) มีทั้งสุขและเศร้า วันนี้กลับมาแต่ง REBiRTH ต่อ ถึงแม้มันจะแค่สั้นๆ แต่มันทำให้หนูรู้สึกว่าทุกๆอย่างที่แต่งเหมือนเป็นความจริงขึ้นมายังไงอย่างนั้นเลย ชอบเรื่องแนวนี้มาก ชอบที่พี่แต่งทุกเรื่อง ชอบคำคมต่างๆของพี่ ชอบทุกอย่างที่เป็นพ ... อ่านเพิ่มเติม

      หลังจากที่พี่นมนแต่ง THE TWINS* ออกมาแล้วว หนูติดจนไม่รู้จะติดยังไงแล้วค่ะ มันชอบมากๆๆเลยอ่ะ จนอยากได้เก็บไว้ (แต่ไม่ทัน) มีทั้งสุขและเศร้า วันนี้กลับมาแต่ง REBiRTH ต่อ ถึงแม้มันจะแค่สั้นๆ แต่มันทำให้หนูรู้สึกว่าทุกๆอย่างที่แต่งเหมือนเป็นความจริงขึ้นมายังไงอย่างนั้นเลย ชอบเรื่องแนวนี้มาก ชอบที่พี่แต่งทุกเรื่อง ชอบคำคมต่างๆของพี่ ชอบทุกอย่างที่เป็นพี่แต่ง #ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้นะค่ะ จะติดตามทุกเรื่องๆเลย   อ่านน้อยลง

      MAPLEMIND | 4 ธ.ค. 55

      • 4

      • 0

      คำนิยมล่าสุด

      "รักเรื่องนี้มาก"

      (แจ้งลบ)

      หลังจากที่พี่นมนแต่ง THE TWINS* ออกมาแล้วว หนูติดจนไม่รู้จะติดยังไงแล้วค่ะ มันชอบมากๆๆเลยอ่ะ จนอยากได้เก็บไว้ (แต่ไม่ทัน) มีทั้งสุขและเศร้า วันนี้กลับมาแต่ง REBiRTH ต่อ ถึงแม้มันจะแค่สั้นๆ แต่มันทำให้หนูรู้สึกว่าทุกๆอย่างที่แต่งเหมือนเป็นความจริงขึ้นมายังไงอย่างนั้นเลย ชอบเรื่องแนวนี้มาก ชอบที่พี่แต่งทุกเรื่อง ชอบคำคมต่างๆของพี่ ชอบทุกอย่างที่เป็นพ ... อ่านเพิ่มเติม

      หลังจากที่พี่นมนแต่ง THE TWINS* ออกมาแล้วว หนูติดจนไม่รู้จะติดยังไงแล้วค่ะ มันชอบมากๆๆเลยอ่ะ จนอยากได้เก็บไว้ (แต่ไม่ทัน) มีทั้งสุขและเศร้า วันนี้กลับมาแต่ง REBiRTH ต่อ ถึงแม้มันจะแค่สั้นๆ แต่มันทำให้หนูรู้สึกว่าทุกๆอย่างที่แต่งเหมือนเป็นความจริงขึ้นมายังไงอย่างนั้นเลย ชอบเรื่องแนวนี้มาก ชอบที่พี่แต่งทุกเรื่อง ชอบคำคมต่างๆของพี่ ชอบทุกอย่างที่เป็นพี่แต่ง #ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้นะค่ะ จะติดตามทุกเรื่องๆเลย   อ่านน้อยลง

      MAPLEMIND | 4 ธ.ค. 55

      • 4

      • 0

      ความคิดเห็น

      ×