[EXO] ✚ :: REBiRTH :: ✚ [ D.O. x KYUNGSOO ]*
เราจะรักกันอย่างนี้...ทุกๆชาติไป...
ผู้เข้าชมรวม
5,131
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน...
เพราะในตอนนี้สิ่งที่เคยทำอยู่ทุกวันกลับกลายเป็นสิ่งที่ผมอึดอัดและทำให้เป็นปัญหา
ผมไม่ชอบใจนักที่คยองซูไม่ยอมคุยกับผมเลยตลอดทางที่เราเดินทางกลับบ้าน...
เขามีท่าทางหงุดหงิดและใบหน้าก็บึ้งตึงแม้ว่าผมจะพยายามเรียกชื่อเขา หรือแม้กระทั่งดึงเขาให้หันหน้ามาคุยกันตรงๆ...
เหมือนที่ผมพยายามอยู่ตอนนี้ก็เป็นครั้งที่สามแล้ว
“นายเป็นบ้าอะไรทำไมต้องมาหงุดหงิดใส่ฉันด้วย?!”
ผมตวาดใส่เขาเพราะรู้สึกว่าเหลือทนกับความเงียบอันน่าอึดอัดของเรา...
ผมเหวี่ยงตัวเขาให้หันมาประจันหน้ากัน หากแต่คยองซูก็ยังทำหน้าตาโกรธขึ้งใส่ผม
“นายก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าทำอะไรลงไป!”
คยองซูตวาดใส่ผม...นั่นถือว่าเป็นเรื่องดีที่อย่างน้อยเขาก็บอกเบาะแสอะไรผมบ้างดีกว่าเงียบเป็นเป่าสาก
แต่ที่แน่ๆ...เบาะแสที่เขาให้นั้นแทบจะบอกอะไรผมไม่ได้เลย...
“ฉันไปทำบ้าอะไรล่ะ! ถ้านายไม่บอกแล้วฉันจะรู้ไหม? นี่หยุดสิ! เราต้องคุยกัน!”
“หยุดถามคำถามแล้วปล่อยให้ฉันได้อยู่คนเดียว!
เพราะถ้าฉันพูดมันเมื่อไหร่นายหนาวแน่ จอง ดีโอ!”
คยองซูตวาดใส่หน้าผมก่อนที่จะเดินเข้าบ้านไป...
ผมยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้นราวกับรูปปั้น คิดไม่ออกว่าไปทำอะไรเอาไว้อย่างที่เขาบอก
ผมสบถออกมาก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าไปในบ้านของตัวเอง
เพราะรู้ดีว่าตอนนี้ถึงจะตามไปพูดอะไรคยองซูก็คงทำตัวงี่เง่าใส่ผมอีกแน่ๆ
ผมจึงตัดสินใจเดินเข้าบ้านตัวเองแล้วปิดประตูดังปังอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ก่อนที่จะวิ่งขึ้นไปบนห้องแล้วเดินไปเปิดประตูเชื่อมห้องของเราทั้งสองคน
ผมเดินไปเปิดประตูหลังห้องนอนของเขาแล้วก็พบว่ามันถูกล็อคเอาไว้อย่างแน่นหนา..
โอ...คยองซูคงจะกำลังโมโหผมมากจริงๆ เพราะปกติเขาไม่เคยจะล็อคมันเลยซักครั้ง
คุณอาจจะงงเรื่องทางเชื่อมห้องของเรา...แต่เรื่องนี้อธิบายไม่ได้ยากนักหรอกครับ
เพราะว่าเราดันเกิดมามีหน้าตาคล้ายกันอย่างกับฝาแฝด
แถมตอนเด็กๆเรายังเป็นประเด็นข่าวโด่งดังขึ้นมาเพราะว่าเรื่องนี้ด้วย
แม่บอกว่าทั้งโลกแทบจะช็อคเอาเลยตอนที่ข่าวของเราแพร่กระจายออกไป
และพ่อกับแม่ของผมและป้าซันนี่กับลุงซองมินเลยตัดสินใจสร้างทางเชื่อมตรงระเบียงบ้านของเราทั้งสองเอาไว้ด้วยกัน
และมันก็ทำให้ผมและคยองซูกลายเป็น เอ่อ...จะเรียกอะไรดีล่ะ
เพื่อน พี่น้อง หรือครอบครัวเดียวกัน นับตั้งแต่วันนั้นมา...
“เฮ้! นายจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะคยองซู นี่เป็นทางติดต่อสื่อสารเดียวของเรานะ!
นายจะมาปิดเอาเองดื้อๆอย่างนี้ไม่ได้ เรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง!!”
ผมตะโกนเรียกเขา
ซึ่งถ้ามองจากตรงนี้ผ่านเข้าไปในหน้าต่างห้องของเขาแล้วผมก็เห็นว่าเขากำลังนั่งกอดเข่าคุดคู้
และทำหน้าตาบูดบึ้งบอกบุญไม่รับอยู่ตรงปลายเตียง
“ประตูหน้าบ้านก็มีอย่ามาทำเป็นโง่น่า!
แต่หยุดกวนใจฉันได้แล้ว! ฉันไม่อยากคุยกับนาย ไปให้พ้น!!!”
เสียงของคยองซูตะโกนออกมาจากห้องนอนของเขา...
แล้วไม่นานเท่าไหร่นักรูผ้าม่านที่ถูกแหวกไว้ก็ถูกดึงให้ปิดลงไป...
หมดกัน ตอนนี้ผมมองไม่เห็นเขาแล้ว
“โอเคคยองซู...นายช่วยใจเย็นๆก่อนได้ไหม? แล้วเราออกมาคุยกันดีๆนะ”
ผมเรียกเขาเสียงอ่อย ไม่ชอบเลยที่เขาทำท่าทางแบบนี้ เพราะมันทำให้เรารู้สึกห่างเหิน
ปกติเราสองคนไม่ค่อยจะทะเลาะกัน...หากแต่ช่วงนี้คยองซูมักจะพาลและทำตัวงี่เง่าใส่ผมเสมอๆ
โดยที่ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าเขาเป็นอะไร เพราะถามทีไรเขาก็ไม่เคยจะยอมบอก...
“ฉันใจเย็นแน่ แต่มันไม่ใช่ตอนนี้...นายช่วยปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวซักพักได้ไหม
ถ้าไม่อยากให้ฉันทำตัวงี่เง่าใส่นายอีก นายก็น่าจะปล่อยฉันไว้ตอนนี้!!”
คยองซูตอบกลับมาจากอีกฟากกำแพงโดยที่ผมไม่แน่ใจนักว่าเขากำลังทำหน้าแบบไหน
ผมถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างหนักใจในคำพูดของเขา
ใจนึงก็อยากจะพูดคุยกันให้รู้เรื่อง แต่อีกใจนึงก็รู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากทำตามที่เขาบอกไว้...
“งั้นก็โอเค...ถ้านายหายโกรธแล้วเรามาคุยกันดีๆนะโอเคไหม?
อย่าลืมกินข้าวนะ ฉันจะโกรธนายมากถ้าป้าซันนี่บอกว่านายไม่ยอมกินข้าวเย็น
เพราะฉะนั้น...ฉันอยู่ตรงนี้เสมอนะ ถ้านายพร้อมเมื่อไหร่เราค่อยคุยกัน”
“..........................................................”
ไม่มีเสียงตอบรับจากคยองซูอีก และนั่นทำให้ผมต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
ผมหันหลังกลับแล้วเดินผ่านทางเดินยาวที่เป็นทางเชื่อมระหว่างห้องของเราสองคนแล้วเข้าไปในห้องตัวเอง...
เลื่อนประตูปิดก่อนจะกัดริมฝีปากอย่างหนักใจ แต่สุดท้ายก็เลื่อนเปิดมันทิ้งไว้เหมือนเก่า...
เผื่อว่าคยองซูจะใจเย็นลงเร็วกว่าที่ผมคิด แล้วเขาจะได้เดินมาหาผมได้ตลอดเวลา
ทั้งๆที่ตอนนี้ผมแทบอยากจะกระชากมาคุยกับเขาให้เข้าใจจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว...
ผมไม่สามารถอธิบายอาการร้อนรนของตัวเองเวลาที่เขาโกรธผมได้เลยซักครั้ง...
และความรู้สึกแปลกๆเวลาที่เขาทำอย่างนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ชอบใจเอาเสียเลย
ผมไม่ชอบให้คยองซูเมินเฉยกับผม...ทั้งๆที่ตอนเราไม่ทะเลาะกันผมออกจะมีความสุขกับสิ่งที่เราเป็นอยู่
เพราะตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งเติบโตมาด้วยกันกว่า 18 ปีแล้ว...เรายังไม่เคยห่างกันเลยซักวินาทีเดียว...
แล้วจะให้ผมไม่คุยไม่เห็นหน้าเขาอย่างนี้...ผมทำไม่ได้หรอกนะ...
Rebirth
“ทะเลาะกับคยองซูเหรอลูก?”
เสียงของเจสสิก้าที่ดังขึ้นกลางโต๊ะอาหารทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นกลับไปสนใจ
เจสสิก้ามองหน้าลูกชายของตัวเองแล้วจากนั้นจึงตักอาหารลงไปวางในจานข้าวของดีโอแล้วยกยิ้มให้อย่างปลอบโยน...
ดีโอถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นอย่างนั้น
“ก็...เหมือนเคยล่ะครับ คยองซูไม่ยอมคุยกับผมเลย
และผมไม่รู้ว่าทำอะไรผิดด้วย เลยไม่รู้ว่าจะง้อยังไง” ดีโอตอบเธอไปพลางกลอกสายตา
“คนโมโหก็ต้องให้เวลาเขาหน่อย...
จะไปทู่ซี้ถาม ดันทุรังจะโดนตวาดใส่น่ะซี
แม่ว่าปล่อยให้คยองซูอาบน้ำกินข้าวอะไรให้เรียบร้อยก่อนเถอะ แล้วอยากจะไปง้อก็ค่อยว่ากัน...
ถึงตอนนั้นก็คงจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้วล่ะ”
เจสสิก้าเอ่ยขึ้นยิ้มๆในขณะที่มองลูกชายตัวเองทำหน้าเป็นเดือดเป็นร้อน
แม้ว่าจะอยากช่วยให้เด็กๆดีกันแต่เธอกลับคิดว่าให้ลูกชายเป็นคนง้อเองน่าจะดีกว่า
มันคงจะดีกว่าถ้าให้ดีโอได้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเอง เพราะเธอกับคริสมักจะปล่อยให้ลูกแก้ปัญหาของตัวเองเสมอๆ
และนั่นทำให้ดีโอโตมาเป็นเด็กที่เข้มแข็งและมีจิตใจเด็ดเดี่ยวมากกว่าคยองซู
โดยสิ่งที่เธอและคริสต้องทำก็คือคอยให้คำปรึกษาแบบห่างๆก็เท่านั้น...
“เฮ้อ...ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะครับ หวังว่าถึงตอนนั้นแล้วคงจะใจเย็นลงบ้าง
ดูเอาสิโตจนป่านนี้แล้วก็ยังทำตัวเอาแต่ใจไม่มีเหตุผลอยู่อีก” ดีโอบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด
“อ้าว...แล้วไหงไปว่าเขาแบบนั้น เราเองโตกว่าเขานักหรือไงหืม?
เห็นตอนที่ลูกโกรธ คยองซูก็ทำตัวแบบนี้เหมือนกันนี่
อย่าไปว่าน้องเลย คนเราจะโกรธจะโมโหน่ะก็ไร้เหตุผลอย่างนี้กันหมดทั้งโลก” เจสสิก้ากล่าว
“เอาเถอะครับ...ว่าแต่พ่อยังไม่กลับมาอีกเหรอ?” ดีโอเอ่ยถามก่อนจะเงยหน้ามองดูนาฬิกา
“ยังไม่กลับ...วันนี้พ่อเรากับลุงซองมินน่ะไปตีกอล์ฟด้วยกันตั้งแต่เย็นแล้ว
ตอนนี้ไปกินเบียร์ด้วยกันโน่นแล้ว พ่อเพิ่งโทรมาบอกแม่เมื่อกี้” เจสสิก้าตอบพลางยักไหล่
“อ้อ...แต่ผมว่าจุดประสงค์ของพ่ออยู่ที่เบียร์มากกว่าออกรอบนะ ฮ่าๆ” ผมเอ่ยแซว
“จริงด้วยซี...นับวันรอบเอวก็ยิ่งเพิ่ม
ลุงซองมินน่ะชวนพ่อเราดื่มบ่อยแต่ทำไมยังหล่อเหมือนเดิมเลยนะ
ดูสิ...มีแต่พ่อเราที่อ้วนขึ้น” เจสสิก้าบ่นออกมายิ้มๆ
“ผมจะฟ้องพ่อที่แม่บอกว่าพ่ออ้วน” ดีโอแหย่เจสสิก้าอย่างอารมณ์ดี
“ก็มันจริงนี่นา...แม่พูดอะไรผิดไปตรงไหนกัน
เออจริงด้วยสิ...วันนี้แม่ไปช็อปปิ้งกับป้าซันนี่แล้วไปซื้อเค้กกันแต่ดันเผลอหยิบติดมือกลับมาบ้านด้วย
ลูกเอาไปให้ป้าซันนี่หน่อยสิ จะได้เอาไปง้อคยองซูด้วยไง” เจสสิก้าพูดก่อนจะหลิ่วตา
“แม่ว่าไปตอนนี้จะได้ผลเหรอ?” ดีโอถาม
หันไปมองเจสสิก้าที่ผุดลุกจากโต๊ะกินข้าวไปเปิดเอากล่องเค้กใบเล็กๆที่อยู่ในตู้เย็นออกมาวางไว้
เจสสิก้าเลื่อนมันมาวางไว้ต่อหน้าดีโอแล้วยกยิ้มกรุ้มกริ่ม...
อันความจริงที่ไปช็อปปิ้งกับซันนี่ก็จริงอยู่
แต่เค้กก้อนนี้เธอน่ะซื้อมาเก็บไว้ให้ลูกชายและคยองซูได้กินโดยเฉพาะ
แต่ในเมื่อสถานการณ์ของลูกชายมันต้องพึ่งสื่อกลาง
เธอก็น่าจะเปลี่ยนวัตถุประสงค์จากที่เก็บไว้ให้กินเฉยๆเป็นอย่างนี้น่าจะโอเคมากกว่า...
เธอกับซันนี่เลี้ยงทั้งดีโอและคยองซูมาตั้งแต่เด็กจนโต
ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าเด็กสองคนนี้มีนิสัยยังไง คยองซูน่ะขี้ใจอ่อนอยู่แล้ว...
โดยเฉพาะถ้าเป็นกับลูกชายเธอล่ะยิ่งแล้วใหญ่ แค่เอาเค้กไปอ้อนก็คร้านจะยกโทษให้แบบง่ายๆ
“ก็ไปดูลาดเลาก่อนน่าจะดีกว่าอยู่เฉยๆไม่ใช่หรือไง? ลองยื่นให้แล้วยิ้มหวานๆสิ...”
เจสสิก้ากล่าวพร้อมทั้งยกยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี...
Rebirth
แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่ได้ง้อคยองซูอย่างที่ตั้งใจ
เพราะเมื่อไปถึงบ้านคยองซูป้าซันนี่ก็บอกว่าเขาออกไปข้างนอกและไม่ได้บอกด้วยว่าจะไปไหน
และถึงแม้ว่าผมจะโทรหาเป็นสิบๆสายเขาก็ยังไม่รับสายเลย
ผมตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเบอร์โทรออกที่นานๆครั้งจะเป็นคนโทรหาเสียทีหนึ่ง
จนกระทั่งสิบห้านาทีต่อมาผมก็มานั่งอยู่ตรงนี้...
ในร้านกาแฟร้านประจำที่ผมมักจะมากับ คยองซูเสมอๆ
“อาชานยอลว่าผมควรทำยังไง?”
ผมถามชานยอลออกไปด้วยความหงุดหงิด
เพราะคยองซูปฏิเสธที่จะรับโทรศัพท์ของผมเป็นครั้งที่สามสิบห้า
ชานยอลหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางของผมอย่างนั้น
ผมรู้จักกับชานยอลเพราะว่าเขาเป็นเพื่อนของพ่อแม่...
เอากันตามจริงจะเรียกว่าเพื่อนก็ไม่ถูกต้องเท่าไหร่
เพราะอาชานยอล อาแบคฮยอน และอาจงอินนั้นเข้ามาทำความรู้จักกับพ่อแม่ของผมและคยองซูตั้งแต่ที่เรายังเด็กๆ
และข่าวตอนนั้นเพิ่งจะแพร่กระจายออกไปใหม่ๆ
พวกเขาขออาสาเข้ามาเป็นผู้ดูแลพวกเราอีกแรงหนึ่งโดยการพาเราไปเที่ยวบ้าง
ไปรับไปส่งโรงเรียนถ้าพ่อกับแม่ไม่ว่าง หรือไม่บางทีก็เป็นคนสอนการบ้านให้พวกเราด้วยสลับกันไป
เพราะงั้นถ้าจะพูดก็คือ ผมรู้จักกับอาชานยอลและอาคนอื่นๆมาสิบแปดปีแล้ว
แต่พ่อกับแม่ก็ยังไม่เคยบอกเหตุผลกับผมซักทีว่าทำไมเขาถึงจับพลัดจับผลูขออาสามาดูแลพวกผมแบบนี้
และถึงแม้ว่าจะถามพวกอาๆไปกี่ครั้งพวกเขาก็ยังไม่เคยตอบเลยซักที
“นายเนี่ยน้า...ลองคิดดูดีๆสิว่าไปทำอะไรเอาไว้บ้าง
ถ้ามันทำให้คยองซูโกรธมากขนาดนี้อาว่าน่าจะเป็นเรื่องใหญ่นะ”
ชานยอลพูดพลางตักเค้กตรงหน้าเข้าปากแล้วเคี้ยวหงึบหงับ
ในขณะที่ผมเองก็คาบหลอดดูดโกโก้เอาไว้อย่างหงุดหงิดในหัวใจ...
ก็แล้วมันจะเป็นเรื่องอะไรกันล่ะ วันนี้เขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย
“ก็ตอนเช้าเราก็ไปโรงเรียนด้วยกันปกติ
อย่างที่อาก็รู้ก็คือว่าเราแยกห้องเรียนกันใช่ไหมล่ะ
ตลอดทั้งเช้าผมก็เรียนไปตามปกติ ยังซื้อนมกล้วยไปให้เขาอยู่เลยเมื่อตอนกลางวันน่ะ
แต่พอเย็นมาจะไปรับที่ห้องเรียนเขาก็โมโหใส่ผมแล้วง่า” ผมตอบชานยอลไปพร้อมทั้งครุ่นคิด
“งั้นก็ลองคิดตอนบ่ายดูซิ ไปทำอะไรมาบ้างล่ะ” ชานยอลถามอีกครั้ง
“ตอนคาบบ่ายผมก็เรียนตามปกตินะ ไม่ได้ออกจากห้องไปไหนเลย
เอ้อ! แต่ช่วงพักคาบบ่ายก็ออกจากห้องนะ
ต...แต่... ไม่น่า...คยองซูไม่น่าจะเห็นหรอก”
น้ำเสียงที่แผ่วลงและสั่นในท้ายประโยคทำให้ชานยอลต้องยกคิ้ว
ก่อนจะตัดสินใจเลื่อนหน้าเข้าไปถามเด็กที่นั่งหน้าซีดอยู่ตรงนั้นให้แน่ใจ
“รู้อะไรบ้างแล้วสินะ ไหนบอกมาซิว่าทำอะไรมา” ชานยอลถาม
“ผมเปล่านะ...คือก็ไปก็ใช่ แต่ก็ไม่ได้เต็มใจนะ ยัยนั่นทำอะไรไม่บอกไม่กล่าวเอง”
“พูดมาให้เคลียร์เลย...ไหนเล่ามาสิ” ชานยอลคาดคั้นเมื่อเห็นดีโอทำหน้าลำบากใจ
“ก็คือ...ยูริน่ะ เธอเป็นเพื่อนในชั้นของผม
ตอนช่วงพักยูริบอกให้ผมไปช่วยเธอแบกชีทไปส่งที่ห้องพักอาจารย์
แต่ขากลับเธอดันจูบผมอ้ะ” ตอบพลางยักไหล่และกัดริมฝีปากทีหนึ่งอย่างเคร่งเครียด...
“เฮ้ย...นายจูบเธอเหรอ?” ชานยอลขมวดคิ้วแล้วถามผมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“เปล่านะ! ตอนนั้นน่ะผมกำลังหยิบมือถือขึ้นมาดูเพราะว่าคยองซูส่งข้อความมา
ยูริแอบจูบไม่ให้ผมได้ตั้งตัวอ่ะ แต่ผมว่าคยองซูคงไม่เห็นมันหรอกใช่ไหม?”
ผมถามพลางยกยิ้มเจื่อนเพื่อขอความเห็นจากชานยอล
แล้วก็พบว่าชานยอลกำลังหลิ่วตาให้ผมอย่างคาดโทษ
เขาส่ายหน้ามาให้ผมอย่างไม่เห็นด้วยนักกับคำพูดของผม
“ภาวนาอย่าให้เห็นแล้วกัน ไม่งั้นล่ะเป็นเรื่องใหญ่แน่...
แต่ดีโอเอ๊ย อาล่ะระแวงจริงๆ ถ้าไม่ได้ทำอะไรที่มันคอขาดบาดตายอย่างอื่นอีก
แล้วคยองซูจะโกรธนายเรื่องอะไรได้อีกนอกจากเรื่องนี้ล่ะ
ไอ้เด็กบ้านี่ ทำอะไรไม่ระวังเลย รู้ใช่ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นชอบนายน่ะ แล้วยังจะไปกับเขาอีก โง่จริงๆ...”
ชานยอลพูดพลางถอนหายใจก่อนจะตักเค้กตรงหน้ายัดเข้าปากผม
ผมเคี้ยวมันหงับๆแต่ในใจรู้สึกถึงความกังวลที่พุ่งขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“ทำยังไงดีอ่ะอาชานยอล...”
“แต่ความจริงก็ไม่น่าจะทำยังไงนิ พวกนายเป็นแฟนกันหรือไง?” ชานยอลยักไหล่
“ก็ไม่ใช่...แต่โธ่! อาอย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปหน่อยเลยน่า!!
พวกอาเองไม่ใช่หรือไงที่ยัดเยียดเรื่องพวกนี้ใส่หัวเราสองคน” ผมแหวใส่เขา
“พวกฉันเปล่าซักหน่อย...แค่บอกว่ามันเป็นโชคชะตาไม่ใช่หรือไง
นายน่าจะคิดและตั้งคำถามกับเรื่องนี้บ้างนะ ไม่คิดหรือไงว่าทำไมพวกนายเกิดมาหน้าตาเหมือนกันอย่างกับฝาแฝด
พ่อแม่ของนายสองคนก็มาบังเอิญเจอกัน บังเอิญมาอยู่บ้านข้างๆ กันโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน
นายน่าจะคิดต่อไปอีกซักหน่อยนะ ว่าทำไมทั้งหมดทั้งมวลถึงได้มาลงล็อคที่พวกนายสองคนไปหมด
ถ้ามันไม่ใช่เพราะพระเจ้ากำหนดมาให้นายมาแก้ตัวในเรื่องที่เคยพลาด นายคิดว่านายจะมีวันนี้ไหม?
อยากจะทำอะไรก็รีบๆทำ ก่อนที่นายจะพลาดอีก”
ชานยอลพูดพลางเงียบไปในอึดใจ เขาเสตามองไปที่หน้าต่างข้างนอกร้าน
ผมเห็นสีหน้าเขาดูจริงจังแตกต่างจากที่เราพูดกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
ผมครุ่นคิดถึงคำที่เขาเพิ่มเพื่อหาเบาะแส...แต่แน่นอนว่าผมไม่เคยพบมัน แม้ว่าเขาจะพูดแบบนี้มาเป็นสิบๆครั้ง
เวลาที่เร่งเร้าอยากจะให้ผมทำอะไรที่ควรจะทำ...อย่างเช่นการได้รักกับคยองซู
“อาพูดแบบนี้อีกแล้ว...
บอกมาสิว่าอาหมายถึงอะไร อารู้อะไรทำไมไม่บอกผม”
ผมถามเขาพลางขมวดคิ้วเมื่อมองเข้าไปในตาของชานยอลแล้วเขากลับหลบตา
อาเขาหยิบแก้วกาแฟขึ้นดูดเข้าไปเงียบๆเพื่อเลี่ยงคำถามของผม
และแล้วก็เหมือนทุกที...เขาเฉไฉเพื่อที่จะไม่ตอบมัน...
“รีบหาทางง้อคยองซูซะไอ้หนุ่มน้อย...แล้วได้โปรดอย่าถามคำถามนี้กับอาหรือพวกอาคนไหนอีก
นายพยายามมาหลายหนแล้วนี่ใช่ไหม
เพราะงั้นก็น่าจะรู้ได้แล้วนะ...ว่าคำถามนี้น่ะไม่มีคำตอบให้นายหรอก”
Rebirth
เที่ยงคืนแล้ว...และไฟในห้องของคยองซูก็ดับลงไปแต่ผมกลับรับรู้ได้ว่าเขายังไม่หลับ
เอาจริงๆแล้วไฟนั้นถูกปิดไปตั้งแต่ตอนสี่ทุ่มกว่าๆ...
แต่ที่ทำให้ผมรับรู้ว่าเขายังไม่ได้นอนก็เพราะเขาเดินมาเลื่อนเปิดประตูทางเชื่อมทิ้งให้มันเปิดทิ้งเอาไว้เมื่อครู่นี้
ผมยกยิ้มออกมาบางๆเมื่อได้ยินเสียงประตูนั้นถูกเลื่อนเปิด...
เก็บปากกา ปิดหนังสือและปิดโคมไฟบนโต๊ะให้ดับสนิท
หลังจากนั้นก็พาตัวเองเดินไปตามทางเชื่อมเพื่อไปหาคยองซูอย่างช้าๆ
ผมเลื่อนประตูทางเชื่อมให้ปิดลงเพราะว่าวันนี้อากาศค่อนข้างเย็นแม้ว่าจะเป็นค่ำคืนกลางเดือนกันยายนแบบนี้
หันเข้าไปมองและปรับสายตาให้ชินกับความมืดและพบว่าคยองซูนอนหันหลังให้ผม...
แต่ที่ทำให้ผมต้องยกยิ้มออกมาก็คือ เขายังมีแก่ใจเว้นที่นอนไว้ให้ฟากหนึ่งสำหรับผมโดยเฉพาะ...
ทั้งๆที่ไม่น่าทำอย่างนั้น...เพราะเราก็ใช้พื้นที่ของเตียงแค่เพียงฝั่งเดียวอยู่แล้ว...
ผมค่อยๆแทรกตัวเข้าไปในผ้าห่มหนานุ่มกรุ่นกลิ่นหอมเฉพาะตัวของเขา
ก่อนจะสอดแขนเข้าไปกอดคยองซูเอาไว้จากด้านหลังอย่างรักใคร่...
ใช่สิ ผมจะรักใครได้ล่ะถ้าไม่ใช่เขา...
แต่คนที่โดนกอดอยู่อาจจะไม่รู้ตัวนักหรอก
เพราะเราทะเลาะกันเพราะคนอื่นมาหลายครั้งหลายหนแล้ว
ทะเลาะกัน...ด้วยความรู้สึกที่อาจจะเรียกได้ว่าหึงหวง...
“หายโกรธฉันแล้วใช่ไหม?”
ผมกระซิบที่ข้างหูเขา จนกระทั่งคยองซูตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้นั่นแหละผมถึงได้รู้ว่าเขากำลังร้องไห้...
“ป..ปล่อยเลยนะ มากอดทำไม” เขาตอบ
“ไม่ปล่อย...จนกว่านายจะหยุดร้องไห้”
“ฉันหยุดแล้ว ปล่อยสิ”
“ไม่เอาน่าคยองซู บอกฉันสิว่าฉันทำผิดอะไร? ทำไมเราถึงไม่คุยกันดีๆ”
ผมพูดพลางส่งแขนเข้าไปโอบรัดเขาไว้ให้แน่นกว่าเก่า...
จนรับรู้ได้ว่าคยองซูกำลังสะอื้นเพราะแรงกอดนั้น
“บอกฉันสิ...ฉันมันคนงี่เง่านะคยองซู ถ้านายไม่บอกฉันก็ไม่รู้หรอก” ผมรบเร้า
“เอาจริงๆฉันกำลังเสียใจและกำลังสับสนมากๆที่โกรธนาย...
เพราะความจริงฉันไม่มีสิทธิจะโกรธนี่
เพราะนายอยากจะจูบใครก็ได้ทั้งนั้น ฉันรู้ดีว่าฉันไม่มีสิทธิโกรธนายหรอก”
ว่าแล้วเชียว...เขาเห็นจริงๆด้วยสินะ...
ผมคิดในใจหลังจากที่ได้ฟังคยองซูพูดเสียงแผ่วก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาออก
ผมมองไม่เห็นว่าเขาทำหน้าแบบไหนเพราะว่าเขากำลังนอนหันหลังให้ผม
“เฮ้...ถ้านายไม่มีสิทธิแล้วใครจะมีสิทธิอีกล่ะ หันมาทางนี้สิที่รัก...หันมาคุยกับฉัน”
ผมพูดพลางยื้อไหล่ของคยองซูให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับผม...
ในตอนแรกคยองซูพยายามจะขืนตัวไว้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็หันมาจนได้...
“มานี่สิ...หยุดร้องไห้ได้แล้ว นายไม่เห็นต้องคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย...
ถ้านายไม่ชอบก็บอกฉันสิ ถ้านายรู้สึกแย่จนทนไม่ไหวก็ตีฉันสิ...
มีอะไรช่วยบอกฉันได้ไหม เราไม่น่าจะทะเลาะกันเรื่องนี้เลย”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง...และเป็นอีกครั้งที่คยองซูเริ่มร้องไห้ออกมา
ผมปาดน้ำตาออกให้เขา หลังจากนั้นจึงดึงตัวเขาเข้ามากอดไว้
“พอแล้ว...หยุดร้องไห้สิคยองซู
เรื่องนี้มันเป็นอุบัติเหตุนะ แต่ฉันจะไม่จูบกับใครอีกแล้วล่ะ...ฉันสัญญา” ผมบอกกับเขา
“รักษาสัญญาของนายด้วยดีโอ...
รู้ไหมทุกครั้งที่ฉันเห็นนายจูบกับใครหรือแม้กระทั่งยิ้มให้ใครน่ะ...มันทำให้ฉันสติแตก”
คยองซูปาดน้ำตาออกมาแล้วตวัดอ้อมแขนกลับมากอดผมเอาไว้แนบแน่น
น้ำเสียงอู้อี้เอาแต่ใจนั้นทำให้ผมต้องหัวเราะออกมาเบาๆเพราะนั่นแสดงว่าเขาพอใจกับคำพูดของผม
และนั่นแปลว่าเขากำลังจะหายโกรธผมแล้ว...
“โอเค...ฉันสัญญาจะไม่จูบใครอีกนอกจากนาย”
“ขี้ตู่...ใครบอกว่าฉันจะให้นายจูบกัน”
“ไม่มีใครบอก...แต่ฉันจะจูบเอง มาสิ...ริมฝีปากนี้เป็นของนายนะ นายควรจะใช้สิทธินั้นเดี๋ยวนี้”
“ถ้าริมฝีปากนี้เป็นของฉันจริง...นั่นหมายความว่าฉันจะจูบมันเมื่อไหร่ก็ได้”
“หายโกรธฉันแล้วใช่ไหม?” ผมกระซิบถามเขาพร้อมทั้งยกยิ้ม
“ในเมื่อนายยืนยันและสัญญาแล้ว...ฉันเลยคิดว่าฉันไม่ควรจะกังวลกับมันอีก”
น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจนั้นเริ่มกลับมาเป็นเขาอีกครั้ง...
ผมหัวเราะก่อนจะเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้เขา ก่อนจะกดจูบลงไปเบาๆที่ริมฝีปากนั้นอย่างรักใคร่
มอบสัมผัสแผ่วเบาแล้วถอนออก
มองเห็นคยองซูยกยิ้มออกมาบางๆทั้งๆที่น้ำตายังเคลียแก้มใส
ผมจึงจัดการยกมือขึ้นเช็ดมันออกไปให้พ้นจากสายตา ก่อนจะพรมจูบลงไปที่หน้าผากอีกครั้ง
“ว่าแต่วันนี้นายไปไหนมา ฉันไปง้อนายเมื่อตอนหัวค่ำ แต่แม่นายบอกว่านายไม่อยู่”
ผมถามเขาเมื่อจู่ๆก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ คยองซูส่ายหน้าแล้วบอกกับผมแผ่วเบา
“ก็แค่ที่ๆหนึ่งที่ฉันอยากจะไปนั่งอยู่เงียบๆและคิดถึงเรื่องของนาย...
บางทีการได้อยู่ที่นั่นคนเดียวมันก็ทำให้ฉันสงบใจได้บ้าง” เขาตอบผมพลางกระพริบตาปริบๆอย่างอ่อนเพลีย
“มันคือที่ไหนล่ะ...บอกฉันได้ไหม?” ผมถามเขาอีกครั้ง
“บอกไม่ได้...มันเป็นความลับของฉัน
แต่ฉันจะบอกนายเมื่อถึงเวลา และแน่นอนว่าไม่ใช่ตอนนี้แน่ๆล่ะ"
เขาพูดก่อนจะหลับตาลง
ผมเห็นแววตาของเขาบวมช้ำและท่าทางอ่อนเพลียที่เขาแสดงออกโดยไม่ได้ตั้งใจ
และเมื่อเห็นเห็นอย่างนั้นผมจึงคิดว่าผมควรจะปล่อยให้เขาได้นอนพักผ่อน...
“หยุดคิดมากและนอนได้แล้ว...
พรุ่งนี้เราต้องไปเรียนแต่เช้าและเราไม่ควรสายนะจริงไหม?” ผมพูดกับเขาในขณะที่ลูบกลุ่มผมนุ่มเบาๆ
“อืม...เราควรจะนอน”
“ฝันดีนะคยองซู” ผมกระซิบกับเขาพร้อมทั้งยกยิ้มบางๆส่งไปให้
“ฝันดีครับ”
คยองซูกระซิบก่อนจะเคลื่อนตัวเข้ามาซุกที่อกของผมแล้วหลับตาลงอย่างว่าง่าย
ผมรู้ว่าสัมผัสอบอุ่นที่เรามอบให้กันจะทำให้เขาหลับสบาย
เขาพยักหน้าแล้วหลับตาพริ้ม ก่อนที่ผมเองจะเข้าสู่นิทราไปพร้อมๆกันกับเขา...
ไม่นานเท่าไหร่นักที่ดีโอเข้าไปสู่ห้วงแห่งความฝัน
หากแต่คนที่อยู่ในอ้อมกอดที่เขาคิดว่าหลับสนิทไปแล้วกลับไม่ได้หลับไปอย่างที่เขาเข้าใจ
คยองซูลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด ข้างหน้าคือแผ่นอกกว้างของดีโอและอ้อมแขนที่ให้ความอบอุ่นแก่เขา
คยองซูเคลื่อนตัวขึ้นไปจุมพิตที่ปลายคางของคนที่หน้าตาเหมือนตัวเอง
ก่อนจะกระซิบเสียงแผ่วท่ามกลางความเงียบงันที่อยู่ภายใต้เสียงหายใจเข้าออกเป็นจังหวะของดีโอว่า...
“ใช่ว่าฉันจะไม่รู้ว่าเราคิดเหมือนกันหรอกนะที่รัก...
แต่สิ่งที่ฉันต้องทำคือการทำให้ความทรงจำของเราในตอนนี้แน่ชัดที่สุด
มันยังไม่ถึงเวลาที่นายจะต้องเอาอดีตพวกนั้นกลับมาใส่ใจ เพราะนั่นเป็นความผิดของฉัน
แต่ฉันสัญญาว่านายจะได้รับรู้มันแน่นอน
เพราะฉันจะบอกกับนายเมื่อความทรงจำในภพนี้ของเราแจ่มชัดมากพอที่จะไม่ทำให้นายสับสนกับคราวก่อน
หลับตาเถอะที่รัก...และเก็บเกี่ยวความฝันในตอนนี้และยิ้มกับมันซะให้เพียงพอ
และเมื่อไหร่ที่ถึงเวลา ฉันจะเป็นคนเฉลยเองว่าทำไมเราถึงต้องเกิดมาเป็นแบบนี้
...เกิดมาเพื่ออยู่คู่กัน...”
คยองซูกระซิบเสียงแผ่วในลำคอ
ก่อนที่สุดท้ายแล้วเขาก็ก้มลงจูบดีโอด้วยความรักและแผ่วเบาจนเขาไม่รู้สึก...
มันยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องบอกเขา...คยองซูมีหลายอย่างที่ต้องทำเพื่อรอคอยให้วันนั้นได้มาถึงอย่างช้าๆ
และเวลาก็คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกที...
แค่รอคอยจนถึงวันนั้น...ก็เท่านั้นเอง
Rebirth
2 ปีก่อน...
คยองซูนั่งอยู่กับแบคฮยอนที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง...
อาเขาร้องห่มร้องไห้ราวกับคนสติแตกและสุดท้ายก็โทรเรียกให้คยองซูมานั่งอยู่เป็นเพื่อนตรงนี้
และถึงแม้ว่าจะสอบถามว่าเป็นอะไรแต่แบคฮยอนกลับได้แต่นิ่งเงียบและร้องไห้
คยองซูคิดว่าอาเขาคงอยู่ในอาการช็อคหรืออะไรซักอย่างถึงได้ไม่ยอมพูดมันออกมา
แต่กลับพึมพำเพียงแค่คำๆเดียวเท่านั้น...
‘มันเป็นความผิดของฉัน...มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด...’
“อาควรจะบอกผมว่าอาทำผิดอะไร...เรื่องนี้เราช่วยกันแก้ไขได้ไม่ใช่หรือ?
ทำไมต้องเอาแต่โทษตัวเองอย่างนั้น?
อาบอกผมมาเถอะ...ในเมื่อเรียกผมออกมาแบบนี้แล้ว”
ผมพูดกับแบคฮยอนที่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้และทำท่างกๆเงิ่นๆราวกับจะพูดกับผมแล้วก็หยุดชะงักไป...
มันเป็นอย่างนี้มาร่วมสิบนาทีได้แล้ว และผมคิดว่าตอนนี้ผมชักจะทนไม่ไหว
“อาไม่รู้ว่าควรจะบอกกับนายยังไง...มันยากมากนะคยองซู
อารู้สึกผิดกับมันเหลือเกิน...ทุกคนห้ามไม่ให้อาบอก
แต่นายรู้ไหมว่ากี่ปีมาแล้วที่อาหลับฝันแล้วเห็นแต่ภาพพวกนั้น
อาทรมานมาก...มันเหมือนตราบาป ตราบาปที่อาไม่รู้จะทำยังไงเพื่อลบมันออกไป”
“ฝันอะไร? ตราบาปอะไร?
อาพูดเหมือนกับว่าเคยไปฆ่าคนตายมาแล้วอย่างนั้นล่ะ”
ผมถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก...
ถึงแม้ว่าคำพูดที่แบคฮยอนจะเปิดใจพูดออกมาหลังจากที่นิ่งงันไปเกือบสองชั่วโมงเศษ
อาเขาก็สารภาพ...แต่คำสารภาพนั้นทำให้ผมต้องคิ้วขมวด
“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่...อาทำผิดไปหมด
อาไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้น อาไม่ได้ตั้งใจ
ฉ..ฉันขอโทษนะคยองซู”
แบคฮยอนพูดเสียงแผ่วก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมาอีกระลอกหนึ่ง...
ผมเอื้อมมือไปแตะที่บ่าอาเขาเบาๆเพื่อปลอบโยน ก่อนจะรบเร้าถามเขาอีกครั้ง
“ขอโทษผม? เรื่องอะไร? อาบอกผมสิ...”
ผมถามเขาอย่างไม่เข้าใจ แบคฮยอนค่อยๆปาดน้ำตาก่อนจะสูดหายใจลึก
เขาหลับตาลงแล้วเงียบไปเหมือนพยายามจะครุ่นคิดอะไรซักอย่าง
แต่จนในที่สุดแล้วเขาก็พูดมันออกมาจนได้
“เก็บเป็นความลับได้ไหมคยองซู...
ต่อไปนี้เรื่องที่ฉัน... อ...อาจะพูดไปคือความลับระหว่างเราสองคนนะ
อย่าบอกอาชานยอลและอาจงอินเด็ดขาด
และหลังจากที่นายรู้เกี่ยวกับมันแล้ว นายจะทำยังไงกับมันก็ได้...แต่อาขอร้องให้นายยกโทษให้อาด้วย”
แบคฮยอนพูดก่อนที่น้ำตาที่เขาเพิ่งปาดมันออกเมื่อกี้จะไหลลงมาอีกครั้ง
ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจเมื่อได้ฟัง
“อาหมายความว่ายังไง?”
ผมถามอย่างไม่เข้าใจ...รู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นผิดจังหวะเมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติในสายตาของอาเขาอย่างนั้น
“ตามอามาสิ...อามีที่นึงที่อยากจะพานายไป”
Rebirth
“จำรหัสได้ไหม?”
แบคฮยอนถามขึ้นก่อนจะผายมือให้ผมกลายเป็นคนกรอกรหัสที่หน้าประตูนั้น
ความรู้สึกในใจของผมสับสนเหลือเกินในตลอดเวลาที่เดินทางมายังคอนโดแห่งนี้
และมันหนักอึ้งทุกทีที่ผมเริ่มตั้งคำถาม...
ผมยังไม่เคยมาที่คอนโดแห่งนี้มาก่อน และผมมั่นใจว่าเป็นอย่างนั้น
แต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าทำไมผมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่จนน่าประหลาด
เดจาวู...ผมคิดว่าผมอาจจะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น
อาการปวดหนึบที่ศีรษะของผมเริ่มหนักหน่วงขึ้นมาเมื่อมองเห็นภาพต่างๆที่หมุนเวียนขึ้นมาในหัวแบบนั้น
ตั้งแต่ที่ผมก้าวเท้าลงจากรถของอาเขา อาการเหล่านั้นก็ยิ่งทวีคูณขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
“อ...อาพาผมมาที่นี่ทำไม?
ผมจะจำรหัสได้ยังไง น...ในเมื่อผมไม่เคยมาที่นี่” ผมพูด
“จำไม่ได้เลยหรือ? ไม่รู้สึกว่ามันคุ้นเคยบ้างเหรอ? ลองคิดดูหน่อยสิ”
แบคฮยอนรบเร้าด้วยความกังวลใจ แต่ผมไม่อาจจะรับรู้ถึงมันได้เพราะรับรู้ถึงขมับที่กำลังเต้นตุบๆ
ผมเดินไปยืนอยู่ที่หน้าประตูอย่างเก้ๆกังๆ...
ไม่แน่ใจนักว่ากำลังทำอะไร แต่มือกลับยกขึ้นมาวางไว้ตรงที่ปลดล๊อคหน้าประตูนั้น
พยายามจะคิดรหัสผ่านประตูที่แบคฮยอนคะยั้นคะยอให้ผมลองเปิดมันเสียเหลือเกิน
น่าแปลกใจนักที่เมื่อนิ้วเรียวของผมไปจรดอยู่ที่ปุ่มกดเหล่านั้น
ความคิดวูบหนึ่งที่แว๊บขึ้นมาในหัวสมองนั้นทำให้นิ้วของผมทำงานไปโดยอัตโนมัติ
0112…วันเกิดของผมและดีโอ...
แบคฮยอนยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจที่ได้ยินเสียงปลดล๊อคประตูนั้นดังขึ้น
แต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่าจะกล้าเปิดมันไหม
ผมไม่รู้ว่าจะพบเจออะไรในนั้น แต่ที่แน่ๆอาการที่หัวใจเต้นแรงของผมนั้นกำลังบ่งบอกว่าผมกำลังตื่นเต้นเสียเหลือเกิน
“เข้าไปสิ...”
แบคฮยอนบอกกับผมราวกับอ่านความคิดออก
ผมจึงยกมือไปเปิดประตูออกเมื่อได้ยินที่เขาพูดแบบนั้น...
“…………………………..……….”
ผมกวาดตามองห้องที่ค่อนข้างจะเก่า
ไม่ใช่...ไม่ได้หมายถึงว่ามันดูเก่า ทุกอย่างยังคงดูดีไม่มีการชำรุดเสียหาย
แต่เฟอร์นิเจอร์นี่สิ อย่างกับอยู่ในยุคเก่าสักเมื่อสิบปีก่อนเห็นจะได้
สองขาของผมก้าวไปเรื่อยดูห้องนั้นห้องนี้ราวกับเคยอยู่ที่นี่มานานเสียหลายปี
“นี่มัน..”
ผมเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะไม้ตัวหนึ่งที่มุมห้อง
ลูบรอยสลักแบบลวกๆที่คิดว่าน่าจะเกิดจากการเอาคัทเตอร์หรือไม้บรรทัดขูดมันให้เป็นสัญลักษณ์ชื่อของใครคนหนึ่ง
มันคือโต๊ะของผม...
เพราะตรงมุมโต๊ะทำงานที่สลักชื่อ DK ’s desk ไว้เสียขนาดนั้น จะไม่รู้ได้ไงไหว...
ผมเดินสำรวจตรวจตราไปรอบห้อง
โดยที่ไม่แน่ใจนักว่าแต่ละจุดแต่ละมุมนั้นมีความทรงจำที่พวยพุ่งขึ้นมาได้อย่างไร...
ผมรับรู้ว่าตรงไหนคือที่ของผม ตรงไหนที่ผมทิ้งสัญลักษณ์ไว้
แม้กระทั่งขอบบิ่นของถ้วยกระเบื้องที่ผมคิดว่าไม่น่าจะอยู่ตรงนั้น...
แต่มันกลับอยู่ที่เดิมไม่ผิดเพี้ยน...
ความคิดนี้แล่นขึ้นมาในหัวของผมโดยที่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น
ก่อนที่จะเดินไปมุมหนึ่งของห้องแล้วพบกับรูปของผมและดีโอ
รูป.. รูปของผมงั้นเหรอ?
ผมหันหน้าไปหาอาแบคฮยอนอย่างต้องการคำตอบ หากแต่เขากลับยักไหล่ก่อนจะกระซิบบอกกับผม
“อาจะลงไปข้างล่างและซื้อกาแฟขึ้นมาให้
อาแน่ใจว่านายอาจจะอยากใช้เวลานี้ ‘รื้อฟื้นความทรงจำ’ หรืออะไรต่อมิอะไรซักหน่อย”
แบคฮยอนพูดแผ่วเบาก่อนจะเดินออกไป...
ทิ้งผมเอาไว้เพียงลำพังในห้องกว้างๆห้องนี้ ถึงแม้ว่ามันจะเงียบงันและดูเก่าลงไปเพราะฝุ่นจับ
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกลัวมันเลยซักนิด มิหนำซ้ำยังรู้สึกดีเหมือนว่านี่เป็นบ้านหลังที่สองอย่างไรก็อย่างนั้น...
ผมเดินสำรวจไปทั่วทั้งห้องตามลำพัง
จนกระทั่งพบกล่องใบหน้าที่ถูกคล้องแม่กุญแจวางเอาไว้อยู่ที่หลืบมุมของใต้ตู้เก็บของที่ไม่น่าจะมีใครพบเจอหรือเห็นมันได้
แม่กุญแจสีขาวอันเล็กถูกคล้องที่กล่องหนังนั้นเอาไว้ และไม่มีวี่แววของลูกกุญแจอยู่แถวนั้น....
แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันน่าตลกจริงๆที่ผมรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน
เมื่อผมเดินข้ามไปอีกฟากห้องเพื่อหยิบเอากุญแจที่ซ่อนอยู่ใต้กองเสื้อผ้าในตู้เพื่อมาเปิดมันออกจนได้
...แต่นั่นสินะ...แล้วผมรู้ได้ยังไง...
ผมไขกุญแจให้เปิดออกก่อนที่แทบจะหยุดหายใจเมื่อพบเจออะไรบางอย่างอยู่ในนั้น
สิ่งที่ผมไม่แน่ใจเลยว่าทำไมถึงต้องใจเต้นระทึกเมื่อเห็นมันนอนแน่นิ่งอยู่ในกล่องไม่ไปไหน
...ไอแพดรุ่นแรกๆที่ผมเคยเห็นแต่ในอินเตอร์เน็ต...
ผมหยิบมันขึ้นมากดปุ่มเปิดอย่างคล่องแคล่ว...
ถึงแม้ว่าไอแพดนั้นจะรุ่นเก่าคร่ำครึจนคิดว่าสมัยนี้น่าจะหาซื้อมันไม่ได้อีกแล้ว
ก่อนจะพบว่ามันยังใช้การได้และอยู่ในสภาพดีมาก
ที่สำคัญคือแบตเตอรี่ยังคงเต็มเปี่ยมแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตามแต่...
หน้าจอสัมผัสเด้งโปรแกรมขึ้นมาให้กดรหัสที่หน้าจอ
และมันเป็นอีกครั้งที่ผมเดาถูกเพราะผมรู้สึกคุ้นเคยเหลือเกินที่จะกดเปิดมันแบบนั้น
...ก่อนที่ภาพที่หน้าจอที่ปรากฏจะทำให้ผมแทบหยุดหายใจ...
ใบหน้าของผมและใบหน้าของดีโอโชว์หราอยู่เต็มหน้าจอ..
ในรูปนั้นผมและเขาดูมีอายุมากกว่านี้ซักสามถึงสี่ปีเห็นจะได้
น้ำตาไหลลงมาเมื่อเห็นอย่างนั้นโดยไม่เข้าใจว่าทำไม
และศีรษะที่ปวดหนึบก็กำลังเต้นตุบๆจนแทบจะระเบิดเมื่อมือและร่างกายของผมทำงานไปโดยโดยอัตโนมัติ
มือของผมเลื่อนไปสัมผัสปุ่มแกลเลอรี่รูปภาพเพื่อพยายามจะค้นหาบางอย่าง
ก่อนที่ผมจะรับรู้เรื่องราวทุกอย่างจากในนั้น...
เหมือนกับว่าโลกทั้งหมดถูกทำให้มืดสนิทด้วยฝีมือของใครสักคน
ผมรู้สึกหน้ามืด ก่อนที่จะล้มลงไปนั่งกับพื้น เข่าอ่อนฮวบและหลับตาปี๋
ผมรู้สึกหัวหมุน และพื้นใต้ฝ่าเท้าก็เหมือนกำลังจะพลิกกลับขึ้นมา
หัวใจของเต้นกระตุก ขมับสองข้างของผมลั่นดังตุบ
ผมหายใจก่อนจะทรุดลงไปกองกับพื้นห้อง เมื่อภาพต่างๆถูกขุดขึ้นมาจากส่วนลึกที่ไม่อาจทราบได้
ผมอ้าปากหอบหายใจเมื่อภาพความทรงจำนั้นวนเวียนผ่านสมองไปอย่างรวดเร็วราวกับม้วนเทปที่ถูกกรอกลับ
...จนกระทั่งทุกอย่างก็กลับเป็นปกติในเวลาไม่กี่อึดใจ...
ผมยันตัวลุกขึ้นจากพื้นที่นอนอยู่ อาการปวดศีรษะหายเป็นปลิดทิ้ง
และตอนนี้น้ำตาของผมก็ทะลักลงมาราวกับเขื่อนแตก
...ผมจำมันได้แล้วทุกอย่าง...
ยกมือขึ้นปิดปากและร้องไห้จนตัวโยน
มองหน้าแบคฮยอนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม...แต่รอยยิ้มกลับพรายเต็มหน้าเขา
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะเพื่อนรัก...และโปรดอภัยให้ฉัน
เพราะนี่อาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันได้ทำ.. เพื่อนายทั้งสองคน”
Rebirth
มันเป็นเวลาผ่านมาหลายปีแล้วนับจากวันที่ผมและคยองซูได้ผ่านเหตุการณ์ทะเลาะกันในวันนั้น
ผมแทบจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเราเคยพูดถึงสถานที่แห่งความลับของคยองซูมานานแค่ไหน
ผมแค่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาหายตัวไปนั่นก็หมายความว่าเขาอยู่ที่นั่น...
แต่ถึงแม้ว่าผมจะถามเขากี่หนเขาก็ไม่เคยเปิดเผยมันเลยซักที...
ผมรู้สึกประหลาดใจเมื่อวันนี้ตื่นมาแล้วไม่เจอเขา
แต่กลับพบโน๊ตแผ่นเล็กๆที่ติดไว้ตรงหน้ากระจกแทน...
หยิบมาขึ้นมาอ่านแล้วก็ได้ใจความว่าวันนี้เขาไปสถานที่แห่งความลับอีกแล้ว...
แต่ที่แปลกออกไปคือวันนี้เขาต้องการให้ผมไปหาเขาที่นั่นด้วย
ผมรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวและออกจากบ้านมาในที่สุด
ก่อนที่หัวใจจะเต้นระทึกเมื่อผมขึ้นรถแท๊กซี่มาตามที่อยู่ที่เขาเขียนไว้
และผมค้นพบว่าทางที่ผมกำลังเดินทางไปมันช่างคุ้นตาและทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
ตามจริงแล้ววันนี้เราควรออกไปเดินหาหอพักเพื่อจะได้เริ่มต้นใช้ชีวิตนักศึกษาด้วยกัน
และนั่นแหละที่ทำให้ผมประหลาดใจก็เพราะว่าเส้นทางนี้อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่เราทั้งคู่สอบติดเอามากๆ
และมันน่าแปลกใจที่ตอนนี้ในหัวของผมกลับมีภาพต่างๆที่แล่นขึ้นมา
ทั้งๆที่ผมแน่ใจว่าผมไม่เคยได้กระทำหรือว่าเห็นมันมาก่อน...
ผมจำได้ถึงร้านนั้นที่ผมและคยองซูชอบลงมาหาอะไรกินด้วยกันในวันเสาร์...
ร้านไอศกรีมที่เราชอบไปนั่งหย่อนอารมณ์นั้นเจ๊งไปแล้วแต่กลับกลายเป็นช็อปเครื่องสำอางแทน
สวนสาธารณะที่บางทีเราก็ชอบลงมาเดินเล่นด้วยกันในเวลาที่มีแสงแดดอุ่นๆและอากาศดีๆ...
มันอาจจะดูบ้าบอ...แต่ผมมั่นใจว่าผมกำลังคิดไม่ผิดไป
หัวใจของผมเต้นกระตุกและดวงตาก็เบิกกว้างตลอดเวลาที่แท็กซี่ขับผ่านเส้นทางนั้น
ก่อนที่สุดท้ายเมื่อผมถึงที่หมาย...ความทรงจำบางอย่างนั้นก็ผุดพรายขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ผมเริ่มออกวิ่ง...และแม้ไม่ต้องเช็คที่หมายในกระดาษโน๊ตแผ่นเล็ก ผมก็รับรู้ได้ว่าผมต้องไปที่ไหน
แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...
ผมหายใจหอบเมื่อวิ่งมาจนถึงลิฟท์ที่หมาย กดปุ่มชั้นปลายทางที่ต้องการแล้วหัวใจก็เต้นระทึก
เสียงของคยองซูดังก้องเข้ามาในหู และผมเองมั่นใจว่าตลอดเวลาตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งเราอายุ 21 เหมือนอย่างตอนนี้
...เขาไม่เคยพูดมันกับผมเลยซักครั้งเดียว...
‘เขาว่ากันว่าฝาแฝดมีสัญญาณพิเศษที่เชื่อมถึงกัน
ฉันรู้ว่าฉันมีนายอยู่ที่นี่...
เพราะฉันมักจะฝันถึงนายเสมอ – คยองซู ’
‘เราถูกฟ้ากำหนดให้เชื่อมโยงกัน...ให้คู่กัน
ดังนั้นไม่ว่านายจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรบนโลกใบนี้
ฉันก็จะอยู่ที่นั่นเสมอ...’
ตึกตัก....ตึกตัก...ตึกตัก...
หัวใจของผมเต้นรัวอย่างกับยิงปืนกลเมื่อภาพทุกอย่างนั้นค่อยผุดขึ้นมาจากความทรงจำอย่างช้าๆ...
ศีรษะของผมปวดร้าวจนแทบระเบิดจนผมต้องหลับตาลงแน่น
ก่อนที่จะรู้สึกว่าหัวสมองขาวโพลนไปหมด ราวกับว่ามันคือระเบิดเวลาที่ฝังอยู่ในหัวผมเอง
‘ฉันกับนายไม่ใช่พี่น้องกันหรอกคยองซู...
ฟ้ากำหนดไว้แล้วให้ฉันและนายเกิดมาคู่กัน
ฉันกับนาย นายกับฉัน...เราทั้งสองคน
เราเป็นคนๆเดียวกัน’
“อ...อึก”
ผมอ้าปากหอบหายใจเมื่อประโยคสุดท้ายที่ผุดขึ้นในหัวนั้นราวกับว่าปลดปล่อยทุกอย่าง...
ผมคว้าราวลิฟท์เอาไว้มั่นแล้วหอบหายใจเพื่อปรับลมหายใจให้กลับเป็นปรกติอย่างช้าๆ
ลิฟท์มาถึงชั้นที่หมายแล้ว...และผมจึงเริ่มออกวิ่งไปยังห้องที่อยู่สุดปลายทางเดินของตึก
กดรหัสเปิดหน้าห้องโดยไม่ต้องหยุดคิดด้วยซ้ำ
...เพราะผมจำมันได้หมดทุกอย่างแล้ว...
ผมเปิดประตูห้องเข้าไปแล้วพบว่าคยองซูนั้นกำลังยืนยิ้มอยู่ที่กลางห้อง
ดวงตาคู่หวานนั้นไม่ได้เหมือนคยองซูคนที่ผมรู้จักอีกต่อไป...
แต่เขากลายเป็นคยองซูคนเดิมไปแล้ว
ผมตวัดแขนไปโอบกอดเขาแล้วเริ่มร้องไห้
กอดเขาไว้ราวกับว่าโหยหาอ้อมกอดของกันและกันมาแสนนานทั้งๆที่เมื่อคืนนี้เราก็โอบกอดกันอยู่ทั้งคืน
“ฉันจำได้...ฉันจำมันได้แล้วที่รัก”
ผมกระซิบบอกกับเขาแล้วเราทั้งสองคนก็เริ่มร้องไห้
แต่มันไม่ใช่น้ำตาของความโศกเศร้าหรอก หากแต่เป็นน้ำตาแห่งความคิดถึง...
ความคิดถึงที่ถูกฉีกแยกวิญญาณออกไปนานแสนนาน
หากแต่ตอนนี้ราวกับว่าวิญญาณที่ถูกแยกไปนั้นตามหาร่างและหัวใจที่ถูกพลัดพรากไปแล้วในที่สุด...
เราสองคนกอดกันเนิ่นนานและน้ำตาก็รินไหล
ผมผละอ้อมกอดออกก่อนจะประทับจูบไปบนริมฝีปากสีแดงเอิบอิ่มของคยองซูด้วยความรักเต็มหัวใจ
เรากลับมาเป็นเราแล้วในที่สุด...และทุกความทรงจำนั้นช่างมีค่า
มันทำให้ผมเข้าใจว่าทำไมชาตินี้เราถึงต้องเกิดมาอยู่ข้างกันตั้งแต่เกิด...
ชดใช้ทุกอย่างที่เราเคยทำพลาดไป
ผมสะอึกหากแต่ก็พยายามกระซิบมันออกมา...
คำพูดหนึ่งที่อยากจะให้คยองซูรับรู้ และจำได้...
คำพูดหนึ่งที่ตราตรึงเราเอาไว้ในสองภพชาติที่เราล่วงเลยมา
และถึงแม้ว่ามันจะผ่านมานานเท่านาน...แต่ความหมายและการกระทำของมันทุกอย่างนั้นก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนไป...
ผมกอดรัดเขาแน่นและกระซิบกับเขา...
“คยองซูยา...นายฟังฉันนะ
และต่อให้ผ่านไปอีกกี่ภพกี่ชาติฉันก็ยังจะยืนยันที่จะบอกนายอย่างนี้...
เพราะนายคือครึ่งหนึ่งของฉัน เป็นความฝันทั้งชีวิต...
และเป็นทั้งหมดของลมหายใจ”
ใช่...
และเราจะรักกันอย่างนี้...ทุกๆชาติไป...
- The End -
ผลงานอื่นๆ ของ NMNSnowman ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ NMNSnowman
"รักเรื่องนี้มาก"
(แจ้งลบ)หลังจากที่พี่นมนแต่ง THE TWINS* ออกมาแล้วว หนูติดจนไม่รู้จะติดยังไงแล้วค่ะ มันชอบมากๆๆเลยอ่ะ จนอยากได้เก็บไว้ (แต่ไม่ทัน) มีทั้งสุขและเศร้า วันนี้กลับมาแต่ง REBiRTH ต่อ ถึงแม้มันจะแค่สั้นๆ แต่มันทำให้หนูรู้สึกว่าทุกๆอย่างที่แต่งเหมือนเป็นความจริงขึ้นมายังไงอย่างนั้นเลย ชอบเรื่องแนวนี้มาก ชอบที่พี่แต่งทุกเรื่อง ชอบคำคมต่างๆของพี่ ชอบทุกอย่างที่เป็นพ ... อ่านเพิ่มเติม
หลังจากที่พี่นมนแต่ง THE TWINS* ออกมาแล้วว หนูติดจนไม่รู้จะติดยังไงแล้วค่ะ มันชอบมากๆๆเลยอ่ะ จนอยากได้เก็บไว้ (แต่ไม่ทัน) มีทั้งสุขและเศร้า วันนี้กลับมาแต่ง REBiRTH ต่อ ถึงแม้มันจะแค่สั้นๆ แต่มันทำให้หนูรู้สึกว่าทุกๆอย่างที่แต่งเหมือนเป็นความจริงขึ้นมายังไงอย่างนั้นเลย ชอบเรื่องแนวนี้มาก ชอบที่พี่แต่งทุกเรื่อง ชอบคำคมต่างๆของพี่ ชอบทุกอย่างที่เป็นพี่แต่ง #ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้นะค่ะ จะติดตามทุกเรื่องๆเลย อ่านน้อยลง
MAPLEMIND | 4 ธ.ค. 55
4
0
"รักเรื่องนี้มาก"
(แจ้งลบ)หลังจากที่พี่นมนแต่ง THE TWINS* ออกมาแล้วว หนูติดจนไม่รู้จะติดยังไงแล้วค่ะ มันชอบมากๆๆเลยอ่ะ จนอยากได้เก็บไว้ (แต่ไม่ทัน) มีทั้งสุขและเศร้า วันนี้กลับมาแต่ง REBiRTH ต่อ ถึงแม้มันจะแค่สั้นๆ แต่มันทำให้หนูรู้สึกว่าทุกๆอย่างที่แต่งเหมือนเป็นความจริงขึ้นมายังไงอย่างนั้นเลย ชอบเรื่องแนวนี้มาก ชอบที่พี่แต่งทุกเรื่อง ชอบคำคมต่างๆของพี่ ชอบทุกอย่างที่เป็นพ ... อ่านเพิ่มเติม
หลังจากที่พี่นมนแต่ง THE TWINS* ออกมาแล้วว หนูติดจนไม่รู้จะติดยังไงแล้วค่ะ มันชอบมากๆๆเลยอ่ะ จนอยากได้เก็บไว้ (แต่ไม่ทัน) มีทั้งสุขและเศร้า วันนี้กลับมาแต่ง REBiRTH ต่อ ถึงแม้มันจะแค่สั้นๆ แต่มันทำให้หนูรู้สึกว่าทุกๆอย่างที่แต่งเหมือนเป็นความจริงขึ้นมายังไงอย่างนั้นเลย ชอบเรื่องแนวนี้มาก ชอบที่พี่แต่งทุกเรื่อง ชอบคำคมต่างๆของพี่ ชอบทุกอย่างที่เป็นพี่แต่ง #ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้นะค่ะ จะติดตามทุกเรื่องๆเลย อ่านน้อยลง
MAPLEMIND | 4 ธ.ค. 55
4
0
ความคิดเห็น