คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 3: เดินทางกับอดีตผู้เสพความตาย [มีการแก้ไขและเพิ่มเนื้อหา]
No reason chapter 3
Chapter 3: เดินทางกับอดีตผู้เสพความตาย
เช้าอันสว่างไสวและอากาศแจ่มใสราวกับว่าความมืดจะไม่มาเยี่ยมเยือนโลกนี้อีกเลย นับว่าเป็นวันเปิดเทอมที่ต้อนรับนักเรียนกลับเข้าสู่รั้วฮอกวอตส์ที่ดีทีเดียว
ทั้งจินนี่ รอน แฮร์รี่ และเฮอร์ไมโอนี่ กำลังพากันลากสัมภาระอันพะรุงพะรังของตนเองฝ่าฝูงชนที่ยืนออกันอยู่ตามชานชาลา แม้จะทุุลักทุเลไปบ้าง แต่พวกเขาก็ดูจะมีความสุขกับการได้กลับไปเรียนอีกครั้ง
เมื่อเดินมาจนถึงระหว่างชานชาลาที่เก้าและสิบ ทั้งสี่ก็เตรียมจะฝ่ากำแพงตรงหน้าพวกเขาไป รอนเริ่มก่อน ตามด้วยจินนี่ แฮร์รี่ และเฮอร์ไมโอนี่ ทันทีที่พวกเขามาถึงชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ ที่ตอนนี้ เนืองแน่นไปด้วยเหล่านักเรียน และพลุกพล่านไปด้วยผู้คนจำนวนมาก เสียงสัตว์นานาชนิดต่างส่งเสียงร้องแข่งกัน
แฮร์รี่มองภาพรอยยิ้มของผู้คนที่เผยถึงความสุขท่ามกลางความวุ่นวายนั้นอย่างใจหาย เด็กหนุ่มหวนนึกถึงวันแรกที่เขายังเป็นเพียงเด็กน้อยในเสื้อผ้าหลวมโคร่ง ได้รู้จักกับรอนและเฮร์ไมโอนี่ แต่ในวันนี้เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ได้ชื่อว่าผู้ปราบจอมมาร ถึงอย่างนั้นแฮร์รี่ก็ไม่ได้คิดว่าชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ นอกเสียจากว่าจะรู้สึกสงบมากขึ้นเท่านั้นเอง… ไม่น่าเชื่อว่าเวลาจะผ่านไปเร็วอย่างรวดเร็ว และนำพาให้เขาและผองเพื่อนมาถึงจุดนี้ได้
…..
แฮร์รี่เดินนำไปก่อน รอนและจินนี่เองก็เดินตามเขาไปติดๆ ส่วนเฮอร์ไมโอนี่ที่เห็นร่างพวกเขาหายไปกับกลุ่มนักเรียนนั้น กำลังวุ่นกับรถเข็นของเธอที่จู่ๆล้อก็ติดอะไรบางอย่าง เด็กสาวพยายามจะดันอยู่หลายครั้ง จนฝ่ามือของใครบางคนต้องมาช่วยเธอดันอีกแรง แต่ก็ไม่วายที่จะฉวยโอกาสนั้นกุมฝ่ามือน้อยๆของเธอด้วย เฮอร์ไมโอนี่เข็นรถของเธอต่อได้แล้ว จึงหันไปมองเจ้าของมือนั้น เธอดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา
เด็กหนุ่มบ้านเดียวกับเธอถามขึ้น “อยากให้ช่วยเข็นมั้ย ของเยอะขนาดนี้ คงจะหนักน่าดู”
“ไม่ดีกว่า” เฮอร์ไมโอนี่ตอบทันควัน “ฉันเข็นเองได้”
เด็กสาวบอกได้เลยว่าแววตาของคอร์แมคยามที่จับจ้องมามันกวนใจเธอมากแค่ไหน เธออึดอัดใจทุกครั้งที่ต้องมองและทำเหมือนว่ามันไม่ได้มีนัยแอบแฝง
“แต่ฉันอยากช่วยนะ ฉันน่ะ – ” คอร์แมคพยายามตื๊อ
“ฉันต้องรีบไปแล้วล่ะ”
คอร์แมคพยายามจะตื๊อเพื่อจะช่วยเธอให้ได้ แต่เด็กสาวก็ไม่อยากรับความช่วยเหลือจากเขา เธอจึงรีบตัดบทก่อนที่เด็กหนุ่มจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ จากนั้นก็รีบเข็นรถเจ้าปัญหาออกมาในทันที จนเธอกลืนหายไปกับผู้คนที่ชานชาลา คอร์แมคก็ได้แต่มองตามและยกยิ้มเจ้าเล่ห์ตามแบบฉบับของเขา
……
เฮอร์ไมโอนี่พ่นลมหายใจหลังจากที่เธอพ้นจากเด็กหนุ่มคนนั้นมาได้ มันอาจจะดูเสียมารยาทไปนิดที่เธอไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดให้จบ จริงๆเขาไม่ได้แย่นักหรอก แต่เธอคงทนฟังไม่ได้ถ้าเขาจะเล่าเรื่องอะไรก็ตามเกี่ยวกับเขาให้เธอฟัง
ใกล้ถึงเวลาที่รถไฟจะออกแล้ว เด็กสาวก็มุ่งแต่เข็นรถไปข้างหน้า เธอรอบหันกลับไปมองด้านหลังบ้าง เพื่อให้แน่ใจว่าคอร์แมคไม่ได้ตามมาแล้ว ขณะที่เท้าก็ก้าวฉับๆไปพร้อมๆกับมือที่เข็นของไปด้วย แต่เมื่อหันกลับมาอีกที รถเข็นที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้มาขวางทางไว้ ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ต้องรีบดึงรถเข็นที่หนักอึ้งของเธอเอาไว้ไม่ให้ไถลไปชน ทว่าแรงของเธอก็ไม่ได้มีมากขนาดนั้น อีกอย่างเวลากระชั้นชิดขนาดนี้ เด็กสาวคงไม่ทันคิดจะใช้ไม้กายสิทธิ์มาร่ายคาถาหยุดรถเข็นหรอก ดังนั้น การพยายามหยุดรถเข็นโดยใช้แรงทั้งหมดที่เธอมี นั่นก็ดีที่สุดแล้วที่เธอจะทำได้
เฮอร์ไมโอนี่จับรถเข็นเอาไว้แน่นและส่งเสียงร้องเบาๆในลำคอ ตอนที่เห็นว่ารถเข็นของเธอชนเข้ากับรถเข็นของร่างสูงในชุดสีดำทั้งชุด เด็กหนุ่มเจ้าของรถหันมามองหลังจากรับรู้ได้ถึงแรงกระแทกเบาๆที่ส่งผ่านมายังรถเข็นของเขา
ร่างสูงขมวดคิ้วและมองเฮอร์ไมโอนี่อย่างงุนงง
“มีตาก็หัดใช้สิเกรนเจอร์” เดรโกเอ่ยเสียงหงุดหงิด “ถ้าของฉันพัง เธอคงชดใช้ไม่ไหวหรอก”
เด็กสาวขมวดคิ้วบ้าง หลังจากได้ยินคำพูดถากถางเชิงดูถูกแบบนั้น เธอจึงทำเป็นชะเง้อหน้า มองของในรถเข็นของเด็กหนุ่มที่ทำหน้าสงสัยกับการกระทำของเธอ
“ก็ไม่มีอะไรพังหนิ” ร่างบางหันไปมองหน้าเขา “ทีนี้จะถอยได้รึยัง ฉันจะได้ไป”
เหมือนจะคิดอะไรสนุกๆได้ เดรโกมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปรายตามองไปทางอื่นอย่างสบายใจ ร่างสูงไม่ยอมขยับเขยื้อนรถเข็นตามที่เด็กสาวบอกแต่อย่างใด และทำเหมือนว่าเธอไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้
“นี่ มัลฟอย นายไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง” เฮอร์ไมโอนี่เริ่มอารมณ์เสีย “ฉันบอกให้ถอยไง!”
ร่างสูงยังคงนิ่งเฉย และไม่สนใจคำพูดของเธอ เด็กสาวมองภาพนั้นอย่างรำคาญใจ การกระทำนั้นมันยิ่งสร้างความโมโหให้กับเธอ เธอจึงดันรถไปชนกับรถเข็นของเขาอย่างแรงที่สุด ถึงแม้ว่ามันจะแค่ทำให้รถเข็นของเขาขยับเล็กน้อยก็ตาม เดรโกหันไปมองใบหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธนั้นอย่างพอใจ
ร่างบางที่เห็นว่าคนผมบลอนด์ยังคงนิ่งเฉย เธอจึงเดินไปผลักเขาออกจากรถเข็น และดึงมันไปให้พ้นทาง เด็กสาวหันไปมองเขาอย่างหงุดหงิด พร้อมกับส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะกลับไปยังรถเข็นของตัวเองและรีบเข็นไป
เดรโกมองตามและส่งเสียงไล่หลัง “อย่าไปชนใครอีกล่ะเกรนเจอร์”
เฮอร์ไมโอนี่หันกลับไปมองด้วยสายตาหงุดหงิด แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าเดินจากไปทั้งที่อารมณ์เสียแบบนั้น เธอรีบตามไปสมทบกับเพื่อนของเธอที่ป่านนี้คงจะหาที่นั่งบนรถไฟกันไปเรียบร้อยแล้ว
………
เมื่อสิบเอ็ดโมงตรง ถึงเวลาที่รถไฟเริ่มเดินทางแล้ว เสียงหวูดของรถไฟดังขึ้น รถไฟสายด่วนเริ่มออกตัวช้าๆ ขณะที่ผู้คนที่สถานีก็ต่างพากันโบกมือลาให้เด็กนักเรียนที่อยู่บนรถไฟ จนกระทั่งขบวนรถเคลื่อนจากไป เพียงไม่นานทุกอย่างเริ่มเงียบ จินนี่ที่กำลังเดินตามหลังเด็กหนุ่มทั้งสอง จู่ๆก็รู้สึกว่ามีใครเดินมาด้านหลัง จึงหันกลับไปมอง แล้วพบว่าเป็นเฮอร์ไมโอนี่นั่นเอง
“เธอหายไปไหนมาเนี่ย” เด็กสาวผมแดงกระซิบถามอย่างแปลกใจ
เฮอร์ไมโอนี่ที่โดนถามโดยไม่ทันตั้งตัว เธอหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไป “รถเข็นมันมีปัญหา ไม่มีอะไรหรอก”
พวกเขาเดินหาที่นั่งไปเรื่อยๆ จนพบลูน่า กับเนวิลล์ในตู้รถไฟตู้หนึ่ง
“สวัสดี ลูน่า เนวิลล์” จินนี่ทักทายทั้งสอง เมื่อเธอเปิดตู้ที่เขาทั้งสองนั่งกันอยู่
“สวัสดี จินนี่ เข้ามานั่งด้วยกันสิ” เนวิลล์ทักกลับ แล้วชวนทุกคนให้มานั่งในตู้เดียวกัน
“ได้เลย ขอบคุณ” เสียงแฮร์รี่ที่ตามหลังจินนี่มานั้น ตอบรับ
เมื่อพวกเขาทั้งหมดเข้ามานั่งด้วยกัน ลูน่าก็ถามถึงช่วงปิดเทอมของพวกเขา ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็เล่าให้ฟังว่าช่วงปิดเทอมเธอมีโอกาสได้ไปเยี่ยมญาติของเธอที่ประเทศเยอรมนี โดยพ่อกับแม่ของเธอเป็นคนพาไป แฮร์รี่เองก็เหมือนเดิม เขาต้องทนอยู่กับพวกเดอร์สลี่ย์ ก่อนที่เขาจะมาอยู่กับรอนในช่วงใกล้เปิดเทอมนี้ รอนกับจินนี่ก็อยู่ที่บ้าน บ้างก็ซ้อมควิดดิช เนวิลล์ที่กำลังศึกษาเรื่องสมุนไพรวิเศษก็เล่าว่า ว่วงปิดเทอม เขาลองปรุงยาอยู่ที่บ้านโดยมีคุณย่าของเขาคอยให้คำแนะนำ ซึ่งเขาก็ทำได้ดีขึ้น(แต่บางครั้งทำได้แย่)
พวกเขาทั้งหกคน พูดคุยกันอย่างมีความสุขสนุกสนาน รอนหัวเราะเสียงดังกับเรื่องที่ลูน่าเล่าให้ฟัง
ซึ่งต่างจากอีกคน... อีกคน....ที่นั่งอยู่ในตู้รถไฟติดกับพวกเขา
หึ มีความสุขกันจริงนะ
เดรโกได้ยินเสียงของพวกนั้นพูดคุยกันอย่างมีความสุข แต่เขาต้องนั่งอยู่เงียบๆคนเดียวในตู้รถไฟนี่อย่างโดดเดี่ยว แพนซี่ไม่ได้มาเกาะแกะเขาเหมือนแต่ก่อน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดีอยู่บ้าง ส่วนแครบกับกอยล์ก็ไม่กลับมาเรียนที่นี่เลย เมื่อ ฮอกวอตส์เกิดสงคราม
เด็กหนุ่มนั่งมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ทอดสายตาหมองเศร้าออกไปยังป่าไม้ที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดของมันอยู่ที่ใด ตอนนี้ เขาไม่มีเพื่อนเลย เดรโกรู้สึกเหมือนต้องอยู่คนเดียวบนโลก ภายในใจของเขาที่เคยเข้มแข็งกว่านี้มันเงียบเหงาและเหน็บหนาว เขาเอาหัวพิงขอบหน้าต่าง เหม่อมองออกไปข้างนอก เขาอยากจะให้ความรู้สึกแบบนี้หมดไป ความรู้สึกปวดร้าว เมื่อไม่มีใครต้องการ
นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่เขาต้องรู้สึกแบบนี้ อาจจะตั้งแต่ปิดเทอมเลยด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มทุกข์ใจเหลือเกินที่ต้องอยู่ที่คฤหาสน์เพียงลำพัง เขาไม่มีคนที่จะคอยตามใจเขา ปลอบใจเขา ให้กำลังใจเขา พุดคุยกับเขา เหมือนแต่ก่อน ตลอดเวลาที่อยู่ที่คฤหาสน์ เขาแทบจะไม่ได้พูดอะไรเลย สิ่งที่เขาทำ คือการสั่งงานเอลฟ์เท่านั้น ซึ่งมันก็เป็นแค่คำสั่ง และแม้แต่จดหมายสักหนึ่งฉบับจากเพื่อนที่ฮอกวอตส์ก็ไม่มีให้เห็นเลย
จนวันหนึ่ง...เดรโกตัดสินใจทำสิ่งสุดท้ายในชีวิตที่เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะทำได้ นั่นคือการเข้ามาในเมือง… เมืองที่เต็มไปด้วยมักเกิ้ล เด็กหนุ่มคิดว่า การที่เขาทำแบบนี้ อาจจะทำให้เรื่องราวทุกข์ใจของเขาหมดไป แม้จะรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง ที่ต้องเห็นหน้าคนพวกนี้
เดรโกเดินไปตามทางเดินบนฟุตปาธ จนกระทั่งเขาเดินผ่านโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง เขาเห็นนักเรียนวัยเดียวกันกับเขาจับกลุ่มพูดคุยกันบ้าง บางคนก็ทำอะไรแปลกๆที่เขาไม่รู้จัก ซึ่งอะไรแปลกๆที่เขาเห็นนั้น มันคือการที่นักเรียนพวกนั้นเล่นกีฬาแบดมินตัน เดรโกเลิกที่จะสนใจนักเรียนพวกนั้น แล้วเดินไปเรื่อย เขาเดินผ่านสนามแห่งหนึ่งโดยไม่ได้สนใจ จนมีวัตถุบางอย่างกลิ้งมาหยุดตรงหน้าเขาช้าๆ ในความคิดของมัลฟอย ตอนแรกเขาคิดว่ามันจะเป็นลูกควัฟเฟิล แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง นี่มันโลกของพวกมักเกิ้ล และใช่...มันไม่ใช่ลูกควัฟเฟิล เมื่อมีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา
“เฮ้! แกน่ะ ส่งลูกบาสให้เราหน่อย”
เดรโกหันไปมองต้นตอของเสียงนั้น เขาเห็นผู้ชายกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ที่กลางสนามและมองมาทางเขา
“ลูกบาส” เดรโกทำหน้าแปลกใจ พึมพำไอ้ชื่อลูกที่อยู่ตรงหน้าเขา แต่มีหรือที่คนอย่างเดรโก มัลฟอยจะทำตามคำสั่งใครง่ายๆ
“ก็มาเก็บกันเองสิ พวกแกไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่งกับฉันนะ พวกทึ่ม!!” เดรโกตะโกนกลับไป
ทันทีที่เขาตะโกนออกไปแบบนั้น พวกทึ่มที่เขาว่ามีท่าทางโมโหมาก และกำลังจะวิ่งมาหาเขา เด็ฏหนุ่มผมบลอนด์ซึ่งเห็นท่าไม่ดี จึงรีบวิ่งหนีก่อนที่คนพวกนั้นจะมาถึงตัวเขา เดรโกวิ่งหนีไปหลบอยู่ข้างตึกแถวๆนั้น และสำรวจให้แน่ใจว่าคนพวกนั้นยังตามเขามาหรือไม่ ซึ่งอย่างน้อยโชคก็เข้าข้างเขา ที่คนพวกนั้นไม่ได้ตามมา เด็กหนุ่มร่างสูงถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาไม่น่ามาที่นี่เลย คิดได้ดังนั้นเขาจึงรีบหายตัวกลับไปที่คฤหาสน์ เมื่อแน่ใจว่าจะไม่มีใครเห็นเข้า และก่อนที่คนพวกนั้นจะมาเจอเขาอีก… บ้าชะมัดที่ต้องเจอคนพวกนี้
เดรโกยังคงนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่อย่างนั้น นี่ก็ใกล้จะถึงฮอกวอตส์แล้ว เขาจึงเลิกที่จะสนใจอะไรก็ตามที่อยู่นอกหน้าต่างนั่น และเปลี่ยนชุด
ถึงฮอกวอตส์แล้ว เขาหยิบกระเป๋าใบที่ใส่เสื้อผ้าที่เขาเปลี่ยนเมื่อสักครู่นี้ออกมาและเลื่อนบานประตูเปิดออก เป็นเวลาเดียวกับที่พวกแฮร์รี่นั้นเลื่อนประตูเปิดมาเจอเขาพอดี ทุกคนหันไปมองเขา และเขาเองก็มองพวกนั้นเหมือนกัน
“อ้าว! ฉันนึกว่านายจะไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อของนายในอัซค – ” รอนเป็นคนพูดออกมาก่อนคนอื่นๆ แต่ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เฮอร์ไมโอนี่ก็ห้ามเขาไว้ก่อน แต่ถึงแม้รอนจะพูดไม่จบ เดรโกก็รู้อยู่แก่ใจว่ารอนจะพูดว่าอะไร
“ไม่เอาน่ะรอน อย่าไปยุ่งกับเขาเลย” เฮอร์ไมโอนี่เอ่ยเสียงเบา เพื่อจะปรามเพื่อนผมแดงของเธอ
“คิดว่าฉันอยากจะเอาตัวเองไปยุ่งกับพวกแกนักรึไง?” เดรโกพูดพร้อมจ้องรอนเขม่น เขาเห็นเฮอร์ไมโอนี่ปรายตามองไปทางอื่นด้วยสีหน้าอึดอัดเต็มที
“ก็ไม่มีใครอยากจะยุ่งกับนายหรอกนะ มัลฟอย” แฮร์รี่พูดเสียงเรียบนิ่ง
“ใช่ พวกเราทุกคนไม่มีใครอยากยุ่งกับนายหรอก หรือแม้กระทั่งคนอื่นๆ ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับผู้เสพความตายหรอกนะ เห็นได้จากคนอื่นที่อยู่บ้านเดียวกันกับนาย หายไปไหนกันหมดล่ะเนี่ย?” รอนพูดออกไปอย่างเจ็บแสบ เขาทำท่ามองหาเพื่อนของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ ซึ่งไม่มีสักคน
คำพูดของรอนเปรียบเหมือนมีดคมๆที่กรีดแทงหัวใจของเขา มันร้ายกาจยิ่งกว่าคาถา เซ็คตรัมเซ็มปร้า ซะอีก หรืออาจจะแรงกว่า อะวาดา เคดาฟ-รา เลยด้วยซ้ำ เดรโกทำได้เพียงแค่รับฟังอย่างเจ็บปวด แม้ว่าภายนอกเขาจะดูเย็นชาเท่าไหร่ ดวงตาสีฟ้าซีดคู่นั้นก็ยังเผยแววความเศร้าอยู่ดี
ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับผู้เสพความตายหรอกนะ
คำพูดร้ายกาจของอีกฝ่าย ยังคงวนเวียนกึกก้องอยู่ในหัว มันเป็นความจริงที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ ถึงตอนนี้เขาจะไม่ได้เป็นผู้เสพความตายแล้ว ถึงมันจะเป็นเพียงแค่เรื่องในอดีต แต่มันยังอยู่ในความทรงจำของใครอีกมากมาย
“ฉันก็ไม่ได้สนใจหรอกนะ วีเซิ่ล” เดรโกเถียงกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง และสายตาเย็นชาที่พยายามกลบเกลื่อนความเจ็บปวดของตัวเอง “แกเองก็ไม่ได้วิเศษมาจากไหน ถึงจะมาเหยียบย่ำใครได้”
“เรารีบไปกันเถอะนะ” เฮอร์ไมโอนี่ขอร้อง
เดรโกปรายตามองเธอ และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกระด้าง เพราะความกรุ่นโกรธที่เขาเองก็ยับยั้งไม่ได้
“เธอก็ด้วย เลือดสีโคลน”
“มัลฟอย!” รอนเรียกชื่อเขาอย่างโมโห เขาพยายามที่จะเข้าไปกระชากมัลฟอย แต่แฮร์รี่และเนวิลล์ห้ามเขาไว้ก่อน ทั้งสองพยายามลากรอนให้ลงจากรถไฟไปกับพวกเขา แม้จะไม่พอใจเดรโกอยู่มาก จินนี่และลูน่าที่มองดูเหตุการณ์นี้มานานก็ช่วยกันลากรอนลงมาจากรถไฟเช่นกัน เฮอร์ไมโอนี่หันไปมองเดรโกที่ไม่แม้แต่จะหันมาสบตา ถึงแม้จะรู้ว่าเธอยืนมองอยู่ เพียงไม่นานหลังจากนั้น เด็กสาวก็เดินจากไปเงียบๆ
ดวงตาสีฟ้าซีดของเขาเปิดเผยความเจ็บปวดในทันทียามที่ไม่มีใครจับจ้อง และเขาคงจะรู้สึกแย่ยิ่งกว่านี้ หากได้เห็นความผิดหวังในแววตาสีน้ำตาลของเด็กสาว ซึ่งการที่เขาไม่หันไปมองตั้งแต่แรกก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีแล้ว เดรโกรู้ดีแก่ใจว่าคำพูดร้ายๆที่พ่นออกไปจะกระทบต่อใครบ้าง หากแต่มันเป็นวิธีตอบโต้ตามแบบฉบับของเขาอยู่แล้ว
……
เฮอร์ไมโอนี่ที่เดินลงมาจากรถไฟเห็นรอนยังพยายามที่จะดิ้นให้หลุด ก็โดนจินนี่ตวาดใส่
“รอน หยุดสักที!”
เด็กหนุ่มผมแดงยอมหยุดแต่โดยดี พร้อมกับเดรโกที่ลงมาจากรถไฟและเดินผ่านกลุ่มพวกเขาไปอย่างไม่สนใจ แต่ถึงจะหยุด เขาก็ยังโมโหเด็กหนุ่มคู่อริอยู่ดี รอนมองตามร่างสูงที่เดินไปไกลแล้วอย่างแค้นเคือง ถ้าเขาสามารถเสกคาถาผ่านสายตาได้ก็คงทำไปแล้ว
เฮอร์ไมโอนี่เดินมาลูบไหล่รอนที่กำลังอารมณ์ไม่ดี ซึ่งเขาก็ดูจะใจเย็นลงบ้างแล้ว
“ถ้าไม่ติดว่าอาหารที่นี่อร่อย ฉันไม่กลับมาเรียนและทนเจอหน้ามันหรอก” รอนเอ่ยอย่างหงุดหงิด ขณะที่คนอื่นก็ได้แต่รับฟังกันเงียบๆ เด็กหนุ่มผมดำจึงได้พูดขึ้นทำลายบรรยากาศน่าอึดอัด
“ฉันว่าเรารีบเข้าไปกันเถอะ”
จากนั้นทุกคนก็พากันไปขึ้นรถลาก เพื่อเข้าไปในฮอกวอตส์
TBC.
ความคิดเห็น