Can you hear the flower hymn the song?
- Secret Garden -
-----------------------------------
(1,)
ภาวะนอนหลับไม่สนิท,
แสงอาทิตย์แข่งกันฉายแสง, ในขณะที่เขากำลังยืนอยู่ริมสระและจ้องมองเงาสะท้อนในน้ำ
ภาพสะท้อนไม่ใช่ใครอื่น นั่นคือเขาเอง ทรงผมเรียบที่ปาดเสยไปด้านหลัง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาและอ่อนเยาว์
อ่อนเยาว์จนเขาคิดว่ามันผิดปกติ
สตีเฟ่นละสายตาจากบ่อน้ำตรงหน้า กวาดสายตามองสวนหย่อมเล็ก ๆ ที่รายล้อมไปด้วยดอกไม้— อย่างน้อยเขาก็พอรู้อยู่บ้างว่ามันคือดอกทิวลิป เขาก้มมองตัวเองในเชิร์ตสีขาวสะอาดพร้อมกางเกงแสล็กยาวสีดำ กระพริบตาอยู่สองสามทีก่อนจะตัดสินใจฟาดมือลงไปบนขาของตัวเองอย่างแรง
ใบหน้านิ่วเตรียมรับความเจ็บปวด— แต่มันไร้ความรู้สึก
เป็นอย่างที่คาดเดา, เขากำลังรู้สึกตัวอยู่ในฝันของตนเอง
“ทำไมถึงตีตัวเองล่ะคะ?” เสียงใสเอ่ยขึ้นจากด้านข้าง สตีเฟ่นไม่ได้รู้สึกตกใจแต่อย่างใดกับผู้มาใหม่ เขาไม่หันไปมอง เพียงแต่มองภาพสะท้อนของเด็กสาวตัวน้อย น่าจะอายุราว ๆ สัก7-8ปี ที่กำลังยันเข่าตัวเองและชะโงกมองหน้าเขาที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ
สตีเฟ่นไม่ตอบอะไร ในเมื่อเขารู้ว่านี่คือฝันของเขาและกำลังรู้สึกตัว มันคงเป็นกลไกบางอย่างของสมองที่ทำให้เขาเป็นอย่างนี้ อาจเป็นเพราะช่วงนี้เขาอ่านหนังสือยันเช้า ไหนวันนี้เขาเพิ่งมีคลาสเช้าเป็นครั้งที่5หลังจากไม่ได้นอนเกือบสี่สัปดาห์เห็นจะได้
เขาคงเหนื่อยเกินไป— และกาแฟดำเข้ม ๆ กับน้ำตาลสองช้อนคงเล่นงานเขาเข้าเสียแล้ว
“คงอยากให้แน่ใจอะไรสักหน่อย” เขาเอ่ยเสียงเรียบ เอนไปทางใส่อารมณ์ เด็กหญิงยังคงจ้องมาที่เขาด้วยดวงตาใสแป๋ว พร้อมหยักยิ้มบนหน้า
“พี่ชื่ออะไรหรอคะ”
“สตีเฟ่น”
“สตีเฟ่น...” เด็กสาวโคลงหัว “ชื่อเหมือนสุนัขที่บ้านป้าแมรี่เลย”
เขาไม่ตอบ, เพียงแต่เลื่อนมือมากุมขมับตัวเองพร้อมลงแรงนวดเบาๆ
โอเค— ชื่อที่แสนภาคภูมิใจของเขากลายเป็นชื่อสุนัขไปเสียแล้ว
“พี่เครียดหรอคะ” เด็กสาวเอ่ยถามอีกครั้งขณะที่เจ้าหล่อนกำลังหันไปชมดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกล
“ไม่เชิง” เขาเอ่ยเสียงเรียบ หากหล่อนโตกว่านี้ และเข้าใจโลกมากกว่านี้คงจะรู้ตัวว่าหล่อนพูดมากและน่ารำคาญขนาดไหน โชคร้ายที่เธอยังเด็กเกินไปที่จะรับรู้ถึงความรำคาญที่ส่งผ่านออกมาจากน้ำเสียงเรียบนิ่งของเขา
“พี่เรียนหมอหรอคะ” เธอถาม สตีเฟ่นเลือกที่จะไม่ตอบ “พี่ดูเหนื่อยมากเลย”
“ทำไมต้องหมอ, อาชีพอื่นไม่เหนื่อยรึไง”
“นั่นสิคะ, ทำไมต้องหมอ?” เธอทวนสิ่งที่เขาพูด พร้อมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา
สตีเฟ่นชะงักไปครู่หนึ่งราวกับเขากำลังโดนเด็กสาวยอกย้อนตัวเองด้วยคำพูดของเขา
‘ทำไมต้องมาเป็นหมอ’
คำพูดด้วยน้ำเสียงเล็ก ๆ ของเธอเล่นซ้ำราวกับแผ่นเพลงที่เปิดวนไปอย่างไม่สิ้นสุด สตีเฟ่นช้อนสายตามองเด็กสาวที่กำลังยกยิ้มให้เขาไม่ต่างจากครั้งแรกที่สบตากันในภาพสะท้อนบนผิวน้ำสักเท่าไหร่
“เพราะอยากช่วยคนล่ะมั้ง”
“แล้วอาชีพอื่นไม่ช่วยคนหรือคะ” เธอถามอย่างไร้เดียงสา ทว่าคำพูดของเธอกลับแทงลึกลงไปในหัวใจ
“มันไม่ใช่แบบนั้น” เขาพึมพำกับตนเอง
“แล้วเป็นแบบไหนหรือคะ”
เป็นอีกครั้งที่สตีเฟ่นเงียบไปพร้อมเหม่อมองไปบนท้องฟ้าพร้อมสายลมเย็น ๆ ที่พัดมากระทบกับร่างกายของเขา เขาหลับตาลงราวกับหลีกหนีคำถามของเด็กสาวตัวเล็กจนไปถึงสุดขอบฟ้า
เมื่อเด็กสาวคิดว่าต่อให้เธอวิ่งไล่ตามเขาเพื่อคาดคั้นคำตอบ หากเขาไม่อยากพูด หรือไม่มีอะไรจะพูด การไล่ตามของเธอก็คงสูญเปล่าเหมือนกับการตะโกนด้วยเสียงที่ดังที่สุด ในห้องที่เงียบที่สุดอย่างไรอย่างนั้น เธอจึงเลิกที่จะยืนอยู่ข้างเขาและออกไปหาสิ่งอื่นทำดีกว่า
หางตาของเขาเห็นเด็กสาวคนเดิมกำลังวิ่งไล่จับผีเสื้อสีขาวนับสิบตัวที่บินวนอยู่รอบๆ และเขาคิดว่ามันช่างไร้สาระจริง ๆ กับการไขว่คว้าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
“พี่หมอว่าหนูจะจับผีเสื้อได้สักตัวไหมคะ” หล่อนตะโหนออกมาพร้อมรอยยิ้มขณะที่ยังคงเต้นรำอยู่ท่ามกลางผีเสื้อแสนสวยที่บินวนรอบ ๆ ตัวของเธอ
“ไม่ได้สักตัว” เขาเอ่ยพร้อมถอนหายใจ “บางทีเธออาจจะต้องอยู่นิ่งๆ, ไม่ขยับไปไหน และไม่ทำตัวน่ารำคาญถึงจะได้ในสิ่งที่ต้องการ”
เด็กสาวหันมามองเขาด้วยใบหน้างุนงง “อยู่เฉย ๆ เราก็ได้สิ่งที่ต้องการมาง่าย ๆ หรือคะ?”
เขาพยักหน้า
“อย่างนั้นก็น่าเบื่อแย่” เธอหัวเราะร่าราวกับความคิดของเขาช่างน่าขบขัน สตีเฟ่นขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ
“น่าขำตรงไหน, ผู้ใหญ่เขาก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น”
“งั้นพวกเขาก็คงเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเบื่อไม่แพ้กัน” เธอว่า “อ๊ะ! หนูจับได้แล้วหนึ่งตัว!” เด็กสาวร้องลั่นพร้อมมือสองข้างที่กอบกุมอยู่ระดับอก
“พี่หมออยากจะดูผีเสื้อของหนูไหมคะ” เธอกล่าวชักชวน
“ไม่ต้องการ”
“แต่หนูอยากให้พี่เห็นมันนะ”
“ขอบใจ, แต่ไม่เป็นไร”
เด็กสาวทำหน้ามุ่ยเมื่อได้รับคำปฏิเสธอย่างจริงจัง เธอแง้ม ๆ ดูผีเสื้อในมือของตัวเองพร้อมร้องออกมาอย่างโอเวอร์ว่าผีเสื้อของเธอนั่นสวยงามแค่ไหน แต่ต่อให้เธอพูดมากแค่ไหน คนที่เธออยากให้เห็นผีเสื้อตัวนี้มากที่สุดก็ไม่มีท่าทีจะแยแสสิ่งที่เธอพูดสักนิดเดียว
“รู้ไหม, หนูกำลังคิดว่าหนูจะปล่อยมันไป” เธอพูดในขณะที่ตัวร่างน้อย ๆ ของตนเองมานั่งจุมปุ๊กอยู่ข้าง ๆ เขาอีกครั้ง
“ทำไม” สตีเฟ่นขานตอบพร้อมเลิ่กคิ้วหนึ่งข้าง “เธอพยายามไขว่คว้ามันอยู่นานสองนาน, ทำไมถึงปล่อยมันไปง่ายๆ”
“เพราะหากหนูเก็บไว้, คนที่หนูอยากให้เห็นผีเสื้อมากที่สุดก็จะไม่ได้เห็นมัน” เธอกล่าวพร้อมยกยิ้มให้เขา
“มีผีเสื้ออีกตั้งหลายร้อยตัว, ต่อให้เธอไม่ปล่อยมันไป ฉันก็เห็นมันไม่ต่างกับเธอ”
“มันไม่เหมือนกันเสียหน่อย” เธอพองแก้มด้วยความไม่พอใจ “ต่อให้มีสีเดียวกัน, สายพันธุ์เดียวกัน, หรือแม้แต่ขนาดเดียวกัน ผีเสื้อเหล่านั้นก็ไม่ใช่ของหนูอยู่ดี”
เธอเว้นไปพร้อมค่อย ๆ ละมือที่กอบกุมออกจากกัน เขาเห็นผีเสื้อสีขาวธรรมดาที่ไม่ต่างกับตัวอื่น ๆ ในสวนแห่งนี้ มันยืนอยู่นิ่ง ๆ บนมือของเด็กสาว เธอเป่าไล่มันออกไปจากฝ่ามือเบา ๆ ก่อนที่มันจะกระพือปีกน้อย ๆ โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
“ผีเสื้อของหนูมีเพียงตัวเดียว, ต่อให้มันจะเหมือนกับตัวอื่นมากเท่าใด แต่มันก็มีเพียงตัวเดียวเท่านั้น”
“มีเพียงตัวเดียวตลอดมา”
เธอเหมือนจะพูดเรื่อยเปื่อย
เหมือนจะ—
สตีเฟ่นยอมรับว่าคำพูดที่เหมือนดั่งเรือที่ไร้ลมของเธอสะกิดบางอย่างที่อยู่ในใจของเขา เพียงแต่เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันคืออะไร เขาจ้องหน้าเธอ มองลึกเข้าในในดวงตาของเด็กสาวก่อนจะตัดสินใจที่จะเอ่ยอะไรออกไปบางอย่างที่คั่งค้างอยู่ภายในใน
ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงไปในเสี้ยวพริบตา
สตีเฟ่น สเตรนจ์กระพริบตาถี่ ๆ ก่อนจะเผยนัยน์ตาสีมหาสมุทรที่จดจ้องไปยังเพดาน เขาปิดปากหาววอดก่อนจะควานหาโทรศัพท์ของตนเพื่อมาเปิดดูเวลา ดวงตาของเขาหรี่ลงจนแทบจะปิดเมื่อพบว่าหน้าจอมันสว่างเกินไปที่เขาจะสู้ไหว แต่ไม่นานสายตาของเขาก็เริ่มชินกับแสงสว่างมากขึ้น
03.46 AM.
หลับไปตั้งแต่6โมงเย็น— ก็ถือว่าทำเวลาได้ดีอยู่
สตีเฟ่นยันตัวขึ้นมานั่งบนเตียงพร้อมห้อยขาทั้งสองข้างของตัวเองไว้ข้างเตียงเมื่อตนเองรู้สึกคอแห้งผาก เขายกมือลูบใบหน้าตนเอง รู้สึกถึงตอหนวดเล็ก ๆ ที่ทิ่มมือของตนเอง แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจมัน
เขาสาบานได้ว่าเมื่อกี้เขาฝัน, และเขารู้สึกตัวขณะอยู่ในฝัน
เขาจำได้ว่าเขาได้เจอเด็กผู้หญิงคนนึงในสวนที่มีดอกทิวลิปอยู่เต็มไปหมด, ผีเสื้อ และบ่อน้ำ
แต่เขาจำเธอไม่ได้, แม้แต่น้ำเสียงของเธอก็ตาม
นั่นรวมไปถึงสิ่งที่เขาอยากจะถามเธอในตอนสุดท้ายด้วย
เขาสายหัวให้ตัวเองตัว แม้จะเป็นความฝันที่ประหลาด แต่เขายอมรับว่าตกใจนิดหน่อยที่เมื่อตื่นขึ้นมาเขารู้สึกได้หลับเต็มอิ่ม ทั้งที่เขาอยู่ในภาวะนอนหลับไม่สนิท
ชายหนุ่มนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายยันตัวเองลุกขึ้นจากเตียงไปยังหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก สองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงวอร์มย้วย ๆ ที่เขารู้สึกว่าใส่นอนแล้วสบายดี พร้อมเหม่อมองวิวของนครนิวยอร์กในเวลาสีสามเกือบตีสี่แบบนี้
เขาจำอะไรไม่ได้เลย,
สิ่งที่เขาจำได้มีเพียงผีเสื้อสีขาวตัวนั้นช่างงดงาม, และรอยยิ้มของเด็กคนนั้นช่างอบอุ่น
--------------------------
(2,)
สายฝนเต้นรำ, ในขณะที่เขาเปียกปอน
มีไม่บ่อยนักที่คนเราจะหลับไปทั้งน้ำตา ความเสียใจที่ชัดเจนเสียจนแม้แต่ตอนฝันความเป็นจริงก็ยังคงเป็นฝันร้ายที่น่ากลัวที่สุด และหากเลือกได้สตีเฟ่น เสตรนจ์ก็ไม่อยากออกไปจากฝันนี้เลย
เขาก้มมองมือตัวเองด้วยความสั่นเทา หากถามว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองกำลังฝัน เขาคงจะบอกได้ว่าเขารู้ตัวว่ากำลังจะฝันและปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้น เขาร้องไห้อย่างน่าสมเพชอยู่บนเตียงนอนของตนเอง ห้องที่เคยหรูหราและเต็มไปด้วยสิ่งของราคาแพงกลับว่างเปล่าราวกับไม่เคยมีสิ่งใด ไม่เคยมีความทรงจำใดร่วมกันมาเลย
และมันว่างเปล่ามากพอที่เขาจะเอามาเปรียบกับอนาคตของตนเอง
ความเสียใจดังระงมไปทั่วห้อง แต่ไม่มีใครสักคนที่ได้ยินมัน แม้เขาจะกรีดร้องราวกับหัวใจกำลังถูกผ่าครึ่ง และแม้แต่ศัลยแพทย์ที่เคยเก่งที่สุดอย่างเขาก็มิอาจรักษาได้ตลอดกาล และด้วยความอ่อนล้าหรืออะไรก็ตามแต่ เขารู้สึกถึงความเงียบที่คืบคลานเข้ามา อย่างน้อยมันก็เป็นเรื่องดี ๆ ที่ความเงียบมักจูงมือมาพร้อมกับความมืดเสมอ
เสียงรอบข้างเริ่มเงียบหาย เสียงสะอื้นในลำคอสงบลง เปลือกตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาค่อย ๆ ปรือจนปิด
รู้สึกตัวอีกทีเขาก็อยู่ที่นี่, ป่าไม้ที่ไร้ก้านใบกับสายฝนที่กระหน่ำลงมาบนตัวเขา
เขาจำได้ลาง ๆ ว่าเขาเคยรู้ตัวขณะที่ฝันแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง,
ความจริงก็หลายครั้ง, แต่ไม่มีใครไหนที่จะรู้สึกได้ชัดเจนเท่าครั้งนี้และครั้งก่อนตอนที่เป็นนักศึกษาแพทย์
เขามองภาพตัวเองที่สะท้อนจากแอ่งน้ำที่เอิ่งนองอยู่ใต้ขา ชายหนุ่มใบหน้าเศร้าหมอง หนวดเคราขึ้นรกจนดูไม่ได้ ผมเผ้ายาวยุ่งเหยิงจนไม่เหมือนสตีเฟ่นคนเดิม ตาของเขาพร่าเลือนจากน้ำฝนแต่ยังคงจดจ้องไปที่มือทั้งสองข้างของเขา
มันยังคงสั่นเทา
เขาหลับตา— สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
แม้จะอยู่ในฝันของตัวเอง, เขายังไม่อาจหลีกหนีความจริงข้อนั้นได้เลย
ความจริงที่ว่าชีวิตของเขาได้พังทลายลงไปแล้วและ—
“อ้าว, คุณหมอ”
น้ำเสียงคุ้นหูทักมาจากด้านหลัง สตีเฟ่นยืนนิ่งงันราวกับไม่ได้ยินน้ำเสียงหวานที่เอื้อนเอ่ยออกมาขณะที่บทเพลงของสายฝนยังคงบรรเลง
“เราเจอกันอีกแล้ว” เจ้าของเสียงยังคงกล่าวต่อ พร้อมพาร่างของเธอมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เขา สตีเฟ่นไม่รู้สึกถึงน้ำฝนเย็น ๆ ที่กระทบกับผิวกายอีก รอบข้างที่มืดมิดพลันสว่างขึ้นมาด้วยเสียงริบหรี่จากตะเกียงในมือของผู้ที่ยืนอยู่ข้างเขา
“และ— คุณไม่หันมามองหน้าฉันเหมือนเมื่อตอนนั้นเลย” เจ้าของเสียงหัวเราะร่าขณะที่ชะโงกหน้ามามองเขาจากภาพสะท้อนบนแอ่งน้ำ
แม้เขาจะเคยลืมไปเสียสนิท, แต่เขามั่นใจว่าเธอคือเด็กสาวในฝันเมื่อตอนนั้น
“เธอ...” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง หันมาพิจารณาเด็กสาว— ไม่สิ หญิงสาว
เด็กสาวในฝันของเขาเมื่อตอนนั้นได้เติบโตขึ้นมาเป็นหญิงสาวเสียแล้ว
แม้เขาจะมองใบหน้าของเธอไม่ชัดเพราะเงาจากร่มหรืออะไรก็ตาม แต่เขาเห็นได้ชัดว่าเธอนั้นเติบโต
หากจำไม่ผิดเด็กคนนั้นสูงเพียงแค่เอวของเขา— แต่นี่เธอสูงเลยไหล่เขามานิดเดียว
“ยินดีที่ได้พบอีกครั้งนะคะ” เธอยิ้มกว้าง “มายืนตากฝนแบบนี้ประเดี๋ยวคุณก็เป็นหวัดเสียหรอก, คุณหมอไม่น่าเอาตัวเองมาเสี่ยงกับหวัดนี่คะ”
“ฉันจะพาคุณไปหลบฝนก่อน, ฉันบังเอิญเจอบ้านเล็ก ๆ ที่น่าอยู่ทีเดียว ไม่ไกลจากที่นี่มากหรอกค่ะ”
หญิงสาวในชุดเดรสสีน้ำเงินเอ่ยด้วยน้ำเสียงใจดีและถือวิสาสะกอบกุมมือที่สั่นเทาเขาเขาเอาไว้ กึ่งลากกึ่งจูงไปที่บ้านอิฐหลังเล็ก ๆ ที่มีไม้เลื้อยขึ้นปกคลุมจนดูคล้ายบ้านร้าง ทว่ายังคงมีแสงไฟส่องสว่างจากด้านในบ่งบอกว่ามีคนอยู่ที่นี่มาเสมอ เธอดึงเขาเข้ามาในบ้านและทำท่าทีราวกับตัวเองเป็นเจ้าของ
เธอเดินไปตรงนู้นที ตรงนี้ที จบลงด้วยผ้าขนหนูที่ดูนุ่ม ๆ โยนมาให้เขาอย่างไม่เกรงใจ เขาตะปบรับมันด้วยความงุนงง ก่อนจะใช้มันเช็ดผมเปียก ๆ ของตนเอง
“คุณควรมานั่งตรงนี้” เธอลากเขามานั่งบนโซฟาสีแดงเลือดหมูกำมะหยี่หน้าเตาผิง “ตรงนี้เป็นที่โปรดของฉันเชียว, แต่วันนี้ฉันจะยอมให้คุณหมอก็ได้”
“ฉันจะไปชงชามาให้นะคะ, หวังว่าคุณจะดื่มได้”
“หวังว่าผมจะดื่มได้?” เขาถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“คุณเป็นเป็นอเมริกันนี่, จากสำเนียงของคุณ” เธอว่า “คุณคงจะชอบดื่มกาแฟเสียมากกว่า, เสียดายที่ฉันหลงรักชาจนโงหัวไม่ขึ้น”
“อย่างผมไม่เรื่องมากหรอก” เขาหลุบสายตามองต่ำ “แค่มีน้ำใจให้ผมเข้ามาหลบฝนก็มากเพียงพอ”
หญิงสาวไม่ท้วงกับท่าทีที่หมองลงของเขา
“อย่างนั้นฉันขอเวลาสักครู่นะคะ” เจ้าหล่อนพูดไว้แบบนั้น เธอหายเข้าไปในประตูไม้บานนึงที่คาดว่าน่าจะเป็นห้องครัว เสียงเครื่องครัวที่กระทบกันและกลิ่นหอม ๆ ของ— ใบไม้ต้ม ลอยเข้ามาทักทายประสาทการดมกลิ่นของเขา สตีเฟ่นตั้งหน้าตั้งตารอชาถ้วยนั้นของเธออย่างไม่รู้ตัว ขณะที่มือทั้งสองข้างยังคงผิงอยู่กับไฟอุ่นๆ
“ชาคาร์โมไมล์— มันน่าจะช่วยให้คุณดีขึ้นนะ” เธอเดินออกมาพร้อมกับถาดเหล็กที่มีกาน้ำชาสีขาวและถ้วยชาอยู่บนนั้น หญิงสาวในชุดสีน้ำเงินบรรจงวางชุดน้ำตาอย่างแผ่วเบาบนโต๊ะเล็ก ๆ ระหว่างเขาและโซฟาอีกตัว
“ฉันลืมขนมไปเสียสนิท!” เธอร้องพร้อมรีบสาวเท้าเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง ปล่อยสตีเฟ่นไว้กับชุดน้ำชาแสนเรียบง่าย และเมื่อเธอออกมาอีกครั้งพร้อมบิสกิตหอมกรุ่น เธอก็พบว่าแก้วชาของเธอและเขาถูกเติมเต็มด้วยน้ำชากลิ่นหอมหวนนี่เสียแล้ว
“สักชิ้นไหมคะ, มันอร่อยมากเลยนะ” เธอชักชวนพร้อมหยิบบิสกิตหนึ่งชิ้นและโยนเข้าปากไป
“ไม่...” เขามองบิสกิตของเธอพร้อมเหล่มองถ้วยชาในมือ
มันอุ่น— อุ่นอย่างน่าประหลาด
หากนี่เป็นความฝัน, อย่างน้อย ๆ เขาก็ควรจะไม่รู้สึกถึงอะไรเลย
เขาเลือกที่จะไม่เอ่ยข้อสงสัยในหัวตนเองออกไปพร้อมยกชาขึ้นดื่มเป็นปกติ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วลำคอและท้องของเขา กลิ่นหอมๆของชาคาร์โมไมล์ทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อยเทียว
เขาเคยคิดว่าทำไมคนอังกฤษถึงชอบดื่มใบไม้ต้มกันนัก, และเขาก็เคยลิ้มลองชามาหลายที
แต่ไม่มีที่ไหนเลยที่ให้รสชาติละความรู้สึกเหมือนชาบ้านๆจากหญิงสาวในฝันคนนี้
“คุณเคยอ่านกวีไหม” เธอว่าพร้อมเอี้ยวตัวไปหยิบหนังสือของเชกสเปียร์ขึ้นมาโชว์
“เคย” เขาว่า “เฮมเล็ต....” ชายหนุ่มพึมพำชื่อหนังสือที่เขียนอยู่บนหน้าปก หญิงสาวยกยิ้มดีใจพร้อมดวงตาที่เป็นประกาย
“ฉันไม่เคยอ่านกวีมาก่อนเลย” เธอว่า “และที่นี่ดูเหมือนจะมีหนังสือของเชกสเปียร์หลายเล่มเชียว”
“ทำไมถึงมีแต่เชกสเปียร์?” เขาเอ่ยด้วยความสงสัยพร้อมลุกขึ้นและตรงดิ่งไปยังชั้นหนังสือข้าง ๆ หน้าต่างบานใหญ่
“ไม่รู้สิคะ” เธอว่า “บางทีอาจจะเป็นนักเขียนคนโปรดของเจ้าของบ้าน?”
“ก็คงเป็นอย่างนั้น” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงพึมพำพร้อมหยิบหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง ไล่สายตาอ่านข้อความบนกระดาษอย่างตั้งใจ หญิงสาวเมื่อเห็นอย่างนั้นจึงทำได้แค่ยกยิ้มออกมาพร้อมเอื้อมมือไปเปิดเครื่องเล่นแผ่นเพลงตัวใหญ่ที่วางอยู่ไม่ไกลนัก
ทำนองเพลงแจ๊สกับบรรยากาศอันแสนป่อนคลายทำให้สตีเฟ่นรู้สึกสบายใจไม่น้อย เขาหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่งที่เขาคิดว่าตนเองสนใจก่อนจะเดินกลับมานั่งบนโซฟาสีแดงกำมะหยี่ตัวเดิม ตัวเดียวกับที่หญิงสาวบอกเขาว่ามันคือเก้าอี้ตัวโปรดของเธอ
“ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอใช่ไหม”
“ค่ะ”
“แล้วเข้ามาแบบนี้เจ้าของบ้านไม่ว่าเอาหรือ”
เธอปิดหนังสือเบาๆ พร้อมรอยยิ้ม “เขาอนุญาตให้เราเข้ามาตั้งแต่คุณมาอยู่ที่นี่แล้ว”
“เขา?” สตีเฟ่นทวนซ้ำ แต่หยิงสาวไม่พูดอะไรต่อ เพียงแค่จดจ้องไปยังมือทั้งสองคู่ของเขาเท่านั้น
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คุณหายเปียก?” เธอว่า สตีเฟ่นที่เพิ่งรู้สึกตัวสำรวจเสื้อผ้าของตนเอง— รวมไปถึงเส้นผมที่ยาวและเปียกลู่บนใบหน้าที่มันกลับแห้งสนิท
ชายหนุ่มไม่สามารถให้คำตอบหญิงสาวได้ เธอยิ้มให้ราวกับนั่นเป็นเรื่องปกติก่อนจะยกชาในแก้วขึ้นมาจิบ
“แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มือของคุณหายสั่นเทา” เธอเอ่ยอีกครั้งหลังจากที่ปล่อยให้รอบข้างมีเพียงเสียงเพลงจากแผ่นเสียงและเสียงของสายฝนที่กำลังเลี้ยงฉลอง
สตีเฟ่นให้คำตอบไม่ได้— แน่นอนล่ะ, ตัวเขายังไม่รู้เลยว่ามันหายตั้งแต่เมื่อไหร่
“ผมไม่เข้าใจ—”
“โอ้, คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจอะไรหรอกค่ะ” หญิงสาวหัวเราะร่า “คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจมันไปทุกอย่างหรอก, บางอย่างที่เหลือเชื่อ หากมันเป็นความจริงหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ ต่อให้คุณไม่อยากเชื่อมันมากเท่าใดคุณก็ต้องเชื่อมันอยู่ดี”
สตีเฟ่นรู้ได้ทันทีว่าเขาที่เธอว่า, มันคือตัวของเขาเอง
“ผม—” ชายหนุ่มอดีตศัลยแพทย์ยิ่งงุนงงมากกว่าเดิม หนังสือในมือของเขาหล่นลงพื้นเมื่อได้ยินความจริงจากปากของเธอ ตั้งแต่เมื่อไหร่? เขาตั้งคำถามกับตัวเองและก้มมองมือของตนเองที่ตอนนี้มันเริ่มสั่นเทาอีกครั้ง
“ชู่ว—” หญิงสาวลุกขึ้นมาจากที่นั่งของเธอในท่าคุกเข่าพร้อมกอบกุมมือเขาเอาไว้อย่างแนบแน่น
“คุณอาจจะพูดถูก” เขาเอ่ย “ตอนนั้นผมอาจจะไม่สั่น, แต่ตอนนี้มันกลับมาแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มือทั้งสองข้างสร้างอาชีพ สร้างชื่อเสียง สร้างชีวิตของเขาและเมื่อเขาสูญเสียมันไป มันก็เหมือนเขาสูญเสียความภาคภูมิใจทั้งชีวิตไปเช่นเดียวกัน
“ผมควรทำอย่างไรดี” สตีเฟ่นกำมือทั้งสองข้างด้วยความโกรธ แม้ตัวเองจะไม่รู้ก็ตามว่าทำไม
หญิงสาวไม่ตอบอะไร เพียงแค่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาก็เท่านั้น
“บางทีคุณอาจจะไม่ต้องทำอะไรเลย”
เจ้าหล่อนว่า
“คุณสูญเสียสิ่งที่พยายามมาทั้งชีวิตก็จริง, แต่การสูญเสียมือทั้งสองข้างของคุณมันจะทำให้คุณสูญเสียตัวตนไปด้วยหรือคะ” หญิงสาวเอ่ยพร้อมจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขา
“ฉันเชื่อว่าคุณยังเป็นตัวของคุณที่ดีกว่าเดิมได้” หญิงสาวยกยิ้ม
“แม้มือทั้งสองข้างจะไม่ดีดั่งเดิมก็ตาม”
ตาของสตีเฟ่นเป็นประกายเล็กๆ
ไม่เคยมีใครพูดกับเขาแบบนี้— ทุกคนต่างอวยพรและให้กำลังใจเขาว่ามันต้องมีสักทางที่เขาจะต้องหายดี
มีเพียงแค่เธอ, ที่ขอให้ผมสู้กับมัน แม้จะต้องแพ้ก็ตาม
“ผมจะอยู่ได้โดยที่พวกมันไม่ดีดั่งเดิมได้จริง ๆ หรือ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“ฉันเองก็ไม่แน่ใจ” หญิงสาวว่า “แต่คุณหมอ, ชีวิตคนเราอะไรก็เกิดขึ้นได้นี่คะ”
“บางทีเราอาจจะต้องโยนความเชื่อ, ความทะนงตน, ความคิดต่าง ๆ ของเราทิ้งไปเพื่อที่จะหาหนทางการใช้ชีวิตแบบใหม่ของเราอีกครั้ง” หญิงสาวโคลงหัวไปมา ก่อนจะจบลงด้วยรอยยิ้ม
“คุณพร้อมจะแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ ในทุกค่ำคืน, และเสียเวลาทั้งหมดไปกับการประกอบตัวเองขึ้นมาใหม่ด้วยน้ำตารึเปล่าคะ”
เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
“แลกด้วยอะไรผมก็ยอม”
หญิงสาวยกยิ้มอีกครั้งพร้อมจุมพิตบนมือที่เต็มไปด้วยแผลเป็นและยังสั่นเทาของเขาอย่างไม่รังเกียจ หากแต่เธอบรรจงจูบมันด้วยความอ่อนโยนราวกับกลัวว่าเธอจะทำความภาคภูมิใจทั้งชีวิตของเขาพังลง
วินาทีนั้นหัวใจของสตีเฟ่นกระตุกและวูบไหว
“หากพระเจ้ามีจริง, ฉันก็อยากให้ท่านเอาพระอาทิตย์ของฉันไปแลกกับสายฝนของคุณเหลือเกิน”
ก่อนที่สตีเฟ่นจะเอื้อนเอ่ยอะไรออกไป, เขาก็รู้สึกถึงแสงอาทิตย์ที่แยงตาในยามเช้าเสียแล้ว
-------------------------------
(3,)
“เราเจอกันอีกแล้ว” หญิงสาวคนเดิมเอ่ยทัก
ครั้งนี้ไม่มีสวนดอกไม้กับบ่อน้ำ หรือป่าไร้ใบกับสายฝน มีเพียงหญิงสาวคนเดิมที่เขาลืมใบหน้าและเรื่องราวทั้งหมดทุกครั้งที่ลืมตาตื่น ภาพความฝันทลายลงด้วยความเป็นจริงและสิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงความรู้สึกอบอุ่นที่เธอทิ้งไว้ให้เขาคลำทางต่อไปในชีวิตจริงเท่านั้น
“เธอไม่จำเป็นต้องทักทุกครั้งที่เราเจอกันก็ได้” ชายหนุ่มว่า ภาพของแพทย์หนุ่มวัยเยาว์เลือนหายไปจากความทรงจำ รวมถึงภาพของอดีตศัลยแพทย์มือทองที่ตกอับด้วยเช่นกัน
หญิงสาวที่นั่งอยู่บนรั้วสีขาวกระโดดลงมาบนพื้นด้วยท่าทีที่เหมือนเด็กๆ เธอหันไปหาชายหนุ่มในชุดแปลกตาที่ไม่เหมือนครั้งอื่นๆ
“คุณไปเป็นนักแสดงหนังจีนแล้วเหรอคะ” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก
“คุณจะตกใจที่ผมเป็นมากกว่านั้น”
“โอ้, คุณแต่งหนวดด้วย”
“มันเหมาะกับผมไหมล่ะ”
“ไม่ปฏิเสธค่ะ” เธอว่าพร้อมสาวเท้าเข้ามาหา “และผมหงอกของคุณก็ดูดีทีเดียว”
“ขอบคุณครับ” สตีเฟ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “คุณสบายดีไหม”
“ไม่รู้สิคะ” หญิงสาวตอบ “ไม่เจอตั้งนาน, คุณถามแค่นี้เองหรือ”
“จะว่าไม่มีก็ไม่เชิง” เขาว่า “หลังจากวันนั้นคุณหายไปไหน”
สตีเฟ่นหรี่ตาเพ่งมองคนตรงหน้า เขาเห็นใบหน้าของเธอชัดเจนขึ้นกว่าครั้งก่อนๆ เพียงแต่มันก็ไม่ชัดเพียงพอที่จะทำให้เขาได้รู้ว่าเธอเป็นใคร
“ฉันไม่ได้หายไปไหนเลย” เธอว่า “ฉันก็อยู่ที่นี่ตลอด”
“แต่ผมก็ยังไม่เจอคุณ”
“ถึงอย่างนั้นฉันก็อยู่ข้าง ๆ คุณตลอดนะ” เธอเว้นช่วงไป “หรือคุณจะเถียงว่าคุณไม่มีฉันในหัวใจเลยแม้แต่วินาทีเดียว?”
สตีเฟ่นเงียบไป, เขาอายเกินกว่าจะยอมรับว่าเขาเก็บเธอเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาได้กลายเป็นจอมเวทย์สูงสุดของโลก
“โอเค—” เขาขานรับเมื่อรู้ว่าตนเองคงเถียงไม่ชนะหญิงสาวปริศนาคนนี้
“ถามได้ไหมว่าคุณคือใคร”
“เฮ้ เราเพิ่งเจอกันแบบเดียวเองนะ” หญิงสาวท้วง “เริ่มบทสนทนาได้เครียดสุด ๆ ไปเลยคุณน่ะ”
“ผมไม่อยากให้เสียเวลา”
“โอ้, เพิ่งรู้นะว่าหารที่คุณหลับแล้วฝันถึงฉันมันทำให้คุณเสียเวลาได้ด้วย” หญิงสาวหัวเราะอีกครั้ง
“ไม่ใช่แบบนั้น” สตีเฟ่นถอนหายใจ “ผมแค่กลัวว่าจะจากคุณไปโดยไม่ได้อะไรอีก”
หญิงสาวปริศนาไม่ตอบอะไร เพียงแค่ขยับเข้ามาใกล้— ใกล้เสียจนเขารู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของเธอโดยไม่ทันตั้งตัว สตีเฟ่นเผลอถอยหลังไปตั้งหลักก้าวหนึ่งโดยไม่แสดงท่าทีอะไรออกไป
“คุณไปรู้อะไรมาเหรอคะ?”
เขาถอนหายใจ “ผมต้องบอกเรื่องของผมก่อนใช่ไหม, คุณถึงจะบอกผมได้”
“ของมันแน่อยู่แล้ว”
“หลังจากวันนั้น, ผมใช้เงินก้อนสุดท้ายที่มีอยู่เพื่อซื้อตั๋วเครื่องบินไปเนปาล”
“เนปาล?”
“ผมไปเรียนเวทมนตร์มา, คุณเชื่อรึเปล่า” เขาเลิ่กคิ้วยียวน
“ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ” เธอพูดอย่างไร้ความมั่นใจ “แต่จะเชื่อก็ได้”
“และได้กลายเป็นจอมเวทย์สูงสุดด้วย”
“ฉันเริ่มจะไม่เชื่อคุณแล้ว”
สตีเฟ่นหัวเราะ
“และผมอ่านตำราเวทย์เล่นหนึ่งที่เกี่ยวกับการที่เราจะเห็นเนื้อคู่ในความฝัน” สตีเฟ่นเว้นวรรคไป จดจ้องใบหน้าของหญิงสาวที่ยังพร่ามัวเช่นเดิม
“ในนั้นมันเขียนว่าอะไรบ้างล่ะ”
“เยอะแยะ” เขาพูด “ยิ่งอยู่ไกลเราจะฝันถึงกัน, แต่หากอยู่ใกล้เราจะแทบไม่ฝันถึงกันเลย”
หญิงสาวยกยิ้ม “คุณเลยคิดเอาเองว่าฉันคือโซลเมทของคุณว่าอย่างนั้นหรือ”
“ก็มีคิดบ้าง”
“ไม่อยากจะเชื่อว่าคุณหมอหัวนักวิทยาศาสตร์คนนั้นจะกลายเป็นจอมเวทย์สูงสุดที่เชื่อเรื่องลี้ลับแบบนี้ด้วย”
“คนเป็นคนบอกให้ผมเปลี่ยนแปลง”
“ฉันแค่บอกให้คุณยังคงเป็นคุณ”
“คุณยังไม่บอกผมเลยว่าคุณคือใคร” สตีเฟ่นเอ่ยพร้อมกับดอกทิวลิวที่มาจากไหนไม่รู้ในมือของเขา
“ฉันเป็นใครก็ได้ที่คุณอยากให้เป็น” เธอว่า “ฉันอาจจะเป็นคนที่คุณชอบ, โซลเมท หรือเป็นใครก็ไม่รู้ที่คุณเผลอสร้างขึ้นมาในวันที่อ่อนล้า”
สตีเฟ่นยังคงนิ่งงัน และปล่อยให้หญิงสาวที่ใบหน้าพร่ามัวพูดต่อไป
“หากแต่ฉันก็ยังคงเป็นฉัน” หญิงสาวยกยิ้ม “เพราะฉะนั้นมันไม่สำคัญเลยว่าฉันจะเป็นใคร, แต่มันสำคัญที่คุณอยากให้ฉันเป็นใครเสียมากกว่า”
เขาคิดตามสิ่งที่เธอพูดและพบว่าหากเธอเป็นเพียงแค่ฝันของเขาจริงๆ ทำไมเขาถึงต้องอาลัยอาวรณ์เธอขนาดนี้
สตีเฟ่นให้คำตอบตัวเองไม่ได้, คำพูดที่คนทั้งโลกพูดเหมือนกัน แต่เมื่อเธอพูด มันกลับพิเศษกว่าคำไหน ๆ บนโลก
“ค่ำคืนหนึ่งคุณเคยเป็นคนแปลกหน้า, แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมยกยิ้ม
“รู้อะไรไหม, ช่วงเวลาที่หายไปผมคงจะงมงายในเรื่องเหนือธรรมชาติจนคุณคาดไม่ถึงแน่ๆ”
“เพราะผมกำลังคิดว่า, คุณอาจมีตัวตนจริง ๆ บนโลกความจริงนี่”
สตีเฟ่นขยับเข้ามาใกล้ เอื้อมมือที่เคยสั่นเทาขึ้นมาลูบกับใบหน้าของหญิงสาวที่เขาไม่เคยรู้จัก สตีเฟ่นยอมรับกับตัวเองมานานแล้วว่าตนนั้นได้หลงรักหญิงสาวในฝันที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อและใบหน้า และเขาไม่เคยตกหลุมรักใครได้ง่ายดายถึงเพียงนี้
เขาอาจจะบอกเธอไม่หมด แต่หนังสือเล่มนั้นไม่ได้กล่าวถึงความฝันไว้แค่นี้ หนังสือกล่าวต่ออีกว่า หัวใจของคนสองคนที่อยู่แสนไกลจะเชื่อมต่อกันเมื่อโซลเมทของกันและกันสร้างตัวตนที่ไม่ต่างจากตัวจริงขึ้นมาในจิตใจ
และนั่นทำให้เขามั่นใจ, มั่นใจว่าเธอคือโชคชะตาของเขา
“รู้ไหมสตีเฟ่น” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาขณะที่เขากำลังกอบกุมใบหน้าเล็กของเธอเอาไว้
“ฉันไม่เคยบอกคุณเลยว่าดวงตาของคุณมีสีเดียวกับมหาสมุทรแอตเลนติก”
“และเป็นฉันเองที่กำลังจมดิ่งลงไป, ราวกับฉันคือเรือไททานิค”
------------------------------------
(4,)
หมดเรื่องราวของความฝันและกลับสู่ความเป็นจริง
ฝ่ายจากคืนนั้นก็เป็นอีกครั้งที่เขาไม่ได้ฝันถึงเธออีกเลย สตีเฟ่นไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกอย่างไรดีกับการที่เธอหายไปเช่นนี้ แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอหายไป แต่เขาก็กลัวสุดขั้วหัวใจว่าเธอจะหายไปตลอดกาล
เขาเปิดประตูมิติมาเดินเล่นที่เมืองลอนดอนในช่วงฤดูใบไม้ร่วง สีส้มของใบไม้ชวนให้รู้สึกอบอุ่นและเปล่าเปลี่ยวขึ้นมาแทบจะพร้อม ๆ กัน รู้น่าว่าการใช้พลังเพื่อเหตุผลง่าย ๆ ว่าอยากมาเที่ยวกับฟังไม่ขึ้น แต่จะให้เขาทำอย่างไรในเมื่อการเป็นจอมเวทย์สูงสุดมันก็ไม่ใช่งานง่ายๆ
บางทีอาจจะยากกว่าการเป็นหมออีก
สตีเฟ่น สเตรนจ์เดินเข้าไปในร้านหนังสือเก่า ๆ ที่หัวมุมตรอกที่ไม่ค่อยมีคนเดินมาเท่าไหร่นัก ความเป็นส่วนตัวคือสิ่งที่เขาโปรดปรานเสมอ สตีเฟ่นยกยิ้มให้กับเจ้าของร้านที่เป็นลุงแก่ ๆ คนนึงท่าทางอ้วนท้วน ไม่นานเขาก็เจอมุมหนังสือที่น่าสนใจและยื่นแช่อยู่ตรงนั้นนานแสนนาน
“คุณลุง, หนูเอาหนังสือมาคืนแล้วค่ะ” น้ำเสียงหวานหานดังออกมาหลังจากเสียงกระดิ่งตรงประตู่ดังขึ้น หญิงสาวท่าทางไม่อายุไม่เกิน23ปีเดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทีที่สนิทสนมกับเจ้าของร้าน
“อ้าวเป็นไงมาไงล่ะแม่หนู, ไปนิวยอร์กครั้งนี้ได้อะไรกลับมาบ้างล่ะ” เจ้าของร้านเอ่ยถาม
“โถ่, หนูก็บอกแล้วว่าหนูไปเรียนนะไม่ใช่ไปเที่ยว ไม่มีเวลาซื้อของฝากให้คุณลุงหรอกค่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงติดตลกก่อนจะสไลด์ตัวผ่านชั้นหนังสือ สตีเฟ่นสาบานว่าเขาไม่ได้อยากจะสอดเรื่องชาวบ้าน แต่บังเอิญว่าร้านนี้เงียบเกินไป และมีแค่พวกเขาแค่เพียงสามคนในร้านต่างหาก
สตีเฟ่นเหลือบสายตามองร่างเล็ก ๆ ที่เดินผ่านชั้นหนังสือที่เขายืนอยู่ด้านหลังไปไวๆ
ส่วนสูงของเธอช่างคุ้นเคยเหลือเกิน
“ฉันไม่ได้หมายถึงของฝากเสียหน่อย” เจ้าของร้านเอ่ยด้วยความเสียดาย “หมายถึงคนต่างหาก, มีที่หมายตาบ้างไหม”
“ลูงก็!” หญิงสาวระเบิดหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง “จะไปมีได้ยังไง, หนูก็อายุแค่เท่านี้เอง”
“ระวังรู้ตัวอีกทีก็ขึ้นคานเถอะ, สมัยนี้ยิ่งหาแฟนยาก ๆ อยู่นะ”
“หนูไม่กลัวหรอกค่ะ, อีกอย่างสเป็คหนูก็สูงพอตัวด้วย” หญิงสาวเอ่ยพร้อมหยิบตะกร้าสานขึ้นมาพร้อมไล่นิ้วไปตามสันหนังสือของแต่ละชั้น
“หือ, ใจดีเล่าให้คนแก่ฟังรึเปล่า?”
หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ พร้อมส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
“อย่างแรกต้องเป็นคนอเมริกัน— สำเนียงคนอเมริกันเซ็กซี่จะตาย” เธอว่า
“อือหึ้”
“แล้วก็เป็นหมอ”
“เป็นหมอ?”
“จริง ๆ ไม่ต้องเป็นหมอก็ได้, อดีตหมอหนูก็โอเคนะคะ คนทำงานด้านนี้ดูสุขุมจะตาย”
“ฉันไม่เถียง, เมียฉันยังเป็นนางพยาบาลเลย”
“เห็นไหมล่ะ” เธอเดินมาหยุดอยู่หน้าชั้นหนังสือที่สตีเฟ่นยืนอ่านหนังสืออยู่ด้านหลัง เธอไล่มือจากนวนิยายสืบสวนไปยังบทกวีชื่อดังของอังกฤษ
“แล้วก็ชอบอ่านกวีด้วย”
“หืม, รสนิยมไม่เลวนี่นังหนู”
“ก็บอกแล้วว่าสเป็คหนูมันสูง” เธอยักไหล่ “และข้อสำคัญ— สำคัญที่สุดเลยก็คือเขาต้องมีตาสีฟ้าเหมือนมหาสมุทรแอตแลนติก”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบพร้อมหยิบหนังสือออกจากชั้น
“จนทำให้หนูรู้สึกว่าตัวเองเป็น—”
นัยน์ตาสีฟ้ามหาสมุทรแสนคุ้นเคยจ้องมองเธอผ่านชั้นหนังสือ ผ่านช่องหนังสือเล่มที่เธอเพิ่งหยิบออกมาเมื่อกี้ หญิงสาวกลั้นหายใจไปชั่วขณะ หัวใจพลันเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมาจากร่างกาย และราวกับเป็นเรื่องตลกที่เขาก็กำลังรู้สึกเช่นเดียวกับเธอ
“เป็นไททานิคที่กำลังจมดิ่ง— ลงไปในดวงตาคู่นั้น”
-----------------------------------
สวัสดีค่ะทุกคน
เจอกันอีกแล้วแม้ครั้งนี้จะเป็นฟิคสั้นๆ (สั้น?) ตอนเดียวจบก็เถอะ พอดีฟังเพลงEyes Blue Like The Atlanticแล้วติดหูมากๆเลยค่ะ อีกอย่างช่วงนี้เราไฮป์พี่หมอมากๆด้วย /ปิดหน้าเขิน ฉะนั้นเลยแอบมางอกฟิคค่ะ แฮร่
เรื่องราวในเรื่องนี้เกิดขึ้นในDream Verseค่ะ เป็นเวิร์สที่นอนหลัยฝันเห็นคนที่เป็นโซลเมท ยิ่งอยู่ไกลจะยิ่งฝันถึงกัน ยิ่งใกล้จะไม่ฝันเห็นกันค่ะ (เป็นเหตุผลว่าทำไมพี่หมอถึงไม่ค่อยได้ฝันเห็นน้อง) แต่ข้อเสียคือเมื่อตื่นมาจะจำอะไรไม่ค่อยได้เลยค่ะ เป็นแงงงงง
หลังแต่งเรื่องนี้จบแล้วเหนื่อยมากๆเลย ฝากด้วยนะคะทุกคน หวังว่าจะชอบกันนะคะ
หูย~ รู้สึกดีต่อใจอยากให้แต่งต่อหลังจากที่พวกเขาเจอกันเลยค่ะ ดีมากเลย~