ฟ้าโปร่งโปรยฝน - ฟ้าโปร่งโปรยฝน นิยาย ฟ้าโปร่งโปรยฝน : Dek-D.com - Writer

    ฟ้าโปร่งโปรยฝน

    แม้ฟ้าโปร่งก็ยังสามารถถูกโอบกอดด้วยละอองฝน แม้ฟ้าครึ้มก็ยังสามารถหยอกล้อกับไอแดด และเช่นเดียวกัน แม้เราอาจจะมองสิ่งใดไม่เหมือนกัน นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถเข้าใจกันและกัน...

    ผู้เข้าชมรวม

    360

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    360

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 ส.ค. 51 / 19:53 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                      ผมเห็นคิมวันแรกของการเปิดเทอม เธอนั่งอยู่ริมหน้าต่างของห้อง ไม่มีความเด่นหรือสะดุดตาอะไรให้ต้องจดจำเป็นพิเศษ หน้าตาธรรมดาจืดชืดไร้เครื่องแต่งแต้ม ผมสีดำเริ่มยาวหลังจากหลุดพ้นระเบียบทรงผมสั้นเต่อของนักเรียนม.ต้น ผมซึ่งนั่งอยู่หลังสุดนั้นสามารถมองเห็นเธอได้อย่างชัดเจน ตรงกันข้ามกับเธอที่แทบไม่เคยเหลียวหันกลับมามองผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว

                      ในตอนแรกๆ คิมดูเป็นคนพูดน้อย แม้กับเพื่อนที่เคยเรียนห้องเดียวกับเธอ เธอก็ยังไม่ได้ดูสนิทสนมอะไรมากนัก แต่เมื่อหนึ่งเดือนผ่านไป อาการพูดน้อยของเธอก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง คิมยิ้มเก่งและร่าเริงสดใสไปกับทุกเสียงหัวเราะรอบๆกาย แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีสิ่งใดโดดเด่นออกมาให้ต้องเหลียวมอง แต่ไม่รู้ทำไม....ยิ่งเวลาผ่านไป ผมกลับไม่สามารถบังคับตัวเองไม่ให้หยุดสายตาไปมองที่ด้านหลังของเธอได้เลย

                      อาจเป็นเพราะเรื่องแปลกๆที่ผมกำลังเผชิญอยู่ นั่นคือเวลาผมอยู่ใกล้ๆกับคิม กลิ่นของไอแดดจะโชยโอบล้อมเข้ามาอย่างอบอุ่น กลิ่นเหมือนวันที่ฟ้าโปร่งรับลมร้อน ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึไม่ ถ้าไม่...กลิ่นนั้นมาจากไหน เครื่องแบบนักเรียน สบู่แชมพู หรือกลิ่นกายของเธอเอง? ผมได้แต่คาดเดาไปต่างๆนานา จนเมื่อเธอเดินถอยห่างออกไปและพาอากาศอุ่นๆซ่อนกลิ่นนั้นให้จางหายไปพร้อมๆกันนั่นแหละ ผมจึงจะระลึกสติกลับคืน

                      ในตอนแรกๆผมอาจไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายนัก แต่พอนานไปผมก็ห้ามตัวเองไม่ไหว สายตาผมเริ่มค้างนานอยู่ที่แผ่นหลังของเพื่อนหญิงริมหน้าต่างมากขึ้นเรื่อยๆ การกระทำที่ไร้สาระเกิดขึ้นทุกวันๆโดยที่เธอไม่ได้รู้ตัวเลย

                      ผมไม่ได้คุยกับเธอเป็นเรื่องเป็นราวเลยสักครั้ง แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ผมก็ยังไม่มีที่จะติดต่อ แต่ไม่รู้ทำไม ผมกลับไม่ได้รู้สึกว่าห่างเหินกับเธอ ราวกับว่าผมเคยคุยกับเธอมาแล้วเป็นชั่วโมงๆ ทั้งๆที่ผมแทบไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว

                      จนกระทั่งในวันหนึ่ง เป็นวันที่อากาศสดใส แสงแดดไม่ร้อนเกินไปและท้องฟ้าก็ไร้แววฝน ผมเดินไปส่งสมุดที่เลยกำหนดส่ง แสงแดดสีทองอ่อนส่องเข้ามาทอดแสงเงาให้ทางเดินดูสวยงามราวกับภาพเขียน ฝั่งขวาคือห้องเรียนของรุ่นพี่ ฝั่งซ้ายคือต้นไม้ในกระถางที่กำลังยิ้มแย้มหยอกล้อกับดวงอาทิตย์ น่าเสียดายที่ผมไม่มีเวลามาชื่นชมทัศนียภาพเหล่านี้มากนัก

      เมื่อสายตาของผมกลับมามองทางข้างหน้า ผมก็เห็นร่างที่กำลังเดินสวนมาอยู่ไกลๆ เพียงแค่แว่บเดียวก็จำได้ว่าคนคนนั้นคือคิม ผมไม่รู้และไม่ได้ใส่ใจว่าเธอมาทำอะไรที่นี่ ผมเพียงยกมือทักทายเธอสั้นๆเมื่อระยะห่างลดเหลืออยู่ไม่กี่ช่วงก้าว คิมยิ้มรับอย่างสดใสเช่นเคย

      ชั่ววินาทีสั้นๆไม่ถึงหนึ่งลมหายใจที่ไหล่ของผมกำลังจะผ่านไหล่ของเธอ มันกลับรู้สึกเหมือนว่ามันยาวนานกว่าที่ควรจะเป็น ไอแดดอุ่นๆพุ่งกระทบเข้ามาหาร่างกายผมอีกแล้ว ครั้งนี้สัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่เพียงความรู้สึกบางๆหรือเรื่องเพ้อฝัน ประสาทสัมผัสทุกส่วนรับรู้สึงแสงทองที่พัดผ่าน เลือดในกายที่เผลอเย็นเฉียบทำให้สติของผมหยุดชะงัก ฝีเท้าของผมก็หยุดตาม ร่างกายจึงหันกลับไปมอง ร่างร่างนั้นยังคงเคลื่อนที่ต่อไปไม่หยุด ไม่รู้ว่าสายตาของผมหยุดอยู่ที่เธอนานเท่าไร แต่ก็คงนานพอสมควรเพราะคิมรู้สึกตัว เธอหันกลับมาพร้อมกับสีหน้าที่งุนงง แน่ล่ะ....อยู่ๆมีใครมาตามมองเธอก็คงรู้สึกแปลกๆและสงสัยเป็นธรรมดา ผมจึงรีบหันกลับไปพร้อมกับก้าวขายาวๆไปส่งสมุดตามที่ตั้งใจไว้ สลัดไอแดดที่จางหายไปกับสายลมรอบๆตัวของเธอ ให้ตายสิ....แบบนี้เธอคงมองว่าผมเป็นพวกโรคจิตแน่ๆ หวังว่าเธอคงจะไม่ติดใจอะไรเรื่องเมื่อกี้นี้หรอกนะ

      เลิกเรียนแสงแดดนั้นแปรเป็นสีส้ม เวลาใกล้สี่โมงเย็นแดดกลับร้อนจัดผิดกับตอนกลางวัน ผิวของผมรู้สึกแสบร้อนและเหงื่อชุ่ม ผมรีบเดินเพื่อหนีเข้าที่ร่ม แดดจัดๆที่แผ่เข้ามาหมายจะเผาสีผิวให้ดำเกรียมยังคงตามราวีไม่ลดละ ผมรีบเดินจนเผลอไปจนกับร่างร่างหนึ่งเต็มเปา เสียงขอโทษร้องออกมาเป็นเสียงเดียวประสานกันราวกับนัดหมายกันไว้

      ร่มสีน้ำตาลขยับออก เผยใบหน้าของผู้ถือให้เห็นเต็มๆตา หญิงผู้มีไอแดดติดตัวเผยยิ้มออกมาทันทีที่สบตากับผม พร้อมกับกล่าวขอโทษซ้ำอีกครั้ง ผมนึกอยากถามว่าทำไมกางร่มทั้งๆที่ฝนไม่ตก แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะระลึกถึงคำตอบได้เองซะเดี๋ยวนั้น แน่นอนว่าเธอเป็นผู้หญิง และในแดดจัดๆเช่นนี้ เธอก็คงจะต้องรักษาผิวพรรณของตัวเองเป็นธรรมดา

      ให้ฉันไปส่งไหม?” คิมถาม ซึ่งในตอนหลังผมไม่มั่นใจว่าเป็นคำถาม เพราะเธอไม่ยอมรับในคำปฏิเสธของผมท่าเดียว จนแล้วจนรอด ผมก็เลยต้องมุดเข้าไปอยู่ในภายใต้ร่มเงาคันเดียวกันกับเธอในที่สุด ภายในนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นของไอแดดอ่อนๆห่อหุ้มที่ผมเผลอรู้สึกเคลิ้มไปวูบหนึ่ง

                      ไม่รู้ว่าที่อยู่ๆอากาศกลับกลายเป็นเย็นสบายเป็นเพราะร่มเงานี้ หรือเพราะตัวคิม ที่รู้อย่างเดียวคือแสงแดดไม่ได้ร้อนอบอ้าวทรมานอีกต่อไปแล้ว ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบกอดด้วยลมอุ่นๆของฤดูร้อน ไม่ร้อน ไม่หนาว มีก็แต่ความอุ่นสบาย คิมเองก็ดูไม่สะทกสะท้านกับความร้อนระอุข้างนอกรอบๆนั้นเลย

      วันนี้อากาศดีเนอะ ผมเริ่มบทสนทนาด้วยความรู้สึกโง่ๆยังไงชอบกล เพราะผมไม่ได้หมายถึงอากาศวันนี้จริงๆ คำพูดนั้นหมายถึงเพียงอากาศภายในพื้นที่เล็กๆที่เงาของผมและเธอรวมเป็นวงดำๆวงเดียวเท่านั้น

                      น่าแปลกที่เธอกลับไม่แย้งอะไร เพียงแต่หันกลับมายิ้มรับคำพูดนั้นเสียเฉยๆ ก่อนที่จะพูดด้วยเสียงใสๆออกมาว่า ฉันชอบอากาศแบบนี้

                      ผมพยักหน้าแล้วยิ้มตอบเธอบ้าง อะไรบางอย่างทำให้จังหวะก้าวของผมเริ่มลดช้าลง เรื่องนี้เธอคงไม่รู้หรอกมั้ง ระยะทางจะอีกกี่ร้อยกี่พันเมตรนั้นไม่เหลือความสำคัญแม้แต่นิดเดียว ผมไม่อยากจะเหยียบพื้นแข็งๆที่เรียกว่าป้ายรถเมล์อีกแล้ว แม้รถจะผ่านตาผมไปอีกเท่าไร ผมก็ไม่หลงเหลือความคิดที่จะยืดระยะก้าวของตัวเองออกไปให้มากกว่านี้ จะว่าไปเธอรีบกลับรึเปล่านะ... นี่ผมทำเธอเดือดร้อนรึเปล่า ก่อนที่ผมจะถามขึ้น เธอก็แทรกเข้ามาเสียก่อน

      แล้ววสันต์ล่ะ ชอบอากาศแบบไหน?”

                      ผู้หญิงฤดูร้อนเจ้าของคำถามคงกำลังสงสัยต่อไปอีกเหมือนกันว่าทำไม ผมจึงได้แต่มอบรอยยิ้มเป็นคำตอบ เธอกำลังตั้งคำถามผ่านทางแสงแดดอุ่นละไมที่ไม่มีเสียงแต่ผมก็เข้าใจดี และรู้ว่าผมคงต้องใช้เวลาทั้งปีทั้งชาติกว่าจะตอบคำถามเหล่านั้นได้ทั้งหมด

                      แต่ถ้ามีโอกาสนั้น......ผมก็เต็มใจที่จะตอบเธอนะ     

                        

      ……………………………..

       

      ฉันจำชื่อของเขาได้ในวันที่ทุกคนในห้องต้องแนะนำตัว เขาตัวสูงโย่ง หน้าตาดุเหมือนพวกนักเลงโต เสียงใหญ่ห้าวของเขาก็รับกับใบหน้า ฟังดูแล้วไม่น่าจะมาอยู่รวมกับบรรดาเด็กเรียนเด็กแว่นทั้งหลายรอบๆตัวเขาได้ ชื่อของเขาจากด้านหลังลอยเข้ามาหาฉันอย่างชัดถ้อยชัดคำ และนั่นทำให้ฉันไม่อาจลืมชื่อนั้นไปได้เลย

      เขาชื่อ วสันต์

      แต่วสันต์ไม่ได้เป็นอย่างรูปลักษณ์ภายนอก ความจริงในวิชาพละทำให้ฉันและคนอื่นๆประจักษ์ว่าตัวเขาเล่นกีฬาอะไรไม่เป็นสักอย่าง ร่างกายแข็งแรงที่ผ่านการทดสอบสมรรถภาพมาด้วยคะแนนอันดีเยี่ยมไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์กับกีฬาใดๆได้ และความจริงอีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าตัวเขาหรือคนอื่นๆรู้กันหรือไม่ก็ตาม แต่สำหรับฉัน สิ่งเดียวที่ฉันมองเห็นยามเขากำลังเผยรอยยิ้มของเขา คือความอ่อนโยนใจดีที่ฉันไม่เคยพบเห็นจากที่ไหน และไม่รู้ว่าเพียงเพราะเหตุผลนั้นรึเปล่า ที่ทำให้ฉันต้องเผลอมองเขาทุกครั้งที่ได้ยินเสียงหัวเราะ

      หรืออาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันไม่สามารถอธิบายได้ก็ได้ มันคือกลิ่นของละอองฝนจางๆที่จะผ่านเข้ามาหาอย่างไร้ที่มาเมื่อมีเขาอยู่ใกล้ๆ เหมือนกลิ่นดินชื้นก่อนฝนตก เหมือนความเย็นสดชื่นของสายฝนพรำ ฉันหาที่มาอื่นๆไม่ได้นอกจากเขา แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็บอกไม่ได้เช่นกันว่ามันมาจากอะไรในตัวเขา น้ำยาปรับผ้านุ่มที่เขาใช้ แชมพูหรือสบู่ที่ติดตัวมา หรือว่าเป็นกลิ่นเฉพาะของตัวเขาเอง แต่ฉันก็ไม่กล้าถามเขา...เพราะฉันว่าถึงถามไป เขาก็คงจะตอบไม่ได้หรอก และอีกอย่าง ฉันเองก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้มากกว่าเรื่องอื่นๆอีกมากมายที่ฉันเคยคิดจะถามเขา

      ถึงจะว่าอย่างนั้น วสันต์กับฉันก็ไม่ได้คุยกันบ่อยมากมายอะไรนัก อันที่จริงนอกจากรู้ว่าเขามาจากห้องไหนตอนม.ต้น ข้อมูลอื่นๆก็ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง แต่พอมาถึงตรงนี้มันก็มีเรื่องแปลกอีกอย่างนึงเหมือนกัน คือฉันไม่ได้รู้สึกว่าเขาเป็นคนอื่นคนไกล ยังกับว่ายิ่งฉันมองเขามากเท่าไร ฉันก็ยิ่งสนิทกับเขามากขึ้นอย่างนั้นแหละ

      เขาไม่เคยหันมาสบตาฉันเลยสักครั้ง ฉันจึงได้แต่มองเขาส่งเสียงคุ้นเคยไปกับกลุ่มเพื่อน หัวเราะ ยิ้ม หรืออาจร้องเฮออกมาเสียงดังๆปนเปกันไป หลายครั้งฉันก็แค่คอยมองเขาเดินผ่านไป แล้วซึมซับกลิ่นชื้นละอองฝนนั้นโดยที่เขาคงไม่ได้รู้ตัวเลยไปเท่านั้น

      วันหนึ่ง ฝนตกลงมาสมเป็นเดือนกรกฎาฯ แม้จะไม่มีแดดแต่ก็ไม่มืดมิด ท้องฟ้าสีเทาอ่อนปล่อยเม็ดฝนหยดใสนุ่มๆลงมาเป็นเสียงเปาะแปะ ดินที่เป็นหลุมจึงมีน้ำขังนอง ผืนน้ำมีวงคลื่นฉาบประดับสวยงามน่าตื่นใจ เช่นเดียวกับต้นไม้ริมทางในกระถางที่มีหยดน้ำเกาะพราว ฉันกึ่งเดินกึ่งกระโดดไปตามทางเดินหลังจากเดินไปห้องสมุดอย่างสบายๆไม่รีบร้อน แล้วในตอนนั้นเองฉันก็เห็นร่างสูงโย่งอันโดดเด่นของวสันต์กำลังเดินสวนเข้ามา

      เขายกมือทักทายอย่างรีบร้อน ฉันจึงไม่คิดชวนคุยให้เสียเวลาเท่าไร แต่ไม่นึกว่าเหตุการณ์ประหลาดนี้มันจะเกิดขึ้น วินาทีที่ฉันกับเขาอยู่ขนาบข้างกัน และกำลังจะเดินผ่านกันไปตามปกตินั่นเอง ความเย็นของละอองฝนก็เข้ามาพัดผ่านผิวกายพร้อมกับกลิ่นของอากาศอันแสนสดชื่น ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆโดยไม่รู้ตัว หัวใจฉันเต้นโครมๆเพราะความตกใจ เขาผ่านพ้นไปเหมือนสายลม ฉันหันกลับไปมองเขาหลายครั้งจนเขาคงรู้สึกตัว เพราะครั้งสุดท้ายที่ฉันหันไป เขาหยุดเดินและหันกลับมาสบตาฉันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ฉันพลาดไปแล้ว..... ไม่รู้ว่าฉันควรจะแก้ตัวอย่างไรดีถ้าเขาเกิดถามฉันขึ้นมาว่าฉันมองเขาทำไม ฉันจึงรีบก้มหน้าก้มตาเดินหน้าต่อไปในทิศทางเดิมของตัวเอง

      ฝนยังตกแล้วตกอีกเพียงแต่สลับหนักเบาเป็นจังหวะต่างๆกันไป หน้าต่างพัดพาลมชื้นๆเข้ามาหาฉันจนกระทั่งคาบเรียนสุดท้ายจบลง ฉันจึงเดินออกไปพร้อมกับร่มพกพาสีน้ำตาล ตอนนี้ฝนตั้งเค้าว่ากำลังจะโหมหนักยิ่งกว่านี้ จึงต้องรีบชิงกลับบ้านก่อนที่ปริมาณฝนจะมากเกินกว่าร่มอันบอบบางจะต้านไม่อยู่

      ทางเดินชื้นแฉะทำให้ฉันเดินอย่างงุ่นง่าน ฉันเดินช้าจนเป็นที่เกะกะทางจราจรมนุษย์เป็นอย่างมาก จึงมีคนมาสะดุดก้อนหินใหญ่ยักษ์อย่างฉันเข้าจนได้ เสียงที่ประสานเข้ามาพร้อมกันนั้นดังขึ้นมาทำให้ฉันตกใจ และรู้ว่าคนคนนั้นเป็นใครก่อนที่จะหันกลับมามองเสียอีก

      ผิวหน้าของวสันต์เปียกปอนด้วยหยดน้ำ เขาไม่ได้ถือร่มและมีท่าทีรีบเร่ง กลิ่นละอองฝนจากเขาทำให้จมูกของฉันโล่งสบายไม่เหมือนฝนจริงๆรอบข้าง เขาคงหนีฝนมานั่นแหละ ตอนนั้นเองที่ฝนตกลงมาเทโครม ฉันจึงชวนแกมบังคับให้เขาเดินกลับด้วยกันในที่สุด

      ฤดูฝนภายในร่มของฉันไม่ได้เฉอะแฉะน่ารำคาญอีกต่อไปแล้ว มันนุ่มนวลและเป็นฤดูฝนที่เย็นสบาย แฝงไปด้วยความอบอุ่นแปลกประหลาด มันเป็นเพราะฝนเริ่มซาลงหรือว่าเป็นเพราะวสันต์ ฉันเองก็ไม่รู้ ในขณะที่ฉันกำลังชั่งน้ำหนักความเป็นไปได้ของกรณีทั้งสอง เขาก็พูดกับฉันขึ้นมาว่า

      วันนี้อากาศดีเนอะ

         ฉันเอียงคอแล้วเผลอยิ้มออกมา เขาคงไม่ได้สังเกตเห็น ฉันเห็นด้วยในทันทีที่สัมผัสถึงใจความ แต่ความหมายของเขากับของฉันมันคงไม่หมือนกันสักเท่าไร เพราะความหมายของฉันมันเป็นแค่วงเล็กๆที่เม็ดฝนไม่สามารถสัมผัสถึง ฉันเผลอโต้ตอบบทสนทนาออกไปด้วยคำพูดที่ไม่เข้าท่าโดยสิ้นเชิง ฉันชอบอากาศแบบนี้

      วสันต์คงนึกอยู่ในใจว่า ถ้าชอบจริงๆมันจะกางร่มทำไมวะ....?'

      เขาหันมายิ้มให้ฉัน ไม่ได้แย้งได้ถามอะไรจนฉันโล่งอก เห็นไหมว่าเขาใจดี.... ใจดีที่จะไม่รีบเร่งให้ฉันฝืนเดินเร็วๆเพื่อให้ตามเขาทัน เขาจึงยอมลดความเร็วของตัวเองลงทั้งๆที่เมื่อกี้ เขายังรีบเดินหนีฝนแทบเป็นแทบตาย แต่เขาคงไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้วฉันไม่ได้เดินช้าแบบนี้ ฉันก็แค่ไม่อยากให้เขาออกนอกร่มไปเร็วนักเท่านั้นเอง

      แล้ววสันต์ล่ะ ชอบอากาศแบบไหน?”

      ฉันถามเขาเพื่อหาเรื่องคุยไม่ให้เขารู้สึกอึดอัดเกินไปนัก หรือไม่ก็เพราะอยากได้ยินเสียงของเขา แต่เขาไม่ยอมทำความต้องการของฉันง่ายๆ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคำตอบที่ฉันได้มาคือรอยยิ้ม แต่ฉันรู้สึกเหมือนกับว่า นั่นแหละคือคำตอบที่ดีที่สุดของเขา

      ผู้ชายฤดูฝน ตอบคำถามผ่านทางเสียงของสายฝน และคำตอบนั้นคงลึกล้ำเกินกว่าที่ฉันจะสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ในคราวเดียว เพราะเสียงแทรกของเม็ดฝนแต่ละเม็ดนั้นมีมากมายเสียเหลือเกิน

      แต่ถึงอย่างนั้น.....ฉันก็อยากจะเข้าใจทุกๆคำตอบของเขานะ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาสักเท่าไรก็ตาม

       

      ...............................................................................

       

      คิม      จะรู้รึเปล่า....ว่าวสันต์ไม่ได้สนใจแสงแดด จนกระทั่งได้มาพบกับเธอ

      วสันต์ จะรู้รึเปล่า.....ว่าคิมไม่เคยชอบเม็ดฝนเลย จนกระทั่งได้มาพบกับเขา

      เขาทั้งสองคนจะรู้รึเปล่า.... ว่าพวกเขากำลังอยู่ในสภาวะอากาศที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

      และเขาทั้งสองคนจะรู้รึเปล่า..... ว่าตนเองได้สร้างปรากฏการณ์แปลกๆให้กับอีกฝ่ายไปแล้ว และปรากฏการณ์นั้นเองที่ทำให้พวกเขาทั้งคู่ได้มาพบกัน

                      คิมและวสันต์กลายเป็นเพื่อนสนิทกันจนกระทั่งวันสุดท้ายของการศึกษา มีอยู่วันหนึ่งพวกเขาได้คุยกันถึงเรื่องนี้ ทั้งสองคนยังจำเหตุการณ์ได้ไม่เสื่อมคลาย แต่คำพูดของทั้งคู่กลับต่างกันราวกับวันนั้นที่ว่ากลับกลายเป็นเป็นคนล่ะวัน ยากที่จะเชื่อนัก ว่าในวันฟ้าโปร่งของคนคนหนึ่งกลับเป็นวันที่เต็มไปด้วยสายน้ำเย็นฉ่ำให้คนอีกคนหนึ่ง และในวันเมฆครึ้มเป็นสีเทาของอีกคน กลับสามารถมอบไอแดดจ้าสว่างอันอบอุ่นให้กับคนอีกคนหนึ่ง

                      ในวันนั้น อากาศที่แท้จริงเป็นอย่างไรไม่สำคัญ..... และแม้จะเป็นเพียงภาพหลอนหรือเรื่องเพ้อฝันก็ช่าง เพราะเรื่องจริงเพียงหนึ่งเดียวที่สำคัญนั่นก็คือ วันนั้น....ทำให้พวกเราทั้งคู่เป็นอยู่ในวันนี้

      'วันไหนที่แสงแดดของเธอแรงกล้าร้อนเกินกว่าจะทน สายฝนของฉันจะเป็นผู้ช่วยบรรเทาความทรมานของเธอให้เลือนหาย'

      'แต่ถ้าวันใดที่สายฝนของเธอกลับโหมกระหน่ำบ้าคลั่งรุนแรงเหมือนจะทำให้ฟ้าทลาย แสงสีทองของฉันก็จะส่องลงมาเพื่อคลี่คลายความเดือดดาลของเธอให้หมดเอง'  

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×