ขอทาน สะพานลอย ดนตรีไทย
เคยสังเกตบ้างไหม ว่ามี 'เวที' อยู่บน 'สะพานลอย'? และเคยถามตัวเองบ้างไหม ว่าวันนี้คุณทำงานบน 'เวที' ของคุณด้วยเหตุผลอะไร?
ผู้เข้าชมรวม
574
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เนื้อเพลงและท่วงทำนองกำลังเดินทางมาตามสายที่เชื่อมระหว่างหูกับเครื่องเล่นเอ็มพีสาม เสียงคำร้องไทยปนอังกฤษผสมเกาหลีคือสิ่งที่ตัดขาดโลกของผมกับบทเพลงลูกทุ่งบนรถเมล์อันโล่งว่าง เมื่อได้ยินเสียงโฆษณาหรือข่าวเข้าแทรก ก็กดเปลี่ยนคลื่นสถานีตามที่บันทึก ไล่ไปทีละสถานีจนกว่าจะได้ยินสิ่งที่เป็นเสียงเพลงอีกครั้ง
นับเป็นวันที่ห้าหลังจากการปล่อย ‘ซิงเกิ้ล’ ที่สองของศิลปินบอยแบนด์น้องใหม่ไฟแรงแห่งค่ายที่ใหม่เอี่ยมไม่แพ้กัน ศิลปินวง “เกรย์ สกาย” แห่งค่าย รุคกี้มิวสิค อันประกอบด้วยห้าหนุ่มหน้าใสกระชากใจสาว ที่แต่ล่ะคนวัยยังไม่พ้นม.ปลายดี ผมก็ไม่ได้ยินเพลงของผมอีกเลย
หลังจากผ่านปีการทำงานที่ดูเหมือนจะมีถนนหนทางเรียบสบายไปตลอดทาง ในตอนนี้หินกรวดทรายที่เรียกว่าอุปสรรคทั้งหลายก็เริ่มพรั่งพรูเข้ามาให้ขรุขระ แต่ไม่ว่าการงานจะรุ่งโรจน์หรือตกต่ำ คนอย่างผมก็ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวมิดชิดหรือใส่แว่นกันแดดอันใหญ่เกินครึ่งหน้าเพื่อหลบนักข่าว เพราะอาชีพของผมคือนักแต่งเพลง
เพลงที่ไม่ได้หวังจะฟังถูกเปิดขึ้นมาอีกแล้ว เสียงของหนุ่มๆทั้งห้าอันถูกปรุงแต่งด้วยเทคโนโลยีมากมายได้แจ้งเกิดกับเพลงนี้ เพลงฮิตติดชาร์ตหนึ่งสัปดาห์ภายในเวลาไม่นานนัก เป็นเพลงป๊อปสนุกสนานประกอบท่าเต้นเท่ห์แทบขาดใจ จนรายการเพลงต่างๆได้โหวตมิวสิควีดีโอเพลงนี้ให้ครองอันดับหนึ่งไปแล้วกว่าสามอาทิตย์รวด ซึ่งมันก็คงน่ายินดีหากเพลงเพลงนั้นเป็นผลงานของผม
ซิงเกิ้ลที่สองที่เหมือนจะถูกลืมนั้นชื่อว่า ‘สายหมอก’ เป็นเพลงเศร้าของขายหนุ่มที่หลงอยู่ในความฝันบางๆที่เปรียบเหมือนไอหมอก จังหวะเนิบช้าที่ผมตั้งใจให้สอดคล้องกับชื่อวง ‘ท้องฟ้าสีเทา’ นั้น มีเพียงแค่วันเดียวที่ผมได้ยินมันลอยมากระทบหูให้อิ่มเอมใจไปสี่นาทีกว่า และหลังจากนั้น แม้จะเปิดวิทยุทุกวันทั้งวัน สายหมอกก็ไม่เคยล่องลอยออกมาอีกเลย
‘ฝันที่เป็นได้แค่ไอหมอก หยดละอองไม่อาจทัดเทียมผืนดินของความเป็นจริง
เพราะรัก รักเธอ คือเหตุผลที่ฉันไม่ทอดทิ้ง และยอมทุกสิ่ง ให้ฉันนั้นได้ฝันละเมอ’
ทั้งทำนองและเนื้อร้องยังติดหู ผลงานเพลงชิ้นนี้เป็นเพียงอีกหนึ่งผลงานที่เป็นหลักฐานชั้นดีที่เตือนว่า เพลงของผมไม่โดนใจตลาดเอาเสียเลย หลายเพลงที่สร้างสรรค์ขึ้นมาได้ถูกขังลืมเป็นเสี้ยวหนึ่งของอัลบั้ม หรือไม่ก็หายไปในถังขยะ โปรดิวเซอร์มักติงผมเสมอๆว่าสมัยนี้เขาเลิกฟังเพลงแนวอุปมา-อุปมัยกันหมดแล้ว หรือง่ายๆ เพลงของผมมันเชยนั่นแหละ.... เขาแนะนำผมว่าให้ผมใช้ภาษาแรงๆ หนักๆและตรงกว่านี้ ให้มันได้อย่างเพลงแร็พเลยก็ยิ่งดี แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หากได้เผลอแต่งเพลงออกมา ภาษาที่เป็นนิสัยดัดยากของผมก็ดื้อรั้นไปปรากฏบนแผ่นกระดาษทุกครั้งไป
คงเป็นอีกเหตุผลดีๆข้อหนึ่ง ที่ทำให้ยุคเพลงของผมดูจะมีแต่ดิ่งลงเหว
การออกมาทำโน่นทำนี่คงทำให้ผมนึกอะไรดีๆออกมาบ้าง การทำสมองให้ปลอดโปร่งสบายๆเสมอของผมนั้น หากจะให้ข้ออ้างดีๆก็คงหนีไม่พ้น ‘เพื่อรอรับงานที่เพิ่มเข้ามาอย่างไร้อคติ’ ยิ่งในตอนนี้ ผมต้องเค้นความคิดเพื่อความ โดน แรง และตรงด้วยยิ่งแล้วใหญ่ เพราะสำหรับผม มันไม่ได้ยากไปกว่าการพยายามแต่งเพลงโอเปราที่ใช้เพลงแร็พ หรือการแต่งเพลงป๊อปหวานๆที่ใช้ภาษาเพลงใต้ดิน
เมื่อลงจากรถเมล์ ผมก็ขึ้นสะพานลอยข้ามไปฝั่งตรงข้าม (มีคนบอกผมว่าการใช้สะพานลอยอย่างเป็นนิสัยเป็นหนึ่งในข้อดีไม่กี่ข้อของผม) ซึ่งตามปกติผมก็คงไม่ได้ปล่อยให้หูขาดเสียงเพลง แต่เพราะความรู้สึกเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย จึงทำให้ผมถอดอุปกรณ์ถ่ายทอดเสียงเพลงทั้งหมดเก็บลงกระเป๋า
แดดแห่งเมืองหลวงที่ชื่อยาวที่สุดในโลกนั้นร้อนจนผมแสบผิวนิดๆ ไม่กล้าสัมผัสโดนราวบันไดที่สะท้อนแสงวาบๆข้างๆกาย เมื่อพ้นบันไดคอนกรีตขั้นสุดท้าย ผมก็เห็นร่างดำทะมึนที่สีกลืนไปกับเงาดำอยู่ไกลๆ ดวงอาทิตย์กำลังจะเหินขึ้นเหนือหัว ผมเดินไปฝั่งตรงข้ามเพื่อจะลงจากสะพาน
แต่ชายที่นั่งหันหลังให้แสงแดดนั้นไม่ใช่คนที่ผมจะเดินผ่านไปง่ายๆ นั่นเป็นเพราะปากที่จรดกับท่อพีวีซีสีฟ้า รูแปดรูบนท่อกลมถูกปิด-เปิดด้วยนิ้วสีคล้ำเขรอะขี้เล็บ เสียงของมันแปลกแต่ไม่แปร่งอย่างที่คิด ด้วยความแปลกใจไปกับเสียงดนตรี ขาของผมก็ก้าวยาวขึ้นโดยอัตโนมัติ ด้วยความสนใจจนไม่มองทางที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ขาของผมก็เตะกระป๋องเบาโหวงเข้าเต็มเปา
“ขอโทษครับลุง!” ผมร้องขึ้นพลางรีบก้มตัวลงไปเก็บเหรียญที่กระจัดกระจาย ความร้อนของแผ่นโลหะกลมนั้นทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย นึกกังวลว่าจะเหรียญจะหล่นลงจากสะพานรึเปล่า ผมหันไปมองหน้าเขาก็ต้องแปลกใจซ้ำสอง เพราะเขาไม่มีปฏิกิริยาสนใจสิ่งใดนอกจากบทเพลงที่กำลังบรรเลงอย่างทะนุถนอม
เสียงของเขาดังขึ้นมาเมื่อโน้ตตัวสุดท้ายหายสนิทไปกับสายลมคลุ้งมลพิษ
“ยังอยู่อีกหรอ?”
“เอ่อ ครับ.....” ผมเกาหัวแสดงอาการสำนึกผิดเพราะยังไม่รู้ว่าเป็นการกระทำที่ไร้ผล ในวินาทีนั้นเองที่พยายามหันไปสบตา ผมจึงได้สังเกตเห็นเบื้องหลังเปลือกตาที่เผยอขึ้นมาเล็กน้อย เขาตาบอด
“ขอโทษที่เตะโดนครับ”
“ช่างมันเถอะ” ลุงหัวเราะแหบแห้ง เผยฟันเหลืองดำที่หายไปเกือบครึ่งปาก “ส่วนใหญ่มันก็มีคนเตะทุกวันน่ะแหละ แต่มีเอ็งเป็นคนแรกนี่ล่ะมั้งที่ยอมเสียเวลามาเก็บแล้วมาสำนึกผิด ขอบใจๆ ไม่งั้นข้าคงต้องเสียเวลาน่าดู”
“บังเอิญว่าผมมีเวลาว่างมาก” ผมพึมพำในเวลาเดียวกันกับชายตาบอดลดตัวนั่งลง หยิบกระป๋องขึ้นมาแล้วล้วงเข้าไปหยิบเหรียญขึ้นมาสำรวจด้วยดวงตาบนปลายนิ้ว สร้างความรู้ใหม่ให้ผมว่า การให้เหรียญเป็นเงินให้ทานกับคนตาบอดน่าจะเป็นหนทางที่ดีกว่าการให้ธนบัตร
ขลุ่ยสีฟ้านอนนิ่งอยู่บนตัก ผมมองมันอย่างสนใจ พลันนึกถึงแววตาที่เป็นประกายของเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังสะท้อนกลับมา ผมมองมันโดยที่ไม่ได้คิดว่าเจ้าของขลุ่ยจะ ‘มองเห็น’
“ท่าทางเอ็งจะสนใจขลุ่ยของข้า”
“ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน”
“ข้าก็ไม่เคยเห็น”
เป็นเรื่องตลกที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน “ลุงเป่าอีกได้ไหม ผมจะให้อีกสามสิบเลย”
“เอ็งนี่แปลก! ปกติแค่บาทเดียวคนมันยังไม่เจียดให้ข้าเล้ย....กว่าจะได้มาสักเหรียญข้าก็ต้องเป่าเกือบสิบเพลง”
“ลุงก็แปลกนะ เป็นขอทานยังมานั่งนับเพลงที่เป่ากับเงินที่ได้ ถามพูดโน่นพูดนี่อีก” ผมย้อนอย่างสงสัย “ผมนึกว่าลุงจะรีบหยิบขลุ่ยขึ้นมาเป่าแล้วร้องขอให้ดูน่าสงสารกว่านี้ซะอีก”
“ข้าไม่ใช่ขอทาน” คู่สนทนาพูดด้วยเสียงเข้มแข็งทันทีที่ได้ยิน ผมมองหน้าเขาแล้วเลิกคิ้ว “ข้าเป็นนักดนตรี”
ผมพยายามพ่นลมหายใจให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะคำพูดนั้นเองผมจึงตัดสินใจนั่งลงบนผืนคอนกรีตอันร้อนระอุชวนให้จินตนาการถึง กระทะทองแดง นั่นสิ...ผมไม่รู้ว่าสำหรับคนอย่างเขา บนสะพานนี้คือนรกจริงๆรึเปล่า แต่ดูเหมือนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งชีวิตตรงหน้าไม่ได้คิดอย่างนั้น
“งั้นเราก็คนพันธุ์เดียวกันแหละลุง ผมก็เดินทางสายดนตรี และขลุ่ยก็เป็นเครื่องดนตรีชนิดแรกที่ผมเล่นเป็น”
“งั้นรึ แล้วตอนนี้เอ็งเล่นอะไรล่ะ”
“ เปล่าลุง ผมเป็นนักแต่งเพลง เอาล่ะ....นี่สามสิบของลุง” ผมหย่อนเหรียญสิบสามเหรียญลงกระป๋องไปทีละเหรียญให้เกิดเสียงสะท้อนชัดถ้อยชัดคำสามครั้ง แต่แทนทีมือของเขาจะยื่นออกมาสำรวจมูลค่าเงิน ลุงชรากลับถือขลุ่ยไว้อย่างกระชับมือไม่ขยับ
“ลุงจะไม่ตรวจดูหรอว่าสามสิบจริงไหม?”
“ไม่จำเป็น ไม่สำคัญ”
“เอ้า....ไม่สำคัญแล้วลุงจะมาหาเงินบนนี้ทำไม”
“คนที่เข้าใจในดนตรี เงินเท่าไรก็ซื้อไม่ได้”
“อย่างน้อยลุงก็น่าจะเก็บเงินซื้อเสื้อสักตัว หรือไม่ก็อาบน้ำบ้างนะ”
“ร่างกายข้าจะสกปรกอย่างไรข้าไม่รู้ คนอื่นมองข้ายังไงข้าก็ไม่มีวันเห็น แต่ที่แน่นอนคือจิตใจของข้านั้นถูกชำระด้วยเสียงดนตรีทุกวัน เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับข้า”
ลุงคนนี้นับว่าเป็นบุรุษแปลกประหลาดที่ไม่น่าอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ ผมคิดพลางรู้สึกขันในความจริงจังในอุดมคติของเขา และทึ่งที่ยังคงรักษาแนวคิดของตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่นแม้ชีวิตดูไม่มีอะไรเหลือ (ก็แน่ล่ะ...เขาย่อมจะตอบกลับมาว่า ข้าเหลือเสียงดนตรี!) เขาจะรู้ตัวรึยังนะว่าเดี๋ยวนี้ อะไรๆที่มัน ‘เพียวๆ’น่ะมันไปได้ไม่ค่อยรอดเท่าไร ความคิดโบราณพรรค์นั้นมันจะใช้หาเงินเข้ากระเป๋าได้สักเท่าไรก็เห็นๆกันอยู่ อย่างที่เขาบอกนั่นแหละ อัตราของมันก็แค่ หนึ่งบาทต่อสิบเพลง
นั่นหมายความว่าเขาต้องเป่าให้ผมฟังถึงสามร้อยเพลง!
“ข้ารู้ว่าคนสมัยใหม่อย่างเอ็งคิดอะไร” ลุงตรงหน้าพูดขัดความคิด เขาพนมมือยกขลุ่ยพีวีซีขึ้นมาจรดหน้าผากอย่างนอบน้อม คงเป็นการไหว้ครูในแบบของเขาแน่ๆ เขาสร้างความประหลาดใจให้ผมอีกจนได้ ไม่นึกเลยว่าลุงจะยังยึดถืออะไรแบบนี้แม้แต่ในช่วงเวลาที่ตกต่ำแทบไม่มีกิน
“เอ็งกับข้า.....สิ่งที่แตกต่างของเรามันก็แค่เวทีเท่านั้น”
ปากจรดลงบนขลุ่ยอีกครั้ง ตัวโน๊ตมากมายก็พรั่งพรูออกมาเรียงร้อยเป็นบททำนอง เพลงเก่าโน๊ตเรียบง่ายที่ไม่ได้ยินมานานแสนนานอย่างลาวดวงเดือนหรือค้างคาวกินกล้วยกำลังล่องลอยเข้ามาหา การแสดงสดที่เข้ามาแทนที่หูฟังและเสียงแปลงจากคอมพิวเตอร์ทำให้ผมต้องนึกย้อนคำพูดของเขาอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ที่นั่งคือผืนคอนกรีตอันร้อนระอุ สปอร์ตไลท์นั้นคือแสงแดดใกล้เที่ยง และเสียงปรบมือคือเสียงกระหึ่มดังของเครื่องยนต์เบื้องล่าง สำหรับผม ราคาค่าตั๋วเพียงสามสิบบาทนั้นสมราคา สำหรับการแสดงบนเวทีที่สูงที่สุดของท้องถนนแห่งนี้
“ยังไงก็ได้ตามใจ แต่ขอให้เกี่ยวกับมือถือก็แล้วกัน เข้าใจนะว่าแนวนี้มันกำลังแรงสุดๆ ทำให้ดีล่ะเพราะงานนี้ไม่ใช่ว่าเราติดต่อคุณคนเดียว กำหนดสางวันศุกร์”
ผมกดวางสายหลังจากขานรับเสร็จสิ้น เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างกังวล ยังเหลือเวลาอีกสามวันก่อนกำหนดส่ง ผมต้องคิดอะไรให้ได้เป็นชิ้นเป็นอัน ว่าแล้วผมก็ยกมือถือของตัวเองขึ้นมาสำรวจอย่างเลื่อนลอย ผลงานที่ออกตลาดมาแล้วมีอะไรบ้างนะ โทรมาว่ารัก ว่างแล้วช่วยโทรกลับ ช่วยรับที เม็มชื่อว่าคิดถึง ข้อความ เพื่อนหน้าจอ Miss Call ฯลฯ น่าแปลกจริงๆ ไอ้สิ่งประดิษฐ์ขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือนี้มันช่วยเพิ่มรสหวานอะไรในเพลงรักนักหนา?
ดูดน้ำจนเกลี้ยงขวดแล้วเดินไปแลกคูปอง ผมเริ่มเดินหาแรงบันดาลใจด้วยความเอื่อยเฉื่อย เริ่มกันในแบบขวานผ่าซาก ผมเดินลงไปที่แผนกขายโทรศัพท์ ร้านรวงตั้งขายเกลื่อนเยอะเหมือนตลาดสด ขายตั้งแต่เปลือกนอกยันเนื้อใน แต่แน่นอนว่าผมคงไม่ใช้แบตเตอรี่หรือที่ชาร์จแบตฯเป็นสื่อรักแน่ๆ
แล้วอะไรล่ะที่สำควรเอาไปเล่น เอสเอ็มเอส เสียงรอสาย ภาพถ่าย เสียงเรีกเข้า จีพีอาร์เอส?
หลังจากขึ้นๆลงๆเดินวนไปทุกมุมของห้าง ผมก็ยังเล่นซ่อนหากับแรงบันดาลใจไม่จบ จนนาฬิกาวนเข็มไปถึงเวลาบ่ายสอง ผมจึงได้รู้ตัวว่าสิ่งที่กำลังตามหาน่าจะออกจากสถานที่ติดแอร์นี้ไปแล้ว แต่ก็มั่นใจว่าการถอนตัวกลับไปขลุกจมกับกากความคิดในห้องเช่าก็คงไม่ใช่ทางที่ทำให้ผมทำงานได้ดีขึ้น ผมจึงเดินทางไปไกลอีกหน่อย โดยการไปยืนป้ายรถเมล์และขึ้นรถสายแรกที่มาถึง(เป็นการเสี่ยงดวงอย่างง่ายๆในแบบของผม...) เป็นอันว่าผมจึงต้องเดินทางไปย่านชานเมืองเกือบถึงสมุทรปราการด้วยเหตุง่ายๆแบบนี้เอง
ผมเผลองีบหลับในรถจึงแน่นอนว่ายังคงไม่มีแสงสว่างอะไรในหัว กว่าจะได้เหยียบพื้นอีกครั้งก็บ่ายสามเข้าไปแล้ว ผืนคอนกรีตไม่ว่าจะในเมืองหรือนอกเมืองนั้นก็แข็งเหมือนกันหมด
โดยรวมแล้ว ผมก็ยังไม่เห็นสิ่งใดที่แปลกประหลาดพอที่บ่งบอกว่าที่นี่มีความเจริญน้อยกว่าสยามหรือสีลมเท่าไรนัก อาจจะแค่มีสีเขียวแต้มอยู่ข้างทางมากกว่า หรือมีเศษใบเศษกิ่งธรรมชาติเกลื่อนพื้นบนทางเท้ามากกว่า แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ผมคลายอาการสมองตีบตัน สายตาผมเห็นท้องฟ้านั้นขุ่นมัวแม้ไม่มีแววฝน ท้ายที่สุดผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย จนอดคิดไม่ได้ว่าแท้ที่จริงแล้วผมกำลังมองหาแรงบันดาลใจ หรือก็แค่วิ่งหนีโจทย์เพลงของงานตัวเองกันแน่
มือถือ ความรัก ดนตรี ความโดน แรง ตรง.....คำที่ยังคงไร้การเชื่อมโยงนำพาให้ผมเดินเข้าสู่เวทีที่สอง
ขาก้าวขึ้นบันไดอย่างไม่รีบร้อน เวลาคิดอะไรไม่ออก ผมมักจะมีความรู้สึกว่าเวลานั้นไร้ค่าพอที่จะเผาผลาญอย่างทิ้งขว้าง โดยไม่เห็นไอ้คำพูดที่ว่า ‘เวลาก็เหมือนสายน้ำ ไม่มีวันไหลย้อนกลับ’ มันมีความหมายพิเศษตรงไหน ผมไม่เห็นอยากให้มันไหลย้อนกลับมาสักหน่อย แนวคิดแบบนี้ทำให้บรรดาญาติผู้ใกล้ชิดทั้งหลาย(แม้แต่น้องตัวเอง)ว่าผมบ่อยๆว่าผมปล่อยตัวตามสบายจนเกินไป เอาแต่คิดอะไรง่ายๆไม่มีแบบแผน
ผมยังจำคำพูดของอาจารย์ที่ปรึกษาตอนม.ปลายในวันที่ผมเอาแต่โดดเรียนวิชาโน้นวิชานี้ไปเรื่อยเปื่อยจนเกือบไม่มีสิทธิ์สอบได้ดี เขาพูดกับผมว่าหากผมยังทำตัวเถลไถลแบบนี้ อนาคตไม่มีทางมีที่ว่างพอสำหรับผม
อยากรู้ว่าอาจารย์จะพูดอะไรเมื่อเห็นสภาพผมตอนนี้
เสียงกิ๊งๆฉับๆดังมาจากสะพาน เป็นการบอกชื่อเครื่องดนตรีด้วยตัวของมันเอง ผมนึกชื่นชมคนที่คิดตั้งชื่อนี้มานานแล้ว เครื่องให้จังหวะขนาดเหมาะมือที่มีเสียงกังวานใสเพราะโลหะ “ฉิ่ง-ฉับ”
เป็นชายที่หนุ่มกว่าลุงที่ผมเห็นบนเวทีแห่งแรก แต่กลับดูเหนื่อยหน่ายเบื่อโลกเหมือนคนแก่รอวันตาย ศีรษะเตียนล้าน ผิวคล้ำสกปรกปกคลุมด้วยเสื้อเก่าเปื่อยเป็นขุย มือซ้ายผมแห้งขยับขึ้นๆลงๆในจังหวะเนิบเฉย สายตามองแก้วพลาสติกที่ยืนนิ่งเฉยไม่แพ้เสียงจังหวะ สิ่งที่สะดุดตาที่สุดของเขาคือไหล่ขวาที่ปูดโปนต่อกับท่อนแขนกุดเป็นเนื้อกลม
ฉิ่งฉับ....ฉิ่งฉับ....ฉิ่งฉับ ฉิ่ง ฉิ่งฉับ
“สวัสดีครับลุง” ผมย่อตัวลง ขนาดเข้าใกล้จนน่าจะอยู่ในขอบเขตของสายตา เขาก็ไม่ได้มีทีท่าจะมองเห็น แต่ดวงตาที่ยังมีแววใสนั้นบ่งบอกว่าเขาไม่ได้พิกลพิการเหมือนลุงนักเป่าขลุ่ย ผมจึงยื่นมือไปจับแก้วพลาสติก นึกจะยกขึ้นมาเขย่าให้เสียงปลุกเขาตื่นจากภวังค์ แต่ทันทีที่นิ้วสัมผัสแก้ว ชายตรงหน้าก็รีบทิ้งเครื่องดนตรีแล้วหันมาคว้ามันออกไปอย่างรวดเร็ว
“จะทำอะไร!” ลุงร้องเสียงแหบกร้าว ถลึงตาอย่างเอาเรื่อง แขนข้างที่ไร้ศอกบิดไปบิดมาเหมือนกำลังบอกว่าตอนนี้ฉุนเฉียวพอที่จะใช้งานแขนอันพิการ ผมจึงต้องรีบขอโทษขอโพยแก้ตัวเป็นการใหญ่
“เปล่า....ผมแค่อยากรู้ว่าลุงเหม่อจริงรึเปล่า”
ผมเหลือบมองฉิ่งสีทองเก่าที่นอนไร้ชีวิตสะท้อนแสงแดดสลับกับแววตาของคู่สนทนา ไม่มีนิยามใดๆที่สามารถบรรยายออกมาให้เห็นถึงความรักในเสียงดนตรี ทุกอย่างนั้นบ่งบอกไว้ตั้งแต่วินาทีที่เขาเลือกที่จะทิ้งของในมือโดยไม่ต้องคิดเพื่อที่จะคว้าเศษสตางค์ตรงหน้า
ในขณะที่ขลุ่ยพี่วีซีนั้นสะอาดสะอ้านราวกับไม่เคยสัมผัสโดนผิวดิน เจ้าฉิ่งฉับนี้กลับเต็มไปด้วยริ้วรอยด่างดำไร้จิตวิญญาณ
“เอ่อ.... ผมคิดว่าลุง ไม่รู้สิ เคาะจังหวะแม่นพอควรนะ”
“เคาะอะไรยังไงกูไม่สนหรอก....” เขาพ่นลมหายใจดังฟืดฟาด “มึงจะเอาอะไร ต้องการอะไร”
“ลุงดูไม่ค่อยสนใจเรื่องเสียงเพลงเท่าไรเลยนะ ลุงน่าจะมีพรสวรรค์เรื่องนี้ออก”
“เพลงเพลิงอะไรของมึง..... กูก็แค่ทำอะไรก็ได้ให้ได้ตังค์มาเฉยๆ แค่นี้ก็หนักกบาลจะตายห่า! จะให้กูมาสนใจอะไรอีกวะ”
“แปลก....งั้นลุงตีฉิ่งทำไม”
“พูดถึงไอ้นี่น่ะรึ” เขาพยักเพยิดไปที่วัตถุสีทองหม่น “กูเก็บได้จากถังขยะ เลยลองเคาะดูไม่ให้ใครมาเตะมาเหยียบ แต่ได้ผลเกินคาด มีคนให้ตังค์มากกว่ามาคอยนั่งกราบตีนอย่างเดียว”
ผมนั่งขัดสมาธิ สังเกตว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมให้แก้วพลาสติกออกห่างจากตัว แก้วนั้นแนบเนื้อราวกับกำลังจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกับผิวน้ำตาลหยาบ “หรอ....แต่ผมเพิ่งไปเจอลุงบนสะพานในเมืองคนนึง เขาก็เป่าขลุ่ยบนสะพานลอยหาเงินคล้ายๆอย่างลุง แต่เขาไม่ยักยอมเรียกตัวเองว่าขอทาน เขาว่าเขาเป็นนักดนตรี”
“มันก็แค่ไอ้โง่ตาบอดล่ะว่ะ” เขาใช้ขาเขี่ยฉิ่งให้กลิ้งกองมาอยู่ตรงหน้า (น่าแปลกที่เขารู้โดยทันทีว่าลุงที่ผมเพิ่งเอ่ยถึงมีความพิการทางสายตาทั้งๆที่ยังไม่ได้บอกรายละเอียดสักคำ!) ผมรู้สึกราวกับว่าได้ยินเสียงร่ำให้จากเครื่องดนตรีอันน่าสงสาร “ฝันเฟื่องไม่ได้เรื่อง จะเรียกให้หรูยังไงชีวิตกูมันก็แค่ขอทานแขนด้วนไม่มีกิน ดนตรีอะไรวะ ถ้ามันทำให้กูอิ่มหรือนอนสบายก็ว่าไปอย่าง”
“ถึงอย่างนั้น....ลุงก็น่าจะ เอ่อ....รักษาฉิ่งของลุงหน่อย”
“มึงเป็นไรวะ ก็แค่ของไม่มีราคา ไม่มีชีวิต จะเหยียบจะเตะอะไรมันก็ไม่เห็นเป็นห่าอะไร ตัวกูยังไม่รอดจะให้ไปห่วงอะไรกับขยะอันนี้”
“ลุงไม่มีความชอบดนตรีสักนิดเลยหรอ”
“มึงเพ้ออะไรอีกแล้ว....กูใช้มันเพราะไม่มีทางเลือก ตราบใดที่มันหาเงินให้กูได้กูก็ชอบ แต่วันไหนมันไม่ช่วยอะไรกู มันก็ลงไปกลางถนน”
ในที่สุดเขาก็ยอมวางแก้วลง ก่อนที่จะหยิบ ‘ของไม่มีราคา’ ของตัวเองขึ้นมา เชือกสกปรกเปื่อยยุ่ยใกล้ขาดนั้นเหมือนกำลังพยายามหายใจอย่างยากเย็น
“มึงนี่แปลก ฟังแค่เสียงเคาะก็บรรยายเป็นเรื่องเป็นราว”
“พอดีฉิ่งเป็นเครื่องดนตรีแรกที่ผมเล่นในวงโรงเรียน”
ฉิ่งฉับ....ฉิ่งฉับ ฉิ่งฉับ ฉิ่ง ฉิ่งฉับ
โลหะกระทบกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชวนให้ผมนึกถึงขาที่เป็นเหน็บชาเมื่อต้องนั่งพับเพียบเป็นชั่วโมงๆสมัยยังมัธยม สายตาคนแขนด้วนนั้นช่างสมแก่การนั่งบนเวทีอันเศร้าสลด เขาเอาแต่พยายามสบตากับร่างที่ผ่านไปเรื่อยๆอย่างนั้น ไม่มีความคล้อยตามในช่วงจังหวะด้านๆนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
ผมควักเหรียญออกมาแล้ววางไว้หน้าแก้วพลาสติก
“ทั้งหมดนี่สามสิบห้า ถ้าลุงเคาะจังหวะตามผมได้ เงินนี่จะเป็นของลุง”
“ใจคอมึงจะยังแกล้งขอทานแขนด้วนอีกรึ”
“เอาน่าลุง เพิ่มค่าให้เงินพวกนี้หน่อย ถ้าลุงเคาะได้ผมให้หมดนี่ แต่ถ้าลุงทำไม่ได้....ก็เหลือแค่ยี่สิบ”
การเจรจานั้นผ่านไปได้ด้วยดี ฉิ่งที่ทรุดโทรมถูกโยนเข้ามาอย่างไร้เยื่อใย วินาทีแรกที่ได้สัมผัสโลหะอุ่นเพราะแสงอาทิตย์ ผมก็ได้รู้ว่าเครื่องดนตรีชิ้นนี้กำลังหายใจโรยรินและคงจะกลายเป็นศพไปในไม่ช้า วิญญาณที่ริบหรี่ตรงหน้ากำลังกระซิบกับผมว่า อยากตาย......
ผมหลับตา ดื้อรั้นเลือกที่จะยื้อชีวิตมันด้วยการยกมันไหว้จรดหน้าผาก ระลึกถึงครูอาจารย์ ก่อนที่จะเริ่มบรรเลงจังหวะจากความทรงจำอันแจ่มชัด แต่เสียงจากเจ้าโลหะทองคู่ฟังดูช่างเหนื่อยหน่าย ไม่ว่าจะพยายามใส่ชีวิตและความครื้นเครงเข้าไปมากแค่ไหนก็ตาม เป็นการบอกผมว่า ผมช่วยอะไรมันไม่ได้
แล้วผมก็เสียเงินให้เวทีที่สองไปอีกสามสิบห้าบาท
สองแถวที่ชานเมืองนั้นมีสีขาว ค่าโดยสารแพงกว่าในเมืองห้าสิบสตางค์ ผมเดินเข้าไปในห้างอีกแห่งเพราะความไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนต่อ เช่นเดียวกับความคิดที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนต่อเช่นกัน
บางทีทางวงกตในกรุงเทพฯ คงหาทางออกได้ง่ายกว่าวงกตของโจทย์เพลงมากมายนัก
เพลงสมัยนิยมดังกระหึ่มอยู่ชั้นบนเพราะสถาบันสอนดนตรีกำลังจัดการแสดงคล้ายคอนเสิร์ต เด็กวัยรุ่นทั้งชายหญิงต่างวาดลวดลายบนเครื่องดนตรีประจำตัวอย่างแคล่วคล่อง ฝีมือที่คมกล้ากำลังฉายรัศมีของพลังออกมากับบทเพลงจนแทบลืมจะลืมเสียงต้นฉบับ ดวงตาทุกคู่ฉายประกายฝัน
แต่ผมไม่รู้ว่าฝันของพวกเขานั้นเจือความรักในเสียงดนตรีจริงๆอยู่ด้วยหรือเปล่า
การเตร็ดเตร่ไปทั่วห้างไม่ใช่อะไรที่ยากเย็นนัก ผมเดินเข้าร้านโน้นร้านนี้ไปทั่วทุกชั้น ดูหนังสักเรื่อง อ่านหนังสือฟรีในร้าน นั่งจิบกาแฟ ดูแผงขายแผ่นโปรแกรมเถื่อน ความคิดแปรไปตามฉากที่เปลี่ยนไป แต่น่าเศร้าที่ความคิดที่ผุดขึ้นมาทั้งหลาย ไม่ได้อยู่ยืนยาวพอที่จะเชื่อมโยงกัน เวลาที่เอื่อยเฉื่อยของผมกำลังผ่านไปพร้อมเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
ตอนนั้นเองที่ความเครียดเริ่มจู่โจมเป็นดาบแหลม ยิ่งนำพาให้อะไรๆแย่ลงไปอีก แค่คอนเซ็ปหลักผมก็ยังนึกไม่ออก ป่านนี้มีใครส่งผลงานไปให้โปรดิวเซอร์หรือยัง? ผมควรปล่อยงานนี้ไปดีไหม? ผมควรยอมแพ้รึเปล่า? แล้วอาชีพผมจะเป็นยังไงต่อไป?
หกโมงครึ่ง ผมนั่งปวดหัวบนม้านั่งใกล้ประตูทางออก มือถือ ความรัก ดนตรี ความโดน แรง ตรง ผู้คนเดินเข้ามาโดยไม่มีทีท่าว่าจะคิดอะไรมากมายเท่าผม ยิ่งตะวันใกล้หมดแสง คนก็ยิ่งก้าวเข้ามาอยู่เรื่อยๆจนอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าทำไมความคิดคนเราไม่ได้ไหลทะลักเข้ามาง่ายๆอย่างนั้นบ้าง ทำยังไมผมจึงจะคิดออก? ทำยังไงผมจะหาเจ้าแรงบันดาลใจในเมืองหลวงที่กว้างใหญ่? ทำยังไงสิ่งที่ ‘โดน’จะเข้ามาปะทะผมจังๆสักที
ความเครียดนำพาผมให้เข้าสู่เวทีที่สามโดยไม่รู้ตัว เพียงได้ยินเสียงแว่วก็นึกถึงสัมผัสที่ปลายนิ้วอย่างชัดเจน เพราะเสียงนั้นคือเสียงจากเครื่องดนตรีที่ผมผูกพันที่สุดในชีวิต เสียงที่โหยหวนเศร้าโศกแต่นุ่มนวลแบบนั้นค่อยๆซึมซาบมาจากอดีตกาล ราวกับว่าเวลาสามารถไหลย้อนคืน ผมรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังนั่งพับเพียบกดสายสองสายแล้วสีบรรเลงบททำนองอยู่บนเวทีที่ไกลแสนไกลแห่งนั้น
คำเชื้อเชิญภาษาดนตรีทำให้ร่างกายตอบรับอย่างอัตโนมัติ น่าแปลกที่ตรงหน้าของนักดนตรีไม่ได้มีภาชนะรองรับเศษเงิน ผมเห็นร่างของหญิงชราวัยเกือบศตวรรษนั่งหลังงออยู่เพียงลำพัง นิ้วมือที่สั่นตามวัยสั่นหงึกๆเช่นเดียวกับมือที่จับคันสี ใบหน้าของยายผมยังไม่เห็นรายละเอียดมากมายแม้ไฟถนนจะถูกเปิดแล้วก็ตาม
ผมของแกสีขาวโพลนทั้งหัว เนื้อแก้มเหี่ยวย้อยลงมาตามกฎธรรมชาติ หางตาและหน้าผากเต็มไปด้วยรอยขีดลึกแห่งชีวิต ดวงตาสีเข้มมีรอยเส้นเลือดจางๆอยู่ริมขอบ เมื่อผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ยายก็เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาโดยที่ยังไม่ปล่อยให้ท่วงทำนองนั้นหยุดลงในทันที
“ช่วยยายหน่อยเถอะหลาน พวงละห้าบาทเอง...ไม่ล่ะ แค่สามบาทก็ได้”
เพราะคำพูดนั้นผมจึงสังเกตเห็นกองพวงมาลัยมะลิหมองๆที่อยู่ข้างตัวยาย ผมค่อยๆจับมันมาสำรวจอย่างระมัดระวังเพราะความบอบบาง รอยคล้ำช้ำดำของมันดูเหมือนกับว่าทุกพวงได้ถูกผ่านการใช้งานมาแล้วสี่ถึงห้าวัด ที่แท้ยายก็ไม่ใช่ขอทาน ยายคงเป็นแม่ค้าที่ใช้เสียงดนตรีเป็นคำโฆษณา
“ผมไม่ได้ยินเสียงซอมานานแล้ว” ผมพูดนอกหัวข้อที่ยายเปิดค้างไว้โดยยังมีพวงมาลัยค้างอยู่ในมือ “ยายก็ชอบซอเหมือนกันหรอ?”
“ก็คงอย่างนั้น” หญิงชราตอบเสียงเรียบอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร ผิดกับผมที่พยายามยืดบทสนทนา
“ยายนี่เป็นคนชอบศิลปะเนอะ ทั้งสีซอทั้งร้อยมาลัย”
“ยายไม่ได้เป็นคนร้อยหรอกหลานเอ้ย! ไอ้พวกเด็กๆที่ลงไปหิ้วขายข้างล่างนี่เป็นคนร้อยแล้วมาแบ่งกันขาย แล้วนี่หลานจะช่วยยายซื้อสักพวงสองพวงได้ไหม ราคาแค่เศษเงินเอง....”
ดูท่าหากผมไม่รีบตกลงซื้อ ผมคงไม่ได้มีโอกาสเปิดบทสนทนาเรื่องอื่นได้ดั่งใจเท่าไร “ครับยาย ผมจะซื้อ....ให้พวงละห้าบาทเลยก็ได้ เหลือกี่พวง...? อ้อ! แปดพวงพอดี สี่สิบนะครับ”
“โอ....ขอบใจๆ ขอให้พบแต่ความสุขความเจริญนะหลาน ร่ำรวยๆ คิดอะไรก็ขอให้สมใจหวัง ยายขอบคุณจริงๆ”
ผมรับคำอวยพรเหล่านั้นไม่ทันเพราะง่วนอยู่กับการหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกางเกงยีนส์ที่เนื้อผ้าฝืดสนิท เมื่อรับธนบัตรยี่สิบบาทสองใบจากผมไป ยายก็มีทีท่าจะลุกออกจากที่นั่งในทันที
“เดี๋ยวสิยาย ยายจะไปไหน”
“ขายของหมดแล้ว....ยายก็กลับสิ”
“เอ่อ....เดี๋ยวสิครับยาย คุยกันก่อนได้ไหมครับ พอดี....ผมชอบเสียงซอมากๆ ยายช่วยเล่นให้ผมฟังอีกได้ไหมครับ”
ยายมีสีหน้าไม่เข้าใจขณะหยุดการพยายามลุกขึ้นยืนแต่โดยดี คิ้วที่แทบไม่เหลือเป็นขีดเส้นขยับขึ้นเล็กน้อย “เอ้...หลานนี่แปลก มาขอให้สีซอ”
“ผมคิดว่ายายน่าจะเข้าใจดี ในฐานะคนที่สีซอเป็นเหมือนกัน” ผมยิ้มกว้างพลางเก็บพวงมาลัยทั้งแปดพวงขึ้นมาจากพื้น “ตั้งแต่มัธยมจนมหาลัย ผมก็สีซอในวงดนตรีตลอด”
ยายพยักหน้าช้าๆ แต่สีหน้าของแกไม่ได้บ่งบอกว่าคล้อยตามในคำพูดผม ซอเก่าเริ่มโหยหวนบาดอารมณ์อีกครั้ง นิ้วผอมเกร็งจับผิดๆถูกๆให้บทเพลงสะดุดบ้างเล็กน้อย คันสีขยับเอือดเอื้อยอย่างสงบตามแต่จังหวะเพลงจะนำพา แล้วอยู่ๆผมก็ตกอยู่ในภาพลวงตาของโน้ตเพลง เสียงเบานุ่มนวลที่ผสมผสานกับเครื่องดนตรีเสียงสูงต่ำเฉพาะตัวมากมายนั้นไพเราะขนาดไหน ผมเคยลืมมันไปเสียสนิท นึกไปถึงในหน้าเพื่อนร่วมวงที่เริ่มเลือนราง นึกถึงวันที่สมาชิกถอนตัวออกไปช้าๆ เหมือนเมฆที่ค่อยๆละลายหาย นึกถึงจุดแตกหักอันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเลือกเดินออกมา นึกถึงห้องซ้อมดนตรีไทยที่สุดท้ายก็ไม่มีใครเหลือ
“ทำไมยายยังสีซอมาจนอายุขนาดนี้” ผมถามขึ้นมาลอยๆในขณะที่เหม่อมองผืนฟ้าสีดำไร้ดาว เสียงเพลงยังไม่หยุด มันไหลลื่นน่าฟังขึ้นมาได้สักพักแล้ว จนรวบรวมสมาธิทั้งหมดไปไว้ที่เสียงอันเบาของของมัน ไม่ให้เสียงฝีเท้าของใครกลบมันลงไปได้
“ถามทำไม”
“เพราะ....ผมรู้สึกสมเพชตัวเองที่ทิ้งมัน ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของมันเลย”
“หลานนี่พูดอะไรเป็นภาษาสวยเกินจริงนะ” ยายหัวเราะจนเห็นช่องว่างที่น่าจะเคยมีฟันฝังอยู่ “เอาเถอะ แต่หลานเข้าใจผิดแล้ว ยายไม่ได้เล่นเสมอต้นเสมอปลายจนป่านนี้หรอก”
ตัวโน้ตเสียงสุดท้ายเลือนหายไปจากสาย แล้วเครื่องดนตรีก็ถูกวางว้างข้างตัวเช่นเดิม “ยายเลิกไปนานเป็นสิบๆปี จนวันที่ตกอับจนต้องหาของเก่าๆมาขายเลี้ยงชีวิตนี่แหละ บ้านก็เป็นแค่เพิงสังกะสี อะไรที่พอมีราคาก็รีบขาย จนมาถึงซอคันนี้แหละ ทำให้ยายได้นึกว่าสิ่งที่ยายเหลืออยู่คืออะไร”
แม้จะอยากถามว่าอะไรยายทำให้คิดอย่างนั้น แต่ผมก็เกรงว่าจะเป็นการเข้าไปยุ่มย่ามเกินสมควร รวมไปถึงการถามว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น “แล้วทำไมยายถึงไม่ขายซออย่างที่ยายขายของอื่นๆ”
“เป็นเยื่อใยที่ยายเองก็ไม่เข้าใจ” แกพูดพลางมองเนื้อไม้ใกล้ผุข้างตัวด้วยสีหน้าที่ผมไม่อาจตีความ “รู้แต่ว่ามันทำให้ยายนึกขึ้นได้ว่ายายยังไม่หมดหนทาง ยายยังมีสิ่งที่ยายทำได้นอกจากรื้อค้นของเก่า ยายควรรักษาสิ่งที่ยายเหลืออยู่ แต่พูดก็พูดเถอะ...มันก็เป็นแค่ความคิดหลังจากผ่านช่วงเวลานั้น จริงๆแล้วตอนที่ยายตัดใจไม่ขาย ก็แค่เพราะราคามันต่ำจนสะเทือนใจเท่านั้นเอง”
แล้วหญิงชราก็ลุกขึ้นโดยมีผมช่วยประคองแขนเล็กน้อย ยายถือ ‘สิ่งที่เหลืออยู่’ของยายไว้แน่นพลางบอกลาผมเบาๆ ก่อนที่จะเดินตรงไปยังทิศตรงข้าม ลงจากเวทีของตนแล้วเข้าสู่ความมืดมิดของรัตติกาล ความมืดมิดที่ไม่ได้แตกต่างกับเวทีอื่นใดยามสิ้นสุดการแสดง
แล้วผมก็กลับสู่เวทีของตัวเอง
กดสวิตช์ไฟ มองนาฬิกาบนกำแพงที่บอกเวลาสองทุ่มเศษ ผมพุ่งเข้าไปรื้อคนของในกล่องลังในตู้เก็บที่ปิดตาย หยิบนำเอา ‘สิ่งที่เหลืออยู่’ของผมออกมา
ทุกอย่างนั้นดูครบสมบูรณ์ดี ทั้งขลุ่ยไม้ ฉิ่งสีทอง และซอด้วงที่ยังเงาวาว หากเพียงแค่ภายนอก พวกมันก็คงดูมีความสุขดีกว่าเครื่องดนตรีที่ผมเพิ่งผ่านพบมาทั้งสามชิ้น ผมค่อยๆหยิบมันขึ้นมาสำรวจทีละชิ้นด้วยความรู้สึกโหยหาลึกๆของเด็กมัธยมแรกฝันคนเดิม แล้วก็ใจหายวาบเมื่อพบว่าภายใน.....มันก็ไม่ได้มีชีวิตชีวามากไปกว่าเครื่องดนตรีที่ตายแล้ว
ความเสียใจพุ่งจี๊ดเข้ามาในวินาทีนั้นเอง ใช่....มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะผมทิ้งพวกมันมานานเหลือเกิน
ผมกวาดตามองไปรอบตัว โต๊ะทำงาน ลำโพง กีตาร์ไฟฟ้า เครื่องให้จังหวะกลอง คอมพิวเตอร์ คีย์บอร์ดไฟฟ้า มองทุกสิ่งที่เป็นของแปลกหน้าอันพรากความคุ้นเคยไปจากเพื่อนเก่าของผม โลหะและความทันสมัยนั้น ความอบอุ่นเทียบไม่ได้เลยกับเนื้อไม้และความเป็นธรรมชาติ
วันแรกที่ผมได้เป่าขลุ่ย ผมในวัยประถมตื่นเต้นไปกับเสียงเพลง พอเป่าได้ดีในวิชาเรียนก็ได้ใจเอาใหญ่ ตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางจากสายการเรียนเป็นสายดนตรี เพื่อที่จะได้เป่ามันทั้งวันทั้งคืน ในตอนนั้น....ผมคิดว่า ผมรักดนตรี
เมื่อเข้าโรงเรียนมัธยมต้น ผมจึงกระวีกระวาดสมัครเข้าชมรมดนตรีไทย แต่โชคของผมนั้นไม่ดีนัก แทนที่จะได้เล่นตำแหน่งขลุ่ยที่คาดหวัง ผมกลับจำต้องมาฝึกเคาะจังหวะด้วยฉิ่งเพราะเป็นตำแหน่งเดียวที่ว่างในวง ในตอนนั้น.....ผมคิดว่า ผมไม่มีทางเลือก
หลังจากนั้นหนึ่งปี รุ่นพี่มือซอได้ลาออกไปโรงเรียนอื่นๆ หัวหน้าวงจึงให้ผมเลือกระหว่างฉิ่งกับซอด้วง แน่นอนว่าผมพิสมัยการได้เล่นเป็นทำนองมากกว่าเพียงเคาะจังหวะ หลังจากโหมฝึกหนักประดาตาย ซอด้วงก็กลายเป็นเครื่องดนตรีคู่กายของผมไปในที่สุด ในตอนนั้น....ผมคิดว่า ผมทำได้ดีในของเหลือ
แต่ในตอนนี้ ต่อหน้าเครื่องดนตรีที่ปั้นผมมาด้วยเสียงเพลงเป็นร้อยพัน ผมตอบตัวเองไม่ได้ว่าตอนนี้ ผมเล่นดนตรีหรือแต่งเพลงเพราะอะไร เพราะรัก เพราะไม่มีทางเลือก หรือเพราะเป็นเพียงสิ่งที่ผมทำได้ดี
ตอบไม่ได้ราวกับว่าเป็นสมการที่สามารถล้มล้างทุกทฤษฎีบนโลก ผมมีความสุขในงานรึเปล่า? ผมรักดนตรีจริงๆหรือ? สิ่งที่ผมทำอยู่มันเหมาะกับผมแล้วใช่ไหม?
ผมสบตากับชายที่หน้าตาประหลาดพิลึกที่สะท้อนอยู่บนผิวโลหะของฉิ่งทอง พยายามมองหาคำตอบในแววตาของชายคนนั้นแต่ก็ไร้ผล เขาไม่ยอมตอบคำถาม เขาบอกผมแต่เพียงว่า นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องไร้สาระพรรค์นี้
ดูเหมือนว่าเขาจะพูดถูกเป็นอย่างยิ่ง
เครื่องดนตรีทั้งหมดถูกรวบเก็บรวมกันอย่างรวดเร็ว วางมันลงไปในกล่องแล้วปิดฝา จะไม่มีใครมารบกวนการหลับใหลของมันอีกตราบนานเท่านาน ประตูไม้ถูกปิดสนิทเข้าไปดังเดิม นั่นสินะ....ได้คำตอบแล้วได้อะไร มันคงไม่ได้ทำให้ผมได้ขึ้นเงินหรือเลื่อนตำแหน่งอะไรแบบนั้น ผมจะทำงานด้วยความรู้สึกใดไม่เห็นสำคัญ สิ่งสำคัญคืองานของผมสามารถจ่ายเงินให้ผมใช้อย่างไม่ฝืดเคืองหรือไม่ต่างหาก
ของเก่าๆมักจะทำให้ผมเสียเวลาไปเปล่าๆเสมอ
ทิ้งตัวลงบนโซฟาราคาถูก หยิบหูฟังเข้ามาเสียบฟัง....อย่างที่ผมบอก ยามใดที่ความคิดไม่ลื่นไหล วันเวลาที่ผ่านไปมันช่างไร้ค่าสิ้นดี
ผลงานอื่นๆ ของ ไอหมอก ละอองแดด ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ไอหมอก ละอองแดด
ความคิดเห็น