โลกอีกใบในห้องสมุด - โลกอีกใบในห้องสมุด นิยาย โลกอีกใบในห้องสมุด : Dek-D.com - Writer

    โลกอีกใบในห้องสมุด

    เรื่องราวของความเหงาสุดท้ายของเด็กหญิงชั้นม.3 เป็นความเจ็บปวดและความทรมานที่คนที่ถูกห้อมล้อมด้วยมิตรสหายนั้นไม่มีวันเข้าใจ ...ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของผู้ที่หลงใหลความเงียบสงัด

    ผู้เข้าชมรวม

    541

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    541

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  19 ต.ค. 51 / 18:07 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

       คุณเคยเหงาไหมคะ?

       ใครก็ตามที่ตอบว่าเคย ก็คงจะเข้าใจดีว่ารสชาติของมันยากที่จะกลืนแค่ไหน จะเศร้า เสียใจ ผิดหวัง หรือน้อยเนื้อต่ำใจ มันสามารถมาปรุงรวมกันได้ผลลัพธ์เป็นความเหงาได้ทั้งนั้นเลยค่ะ เป็นความน่ากลัวที่แฝงอยู่ในสังคมจริงๆนะคะ

        แต่คนเหงานั้น หลายๆครั้ง เขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมายที่จะคลายทุกข์เลย เพียงแค่หันไปยิ้มให้ แล้วโบกมือทักทาย แค่นั้นเอง... คุณก็จะสามารถมอบกำลังใจให้ชีวิตห่อเหี่ยวชีวิตหนึ่งได้แล้วค่ะ อย่าบอกว่าทำตัวปกติ ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ บางครั้งมันก็จะกลายเป็นสิ่งที่ฆ่าคนเราได้ทั้งเป็น และความทรมานของมันก็มากยิ่งกว่าความเกลียดชังไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า

        อย่าปล่อยให้ใครบางคนที่อาจกำลังรอคอยมือบางมือ ที่จะฉุดเขาให้หลุดจากพันธนาการร้ายๆต้องจมหายไปจากชีวิตของคุณเลยนะคะ

        [แม้จะเป็นเพียงชีวิตเล็กๆที่เหินห่าง ไม่สะดุดตา และดูเป็นคนไม่สนใจใคร ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ต้องการใคร.....  และไม่ควรค่าที่ใครจะต้องการ] 

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

         ฉันเคยถามเธอถึงเหตุผลที่เธอชอบเหม่อมองท้องฟ้า

         เธอตอบฉันว่า หากเธอมองเข้าไปในนั้นเหมือนกับเธอ ฉันจึงจะเข้าใจ.....

       

          ฉันกำลังค่อยๆระลึกและนั่งหมุนปากกาไปมาด้วยความรู้สึกเฉื่อยชา สายตาของฉันแทบจะหันเบือนหนีจากกระดาษตรงหน้าทันทีที่มองเห็น กระดาษแผ่นที่ว่าแผ่นนี้คือระเบียนหรือประวัติอะไรสักอย่างที่โรงเรียนแจกให้ เพื่อกรอกรายละเอียดส่วนตัวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจบชั้นมัธยมต้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

          มีเพียงที่ว่างบนจุดไข่ปลาหัวข้องเดียวที่เหลืออยู่ เพื่อนที่นักเรียนสนิทที่สุดในชั้น

          ฉันคิดและเค้นจนเลิกคิด ไม่มีทั้งใบหน้าหรือชื่อใดๆมาสะกิดความทรงจำในหัวสมอง เป็นการค้นหาที่ล้มเหลวว่างเปล่า ฉันเปลี่ยนคำค้นหาไปเรื่อยๆ แต่ผลลัพธ์ก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลง อันที่จริง ตัวฉันเองก็ไม่มั่นใจนักว่าสามปีที่ผ่านมา ในห้องเรียนนี้มีคนอื่นๆร่วมเรียนอยู่กับฉันจริงๆรึเปล่า?

          ประสาทหูได้ยินเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจจนเคยชิน แต่ปากหรือกล่องเสียงคงใกล้จะเน่าเปื่อยไปเต็มที เวลาผ่านเลยล่วงไปจนกริ่งเลิกเรียนดังสนั่นแทรกเสียงครูอาจารย์ ฉันจึงได้แต่ถอนใจแทนคำบอกลาอีกวันที่เงียบสนิทไปอีกวัน ไม่มีการคุย ไม่มีการสบตา ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง...... ไม่มีใครเห็น

          ไม่มีใครรู้เลยว่าหนังสือเลขฉันหาย ไม่มีใครรู้เลยว่าฉันหยุดเรียนไปแล้วสามวันติดกัน ไม่มีใครรู้เลยว่าฉันเป็นไข้หวัดใหญ่ ไม่มีใครรู้เลยว่าฉันใส่ชุดพละมาผิดวัน ไม่มีใครรู้เลยว่ามีฉันที่ร้องไห้ทุกวันอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครเคยถามถึงพูดแซวหรือทักท้วง จนฉันได้แต่ถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าฉันมีตัวตนอยู่จริงๆหรือเปล่า?

          ในสถานที่ที่เรียกว่าโรงเรียน ฉันไม่ได้ยินชื่อตัวเองถูกเรียกขึ้นมาเลยนอกจากเวลาครูเช็คชื่อรายวิชา

       

          ฉันเดินหิ้วกระเป๋าอันหนักอึ้งสวนทางกับเพื่อนร่วมเครื่องแบบไปอีกทาง เป็นเส้นทางถนนกว้างที่ราวกับมีฉันคนเดียวเป็นเจ้าของ ในขณะที่คนอื่นๆในห้องพากันเดินกลับบ้านหรือพากันไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งอย่างสนุกสนาน มีเพียงสถานที่เดียวเท่านั้นที่เปิดอ้ารับคนอย่างฉัน

         สถานที่ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เสียง ห้องสมุดโรงเรียน

         ทั้งๆที่เป็นสถานที่ที่ทั้งร้างเพราะมีคนมาใช้บริการน้อยจนโต๊ะเก้าอี้ว่างเสมอๆ อีกทั้งยังเงียบสนิทเพราะกฎระเบียบถาโถมเข้ามาอีก แต่ฉันรู้สึกว่าที่นี่เป็นที่ที่อบอุ่นกว่าห้องเรียนประจำที่บรรจุนักเรียนห้าสิบคนเป็นไหนๆ ฉันมีเพื่อนมากมายอยู่ที่นี่ ทุกตัวอักษร ทุกวลี ทุกประโยค ทุกเรื่องราว ทุกตอน ทุกหน้า และทุกเล่ม พวกจะเขารอฉันอยู่เสมอ และเหนือสิ่งอื่นใด แม้จะแปลกหน้าแปลกตากันสักเพียงไหน พวกเขาก็เปิดอ้าให้ฉันทำความรู้จักอย่างเป็นมิตร ราวกับว่าถ่ายทอดคำปลอบโยนให้หลงลืมความโดดเดี่ยวตราบเท่าที่ฉันไม่ถอนสายตาออกจากมัน

           ไม่นานหลังจากจมดิ่งลงไปในห้วงอักษร ฉันก็ต้องเงยหน้าจากหนังสือที่อ่านค้างไว้ตั้งแต่เมื่อวาน หนังสือเล่มเล็กชื่อดัง เจ้าชายน้อย ของนักเขียนชาวฝรั่งเศส อองตวน เดอ แซง-เตกซูปรี ด้วยเสียงเปิดประตูเข้ามา เพราะความเงียบยิ่งกว่าของห้องจึงทำให้เสียงเงียบที่ประตูลอยเด่นออกมาได้อย่างไม่ยากเย็น คนที่เดินเข้ามานั้นเป็นคนที่ฉันรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตายิ่งกว่าคนในห้องเดียวกัน เธอสวมชุดเครื่องแบบนักเรียนคอซอง มีจุดสีน้ำเงินปักที่ปกซ้ายสามจุด ผมสั้นตรงถึงติ่งหูตามระเบียบ เมื่อเห็นดังนั้น ฉันจึงก้มหน้าอ่านหนังสือที่ค้างอยู่ในมือต่อไป

           เธอนั่งที่โต๊ะในสุดของห้อง ส่วนฉันนั่งที่โต๊ะข้างหน้าต่างริมซ้าย ระยะทางห่างกันหกขอบโต๊ะเต็มๆ แม้ฉันจะจำเธอได้ แต่หากก้าวพ้นประตูห้องสมุด เราทั้งคู่ก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปในทันที เหมือนเช่นวันนี้

          สี่โมงเย็น ฉันลุกออกไปเก็บหนังสือ ในเวลาเดียวกันที่เธอเดินออกจากชั้นวางรหัส000 ฉันเดินผลักประตูแล้วเดินออก เธอปิดประตูที่เปิดค้าง ฉันหยิบกระเป๋าจากชั้นวางช่องซ้าย เธอหยิบกระเป๋าจากชั้นวางด้านขวา

         เวลาของฉันกับเธอ มักคลาดเคลื่อนกันเป็นวินาที

          เมื่อรู้ตัวอีกที ฉันก็เดินออกห่างจากเพื่อนร่วมห้อง(สมุด)ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ถนนโล่งไม่จอแจ ร้านค้าทยอยพากันเก็บของเพื่อลากลับไปพร้อมแสงตะวัน ฉันไม่มีการหยุดแวะระหว่างทางจนกระทั่งถึงเกือบถึงสะพานลอย จึงลองหันกลับไปข้างหลังโดยไร้เหตุผล

          เธอกำลังเดินเพียงลำพังอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ระดับสายตาของเธอ กำลังอยู่บนฟ้า

       

          หัวข้อ เพื่อนที่นักเรียนสนิทที่สุดในชั้นยังคงว่างเปล่าจนถึงวินาทีสุดท้ายของการกำหนดส่ง ฉันไล่ตามใบรายชื่อ สุ่มนักเรียนผู้โชคร้ายขึ้นมามั่วๆอย่างไร้ความหมายไปอย่างนั้น ก่อนที่จะโยนลงไปกองๆกับระเบียนอื่นๆไปอย่างนั้น

          ใกล้จบปีการศึกษาเข้าไปทุกที กระดาษมากมายก็เริ่มเกลื่อนกลาด สำหรับฉัน....มันก็เป็นเพียงกระดาษ แต่เมื่อมันอยู่บนโต๊ะใคร มันก็คือหลักฐานของความเป็นเพื่อนที่ใครต่อใครเรียกมันว่า เฟรนด์ชิพ ซึ่งดูมันมีความหมายมากกว่าวิชาเรียนที่เบียดกันเต็มตาราง ทุกใบหน้าที่เคยจ้องมองกระดานนั้นจึงพากันก้มหน้าก้มตาขีดเขียนเรื่องราวสุดท้ายให้แก่กันและกันไม่หยุดหย่อน

          ด้วยโต๊ะเรียนที่ไร้กระดาษเปล่า ฉันไม่มีวันได้รู้ว่าความหมายของสิ่งเหล่านั้นคืออะไร เพราะสิ่งเดียวที่ฉันได้ทำ คือการเข่นฆ่าเวลาไปอย่างโดดเดี่ยวไร้ความหมาย

          แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะมุ่งกับกระดาษตรงหน้ากันไปเสียหมด คุณหัวหน้าห้องและคนที่สอบได้อันดับหนึ่งนั้นกำลังตั้งใจเรียนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนเกินเหตุและใช้หนังสือติวสอบเล่มหนาทับบรรดาเฟรนด์ชิพมากมายโดยไม่มีท่าทีจะสนใจมันในตอนนี้ ในชั้นม.3 เป็นธรรมดาที่ใครต่อใครจะมุเรียนเพื่อไปเรียนต่อในโรงเรียนที่ชื่อดังและดีกว่า อย่างมหิดลวิทยานุสรณ์ หรือเตรียมอุดมศึกษา

          โรงเรียนใหม่.....

           ไม่ทันไรก็เป็นคาบพระพุทธศาสนา ด้วยความที่อาจารย์ไม่มาโดยไม่ทราบสาเหตุ ห้าสิบนาทีนี้จึงว่างสนิท ดูเหมือนว่าทุกคนจะรอเวลานี้มาตลอดทั้งวัน จึงรีบหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาจากกระเป๋ากันยกใหญ่ เสียงชัตเตอร์ที่ดังแชะๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้ฉันเวียนหัว แต่ก็ไม่เท่าอาการของคนในห้อง กินเวลาไม่กี่วินาที รอบๆโต๊ะที่ฉันได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อก็ว่างเปล่าเป็นวง ทุกคนย้ายไปนั่งรวมกันที่โต๊ะตัวอื่นเพื่อถ่ายรูปรวมกันโดยไม่มีคนอย่างฉันติดอยู่ให้เปรอะความทรงจำดีๆอันสวยงาม

           ด้วยความรู้ตัวดี ฉันจึงลุกออกไปจากห้อง แล้วไปนั่งที่ระเบียงหน้าห้องอย่างเลื่อนลอย รู้อะไรไหม..... ที่ว่างๆเหล่านั้น เมื่อไม่มีฉัน มันก็กลับมามีคุณค่าให้นั่งและใช้เป็นภาพบรรยากาศดีๆดังเดิม

           ฉันพยายามสัมผัสความรู้สึกดีๆที่ไม่มีวันเป็นเจ้าของท่ามกลางความจริงที่ไม่มีใครเข้าใจ ฉันเหงาจนเจ็บชาอย่างฉันรู้ดี ว่าการมีเพื่อนสักคนมันมีความสุขแค่ไหน แต่ให้ตายยังไง คนที่ถูกห้อมล้อมด้วยรอยยิ้มและความอบอุ่นของมิตรสหาย ย่อมไม่มีทางเข้าใจรสชาติของน้ำตาที่กลั่นจากความอ้างว้างขมขื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำตาของความ ไม่มีตัวตน

            ใครก็ได้รู้สึกตัวทีว่าฉันหายไป ใครก็ได้สะกิดใจสักนิดว่ามีคนคนนี้อยู่ร่วมเรียนในห้อง ใครก็ได้ช่วยหันมาเห็นฉันหน่อย เห็นว่าฉันกำลังนั่งอยู่ตรงนี้

            ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวจนฉันต้องหลับตา เวลานี้ช่างยาวนานเหลือเกิน.....เวลาที่ความเหงาแวะเวียนเข้ามาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบอย่างตอนนี้

      โอเคๆ ทีนี้เราจะมีเฟรนด์ชิพห้องกันใช่ไหม ภายในเดือนหน้าละกัน.....จะได้เอาไปเย็บเล่มทำอะไรๆให้เสร็จก่อนสอบปลายภาค เราเตรียมกระดาษมาครบคนนะ

            เสียงหัวหน้าห้องดังออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ เฟรนด์ชิพห้อง.... อนุสรณ์ห้อง.... ฉันมองลอดผ่านช่องประตูอย่างชัดเจนทุกรายละเอียดการเคลื่อนไหว เขากำลังแจกกระดาษขนาดA4ให้ทุกคนทุกโต๊ะอย่างเรียบง่าย ทุกคน ทุกโต๊ะ.....ครบทุกคนในห้อง

            ทั้งหมด ทั้งสี่สิบเก้าคน........

            แล้วฉันก็ห้ามน้ำตาที่เอ่อปริ่มขอบไม่ได้อีกแล้ว

       

          พักกลางวันไม่ได้เป็นเวลาที่น่ายินดีเลยแม้แต่น้อย ฉันนั่งเขี่ยๆเม็ดข้าวขาวๆอย่างเอื่อยเฉื่อยยิ่งกว่าวันไหนๆ ข้าวยังเหลือเกินครึ่งจาน แต่ฉันไม่ได้รีบร้อน ฉันไม่มีธุระใดๆที่จะต้องรีบกิน รีบไป โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พวกคนในห้องกำลังพากันสร้างความทรงจำอันมีค่าก่อนที่จะต้องจากลานั้น ยิ่งไม่มีที่ว่างสำหรับฉัน

          ฉันเหม่อมองไปรอบๆ สายตาเลื่อนไปเรื่อยๆไรขอบเขตและจุดหมาย แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ฉันสะดุดตานั้นก็ไม่ใช่สิ่งอื่นใด คนคนนั้น...เด็กผู้หญิงรุ่นเดียวกันที่ห้องสมุด เธอนั่นอยู่เพียงลำพังกับจานข้าวอันว่างเปล่าที่ถูกเลื่อนห่างออกจากตัว เว้นที่ว่างเพื่อหนังสือเล่มหนากับสมุดจดบันทึก เธอคงง่วนอยู่กับตำราจนมองไม่เห็นฉัน หรือถ้าเห็นเธอก็คงไม่จำเป็นต้องสนใจนัก

          แต่ในใจฉันยังอดคิดไม่ได้ ว่าเธอจะรู้สึกว่าโต๊ะกินข้าวของโรงเรียน มันกว้างเกินไปเหมือนฉันรึเปล่า.....

          หลังจากผลาญเวลาไปสักพักใหญ่ สายตาฉันก็เหลือบไปมองเธออีกครั้ง แต่อิริยาบถของเธอเปลี่ยนไปแล้ว หนังสือกับสมุดปิดสนิท ปากกาดินสอก็วางนิ่งสงบ แล้วสายตาของเธอก็อยู่ในตำแหน่งเดิมที่ฉันเคยเห็นอยู่บ่อยๆ บนท้องฟ้า

          ฉันหันมองตาม วินาทีแรกฉันคิดว่าเธอเพียงพักสายตา แต่พอเวลาผ่านไป ฉันก็รู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น แต่ฉันก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่า เธอมองฟ้าเพื่ออะไรกันแน่ เธอจ้องมองค้างอยู่นาน นานจนกระทั่งเสียงกริ่งปลุกเธอจากภวังค์ เธอจึงยอมถอนสายตาในที่สุด

          ฉันและเธอต่างหยิบจานเปล่าออกไปเก็บด้วยเวลาที่คลาดเคลื่อนเป็นวินาที ในบรรยากาศของความโล่งและว่างเปล่าของโรงอาหาร ความคลาดเคลื่อนนั้นเองทำให้เราสบตากันเป็นครั้งแรก

       

          มือที่ถือหนังสือกำลังสั่นครือ ฉันถือมันด้วยแขนข้างเดียวเพราะใช้แขนอีกข้างปาดน้ำตาเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ ตัวอักษรที่เบลอขมุกขมัวด้วยม่านน้ำตานั้น ฉันอ่านไม่ออกแม้แต่คำเดียว จิตใจไม่ได้อยู่ที่หนังสืออย่างที่กำลังพยายาม เพราะมันได้ล่องลอยไปที่อนุสรณ์ที่ฉันไม่อาจเป็นเจ้าของ รายชื่อที่ขาดเลขที่สามสิบสี่จะเป็นยังไงนะ....เขาจะสงสัยกันบ้างไหมว่าเลขที่นี้เป็นใคร หน้าตาแบบไหน นิสัยยังไง หรือทำไมเขาจึงได้ไม่ถูกบรรจุในอนุสรณ์นี้ เขาจะมานึกย้อนดูบ้างไหมว่าลืมใครในวันนั้น หรือจะมีเพียงความทรงจำแต่เพียงว่า ในห้องนี้มีแค่สี่สิบเก้าคนจริงๆ

          ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งหลั่งเป็นสาย แค่กลั้นเสียงสะอื้นก็ยากเย็นเกินพอ ฉันไม่เหลือเรี่ยวแรงให้สกัดน้ำตา ปล่อยให้ความปรารถนาไร้ค่าเข้าตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันอยากโดนแกล้ง ฉันอยากโดนล้อ ฉันอยากโดนว่า ฉันอยากพูดคุย ฉันอยากถูกชวน ฉันอยากฟังเรื่องที่มีใครมาเล่าให้ฟัง อยากหัวเราะและร้องไห้ให้มีคนรับรู้ อยากได้สิ่งที่ยืนยันว่าฉันเป็นคน ไม่ใช่วิญญาณ

         ใครสักคน ใครก็ได้ อะไรสักอย่าง คนที่เหงาไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านั้น

         ฉันนั่งมองผืนกระดาษขมุกขมัวพลางนึกถึงวันเวลาอันทรมานที่เหลืออยู่ ค่อยๆรื้อฟื้นสติที่กระเจิงหายด้วยการสูดหายใจเข้าลึกๆอย่างใจเย็น อีกไม่นาน..... ฉันอยู่กับมันมานานแล้ว อีกไม่นานเรื่องนี้ก็จะจบ

       

         วันต่อมา ฉันเดินวนในห้องสมุดอยู่นานเพราะหาหนังสือที่อ่านเมื่อวานไม่เจอ คงมีคนหยิบไปอ่านแล้ววางผิดที่ผิดทาง หรือไม่อาจมีคนยืมกลับบ้านไปอ่าน ฉันจึงตัดสินใจมองหาหนังสือเล่มใหม่อย่างเบื่อหน่าย ในใจยังรู้สึกปวดพิกลกับความไร้ตัวตนของตัวเอง และได้แต่หวังว่าวันนี้จะไม่ต้องฟุ้งซ่านให้เสียน้ำตาซ้ำๆอีก

         ใครคนหนึ่งมาสะกิดฉันจากด้านหลัง

         ใบหน้าที่คุ้นตาปรากฏขึ้นทันทีที่หันไปมองพร้อมหนังสือที่ฉันอ่านค้างไว้เมื่อวาน เธอในชุดพละสีน้ำเงินเกาหัวเบาๆแล้วยื่นหนังสือมาให้ฉัน พลางถามว่าฉันมองหาหนังสือเล่มนี้อยู่ใช่รึเปล่า

        ฉันพยักหน้าแทนคำตอบและรับมันมาอย่างงงๆ เมื่อคนตรงหน้าเห็นอย่างนั้น เธอจึงเฉลยข้อข้องใจโดยไม่รอให้เอ่ยถาม เมื่อวานเห็นนั่งอ่านอยู่แล้ว....เอ่อ โทษทีนะ เห็นร้องไห้ ก็เลยสงสัยว่านิยายเรื่องนี้เศร้ามากขนาดไหน

         ฉันรู้สึกอยากหัวเราะจนลืมเรื่องที่เคยแบกเอาไว้จนหมดสิ้น แต่ใบหน้าฉันยังเรียบเฉยด้วยความประหลาดใจ ฉันชะงักไปพักหนึ่งก่อนที่จะยิ้มแหยๆ พลางถามถึงความเห็นของเธอแทนเพราะไม่อยากบอกความจริงกับเธอ และรู้ว่าหากโกหกไปยังไงก็ตาม คำตอบที่ออกมาย่อมมีแต่คำตอบงี่เง่าแน่ๆ

      ไม่รู้สิ อ่านยังไม่ถึงครึ่งเล่มเลย นิยายแบบนี้มันน่าจะซึ้งที่ตอนจบเนอะ

         แม้จะรู้ว่าหัวใจไม่อาจขยายพองตัวได้ในความเป็นจริง แต่ตอนนี้ฉันกลับยืนยันได้ว่ามันเป็นอย่างนั้น คำพูดสบายๆจนไม่สมควรเป็นบทสนทนาแรกนั้นลื่นหูไปตามธรรมชาติ เหมือนกับว่าฉันกับเธอได้คุยกันมามากมายหลายครั้ง ฉันได้ยินเสียงเธอเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกับเสียงของตัวเอง ฉันบอกขอบคุณเธอแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะ ส่วนเธอก็ไปนั่งที่ประจำพร้อมหนังสือเล่มใหม่ดังเดิม

         อาจจะรู้สึกแปลกที่เธอเข้ามาพูดคุยกับฉัน แต่กลับไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นครั้งแรกสำหรับการสื่อสาร อาจเป็นเพราะนับครั้งไม่ถ้วนที่ในห้องเงียบห้องนี้เหลือเพียงเธอกับฉัน นั่งอ่านหนังสือกันคนละโต๊ะ ดูๆแล้วอาจเหมือนต่างคนต่างสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาคนล่ะใบ แต่ไม่มีใครรู้เลย แม้แต่เราสองคนเองก็ไม่รู้....ว่าโลกส่วนตัวของฉันกับเธอ ได้เข้าใกล้กันจนแทบเชื่อมติดขนาดที่สามารถสื่อสารกันผ่านความเงียบได้ถึงเพียงนี้

         ฉันเชื่อว่าอาจารย์หรือนักเรียนบรรณารักษ์ทั้งหลายคงเข้าใจไปว่าเราเป็นเพื่อนสนิทกันแน่ๆ

         ฉันเหลือบไปมองทางด้านหลัง เห็นนักเรียนหญิงรุ่นเดียวกันอ่านตำราเรียนอีกแล้ว ซึ่งหากจำไม่ผิดตั้งแต่ขึ้นชั้นเรียนใหม่มา เธอก็ใช้เวลาไปกับการมุเรียนเสียส่วนใหญ่ ฉันเผลอถอนใจออกมาเบาๆด้วยความรู้สึกเสียดาย ทั้งๆที่คิดว่าได้เริ่มต้นกับคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา แต่ในไม่ช้า....เธอก็คงไม่ได้มานั่งอยู่ในห้องสมุดแห่งนี้อีกแล้ว เธอคงไปนั่งอยู่ที่ห้องสมุดของโรงเรียนที่ไหนสักแห่ง ที่ไม่มีฉัน

          แล้วฉันก็ได้รู้ว่านิยายในมือของตัวเอง ไม่สนุกเอาเสียเลย

       

          วันสอบวันสุดท้าย โรงเรียนจัดงานปัจฉิมนิเทศแด่นักเรียนม.3บนหอประชุม ฉันนั่งดูการแสดงของห้องอื่นๆอยู่เงียบๆ ในขณะที่คนในห้องกำลังคุยกันเรื่องงานเลี้ยงที่รอคอยต่อจากนี้กันอย่างออกรส ซึ่งหากหูของฉันไม่ได้มีปัญหา ฉันก็ได้ยินอย่างชัดเจนว่า เป็นงานของทุกคนในห้อง ใช่....ฉันเข้าใจความหมายของมันอยู่แล้ว

          เสื้อสีขาวถูกโยนขึ้นมาจากด้านหน้า ตกลงมาบนตักฉันพอดิบพอดี ชุดนักเรียนตัวนั้นเต็มไปด้วยหมึกสีๆที่เขียนข้อความไว้เต็มไปหมด ฉันหยิบขึ้นมาดูแวบหนึ่งก่อนที่คนข้างๆจะขอคืนแทบจะในทันทีที่มือของฉันสัมผัสโดน สายตาที่มองด้วยความเหินห่างเช่นคนแปลกหน้ากรีดแทงฉันอยู่เงียบๆ ทำให้ฉันยิ่งมั่นใจเกินร้อยว่า งานเลี้ยงอำลาสุดท้ายของห้องนั้น จะมีแขกที่ถูกรับเชิญเพียงสี่สิบเก้าคน

         สิ้นเสียงเพลงและคำอำลาจากอาจารย์หัวหน้าระดับ ความปวดร้าวที่พุ่งขึ้นมาแทงอกช่วงวินาทีสุดท้ายนั้นคงทำให้ฉันฟั่นเฟือน แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ฉันก็เป็นได้เพียงส่วนเกินที่ทุกคนพร้อมใจจะไม่หันมอง ฉันก็ยังเดินลงบันไดมาที่ด้านล่าง นั่งรออย่างไร้ความหมายอยู่หน้าหอประชุม มองเพื่อนที่ค่อยๆผ่านไปทีละคนพลางนึกฝันว่าบางที จะมีใครสักคนหันมาสบตา

         นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่? ทำไมถึงไม่รีบกลับบ้าน? นี่ฉันยังกล้าหวังอีกหรอว่าจะมีคนจำฉันได้? นี่ฉันหวังจริงๆหรอ ว่าจะมีใครสักคนสามารถจดจำได้ว่าในห้องนี้ มีนักเรียนอยู่ห้าสิบคน?

         ฉันส่งยิ้มแล้วโบกมือลา แล้วสายตาแต่ละคู่ที่มองทะลุผ่านฉันไปคือคำตอบ ไม่มีใครมีปฏิกิริยาตอบสนองฉันเลยแม้แต่คนเดียว.....

         เจ็บยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่เคยผ่าน ความหวังริบหรี่สุดท้ายแตกกระจายหายไปแล้ว ราวกับได้ยินเสียงหัวใจตัวเองกำลังกรีดร้อง ฉันตาลอยค้างแบบไร้ชีวิต ตัวสั่นไปกับความจริงที่ไม่อยากยอมรับ ทุกอย่างเหมือนเทพรวดโหมเข้ามาใส่รวดเดียวจนไม่อาจต้านทาน ทุกๆคนไปหมดแล้ว ผู้คนที่อยู่ร่วมกับฉันมากว่าสามปี พวกเขาไปกันหมดแล้ว พวกเขาทั้งสี่สิบเก้าคน

         แค่สี่สิบเก้าคนเท่านั้น

         ปากอ้าค้างแล้วปล่อยทุกสิ่งที่สะสมไว้ออกมาจนหมด เสียงร้องสะอื้นฟูมฟายจากฉันพุ่งออกมาพร้อมสายน้ำตา ฉันไม่มีเรี่ยวแรงจะควบคุมพวกมันอีกต่อไป น้ำตาของฉันไร้ความหมาย หัวใจฉันไร้ความหมาย จิตใจของฉันไร้ความหมาย ภาพนักเรียนห้องอื่นๆสวมกอดร้องไห้กันกำลังวนเวียนอยู่ตรงหน้านั้นหลายเป็นคมมีดที่บาดตา ไม่ไหวแล้ว.....ไม่เอาแล้ว....มันจบแล้ว

         ทำไมแม้แต่วันนี้ฉันก็ต้องอยู่คนเดียว แม้จะได้ยินร้องของฉันจะดังปะปนอยู่กับเสียงสะอื้นอื่นๆรอบกาย แต่เสียงร้องที่เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวรวดร้าวนั้น มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวที่โดดออกมา ความเจ็บปวดทั้งหลายทะลักออกจากตัว สามปีอันยาวนาน สามปีกับการไร้ค่าและตัวตน ท่ามกลางผองเพื่อนที่กำลังอำลากันและกันด้วยหยาดน้ำตา มีฉันกำลังนั่งกอดตัวเองร้องไห้ตัวสั่นเพียงลำพังโดยไม่รู้จักใครสักคน

         หลังจากทรุดตัวลงไปอย่างหนัก ฉันก็ตัดใจเดินออกจากโรงเรียนด้วยสภาพที่ใกล้เคียงกับศพ การเดินนั้นโซเซเหมือนเดินไม่เป็น ตานั้นแดงก่ำด้วยความแสบร้อน ผมสั้นยุ่งเหยิงเขรอะน้ำตาไม่มีสี ตานั้นล่องลอยค้างเหมือนกำลังเฝ้าฝัน กว่าจะเดินถึงสะพานลอยก็ไม่รู้ว่าฆ่าเวลาไปเท่าไร ไม่รู้เหมือนเรื่องที่ว่าหัวของฉันหนักอึ้งหรือคอของฉันไร้พลัง ฉันจึงได้แต่เดินมองผืนดินมาตลอดทาง

         สิ่งเดียวที่ฉันรู้คือ ความเหงามันหน้าตาคล้ายกับฉันนี่เอง

         ดวงตาที่เห็นภาพได้แต่เพียงรางๆมองเห็นป้ายรถเมล์ ฉันมองเห็นใครคนหนึ่งที่สะดุดตา เพราะป้ายรถนั้นว่างจนแทบไม่มีคน นักเรียนส่วนใหญ่ไปสังสรรค์กับเพื่อนกันหมดแล้ว ยังไม่มีใครอยากกลับบ้าน ยกเว้น ฉันกับเธอ....

         เสียงสะอื้นดังออกมาจากร่างที่นั่งก้มหน้าจนผมปิดบังทุกส่วนของดวงตา มือทั้งสองกุมเส้นผมสั้นกุดนั้นอย่างแรง แม้จะเห็นใบหน้าไม่ชัดฉันก็จำได้ทันที มุมก้มหน้าแบบนี้เองที่เห็นอยู่ทุกวัน ที่โต๊ะด้านในสุดของห้องสมุด

         มีเพียงผู้ที่เคยเจ็บอย่างเดียวกันเท่านั้นจึงจะเข้าใจดี ฉันวางกระเป๋าลงโดยไม่ได้ตั้งใจ พันธนาการของความโดดเดี่ยวกำลังกอดรัดจิตวิญญาณของเธอไว้เช่นเดียวกับฉัน ไม่ต้องถาม ไม่ต้องเล่า เพียงสื่อสารกันด้วยความเงียบอย่างเคยก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง แค่มองร่างร่างนั้นก็สามารถเห็นหัวใจที่บอบช้ำไร้เรี่ยวแรงของเธอ ฉันทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนที่จะพูดกับเธอด้วยเสียงกระซิบ ซึ่งเธอก็พยักหน้าเบาๆโดยไม่หันมามอง

      มาร้องไห้กันเถอะ.....

       

         ปีการศึกษาแรกของชั้นม.ปลาย ทุกอย่างดูเหมือนจะถูกลบล้าง ชุดใหม่ ห้องเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ และชีวิตใหม่ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าหัวใจดวงเดิมนี้จะยังกล้าเผชิญสิ่งใหม่ๆนี้อีกหรือไม่ ความเข้มแข็งแม้เสี้ยวหนึ่งที่ไม่รู้ว่าหลบซ่อนอยู่ที่ใดจะเผยตัวออกมารึเปล่า เพราะหลังจากวันสุดท้ายของม.ต้น ความร่าเริงในแววตาก็จางหายละลายไปกับน้ำตา

          ฉันกับเธอ เพื่อนผู้ร่วมน้ำตาได้อยู่ห้องเดียวกัน หลังจากเปิดเทอมมาไม่นาน ฉันก็ได้รู้ว่าชื่อของเธอคือ พิณ

          แม้จะรู้สึกดีขึ้นเพราะความอบอุ่นมากมายสักเท่าไรในห้องใหม่ ฉันก็ยังนั่งกินข้าวคนเดียวอย่างเคย และประวัติส่วนตัวเล่มใหม่ก็ยังคงเว้นว่างในหัวข้อเดิมๆ แต่ด้วยอะไรบางอย่าง ฉันเชื่อว่ามันจะสามารถบรรจุชื่อใครคนใดคนหนึ่งได้ในไม่ช้า

          เวลาผ่านไปเพียงสองเดือน ชื่อทุกคนในห้องก็บรรจุเป็นส่วนหนึ่งของสมอง และชื่อของฉันก็ถูกเรียกขึ้นมาอยู่ทุกวัน (อาจยกเว้นเพื่อนที่เคยร่วมห้องกันตอนมัธยมต้น) ฉันรู้สึกดีขึ้นเหมือนเป็นคนใหม่ เป็นเวลาเดียวกันกับที่โรงเรียนจัดทัศนศึกษาให้ไปพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ พร้อมกับสั่งงานให้ทำเป็นคู่ ซึ่งน่าแปลกที่ฉันไม่ใช่คนสุดท้ายที่จับคู่ได้ เพราะคนในห้องเก่าคนหนึ่งเกิดกลัวขึ้นมาว่าจะต้องไปจับคู่กับคนที่ไม่ชอบหน้า จึงจำใจชวนฉันที่ไม่ไดรู้สึกรู้สาอะไรเป็นพิเศษแทน ก็คงรู้ว่าฉันจะไม่โวยวายอะไรเมื่อเธอปล่อยฉันทิ้งไว้ลำพังตั้งแต่ขึ้นรถ

          เป็นความสนุกสนานที่เพิ่งเคยสัมผัส มิน่าทำไมแต่ล่ะคนจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันนี้มาตั้งแต่ได้ยินข่าว ขนมถูกส่งตั้งแต่หลังสุดจนเกือบถึงที่นั่งคนขับ ไพ่หลายสำรับถูกดึงออกมาแจกจ่ายกันสนุกสนาน เสียงเพลงดังออกจากลำโพงเป็นเพลงเพื่อชีวิตตามความชอบส่วนตัวของผู้บังคับพวงมาลัย และที่ขาดไม่ได้นั้นก็คือ เสียงชัตเตอร์ของกล้องถ่ายรูป

          ในขณะที่คนส่วนใหญ่จะยืนเล่นเดินไปเดินมา แต่พิณกับนั่งอยู่ด้านหลังสุดริมหน้าต่างอย่างเงียบกริบ

      ป่านๆ กินมั้ย ขนมได้เวียนมาถึงฉันโดยมีเพื่อนใหม่เป็นคนชื่นมาให้ ฉันรับซองทั้งซองนั้นมา หยิบกินชิ้นหนึ่งก่อนที่จะชักชวนพิณให้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเดินสายของซองขนม

          พิณขอบคุณแล้วเคี้ยวขนมไปพร้อมๆกับมองฟ้า ประกายในแววตาของเธอนั้นปรากฏออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรก

         

          คนแน่นเบียดกันจอแจเต็มพิพิธภัณฑ์ ฉันเดินเดินถือกล้องกับสมุดจดจนมือแทบจะพันกัน แม้จะชื่อว่างานคู่ แต่คู่หูจำเป็นของฉันเดินหายไปจากสายตาทันทีที่ขาเหยียบถึงพื้น ฉันจึงมีทางเลือกไม่มากนัก และรู้ดีว่าควรจะเลือกทางไหน เพราะมั่นใจว่าคู่ของตัวเองคงไม่ใจดีถึงขนาดหาข้อมูลอะไรเผื่อฉัน

          ฉันเดินเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์เพียงลำพังตั้งแต่ชั้นบนสุดไล่ลงมาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความแออัด ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบง่ายจนกระทั่งเห็นพิณกำลังนั่งวุ่นอยู่กับกล้องของตัวเองและมีสีหน้าเดือดร้อน เมื่อฉันเดินเข้าไปถามถึง จึงรู้ว่าถ่านหมด

      เอาไปสิ ฉันหยิบถ่านสำรองออกมาจากกระเป๋า พิณรีบส่ายหน้าเพราะความเกรงใจ ดึงดันปฏิเสธท่าเดียว ฉันจึงต้องแหวกกระเป๋าให้เธอดูถ่านแบบเดียวกันใหม่เอี่ยมที่พกสำรองมาเป็นโหล เธอจึงยอม

      แล้ว....คู่พิณล่ะ ฉันถามหลังจากมองซ้ายมองขวาอยู่พักหนึ่ง

      ไปกับกลุ่มอื่นตั้งแต่หน้าประตูแล้ว แล้วเธอก็ถามถึงคู่ฉัน ฉันจึงตอบไปตามความจริงแล้วเอ่ยปากชวนให้เธอมาเดินด้วยกันเสียดื้อๆ ซึ่งเธอก็ตกลงไม่ว่าอะไร

          เราเดินอย่างไม่รีบร้อนอะไร ยิ่งเดินด้วยกันมากเท่าไร ก็ดูเหมือนจะยิ่งดึงความเป็นเด็กไร้สาระของฉันกับเธอออกมามากขึ้นเท่านั้น ฉันลืมใบหน้าของเธอที่เปื้อนคราบน้ำตาไปจนหมดสิ้น เพราะตอนนี้มีแต่เสียงหัวเราะ รอยยิ้มและความสนุกสนาน กลมกลืนไปกับสีหน้าไร้เดียงสาของเด็กๆที่รายล้อมอยู่รอบๆซึ่งท่าทางจะมีความซนไม่ได้น้อยไปกว่าเรา

       ป่าน มาสิ.... มาถ่ายรูปกับตัวนี้หน่อย พิณชี้ให้ดูโครงกระดูกไดโนเสาร์ตัวใหญ่และลากฉันไปข้างๆมันก่อนที่จะเดินถอยหลังออกไปพร้อมกับชูกล้องของตัวเองขึ้นมา ฉันอึกอักเล็กน้อยเพราะไม่ได้ถ่ายรูปมานาน จนพิณย้ำเตือนว่าฉันต้องยิ้มนั้นเอง ความดีใจก็เสริมให้ริมฝีปากเหยียดกว้างที่สุดในชีวิต

         เพื่อนกลุ่มอื่นๆเดินเข้ามาหา เราคุยทักทายกันอย่างสนุกสนานย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วชวนกันไปกินข้าวที่หน้าพิพิธภัณฑ์ อากาศดีเกินกว่าที่จะนั่งกินข้าวเสียด้วยซ้ำเพราะลมแรงเหลือเกิน ฉันและพิณนั่งข้างๆกันเป็นส่วนหนึ่งของวงกลมใหญ่ ฉันไม่เคยรู้สึกว่ามีเลือดเนื้อมากขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ

      พิณไม่ติดเตรียมใหญ่หรือมหิดลฯหรอ?” ฉันถามหลังจากบทสนานาเริ่มแยกกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย พิณกลืนข้าวลงคอก่อนที่จะหัวเราะ อย่างฉันเนี่ยนะ

      เห็นมุเรียนซะขนาดนั้น

      ก็แค่อยากหนี.....คิดง่ายๆอยากย้ายไปโรงเรียนอื่นให้พ้นๆ แต่ก็ทำไม่ได้ล่ะนะ อืม....ป่านก็รู้

          ใช่...ฉันรู้ ฉันยักไหล่แทนการตอบรับด้วยความเข้าใจ แต่ห้องนี้อาจจะไม่เลวร้ายก็ได้นะ

      อืม....ใช่ ฉันรู้

           พิณยิ้มแล้วมองฟ้า

           ฉันกำลังจะเอ่ยถามถึงเหตุผลที่เธอทำอย่างนั้นแต่ก็ยั้งไว้ทัน แล้วเปลี่ยนจากการเอ่ยถามเป็นการเบนสายตาไปยังผืนฟ้าเช่นเดียวกับเธอ ไม่รู้ว่าสิ่งใดที่เธอหลงใหลอยู่บนนั้น ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เธออยู่ลำพังและโดดเดี่ยวมาเสมอ ไม่รู้ว่าทำไมคนขยันอย่างเธอจึงสอบไม่ติดโรงเรียนที่คาดหวัง

           ในขณะเดียวกัน ฉันกลับรู้สึกว่าฉันรู้

            เพราะในโลกของห้องสมุด เธอได้เคยบอกฉันไว้หมดแล้ว ทุกเรื่องราวที่แทรกผ่านอณูของความเงียบ เธอเล่าให้ฉันฟังทุกวัน ความรู้สึกนับร้อยนับพันอยู่ในนั้น คำพูดไร้เสียงที่จริงใจเหนือถ้อยคำของคน ทุกอย่างส่งผ่านทางความเหงามาที่โลกสวนอักษรส่วนตัวของฉัน จนในที่สุดโลกของเราซ้อนทับกันตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว

           เพราะในตอนนี้ทั้งฉันและเธอรู้ดี แม้เราต่างคิดถึงโลกอันเงียบสงบที่มีโอกาสเป็นเจ้าของ แต่ฉันมั่นใจว่านับแต่นี้ ที่โต๊ะข้างหน้าต่างริมซ้ายและโต๊ะด้านในสุดของห้องสมุด จะไม่มีใครมานั่งร้องไห้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว

          ถูกของเธอ.....พิณ ฉันรู้แล้วว่าความสุขใดซ่อนอยู่บนฟ้า

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×