วิชาระบาด
ครู การสอน นักเรียน ธุรกิจ ทุกอย่างล้วนสอดคล้องกันตามสิ่งที่เรียกว่าสังคม มันเป็นเพียงค่านิยมหรือความจำเป็นทางการศึกษา? เด็กสาวม.ปลายคนนี้เองก็กำลังเค้นนึกคำตอบ แต่สิ่งที่เธอได้รับคือ....?
ผู้เข้าชมรวม
309
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เสียงอาจารย์สอนผ่านไมโครโฟนสีดำดังก้องออกจากลำโพง ถ้อยคำ จังหวะและเนื้อหานั้นชัดถ้อยชัดคำเฉียบขาดตรงเผงตามตำราแบบเรียนชนิดพยางค์ต่อพยางค์ ในห้องเงียบกริบและจืดชืดไปตามเนื้อหาวิชา คนที่สนใจฟังต่างมองตามตัวหนังสือ โดยมีปากกาถือค้างอยู่ในมือเพื่อรอคอยเกร็ดความรู้ที่ตนไม่สามารถอ่านเองได้อย่างมีความหวัง ส่วนคนที่ตรงข้ามกันนั้นก็อาจจะหลับบ้าง เหม่อบ้าง กระซิบคุยกันบ้าง หรือทำอะไรอื่นๆที่น่าสนใจกว่าไปตามเรื่อง
ทำไมบรรยากาศห้าสิบนาทีนี้ถึงได้แย่นักหนา?
นักเรียนไม่ทำหน้าที่ตามสมควร หรือครูเองสอนที่ไม่เข้าใจ เด็กไม่อยากเรียนหรือครูเองก็ไม่อยากสอน หรือเป็นเพราะทั้งเด็กทั้งครู ต่างสนใจเพียงแต่การศึกษานอกโรงเรียนที่เรียกว่า “เรียนพิเศษ”
วชิตาผู้นั่งอยู่หน้าห้องนิ่งเงียบ ในมือยังถือปากกาไฮไลท์สีส้มสะท้อนแสง มันค้างนิ่งสนิทเช่นเดียวกับสายตาของเธอ ปากกาที่ใช้สำหรับเน้นข้อความสำคัญ มันจะเริ่มใช้งานได้อย่างไรเมื่อไม่มีสิ่งสำคัญ ทั้งเนื้อหา ตำราเรียน และเวลา
เธอเริ่มเข้าใจในสถานการณ์จึงเบือนสายตาออกจากตำราและอาจารย์ เปลี่ยนไปมองที่นิตยสารบนโต๊ะของภาวิดา เพื่อนสนิทข้างๆแทน แผ่นกระดาษมันลงข่าวธุรกิจพันล้านที่เกิดขึ้นใหม่อย่างคึกโครม ใบหน้าที่เธอคุ้นตาวันเสาร์อาทิตย์กำลังส่งยิ้มมาให้ พวกเขากลายเป็นเศรษฐีหน้าใหม่ให้จับตามองเพราะธุรกิจนี้ การเรียนพิเศษกำลังขยายแทรกซึมไปในทุกระดับชั้น ตั้งแต่ประถมต้นไปจนถึงวัยทำงานบางคนก็ยังไม่เลิกใช้บริการได้เสียที
ตัวอักษรบนกระดาษเรียงกันเป็นประโยคเด่นสะดุดตา เธออ่านมันช้าๆเพียงรอบเดียว แต่เหมือนได้ยินเสียงใครบางคนกระซิบถามอยู่ซ้ำๆอีกไม่รู้กี่รอบ ‘มันเป็นเพียงกระแส หรือความจำเป็นสิ่งใหม่ของการศึกษา’
สำหรับวชิตา เด็กนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่ง เธอได้ยินเสียงคำตอบดังออกมาโดยไม่ต้องคิดซ้ำสองว่า จำเป็น
“ฟ้า....มาช่วยเลือกกันหน่อยสิว่าจะคอร์สไหนกันดี” ภาวิดาถามหลังจากเห็นว่าเธอไม่ได้สนใจวิชาเรียนอีกต่อไป พลางหยิบเอาใบโบชัวร์โฆษณาโรงเรียนกวดวิชาชื่อดังออกมาจากกระเป๋า วชิตาเอี้ยวตัวเข้าไปมองตารางเรียนเหล่านั้น คอร์สหนึ่งต่อหนึ่งวิชาแทบไม่มีอันไหนต่ำกว่าสองพัน
“ไม่ล่ะ ปิดเทอมคงไม่ลงอะไร”
เพื่อนสนิททำหน้าตกใจอย่างไม่น่าเชื่อ เสียงออดหมดคาบเรียนยังไม่ดังขึ้น เพื่อนสนิทจึงต้องพูดด้วยเสียงค่อย แต่ถึงอย่างนั้น น้ำเสียงก็ฟังดูเครียดราวกับกำลังพูดเรื่องคอขาดบาดตาย “ไม่ได้นะฟ้า! เคมีกับฟิสิกส์ปีหน้าน่ะยากจะตาย แถมเลขอีก ถ้าไม่เรียนล่ะตายแน่ เกรดมีแต่ตกกับตัวชัวร์!”
วชิตานึกขันในท่าทีของเพื่อน เท่าที่คบกันมาตั้งแต่มัธยมต้น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเพื่อนสนิททำท่าจริงจังกับการศึกษา ไม่ใช่ละครหลังข่าว “ก็ตั้งใจให้สุดๆตอนอาจารย์สอนก็ได้นี่.... ใช่ว่าเราจะต้องเอาเวลาไปเรียนหมดซะเมื่อไร”
คู่สนทนาส่ายหัว ทำท่าเหมือนเธอเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาที่เพิ่งก้าวเข้าสู่เหมืองหลวงแห่งความอันตราย วชิตาเริ่มไม่เข้าใจ ตลอดมาทั้งเธอและภาวิดาไม่ใช่คนเรียนแย่มากหรือเก่งมาก แถมเธอก็รู้ดีว่าถ้าอาจารย์สอนให้เข้าใจได้ระดับหนึ่ง พวกเธอก็สามารถสานต่อเองได้โดยไม่ยากเย็นนัก การคัดค้านของเพื่อนสนิทจึงทำให้เธอพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
“จะบอกให้นะ อาจารย์สอนเคมีปีหน้าน่ะสุขภาพไม่ดี หยุดบ่อยสอนไม่ทันแน่นอน ส่วนฟิสิกส์น่ะไม่ได้ดีไปกว่าปีนี้เท่าไรหรอก ทำรุ่นพี่ตกระเนระนาดมาแทบทำสถิติโลกได้แล้วมั้ง ที่แย่ที่สุดก็อาจารย์สอนเลขเนี่ยแหละ! พูดก็พูดเถอะนะ เราเคยเรียนมาแล้วตอนม.2”
“ทำไมล่ะ วิดาก็ได้เกรดดีออกนี่”
“กับข้างนอกน่ะสอนดี แต่ในโรงเรียนน่ะคนละเรื่อง เราขอบคุณโชคมาตลอดที่ไม่ทำให้เราต้องเรียนกับอาจารย์คนนี้วันธรรมดาแต่ไม่นึกว่าตอนม.ปลายจะโดนเข้าจนได้ จะบอกอะไรให้นะ..... เขาไม่เอาใจใส่สอนเลย ไม่เลย สอนทุกเรื่องแค่สูตรแล้วผ่าน ที่เหลือก็สั่งการบ้าน เป็นอย่างนี้ไปจนจบเทอมนั่นแหละ พอเด็กเรียนไม่รู้เรื่องแล้วจะทำไงล่ะ เรียนพิเศษไง! แล้วทายหน่อยเร็วว่าอาจารย์ทำอาชีพเสริมอะไร.... ครูสอนพิเศษ เวลาสอบย่อยนั่นแหละคือเวลาหาลูกค้าของเขา”
“มันไม่ถูกเลยนะ” วชิตาพึมพำ คิ้วขมวดเป็นปมแน่น “ไม่ถูกเลย นี่มันไม่ยุติธรรม”
“แล้วไงล่ะ....แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาสอนเก่งจริงๆนะ นักเรียนที่มุ่งตั้งใจจริงๆของเขา สอบเลขได้คะแนนยอดเยี่ยม”
เธอหัวเราะในลำคอ ก่อนที่จะพูดจาเสียงแข็ง“แล้วจรรยาบรรณในความเป็นครูล่ะ ให้ตาย....รู้ซะทีว่าทำไมครุศาสตร์คะแนนถึงต่ำนัก”
“ยังเชื่อเรื่องแบบนั้นอีกหรอฟ้า.....จรรยาบรรณน่ะซื้ออะไรได้ซะที่ไหน” ภาวิดาว่า “เงินเดือนครูรัฐบาลน้อยขนาดไหนก็รู้ๆอยู่ สมัยนี้มัวอยู่แต่ที่นี่มันไม่พอหรอก สอนดีในโรงเรียนก็เท่านั้นแหละ ผลงานดีแล้วเงินเดือนขึ้นซะที่ไหน สู้สอนไปสอนดีข้างนอกดีกว่า คิดง่ายๆอย่างต่ำคนละพันๆทุกเดือน”
“วิดา วิดาคิดอย่างนั้นจริงๆหรอ.....” เธอเริ่มรู้สึกฉุนโกรธ เพื่อนของเธอรู้เรื่องนี้ดี ความคิดความเชื่อของเธอนั้นแข็งแรงเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเลขมากมายของเงินตรา อย่างน้อย.....ก็ตอนนี้ ตอนที่จิตใจของเธอยังไม่แปดเปื้อนด้วยความยากลำบากและความกดดันจากสังคม
สถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร? แบบนี้จะโทษว่านักเรียนไม่เห็นหัวครูบาอาจารย์ได้อย่างไร ในเมื่อครูก็ไม่ได้เห็นความสำคัญของตัวเอง?
ภาวิดาเปลี่ยนเรื่องคุยกลับมาเรื่องเดิม “ตกลง.... ว่าไงเรื่องเรียนพิเศษ”
เธอตอบว่าขอคิดดูก่อน
“อย่านานนักนะ เพราะที่นี่เต็มเร็วมากๆเลย”
การสอบและวันเรียนเพิ่งผ่านพ้นไปเพียงสามวันเท่านั้น สามวันที่เด็กสาวสามารถเรียกมันได้เต็มปากว่าปิดเทอมใหญ่ การพักผ่อนก็สิ้นสุดลง วชิตาสวมเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงยีนส์ขายาว เดินไปไหนมาไหนด้วยรองเท้าแตะสีเขียวแก่ ถือถุงผ้าบรรจุตำราเล่มบางๆสองสามเล่มกับดินสอยางลบ เสน่ห์อันน่าหลงใหลอีกอย่างหนึ่งที่โรงเรียนปกติไม่สามารถมอบให้
เธอเดินลงจากสะพานลอย แล้วป้ายชื่อหมู่บ้านเก่าสกปรกก็ปรากฏตรงหน้า ไม่ใช่เธอคนเดียวที่มาที่นี่ ตรงกันข้าม เธอเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้คนที่เนืองแน่นราวกับห้างสรรพสินค้าวันเสาร์อาทิตย์ที่มีรายการลดกระหน่ำเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ สองสถานที่นี้แตกต่างกันเพียงแค่วัยของผู้คนในหมู่บ้านนั้น ไม่ได้แตกต่างหลากหลายเท่าไรนัก
รถกำลังติดยาวเป็นทางตลอดเส้นทางเข้าออก ส่งผลให้ถนนใหญ่ย่านลาดพร้าวเกิดจราจรติดขัดไปด้วย คุณลุงในเครื่องแบบโบกรถมือระวิง ประตูรถถูกเปิดออกไม่หยุด พร้อมกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับวชิตาก้าวออกมา บรรยากาศช่างคึกคักเสียจริง
วชิตารู้สึกว่าทางเท้าเข้าหมู่บ้านนี้แปลกอยู่อย่างหนึ่ง มีผู้คนมาต้อนรับเธอทั้งสองข้างทาง ตั้งแต่เด็กไปจนถึงรุ่นป้า ทุกครั้งที่เดินผ่าน พวกเขาจะยื่นกระดาษมันแผ่นสองแผ่น หรือไม่ก็เป็นปึกมาให้ คนส่วนใหญ่จะรีบจ้ำเดินผ่านไป แต่เธอนั้นจะหยุดรับทุกครั้งอย่างเป็นมิตร อดคิดไม่ได้ว่าแผ่นโฆษณาเหล่านี้ช่างถูกแจกจ่ายได้อย่างสิ้นเปลืองจนเหมือนไร้ค่า เพราะเมื่อเธอลองไล่ดูแล้ว หลายคนแจกโบชัวร์ที่เหมือนกันเป๊ะให้ตั้งสองสามใบราวกับว่า กลัวเธอจะอ่านไม่พอ
เมื่อพ้นจากคนพวกนั้น ในมือของเธอก็มีกระดาษเพียงพอที่จะนำไปเย็บเป็นสมุดบางๆเล่มหนึ่งได้โดยไม่ยากเย็นนัก ทำให้เธอเริ่มมองหาถังขยะ แต่ทุกถังนั้นกลับเต็มไปด้วยโบชัวร์แบบเดียวกันจนล้นทะลัก ใบหน้าของอาจารย์สอนพิเศษหน้าซ้ำๆกันกำลังเบียดเสียดอยู่ในถัง บ้างก็นอนยิ้มอยู่บนพื้นทั้งๆที่มีรอยเท้ารอยใหญ่แปะอยู่เต็มไปหมด อยากรู้ว่าอาจารย์ช่างยิ้มคนนี้จะยังยิ้มได้อยู่ไหมหากได้เห็นสภาพตนเองในตอนนี้
วชิตาจึงยังต้องเก็บมันต่อไป และลองอ่านมันต่อระหว่างเดิน ไม่มีอะไรน่าสนใจไปมากกว่าเรื่องเดิมๆที่ได้ยินอยู่ทุกวัน สถาบันที่มีอยู่แล้วต่างเร่งเปิดสาขาใหม่ๆ ส่วนสถาบันใหม่ก็เร่งประกาศศักดาแย่งนักเรียนกันอย่างดุเดือด พวกเขาอัดใส่คุณงามความดีของลูกศิษย์ทุกๆอย่าง ทุกอย่างจริงๆ เธอนึกขำปนสมเพชสถาบันไร้ชื่อสถาบันหนึ่งที่ลงบนหน้าโบชัวร์โฆษณาตัวเองว่า เด็กนักเรียนของเขาสอบได้ที่หนึ่งของห้อง และแน่นอน ชื่อโรงเรียนนั้นก็ไม่ได้โด่งดังอะไรเลย
ตามธรรมชาติ หาสภาวะแวดล้อมเหมาะสม สัตว์ก็ต้องเร่งขยายพันธุ์เพื่อความดำรงอยู่ของสายพันธุ์นั้นๆ ในสภาวะนี้ ที่ที่มีอาหารสมบูรณ์ สิ่งแวดล้อมอ้าแขนรับ สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ สถาบันเรียนพิเศษจึงเจริญเติบโตได้ไวและเร่งขยายพันธุ์กันเสียยกใหญ่ จนตอนนี้ มันอาจจะขยายไปได้อย่างง่ายดายทั่วทุกสารทิศเหมือนเห็ดรา ที่เพียงอาศัยสายลมนำพาสปอร์ล้ำค่าให้ไปเจริญงอกงามในที่ที่สุดแล้วแต่จะเอื้ออำนวย
ประตูกระจกถูกดันให้เปิดออก ประชากรที่อัดอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมขนาดจำกัดไม่ได้แน่นน้อยไปกว่ารถไฟฟ้าในชั่วโมงเร่งด่วน ถังขยะอยู่หน้าบันได้ขึ้นห้องเรียน โบชัวร์ถูกทิ้งลงไปรวมกับใบอื่นๆอีกเป็นร้อยพัน ดูเหมือนกับว่า(ถังขยะของ)สถาบันที่เลื่องชื่อนั้นจะมีหน้าที่กักเก็บ(โบชัวร์)สถาบันไร้ชื่อต่างๆให้อยู่ในโลกมืดไปตลอดกาลเป็นหน้าที่หลัก
สองชั่วโมงครึ่งสำหรับวิชาหนึ่ง กับสิบนาทีพัก แล้วต่อเนื่องไปอีสองชั่วโมงครึ่งในอีกวิชาหนึ่ง โต๊ะแล็คเชอร์แคบๆเรียงกันเป็นแถวที่นั่ง กับทีวีสีจอเล็กที่กระจายอยู่เป็นระเบียบทั่วห้องฉายภาพผู้สอนเพียงคนเดียวโดยมีกระดานสีขาวเป็นฉากหลัง แม้ชั่วโมงเรียนจะมากกว่าปกติอยู่ถึงสามเท่า แต่วชิตาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเรียนพิเศษนั้นได้ผลและจำเป็นจริงๆ เพราะอาจารย์ที่สามารถถ่ายทอดวิชาความรู้ได้อย่างชัดเจนจนเธอเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่ง ไม่เหลือคำถามใดๆให้ต้องไปถามเพิ่มเติมในแบบที่ครูที่โรงเรียนไม่เคยทำให้เธอได้
เครื่องปรับอากาศ เครื่องแต่งกายตามใจสะดวก ไร้สายตาดุดันจ้องมอง เหตุผลตัวอย่างง่ายๆพื้นๆแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้วชิตาทำความเข้าใจว่าทำไม เหล่านักเรียนจึงพากันเททะลักเข้ามาเรียนกันได้ไม่รู้จักหยุดหย่อน ทั้งๆที่ค่าเรียนต่อหนึ่งวิชานั้นเพียงพอกับการเรียนที่โรงเรียนรัฐบาลได้เกือบทั้งปีการศึกษา
“เออๆ ไม่เป็นไร เข้าสายแค่ครึ่งชั่วโมงชั่วโมงจะเป็นไรไปวะ เผลอๆกะโดดมันเลยด้วยซ้ำ ใช่ว่าจะมีใครมาหักจิตพิสัยหรือปรับตกซะหน่อย อย่าลืมนะซื้อตั๋วให้ด้วย ไว้เจอกัน”
การสนทนาของนักเรียนคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง วชิตาเหลือบมองไปไม่ถึงวินาทีก็เบนสมาธิกลับเข้าสู่บทเรียน แต่ยากเหลือเกินที่จะไม่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเข้าหูเมื่อครู่นี้ ฟังดูเป็นจุดบอดจุดใหญ่ของการเรียนพิเศษผ่านทางคุณครูจอตู้ เข้าสายสักชั่วโมงก็ไม่มีใครว่า จะแอบหลับแอบคุยโทรศัพท์ก็ไม่มีใครจับ จะหนีจะโดดเรียนกี่ครั้งก็ไม่เสียประวัติให้ปรับตกซ้ำชั้น
แต่เหมือนกับว่า...เรียนกับครูจริงๆแล้ว เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้น?
พอเลิกเรียน ทุกคนก็ลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจนวชิตาตกใจ ไม่มีใครสนใจคำสั่งการบ้านของอาจารย์เลยสักคน ทุกคนต่างมุ่งไปที่ประตู เกิดเป็นปัญหาจราจรเล็กๆในห้องเรียนอยู่นานเกือบห้านาที นักเรียนคนสุดท้ายหรือก็คือวชิตาจึงได้ก้าวขาออกจากห้อง มันว่างเปล่ามากจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเคยมีคนนั่งเรียนอยู่ในนั้น
หลังออกจากประตูสถาบัน ภาพตรงหน้าก็ทำให้เธอต้องหยุดมอง ผู้คนในหมู่บ้านยังคงเนืองแน่น ในตอนเช้าเธอคงรีบเร่งเข้าเรียนเกินไปหน่อยจึงไม่ได้สังเกตความพิเศษของหมู่บ้านที่เธอกำลังยืนอยู่ ที่นี่คือสถานที่ที่รวมทุกแหล่งกวดวิชาเข้าด้วยกัน เป็นหมู่บ้านสำหรับนักเรียนผู้ไม่มีความสุขในเนื้อหาภายในโรงเรียนของตน เนื้อที่ทุกตารางวาที่ไม่มีสิ่งใดนอกจากอาคารของสถาบันและร้านค้านั้นเป็นหลักฐานได้อย่างดี ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นของใคร
เมื่อวิชาสุดท้ายจบลง ก็ถึงเวลาที่ต้องโหนรถเมล์กลับบ้าน นาฬิกาข้อมือของวชิตาร้องเสียงแหลม แสดงเวลาเดียวกับเวลาเลิกเรียนที่โรงเรียน เธอก้าวขาไปที่ป้ายรถ สวนผู้คนมากมายจนน่าแปลกใจ แม้ท้องฟ้าจะเริ่มผลัดเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีส้มแล้ว ก็ยังมีนักเรียนที่เพิ่งมาเรียนที่นี่ไม่หยุด การจราจรก็ดีกว่าเมื่อเช้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
จันทร์จวบจนถึงเสาร์ ชีวิตการเรียนผ่านไปจนเธอเกือบลืมไปแล้วว่านี่เรียกว่าปิดเทอมภาคฤดูร้อน ไม่ได้นอนตื่นสาย ไม่ได้เล่นสนุก ไม่ได้ไปเที่ยว ไม่ได้หยุดเรียน วชิตายังคงเดินรับแผ่นโบชัวร์ข้างทางเหมือนเดิมทุกวัน และคงต้องเทกระดาษทั้งหมดลงถังขยะใบเดิมเหมือนทุกวัน คำโฆษณาแผ่นบนสุดผ่านสายตาเธอไปเร็วๆ ทำให้เธอได้รับรู้ว่า เดี๋ยวนี้การเรียนพิเศษนั้นก้าวไปไกลถึงขั้นเรียนผ่านระบบคอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้ว ต่อไปจะไม่มีตารางเรียน ไม่จำเป็นต้องขวนขวายตามให้ทัน ว่างเมื่อไรก็มา อยากจะเร็วจะช้าก็สุดแล้วแต่จะปรับตามความพอใจของตัวเอง ต่อไป......ครูอาจจะไม่จำเป็นอีกแล้วก็ได้
วชิตาได้ยินเสียงใครบางคนจากเสี้ยวความทรงจำอันเลือนราง
“โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรคะวชิตา?”
“หนูอยากเป็นครูค่ะ!”
“เป็นครูหรอ....สมกับเป็นวชิตาเลย ครูเชื่อว่าต่อไปหนูจะเป็นครูที่ดีได้แน่ค่ะ”
สายลมพัดคำพูดนั้นให้จางหายไปไกลแสนไกล วันเด็กปีนั้นผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ? สิบกว่าปีแล้วหรือยัง? เธอรู้ว่าความฝันของเด็กหญิงวชิตาคนนั้นได้หายไปนานแล้วมากตามกาลเวลา เธอไม่เคยนึกถึงอนาคตที่เธอจะยืนอยู่หน้ากระดาน และสอนนักเรียนผ่านทางไมโครโฟนเลยแม้แต่ครั้งเดียว เธอนึกสงสัยนักว่า เด็กหญิงวชิตาคนนั้นจะยังตอบครูไปอย่างนั้นไหม หากเธอเกิดมาในช่วงเวลาแบบนี้
หรือแท้ที่จริงแล้ว การที่เธอนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมา เป็นการแสดงว่าเด็กหญิงวชิตาคนนั้นยังไม่เคยหายไปไหน......
เสียงของคุณครูสาวสร้างคำถามให้เธออีกครั้ง หนูจะเป็นครูที่ดีได้แน่.... ตอนที่ครูพูดแบบนั้น ครูคาดหวังให้หนูเป็นครูแบบไหนกันหรือคะ? หนูเคยคิดว่าหนูเข้าใจความหมาย แต่ในตอนนี้หนูไม่มั่นใจเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะสังคมเปลี่ยนไปหรือเพราะสิ่งที่หนูเข้าใจนั้นผิดไปหมดตั้งแต่แรก? ครูไม่จำเป็นต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับนักเรียนอีกต่อไปแล้วหากไม่ใช่เพียงเพราะมันคือธุรกิจอย่างนั้นรึเปล่าคะ?
เธอคิดไม่หยุด ครูที่ดีคืออะไร? เอาใจใส่นักเรียน รักษากฎระเบียบ เป็นตัวอย่างที่ดี รักลูกศิษย์ ใจดี อบรมในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม หรือก็แค่....สอนดี?
ถ้าแค่สอนดีก็เป็นครูที่ดี แต่พอสอนดีก็ต้องไปเปิดสอนพิเศษ แบบนี้เป็นครูที่ดีรึเปล่า? จริยธรรมในความเป็นครูนั้นใช้สิ่งใดเป็นมาตรวัด วชิตาเป็นเด็กสายวิทย์ ที่ไม่เคยมีความคิดจะเรียนต่อในคณะครุศาสตร์เลยสักครั้ง แต่ในตอนนี้เธอไม่อาจลบความคิดเหล่านี้ออกไปได้หากไม่ได้รับคำตอบจริงๆจากใคร
การตัดสินใจของเธอเกิดขึ้นทันทีหลังจากคอร์สเรียนพิเศษเสร็จสิ้น
โรงเรียนเอกชนที่เหมือนจะคุ้นตานั้นดูเล็กลงไปในสายตาเธอ วชิตาสวมเครื่องแบบนักเรียนม.ปลายปัจจุบัน เมื่อผ่านประตูโรงเรียน บรรยากาศเก่าๆก็แผ่เข้าห่อหุ้มร่างกายให้เธอรู้สึกราวกับว่าเป็นเด็กอีกครั้ง แม้ว่าโรงเรียนจะปรับปรุงเปลี่ยนไปมาก ทุกสิ่งที่เธอจำได้ยังคงเหลือภาพเดิมๆให้นึกถึง ไม่มีสิ่งใหม่เข้ามา แต่เธอไม่เคยรู้เลยว่าแท้ที่จริง มีสิ่งเก่าๆหลายอย่างได้ออกไปแล้วตลอดกาล
เธอเดินเข้าไปในห้องธุรการ ความรู้สึกผูกพันทำให้เธอมาที่นี่ เธอไม่มีคุณครูมัธยมที่สนิทสนมพอที่จะกล้าถามคำถามในใจ ภายในห้องมีรูปปั้นพระแม่มารีอยู่บนชั้นวางสูงสุดไม่เปลี่ยนแปลง ผิวที่ขาวผ่องนั้นเป็นภาพติดตาของเธอจนถึงบัดนี้ ผู้อำนวยการวัยกลางคนหญิงคนหนึ่งกำลังนั่งสบตาเธออย่างใจดี
เขาไม่รู้จักเธอ เธอไม่รู้จักเขา ผู้อำนวยการเปลี่ยนคนไปแล้ว แต่ก็ยังคงความใจดีในแบบฉบับเข้มงวดเช่นเดียวกันกับผู้อำนวยการคนเดิมที่เธอรู้จัก เธอทักทายวชิตาอย่างสุภาพและเชื้อเชิญให้นั่งบนเก้าอี้ตรงหน้า เด็กนักเรียนหญิงปฏิบัติตามคำเชิญอย่างว่าง่าย
วชิตาบอกชื่อ-สกุลของคนที่เธอต้องการจะพบ ผู้อำนวยการหญิงทำสีหน้างุนงงแต่ก็ยังเคลือบรอยยิ้มไว้บนผิวหน้า เธอหันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์ วัยของเธอไม่ได้ทำให้ความคล่องแคล่วในการใช้งานเทคโนโลยีลดลงไปแต่อย่างใด ครู่เดียวเท่านั้น หญิงผู้อาวุโสก็บอกนักเรียนหญิงว่า “ขอโทษนะจ้ะ แต่เราไม่มีครูชื่อนี้จ้ะ”
ไม่ใช่คำตอบที่ทำให้เธอแปลกใจนัก เธอไม่ได้กลับมาที่นี่นานพอสมควร คุณครูของเธออาจจะแต่งงาน หรืออาจเปลี่ยนชื่อไปตามคำหมอทักไปแล้วก็ได้ใครจะรู้ เธอจึงหยิบเอารูปถ่ายออกมาจากกระเป๋าสตางค์ รูปเด็กหญิงวชิตาที่อยู่คู่กับคุณครูสาวผู้ใจดี วันเด็กปี2541 “แล้วถ้าเป็นคนในรูปนี้ล่ะคะ”
มือที่สวมแหวนทองรับภาพนั้นไป มองๆสักพักก็ยื่นคืนกลับมา รอยยิ้มไม่ได้เลือนหายไปจากใบหน้าผู้อำนวยการเลยแม้แต่น้อยจนวชิตาเริ่มรู้สึกหวั่นๆ
“เขาออกไปเมื่อสองปีที่แล้วจ้ะ”
วชิตาถอนหายใจยาว เธอรับรูปคืนมาพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ เธอลุกออกจากเก้าอี้และหันหลังให้พระแม่มารี แต่มีอะไรบางอย่างรั้งเธอไม่ให้ก้าวขาออกจากประตู
“คุณครูออกไปทำงานที่ไหนหรอคะ” วชิตาหันกลับไป แต่คำตอบที่ได้รับจากปากท่านผู้อำนวยการนั้นทำให้เธอชะงักงัน
“เขาออกไปทำงานเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งจ้ะ อยากได้ที่อยู่ของเขามั้ยล่ะ น่าจะยังมีอยู่ในเครื่องนี้นะ”
รถเมล์เคลื่อนตัวออกจากป้าย วชิตาคิดทบทวนหลายครั้งกว่าจะตัดสินใจได้ว่าเธอควรจะออกมาหรือไม่ สุดท้ายเธอก็มา ตึกแถวค่อยๆผ่านตาเธอไปช้าๆเช่นเดียวกับป้ายผ้าผืนแล้วผืนเล่าที่ผูกติดบนกำแพงเหล่านั้น ส่วนใหญ่นั้นเป็นคำพูดเดียวกัน “รับสมัครกวดวิชาสอบเข้าม.1 บดินทร์ฯ, สวนกุหลาบ, เทพศิรินทร์....ฯลฯ” ยิ่งรถเมล์ผ่านป้ายมากเท่าไร คำโฆษณาเหล่านี้ก็ยิ่งผ่านตามากขึ้นเท่านั้น ราวกับกำลังเคลื่อนตัวออกไปพร้อมๆกัน วชิตาจึงเบือนหน้าจากกระจก ทำเป็นมองไม่เห็น......
แต่ภายในรถกลับทำให้เธอรู้สึกแย่ยิ่งกว่า แม้จะยังไม่เปิดเทอม ในรถเมล์กลับเต็มไปด้วยเด็กที่ยังตัวสูงไม่ถึงอกเธอถือกระเป๋าและตำรามากมายอยู่นับไม่ถ้วน เธอไม่คุ้นชินนักเรียนพิเศษในวัยนี้มากนัก จึงนึกสงสัยว่ายังมีเด็กคนไหนที่ยังไม่เคยเรียนพิเศษบ้างไหมในเมืองหลวงแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เธอเห็นคู่มือสอบเข้าป.1ที่ร้านขายหนังสือระบาดอยู่นั้นกำลังแพร่หลายแล้ว
จากเตรียมเอนท์ลงเป็นเด็กม.ปลาย ลงไปอีกเป็นม.ต้น ลงไปเป็นประถม ลงไปเรื่อยๆจนแม้แต่เด็กอนุบาลที่ควรจะถือตุ๊กตาไปไหนมาไหนมากกว่าตำราเรียนก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าการกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งเกินกว่าเหตุ
วชิตาในชุดนักเรียนลงจากรถ เดินเข้าไปในหมู่บ้านจัดสรรที่จดมา
แต่กริ่งกดหน้าบ้านทำให้เธอชะงัก.... ความลังเลยังคงเข้ามารบกวนในวินาทีสุดท้าย สี่ปีมันยาวนานเกินไป การมาพบครูครั้งนี้นั้นช่างไร้สาระ สมองสั่งให้เธอหันหลังกลับซ้ำแล้วซ้ำเล่า บ้านตรงหน้าเล็ก เก่าและค่อนข้างโทรม ในบ้านเงียบสนิท วชิตาไม่ได้ยื่นมือออกไปสัมผัสกริ่งนั้น ทันใดนั้นเองประตูก็เปิดออกพร้อมเสียงร้องไห้ของเด็กคนหนึ่ง
วชิตารีบหลบไปที่รถของบ้านข้างๆเพราะความตกใจ เสียงเด็กชายร้องไห้งอแงนั้นจับใจความได้ยากลำบาก เสียงของผู้หญิงที่อายุมากกว่าก็ดังแทรกขึ้นมาเป็นระยะ เป็นเสียงที่คุ้นหูแต่ห่างไกล.... วชิตาเหลือบมองดูเงียบๆ เสียงร้องไห้นั้นจับใจความได้ว่า ผมไม่อยากไป.....ผมไม่อยากไป
“เงียบ! ไม่ต้องร้องแล้ว แม่บอกให้เงียบไง!”
ผู้หญิงคนหนึ่งจับข้อมือเด็กไว้แน่น สีหน้าของเธอหน้ากลัวน่าเกรงขามจนทำให้เธอตัวแข็งทื่อ “แม่ยังไม่ได้ทำโทษที่ลูกหนีเรียนภาษาจีน เลข กับวิทย์เลยนะ!”
“ผมเหนื่อยแล้ว ผมไม่อยากไป!”
“เงียบ! เหนื่อยอะไร....ลูกไม่รู้หรอกว่านี่เป็นประโยชน์กับลูกแค่ไหน วันนี้เปิดเรียนอังกฤษวันแรก รีบๆหน่อยได้ไหม! ทำไมต้องงอแงแบบนี้ด้วยนะ.... อย่าดิ้น! เดี๋ยวข้าวกล่องหกหมด..... ไว้กินหลังเรียนสังคมเสร็จนะ อย่าลืมต้องไปเรียนคอมพิวเตอร์ต่อ ห้ามสายเข้าใจไหม! ทำการบ้านภาษาไทยรึยัง ถ้าครูฟ้องมาว่าลูกหนีเรียนอีกล่ะก็ แม่จะให้ลูกเรียนเพิ่มอีกชั่วโมงไม่ให้ลูกได้กลับบ้านเลย!”
คำสั่งเหล่านั้นฟังดูทรงพลัง ภาพที่เห็นช่างน่าสลดใจ เด็กชายคนนั้นอายุไม่น่าเกินสิบขวบเลย กระเป๋าเป้ที่ถูกเทน้ำหนักเข้าเต็มไหล่ทำให้เด็กน้อยต้องเซไปข้างหลัง ผู้เป็นแม่กลับยิ้มอย่างภาคภูมิใจ สายตาของผู้เฝ้ามองนั้นไม่สามารถเข้าใจในรอยยิ้มนั้นได้ และอาจไม่อยากเข้าใจ
แล้วร่างสองร่างก็ออกจากบ้าน ก่อนที่จะค่อยๆหายไปจากสายตา เธอเดินออกมาจากรถ ไม่เหลือความสับสนหรือข้อข้องใจอะไรอีกแล้ว จิตใจของเธอว่าเปล่า..... ไม่ได้ผิดหวัง ไม่ได้เสียใจ ไม่ได้เกลียดใคร เธอเพียงแค่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ไล่ดูรายชื่อเพียงครู่หนึ่งแล้วกดโทรออก
“ฮัลโหล..... วิดาหรอ โทษทีๆเช้าไปหน่อย แต่หลังจากไปติวเด็กเข้าม.1ที่บ้านวิดาแล้วไปดูหนังกันมั้ย? วันนี้เราอยากประชดชีวิตนิดหน่อย”
เมื่อกดวางสาย วชิตาก็เดินออกจากหมู่บ้าน การเสียเวลาครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าได้เรียนรู้เพิ่มอะไรนิดหน่อย คลับคล้ายคลับคลาว่าตาสว่างขึ้น เข้าใจแล้วว่าทำไมสายตาของวิดาจึงบอกแต่เพียงว่าเธอช่างไร้เดียงสา เธอเดินออกจากหมู่บ้าน ระหว่างทางเธอสวนกับผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งสองสบตากันเพียงเศษเสี้ยวของวินาที
จากเด็กหญิงวชิตาเป็นนางสาววชิตา จากคุณครูประถมเป็นพนักงานคัดแยกเอกสาร การพบกันอีกครั้งช่างห่างเหินเช่นคนแปลกหน้า ถึงกระนั้น เมื่อร่างกายผ่านร่างของผู้ที่เคยเป็นครู เสียงเล็กๆใสกังวานก็ดังขึ้นมาอีกครั้งในห้วงความคิด
หนูอยากเป็นครูค่ะ......
แล้วเสียงนั้นก็หายไป พร้อมกับการมีอยู่ของคุณครูและเด็กหญิงวชิตา
ผลงานอื่นๆ ของ ไอหมอก ละอองแดด ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ไอหมอก ละอองแดด
ความคิดเห็น