ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Love not bad] ฝากร้ายคืนรัก

    ลำดับตอนที่ #25 : บทที่ 8 เพราะพ่อคำเดียว [2]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.42K
      47
      25 พ.ค. 63

    พาร์ทพาฉันมานั่งรถเล่น ตอนแรกฉันเข้าใจว่าพาร์ทจะพานั่งรถคันหรูคันโก้ของมันที่ชอบขับ แต่ผิดคาดพาร์ทพาฉันมาขึ้นรถเมล์และยังเลือกรถเมล์ที่ไม่มีแอร์ด้วย

    ฉันที่แต่งเสื้อยืดตัวใหญ่กางเกงขาสั้นและไม่ได้หยิบอะไรติดมาเลยแม้แต่โทรศัพท์มือถือถึงกับขมวดคิ้วถอนหายใจใส่พาร์ทที่ตอนนี้ใส่หมวกแก๊ปปิดหน้าปิดตาเอาไว้ เขาคิดอะไรของเขากันแน่เนี่ย

    “ขี้เกียจขับรถน่ะ อีกอย่างก็ไม่ได้นั่งรถเมล์นานแล้วด้วย”

    พาร์ทหันมาตอบฉันทั้งๆ ที่ฉันก็ไม่ได้จะถามอะไรออกไป ซักพักพาร์ทก็หยิบที่ล้างมือแอลกอฮอล์แบบพกผ้าพ่นที่มือของตัวเอง ไม่พอยังหยิบเอาทิชชูเปียกออกจากกระเป๋าสะพายเช็ดตามขอบหน้าต่างก่อนจะเอาทิชชูเปียกที่สีดำสกปรกเดินไปทิ้งถังขยะเก่าๆ ที่อยู่ในรถเมล์ แล้วกลับมาพ่นล้างมือด้วยแอลกอฮอล์อีกครั้ง

    ถ้าจะลำบากรักความสะอาดเกินเบอร์ขนาดนี้ฉันว่าเขาควรขับรถส่วนตัวมาให้รู้แล้วรู้รอดไปนะ เมื่อก่อนก็รู้สึกอึดอัดและประหลาดใจอยู่หรอกแต่ว่าตอนนี้รู้สึกชินไปแล้วสิ

    ฉันนั่งนิ่งๆ มองดูวิว ตามทางบนถนนเมืองกรุงไปเรื่อยๆ

    “สบายใจขึ้นบ้างยัง” หลังจากที่พาร์ทเงียบอยู่นานเขาก็เอ่ยถามฉันขึ้นมา

    “ดีขึ้นมากแล้วล่ะ”

    “ดีแล้ว เห็นปุ้นสบายใจเราก็สบายใจ” ฉันหันไปยิ้มให้พาร์ทด้วยริมฝีปากบางๆ อ่อนๆ

    ซักพักมีหนุ่มน่าจะคนงานก่อสร้างขึ้นรถเมล์พร้อมกับลูกสาวและลูกชายสองคนตัวดำๆ ผอมๆ ที่ฉันคิดว่าเป็นหนุ่มคนงานก่อสร้างเนื่องจากเสื้อผ้าของเขาค่อนข้างมอมแมมเลอะเปรอะเปื้อนไปด้วยสีทาบ้าน มือก็เป็นคราบรอยสีติดอยู่ น่าจะทำแบบนี้อยู่ทุกวันจนล้างไม่ออก พอดีว่ารถเมล์คนค่อนข้างเยอะพาร์ทที่ดูเหมือนเป็นคนรักความสะอาดกลับลุกขึ้นยืนให้เด็กๆ ทั้งสองคนได้นั่ง พอฉันเห็นพาร์ทลุกขึ้นฉันจึงลุกขึ้นยืนบ้าง

    พี่คนงานหันหน้าไปบอกกับลูกๆ ของเขาด้วยเสียงห้าวๆ ไม่ได้เพราะมากนัก

    “ขอบคุณพี่เค้าสิ” เด็กๆ ทั้งสองคนขอบคุณและยกมือไหว้ เด็กทั้งสองคนพากันขยับให้คนงานผู้เป็นพ่อนั่งด้วยและหันมาบอกว่า “พ่อนั่งด้วยกันสิ”

    “เออ นั่งไปๆ” คนงานตอบเสียงดังลั่นรถจนหลายคนหันมามองพร้อมกับเอากระเป๋าอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือวางลงที่พื้น ฉันหันไปมองดูไม่รู้จะต้องรู้สึกยังไงกับภาพที่เห็นดี เด็กๆ ร้องขอให้พ่อของเขานั่งด้วยข้างๆ อีกครั้งแต่ผู้เป็นพ่อก็ยังไม่ยอมนั่งลง พอมีที่นั่งว่างพาร์ทกับฉันจึงไปนั่งที่นั่งดังกล่าว บอกตามตรงว่าภาพนั้นยังติดอยู่ที่หัวไม่จางหาย

    “พาร์ท ทำไมลุงเขาไม่นั่งกับลูกล่ะ เราก็อุตส่าห์ลุกให้นั่งนี่ อีกอย่างเด็กๆ นั่งก็เหลือที่ว่างอยู่ด้วย แทนที่จะนั่งกับลูกแต่ทำไมถึงพูดจาห้าวๆ ดุใส่ลุกแบบนั้นล่ะ พูดดีๆ ก็ได้นี่” ฉันกระซิบกระซาบถามพาร์ท

    “ไม่เห็นต้องคิดมากเลย ลุงแกก็แค่อยากให้ลูกนั่งสบายๆ นั่นแหละ ลุงแกเลยยอมยืน แต่ที่แกพูดไม่เพราะก็ไม่ใช่ว่าลุงแกไม่รักลูกนี่ อาจจะเพราะนิสัยของแกเป็นคนแบบนั้นก็ได้ อีกอย่างเค้าทำงานก่อสร้างพวกนี้เขาตะโกนคุยกันอยู่แล้ว ไหนจะเสียงรถ เสียงทุบ เสียงเจาะ ดังจะตาย หูแกอาจจะไม่ดีน่ะ”

    ฉันผงกหัวรับ ไม่คิดว่าพาร์ทจะมีความคิดที่โตและเป็นเหตุเป็นผลได้ขนาดนี้ ฉันเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน

    “เข้าใจแล้ว”

    “อย่างพี่ติณเค้าก็ไม่ได้อยากจะทิ้งปุ้นกับฟ่างไปนะ”

    “พาร์ทไม่เอาสิ ไม่ต้องวนไปถึงบุคคลนั้น”

    “พาร์ทพูดจริงๆ ถ้าปุ้นไม่อยากฟังจากปากพี่ติณ ฟังจากปากพาร์ทก็ได้ถือว่าเป็นนิทานเรื่องเล่าอะไรแบบนี้ไง”

    “...” ฉันไม่ตอบแต่หันไปมองนอกหน้าต่างแทน

    “ก่อนหน้านี้น่ะ พี่ติณเค้าจ้างนักสืบตามหาลูกเค้าด้วยนะว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้าง เมียคนเดิมอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่ค่อยมีข้อมูลอะไรมาก จนกระทั่งมีข้อมูลของแม่ปุ้นย้ายไปอยู่ต่างประเทศนั่นแหละ ถึงตามสืบเจอปุ้นกับฟ่าง อาจจะโชคช่วยด้วยมั้ง เพื่อนรุ่นพี่ของพี่ติณเขาบินไฟท์นั้นพอดีก็เลยถามไถ่จนได้ข้อมูลบางส่วนแล้วก็มาบอกพี่ติณ”

    “แล้วไงอะ?”

    “ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าพี่ติณหรือพ่อของปุ้นไม่ตามหาปุ้นกับฟ่าง เพียงแต่ว่าเขานึกที่จะตามหาช้าไปซักนิดอาจจะด้วยเหตุผลบางอย่าง อันนี้พาร์ทก็ตอบไม่ได้หรอก ถ้าคิดย้อนไปนะโดยเอาอายุพี่ติณลบกับอายุพวกเรา ตอนนั้นพี่ติณเค้าอายุแค่ 16 ปีเองนะที่มีลูก แถมมีทีก็มีตั้งสองคน นับว่าเป็นวัยรุ่นที่กำลังห้าวหาญ อยากทำนั่นทำนี่ อารมณ์ก็คงขึ้นๆ ลงๆ นั่นแหละ นึกย้อนไปตอนอายุ 16 ปี พาร์ทก็เรียนทหารอยู่ในค่าย บางครั้งก็ต้องไปฝึกกีฬาเตรียมแข่งระดับประเทศ โตมาความฝันเปลี่ยนก็อยากจะเป็นนักร้องอีก พี่ติณเองก็คงจะอารมณืประมาณนี้ ยังไม่พร้อม และก็คงมีเหตุผลอะไรหลายๆ อย่าง”

    “แล้วทำไมแม่ของปุ้นถึงดูแลปุ้นได้ล่ะ” พูดออกไปแบบนั้น แต่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าช่วงที่ฉันและฟ่างยังเด็กแม่ก็นำฉันและฟ่างส่งไปให้ยายเลี้ยงที่ต่างจังหวัด พอแม่เรียนจบมีงานทำและคบกับพ่อคนใหม่ถึงกลับมารับพวกฉันไปอยู่ด้วย นับว่าโชคดีมากที่พ่อชุมพลนั้นใจดี และรักพวกฉันเหมือนลูกแท้ๆ ของเขา

    “ไม่รู้สิ แม่ของปุ้นอายุมากกว่าพ่อปุ้นไม่ใช่เหรอ เค้าก็อาจจะมีความคิดที่โตและเป็นผู้ใหญ่กว่า การมองโลก มองอนาคตก็อาจจะเฉียบกว่าก็ได้ แต่ว่าคนเราอะก็มีความคิดที่เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ขึ้นกับวัยและประสบการณ์ พี่ติณน่ะบ้านมีฐานะดีเลยนะ เขาไม่เคยลำบากเลย พอชีวิตลำบากก็อาจจะทนไม่ไหวก็ได้ พาร์ทเองก็ไม่รู้ที่ไปที่มาหรอกนะ แต่เท่าที่รู้ๆ มาจากวงในเขาว่าแม่ปุ้นเป็นคนพาลูกๆ หนีออกไปจากบ้าน เพราะทนพฤติกรรมพี่ติณไม่ไหว”

    “ยังไงเหรอ” ฉันหันไปถาม

    “อันนี้ไม่รู้จริงมั้ยนะ ก็ได้ยินพวกเพื่อนๆ พี่ชายพาร์ทแซวพี่ติณอีกทีประมาณว่าพี่ติณเค้าอยากตั้งตัวไวๆ โดยไม่ง้อเงินที่บ้าน ก็เลยทำตัวเละเทะ เรียนก็ไม่เรียน วันๆ เอาแต่ต่อเติมรถ แต่งรถ แข่งรถ มีครั้งหนึ่งพ่อของปุ้นไม่สะดวกเลี้ยงลูกในขณะที่แม่ปุ้นต้องไปเรียนและทำงานเสริม ก็เลยให้พ่อปุ้นดูแลปุ้นกับฟ่างที่บ้านน่ะ ปรากฏว่าพ่อปุ้นเอาลูกสองคนใส่ตะกร้าแล้วลากเข้าใต้ท้องรถด้วย แม่ปุ้นกลับมาเจอก็เลยทะเลาะกัน สุดท้ายทนไม่ไหวก็เลยหนีไปน่ะ”

    “อายุ 16 ปีเนี่ยนะ ขับรถ แต่งรถ พ่อปุ้นเขาเป็นเด็กแว๊นเหรอ” ฉันมองพาร์ทเพื่อร้องขอให้เขาพูดขยายความให้เข้าใจมากกว่านี้

    “ฮ่าฮ่าฮ่า จะว่าอย่างงั้นก็ได้นะ แว๊นเทพใต้ดิน จนสามารถเป็นแว๊นบนดินถูกกฎหมาย ตอนนี้เปิดอู่ซ่อมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ใหญ่โตแล้ว” ฟังพาร์ทพูดจบฉันถึงกับยกคิ้วขึ้นพร้อมกับตาที่เบิกโพรงกว้าง

    พาร์ทเล่าเรื่องพ่อให้ฟังเรื่อยๆ ที่พาร์ทเรียกพ่อฉันว่าพี่ติณเนื่องจากพ่อจริงๆ ของฉันนั้นติดต่องานและค้าขายอยู่กับพี่ชายของพาร์ท แล้วมารู้ทีหลังว่าคือพ่อของฟ่างจึงทำให้ชินปากไปเสียแล้ว

    พอฉันฟังเรื่องที่พาร์ทเล่าก็รู้สึกว่าสิ่งที่ฉันรู้มานั้นมีความจริงเพียงครึ่งนั่นก็คือพ่อฉันเป็นคนไม่เอาไหน แม้แต่แม่พาลูกๆ ไปอยู่ที่บ้านเกิดเขาก็ไม่คิดจะตามหาหรือช่วยค่าใช้จ่ายรับผิดชอบเลี้ยงดูใดๆ เอาจริงๆ ฉันไม่ได้แค้นหรอกนะ แค่รู้สึกน้อยใจที่เขาไม่รักและรับผิดชอบชีวิตฉันก็แค่นั้นเอง

    “พ่อของปุ้นเค้าก็อยากให้ครอบครัวสบายนั่นแหละ เพียงแต่ว่าอาจจะแสดงออกไม่เก่งเหมือนลุงเมื่อกี้ก็ได้ แม่ปุ้นก็เลยคิดน้อยใจ พวกเราก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นตอบไม่ได้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น อดีตเรากลับไปแก้ไขไม่ได้หรอก มองที่ปัจจุบันดีกว่านะปุ้น”

    พาร์ททิ้งคำพูดให้ฉันคิด

    “ที่พาร์ทไม่อยากขับรถมา แล้วให้ปุ้นได้นั่งรถเมล์น่ะ ก็อยากให้ปุ้นได้เห็นชีวิตคนอื่นบ้างว่ามีอีกหลายชีวิตที่เขาไม่รวย ต้องทำมาหากินเลี้ยงชีพ ดูแลลูกๆ ไปด้วย ตัดเรื่องการศึกษาไปก่อนนะ แล้วมองดูแค่ภาพที่เราเห็นตรงหน้าตอนนี้ แม้แต่ลุงขับรถเมล์ตอนนี้สามสี่ทุ่มแล้วเขาก็ยังไม่ได้กลับบ้านเลย ถ้าปุ้นเป็นลูกของเขาปุ้นจะน้อยใจมั้ยล่ะ ก็คงน้อยใจแหละที่พ่อไม่กลับบ้าน ไม่ได้ส่งเข้านอน แต่อีกมุมคือลุงเขาก็ทำงาน เจอรถติด ควันพิษ เจอความเสี่ยงบนท้องถนน เยอะแยะเต็มไปหมด”

    “...” พาร์ทพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มอย่างคนใจเย็นเพื่ออธิบายหลายๆ อย่างในชีวิตให้ฉันเข้าใจ

    “ชีวิตมันก็แบบนี้แหละปุ้น ทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเอง ปุ้นลองเปิดใจรับฟังพี่ติณ เฮ้ยไม่สิ พ่อ ปุ้นลองเปิดใจรับฟังพ่อก็ไม่เสียหายนะ พาร์ทไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงหรอก ก็ได้ยินพวกผู้ใหญ่เขาพูดต่อๆ กันมาอีกที แต่พาร์ทว่าถ้าปุ้นได้คุยกับพี่ติณตรงๆ น่าจะดีกว่าได้ฟังจากที่พาร์ทเล่า หรือแม่ปุ้นเล่านะ”

    ฉันไม่ได้รับปากพาร์ทว่าจะฟังผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อแท้ๆ หรือไม่ มันกะทันหันเกินไป ความรู้สึกของฉันเหมือนเขายังไม่ใช่พ่อด้วยซ้ำ รู้แค่ว่าฉันไม่ชอบพ่อแท้ๆ ที่ไม่ได้ดูแลฉันและครอบครัวก็แค่นั้นแหละที่ฝังใจอยู่อย่างนี้

    สุดท้ายฉันกับพาร์ทก็ต่อรถตุ๊กตุ๊กกลับมายังคอนโด ตอนแรกก็สบายใจดีนะ แต่พอกลับมาที่จุดเดิมก็รู้สึกกลัวกับการเจอหน้าพ่อแท้ๆ ยังไงก็ไม่รู้สิ พอเหลือบมองดูเวลาที่อยู่ข้างฝาหน้าลิฟก็รู้สึกเบาใจลงหน่อยเที่ยงคืนกว่าแล้วฟ่างน่าจะให้ผู้ชายคนนั้นกลับไปแล้วล่ะ

    แต่พอฉันเปิดประตูเข้าไปในห้องกลับพบว่าผู้ชายคนนั้นนั่งเล่นเกมกับฟ่าง

    “กลับมาแล้วเหรอ” ฟ่างเป็นคนทักขึ้นมาก่อนราวกับว่าก่อนหน้านี้เราสองคนไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน แต่ฉันนี่สิเจ้าทิฐินึงหนึ่ง เป็นคนลืมยากมาก ฉันยังคงยืนแข็งทื่ออยู่หน้าห้องไม่ยอมเดินเข้าไปข้างใน ส่วนพาร์ทก็ดันหลังฉันเบาๆ เพื่อให้ฉันเดินนำเข้าไป

    “อืม กลับมาแล้ว” พาร์ทตอบแทน

    “ไปไหนมา” ฟ่างถามแต่ตาก็จ้องไปยังหน้าจอทีวี “พ่ออย่าไปตรงนั้นเดี๋ยวผมจะยิงสกัดมันเอง”

    ปากถามแต่ไม่รอฟังคำตอบหันหน้าคุยเรื่องเกมไปด้วย แล้วจะถามขึ้นมาทำไม ไม่เข้าใจมันเลยจริงๆ

    “นั่งรถเล่นไปเรื่อยๆ ชมเมืองหลวงกรุงศรีวิไล” พาร์ทตอบกวนๆ

    “แหม่ ไอ้ศิลปิน” ฟ่างหันมาแซว

    ทุกคนเค้าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้าจริงๆ แฮะ แม้แต่อีตาลุงคุณพ่อของฉันคนนั้นก็ยิ้มบางๆ มองฉันเหลือบๆ แต่มือก็กดเกมต่อโดยไม่พูดอะไร

    “งั้นขอตัวไปนอนก่อนนะ” ไม่ทันได้ก้าวเดินไปยังส่วนของห้องนอน ก็โดนพาร์ทรั้งข้อมือเอาไว้เสียก่อน

    “อะไร” ฉันหันไปถาม

    “ไปอาบน้ำล้างหน้าใหม่สิ ฝุ่นเยอะจะตาย นอนลงได้ยังไง”

    “แต่ฉันอาบน้ำไปแล้ว”

    “ฝุ่นที่ถนน อากาศไม่ดี เธอโดนและสูดไปตั้งเท่าไหร่ ไปอาบน้ำล้างหน้าใหม่ แล้วค่อยนอน” พาร์ทออกคำสั่งเสียงเข้มใส่ราวกับเป็นพ่อสั่งลูก พอหันไปมองฟ่างและคนเป็นพ่อแท้ๆ ของฉันที่นั่งเล่นเกมอยู่ ดูเหมือนสองคนนั้นก็มองกลับมาเช่นกัน

    “นี่พวกแกสองคนไปไหนกันมา มีฝุ่นมีอะไรด้วย รถไอ้พาร์ทมันเปิดหลังคาไม่ได้นี่”

    “ยุ่ง!” ฉันพูดก่อนสาวเท้าเข้าห้องนอนตัวเองแต่ก็โดนพาร์ทมาตามวอแวให้ไปอาบน้ำอยู่ดี

    “สองคนนี้คบกันเหรอ” เสียงของพ่อแท้ๆ ของฉันเอ่ยถามฟ่าง

    “ตอนนี้ยังไม่คบ แต่อนาคตก็ไม่แน่ครับพ่อ”

    “นี่! เลิกเจ้ากี้เจ้าการชีวิตคนอื่นแล้วรีบๆ เล่นเกมออกไปจากห้องฉันได้แล้ว” ฉันโวยวายเสียงดังลั่นออกมาจากห้องนอนเมื่อได้ยินสองคนนั้นพูดกัน แต่คิดว่าได้ผลเหรอ พาร์ทดึงฉันกลับเข้าไปที่ห้องแล้วบอกให้หาชุดนอนเอาไปเปลี่ยนอาบน้ำต่อ สุดท้ายฉันก็ต้องอาบน้ำอยู่ดี แถมยังมีสามหนุ่มชายฉกรรจ์นอนเล่นเกมเป็นผักเป็นปลาเฝ้าอยู่หน้าทีวีอีกต่างหาก

    ฉันคิดไม่ตกจริงๆ ไหนจะเรื่องพ่อ เรื่องโซ่ วนเวียนไปมาในหัวเต็มไปหมด พรุ่งนี้โซ่บอกว่าจะมาหา ฉันคงหนีหมอนั่นไม่พ้นแน่ๆ ไหนๆ ก็มีผู้ชายตั้งสามคนในห้อง พ่อแท้ๆ รวยด้วยงั้นเหรอ เขาก็น่าจะมีปัญญาหารถกระบะ รถขนของมาขนย้ายไปยังหอพักในตอนนี้แน่ๆ

    แต่ว่าเที่ยงคืนแบบบนี้หอพักจะว่าอะไรไหมนะ ฉันจึงโทรไปถาม ปรากฏว่าทางนั้นบอกว่าย้ายเข้ามาตอนเช้าน่าจะสะดวกกว่า เพราะอาจจะทำให้เกิดเสียงรบกวนคนในหอพักได้ พอรู้เวลาที่สามารถขนย้ายของเข้าหอพักคือ 7 โมงฉันก็ผุดไอเดียเพื่อหนีโซ่ขึ้นมาทันที

    ดังนั้นเพื่อไม่ให้โซ่หาที่หอพักใหม่ฉันเจอก็ต้องใช้ความรวยของพ่อฉันให้เป็นประโยชน์ ทำดีกับพ่อเขาหน่อย น่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการได้ไม่ยากแน่ๆ ฉันเองก็ไม่รู้นิสัยเขาหรอกนะ แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้นย่อมอยากมีตัวตนในสายตาของคนที่เขารักอยู่แล้ว ถ้าพ่อเขารักฉันจริงๆ แม้ไม่ได้เจอกัน ไม่ได้เลี้ยงดูกัน ไอ้ที่บอกว่าตามหาเพราะรัก จะเป็นจริงไหมก็อยู่ที่การกระทำของเขาตอนนี้แล้วล่ะว่าจะทำให้ฉันใจอ่อนได้หรือไม่ ดูงี่เง่าไปสักนิดแต่ว่าฉันต้องการความช่วยเหลือจริงๆ

    “เมื่อกี้ปุ้นโทรถามหอพักใหม่มาเขาบอกว่าย้ายเข้าไปพรุ่งนี้ได้ ดังนั้นปุ้นตัดสินใจแล้วว่าจะย้ายไปหอพักใหม่พรุ่งนี้เช้ามืด” ฉันประกาศเสียงกร้าวกลางห้อง

    “พรุ่งนี้เลยเหรอ เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงจะย้ายไปเลย ไหนบอกว่าจะย้ายไปสิ้นเดือนไงกลัวอยู่ไม่คุ้มเงินที่จ่าย” ฟ่างหันมาถาม

    “ก็ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว อยากย้ายไปอยู่พรุ่งนี้ แต่ปัญหาคือตอนนี้ต้องขนของขึ้นรถเตรียมไว้แล้วน่ะสิ ไม่งั้นเช้ามืดไม่ได้ย้ายของนะ” ฉันว่า

    “จะบ้าหรือไงตีหนึ่ง จะไปหารถที่ไหน พรุ่งนี้ค่อยโทรหาคนขนของก็ยังทัน ย้ายของตอนเช้าสายๆ ก็ได้ จะเร่งทำไม” ฟ่างยังคงบ่นไม่หยุด

    “แต่ว่าปุ้นจะย้ายตอนเช้าแล้ว ไม่รู้แหละ ถ้าทุกคนไม่ช่วยเดี๋ยวปุ้นเสิร์จในเน็ตให้ชายฉกรรจ์มาช่วยก็ได้”

    “พรุ่งนี้เช้าค่อยทำ” ฟ่างยืนกรานคำเดิม

    “ตอนนี้”

    “เอ๊ะปุ้น ชักจะพูดไม่รู้เรื่องแล้วนะ” ฟ่างทำเสียงไม่พอใจใส่ฉัน

    “กูรู้ทำไมปุ้นจะย้ายตอนนี้ เดี๋ยวเราช่วยหาเอง จะลองโทรไปถามพี่ที่ช่วยย้ายของว่าเขาสะดวกมารับของตอนนี้ไหม เพิ่มเงินหน่อยก็น่าจะได้แล้ว” พาร์ทเสนอ เงินเหรอไม่มีปัญหาตอนนี้ฉันพอมีจ่ายบ้างแต่อย่าเกินหมื่นนะ ไม่สิก็ให้พ่อแท้ๆ จ่ายไปสิ เราจะพิสูจน์เขาอยู่ไม่ใช่เหรอปุ้น

    “พาร์ทไม่ต้อง เดี๋ยวพี่จัดการเอง ให้คนงานที่บ้านมาขนแทน ไม่ต้องเปลืองด้วย รถสิบล้อก็มี”

    “ห้ะพ่อ! อย่าไปตามใจมันสิ” ฟ่างหันไปทำหน้าตกใจ “ตีหนึ่งแล้วนะ พรุ่งนี้เช้าค่อยทำ”

    “ปุ้นเค้ามีเหตุผลที่บอกเราไม่ได้น่ะ เดี๋ยวพ่อจัดการเอง”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×