ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Love not bad] ฝากร้ายคืนรัก

    ลำดับตอนที่ #26 : บทที่ 8 เพราะพ่อคำเดียว [3]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.52K
      64
      16 มี.ค. 63

    ตอนแรกกะว่าจะงอแงทำตัวมีปัญหาให้พ่อแท้ๆ ปวดหัวเล่นแต่ปรากฏว่าทุกอย่างผิดคาดไปมาก เขากลับตามใจฉันแม้ว่าตอนนี้จะดึกมากๆ ก็ตาม ฟ่างทั้งบ่นและทำหน้าไม่พอใจ ส่วนฉันน่ะเหรอลอยตัวไปสิ พ่อแท้ๆ ฉันโทรไปหาใครไม่รู้ในเวลาเที่ยงคืนซึ่งฝั่งนั้นก็รับแทบจะทันที

    เวลาผ่านไปเพียง 20 นาที

    รถขนย้ายของก็มาจอดรออยู่ที่คอนโดแล้ว พวกเรา 4 คนช่วยกันยกกล่องและสัมภาระที่อยู่ในห้องลงไปชั้นล่าง ของในห้องมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ฉันเก็บใส่กล่องแล้วก็แพ็กใส่กระเป๋าหมดแล้ว เพียงแค่ยกลงไปชั้นล่างเท่านี้ก็ไม่น่ามีอะไรจะต้องกังวลอีก ส่วนข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวก็ใส่กระเป๋าเป้ตามไปทีหลังแทน

    กว่าจะขนกล่องและกระเป๋าเสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบๆ ตีสอง พ่อแท้ๆ ของฉันให้คนงานที่ขับรถมาขนข้าวของเครื่องใช้ไปส่งที่หอพักที่ฉันส่งพิกัดให้เขาเวลา 7 โมงเช้า ซึ่งฉันก็ยืนยันว่าฉันจะไปที่หอพักให้ทันเวลา 7 โมงตามนัด ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าฉันเอาแต่ใจตัวเอง มีเพียงพาร์ทที่เดินเข้ามาสะกิดฉันแล้วบอกว่า “ร้ายนักนะ จะหนีไอ้โซ่ต้องเล่นใหญ่เดือดร้อนกันทั้งบ้านแบบนี้เลยเหรอ แล้วนี่ยังจะไปแกล้งพ่อเค้าอีก คนบาป!”

    “อย่าพูดเสียงดังไปสิ เดี๋ยวฟ่างได้ยินว่าฉันกำลังหนีโซ่ มีหวังโวยวายกว่าเดิมแน่ๆ”

    “อืม เธอไม่พูด ฉันไม่พูด เท่ากับว่าไม่มีใครรู้ว่าเธอหนีโซ่” พาร์ทบอก แต่ใครจะไปคิดว่าจะมีบุคคลที่สามได้ยิน

    “รินทร์กำลังหนีใคร” เสียงพ่อแท้ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลังฉันดังขึ้นเล่นเอาพาร์ทและฉันสะดุ้ง

    “บอกกี่ครั้งแล้วคะว่าอย่าเรียกรินทร์ ฉันชื่อปุ้น” ฉันทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุยกลบเกลื่อนเรื่องหนีโซ่

    “แต่ลูกก็ยังใช้ชื่อจริงว่านิรินทร์ไม่ใช่เหรอ ยังไงพ่อก็ชินกับการเรียกรินทร์มากกว่าเรียกข้าวปุ้น” ฉันได้แต่ถอนหายใจใส่ แกล้งไม่พอใจแล้วเบนหน้าไปทางอื่น “ว่าแต่ตอนนี้กำลังหนีใครอยู่” ตอนแรกคิดว่าพ่อแท้ๆ ของฉันเขาจะลืมเรื่องที่ฉันกับพาร์ทคุยกันก่อนหน้านี้เสียอีก แต่ปรากฏว่าเขากลับย้อนมาถามอีกครั้ง

    “เปล่าค่ะ ไม่ได้หนีใคร” ฉันปฏิเสธ “ฉันจะขึ้นไปนอนแล้วนะ คุณก็กลับบ้านไปเถอะ” ใช้ประโยชน์จากความรักของพ่อตัวเองเสร็จก็ไล่ให้เขากลับไปทันที มีเพียงสายตาทีมองมาเหมือนรอให้ฉันตอบคำถาม แต่เขาก็เลือกที่ไม่ถามต่อแล้วหันหลังเดินไปหาฟ่างที่จัดของในรถให้เข้าที่

    เหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนเป็นไปได้ดีตามสิ่งที่ฉันคิดเอาไว้ ฉันย้ายไปอยู่หอพักที่ห่างจากมหาลัยฯ ไม่มากนัก เดินทางไปเรียนก็สะดวกสบายนั่งรถเมล์สองป้ายก็ถึง แม้พ่อแท้ๆ ของฉันจะไม่เห็นด้วยเมื่อเห็นสภาพหอพักที่ดูเก่าและไม่มีความรักษาความปลอดภัยมากนัก แถมห้องก็ดูโทรมๆ แต่เขาก็ยังคงตามใจฉันเหมือนเดิม และยังคงแวะเวียนมาหาฉันแทบจะทุกวันหลังเลิกเรียน จนเพื่อนๆ ฉันบางคนคิดว่าฉันเป็นเด็กเสี่ยไปซะแล้ว เนื่องจากว่ารถที่พ่อเอามารับแต่ละคันนั้นแทบจะไม่ซ้ำ แถมยังเป็นรถชื่อดังที่ถูกแต่งและติดสติ๊กเกอร์เหมือนนักแข่งเสียอีก

    ก่อนหน้านั้นโซ่บอกว่าจะมาหา สุดท้ายฉันไม่รู้ว่าเขามาหาฉันที่คอนโดจริงหรือเปล่าเพราะหลังจากที่ฉันย้ายมาที่หอพักฉันก็เปลี่ยนเบอร์ เปลี่ยนไลน์ทันที ไม่ว่าช่องทางไหนๆ ฉันก็ตัดขาดจากเขาทั้งสิ้น เฟสบุ๊กก็ไม่มีความเคลื่อนไหว ไอจีก็ไม่อัพเดทตัวเอง เว้นแต่ว่าเขาจะตามมาหาฉันถึงมหาลัยฯ หรือบอกเพื่อนคนอื่นๆ ถึงความสัมพันธ์ของเราสองคน

    ปกติฉันไม่ค่อยเข้ากลุ่มกับเพื่อนฝูงอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้มีเรื่องของโซ่มากวนใจฉันยิ่งไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนเลย เรียนและทำรายงานกลุ่มกับเพื่อนเสร็จก็กลับหอ ซึ่งอย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้าพ่อก็เป็นคนมารับฉันทุกครั้ง ถึงขั้นมารอใต้ตึกกันเลยทีเดียว บางทีฉันเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเขาไม่มีงานทำบ้างเหรอ ฉันเองก็อายคนอื่นเป็นเหมือนกันนะ อีกอย่างพ่อก็ไม่ได้ดูแก่ด้วย ข่าวลือก็ยิ่งหนาหูเข้าทุกวันๆ

    “พ่อแกมารอตั้งแต่กี่โมงวะนั่น” ยัยปุยฝ้ายถามฉัน มันเป็นคนเดียวในกลุ่มที่รู้เรื่องพ่อแท้ๆ ของฉัน ส่วนคนอื่นๆ นั้นไม่ได้เอ่ยถามฉันจึงไม่ได้บอกอะไร อีกอย่างฉันก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มเล่าตรงไหนดีน่ะสิ ใครๆ ก็รู้ว่าเมื่อหลายปีก่อนพ่อฉันตาย แล้วตอนนี้พ่อแท้ๆ โผล่มาใครบ้างจะไม่สับสน ขนาดฉันยังรู้สึกเหมือนมีบอดี้การ์ดมาตามคุม บางทีก็รู้สึกเหมือนคนแปลกหน้าที่ตามติดชีวิตยังไงยังงั้น ฉันเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงกับความรู้สึกแบบนี้ให้ใครหลายคนได้ฟังและเข้าใจเหมือนกัน อาจเป็นเพราะว่าฉันไม่มีความผูกพันธ์กับพ่อบางทีเลยสับสนกับความรู้สึกตัวเองบ้างเป็นบางครา

    “ฉันไม่รู้ว่าเค้ามารอกี่โมง รู้แต่ว่าฟ่างตัวดีเอาตารางเรียนของฉันให้พ่อ จากนั้นก็อย่างที่เห็น พ่อมารอรับทุกเย็น”

    “ก็ยังดีที่ไม่มาส่งเรียนตอนเช้าเหมือนเด็กประถมด้วย” ยัยปุยฝ้ายยิ้มและหันมามองฉัน

    “ตอนเช้าเขาก็มารับฉันนะฝ้าย แต่ฉันบอกเค้าว่ารถมันค่อนข้างติด ฉันนั่งมอเตอร์ไซค์มาเรียนสะดวกกว่า ทีแรกก็ไม่ยอมยืนกรานว่าจะมารับแต่วันนั้นเขาทำให้ฉันเข้าเรียนสาย เนื่องจากรถมันติดมาก ตั้งแต่วันนั้นเขาก็เปลี่ยนเป็นขี่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่มารับฉันตอนเช้าแทน”

    “พ่อแกขี่บิ๊กไบค์ด้วยเหรอ โก้จริงๆ”

    “ปุยฝ้าย! พ่อมีฉันตอนเค้าอายุ 16 ปีเองนะเว้ย ตอนนี้เค้าก็เพิ่งอายุสามสิบเจ็ด สามสิบแปดปีเองนะแก มองๆ ดูอายุก็ไม่ได้เยอะเลยด้วยซ้ำ ผู้ชายบางคน 39 ปียังไม่แต่งงานเลย แต่พ่อฉันอีกหนึ่งปีลูกก็จะจบปริญญาแล้ว คงไม่แปลกที่จะทำอะไรโก้ๆ แบบนั้นน่ะ”

    “นั่นสินะ แต่ก็ดีแล้วนี่ แกจะได้ไม่เหงา ปกติอยู่ตัวคนเดียวเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบ ฟ่างก็พักอยู่อีกที่ เงินก็ไม่ค่อยจะมีใช้ ต้องพึ่งพาผู้ชายเป็นหม้อข้าวหม้อแกงเลี้ยงมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ตอนนี้มีพ่อมาช่วยเหลือหลังจากที่เขาก็ตามหาแกมานาน ก็ไม่เห็นต้องซีเรียสเลย” ปุยฝ้ายปลอบใจ แม้คำพูดจะรู้สึกแหม่งๆ แต่ก็รู้ดีว่าเพื่อนหวังดี

    “ฉันมีอะไรจะบอก”

    “อะไร”

    “ความจริงแล้ว พ่อฉันได้ยินฉันกับพาร์ทพูดว่าฉันกำลังหนีใครซักคน หลังจากนั้นฉันก็เปลี่ยนเบอร์มือถือ เปลี่ยนไลน์ ทั้งๆ ที่พ่อก็แอดมาหาฉันแล้ว เขาเลยยิ่งสงสัยไปอีกว่าฉันกำลังหนีและกลัวใครถึงได้ย้ายออกจากคอนโดเก่าเวลาเที่ยงคืนแบบนั้น” ฉันสารภาพปุยฝ้ายไปตามตรง

    “อย่าบอกนะว่าแกหนีโซ่ แล้วพ่อจับได้”

    “เออ! ฉันยอมรับว่าฉันหนีโซ่ แต่พ่อยังจับไม่ได้ พ่อคงคิดว่าฉันหนีโรคจิตล่ะมั้ง ฉันไม่ได้ปริปากบอกเขาน่ะ แต่ไม่รู้ว่าฟ่างบอกไปหรือเปล่า สภาพฉันก็เลยเป็นอย่างที่แกเห็นนี่แหละ” ฉันยืนคุยกับปุยฝ้ายหลังเสาแล้วแอบมองพ่อเป็นระยะ

    “แกแน่ใจนะว่าแกอยากจะหนีโซ่มันไปตลอดแบบนี้น่ะข้าวปุ้น”

    “...” ฉันไม่ตอบเพราะฉันเองก็ไม่รู้ใจตัวเองเหมือนกัน ในใจลึกๆ รักหรือไม่รักก็ตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าฉันค่อนข้างรู้สึกดีแต่มันก็รู้สึกกลัวอะไรหลายๆ อย่างตามมาเช่นกัน

    “วันก่อนโซ่มันก็มาที่มอนะ แต่ว่าตามสไตล์มันน่ะ ก็ไม่ได้ถามถึงแกจากใคร แต่ฉันสังเกตมันว่ามันน่ะมองซ้ายทีขวาที ยิ่งตอนฉันไปหามาร์กนะ มันนี่มองตามฉันตลอด เหมือนอยากจะถาม อยากจะพูดแต่ก็เงียบไม่พูดไม่จา”

    “ก็ดีแล้วนี่” ปากก็พูดไปแบบนั้นแต่สายตาก็มองลงต่ำ

    “อย่าพูดอะไรที่ไม่ตรงกับใจสิ ฉันรู้ว่าแกคิดยังไงอยู่” ปุยฝ้ายพูดอย่างรู้ทัน “นี่แกไม่เจอมันมากี่วันแล้ว”

    “ก็ตั้งแต่ย้ายมาอยู่หอใหม่นั่นแหละ เกือบๆ สองเดือน ป่านนี้โซ่คงลืมฉันแล้วก็น่าจะมีผู้หญิงคนใหม่ไปแล้วมั้งแก”

    “เรื่องนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่ามันมีผู้หญิงคนใหม่ไปแล้วหรือยัง เห็นมาร์คเล่าว่าช่วงนี้มันดูซึมๆ ไม่ยอมไปเตะบอลกับเพื่อนๆ เหมือนเดิมด้วย อ้างแต่ว่ามีธุระกับที่บ้าน” ไม่ทันที่ฉันจะได้คุยกับปุยฝ้ายต่อเสียงของมาร์คก็ทักขึ้นมาแต่ไกล

    “สองสาวทำอะไรกันน่ะ” พอฉันหันไปมองก็พบว่ามาร์คเดินมาพร้อมกับบอส พอเห็นบอสทีไรหน้าโซ่ก็ลอยมาทุกทีเลย เห็นทีฉันต้องปลีกตัวไปหาพ่อแล้วล่ะ

    “ฉันกลับก่อนนะปุยฝ้าย พรุ่งนี้เจอกัน” ฉันรีบปลีกตัวเดินไปหาพ่อ แต่ทว่ากลับพบว่าพ่อกำลังยืนคุยอยู่กับโซ่ เบรกแทบแตกเลยสิครับพี่! หมุนตัวกลับแทบไม่ทันแน่ะ

    ฉันลืมไปเลยว่าสองคนนี้เหมือนจะรู้จักกันนี่นา เหมือนว่าคนที่เล่าให้ฟังจะคือพาร์ทด้วย โอ้ย! บ้าจริง ไอ้บ้าโซ่ มหาลัยแกมีทำไมไม่อยู่ ไม่เรียน ทำไมชอบมามหาลัยฉันจังเลย ตอนนั้นไม่รู้จะหนีไปทางไหนจึงวิ่งข้ามตึกไปยังตึกวิศวะ แล้วอ้อมไปยังหน้ามหาวิทยาลัยอีกที วิ่งไปก็เอากระเป๋าบังหน้าไป ไม่ค่อยมีพิรุธเลย

    พอวิ่งไปถึงหน้าร้านชานมไข่มุกก็โทรหาพ่อให้ขับรถมารับตรงนี้แทน บอกเลยว่าเหนื่อยโฮกๆ

    ฉันใช้ชีวิตแบบนี้มาซักพักใหญ่ๆ และเริ่มสนิทใจกับพ่อมากขึ้น แม้จะมีหลายคนเข้าใจว่าฉันมีแฟนผู้ใหญ่ ฉันก็ไม่ได้แคร์อะไร เสาร์อาทิตย์พ่อก็ให้ไปเรียนรู้งานและช่วยงานที่อู่ซ่อมรถ ส่วนฟ่างก็แวะเวียนมาหากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันที่อู่ซ่อมรถของพ่อทุกอาทิตย์ และฟ่างยังคงรับงานร้องเพลงกลางคืนกับแก๊งเหมือนเดิม ด้านครอบครัวของพ่อฉันหมายถึงปู่กับย่าฉันน่ะ ตอนแรกที่เคยได้ยินจากแม่เล่าว่าท่านไม่รับฉันเป็นหลาน แต่พอเจอหน้าฉันและฟ่างจริงๆ ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม ย่าทั้งร้องไห้และกอดฉันกับฟ่าง บอกว่าแกเคยเห็นฉันและฟ่างตอนเด็กๆ ได้อุ้มเพียงไม่กี่ครั้งไม่คิดว่าจะโตไวขนาดนี้ แม้แต่ร้านอู่ซ่อมรถยังมีรูปฉันกับฟ่างนอนอยู่ที่เปลไกวสำหรับเด็ก และภาพที่พ่ออุ้มฉันกับฟ่างขยายใหญ่ติดอยู่ในอู่ ตกลงเรื่องที่ฉันได้รับรู้จากแม่มาก่อนหน้านั้นเป็นความจริงหรือไม่ยังไงฉันเองก็ยังไม่รู้คำตอบ เว้นแต่ว่าฉันจะถามแม่ แต่ฉันก็เลือกที่จะเงียบ ไม่เอ่ยปากถามแม่ เพราะถ้าแม่รู้ว่าฉันกับฟ่างติดต่อพ่อแท้ๆ ไม่รู้ว่าแกจะโกรธหรือเปล่า นั่นแหละคือประเด็นที่ฉันไม่ยอมส่งข้อความไปบอกแม่ แต่ก็ยังติดต่อกันเรื่อยๆ เหมือนเดิม

    ตอนแรกก็รู้สึกเกร็งๆ เหมือนกันนะ ที่ไปกินข้าวและพบกับครอบครัวฝั่งพ่อซึ่งแทบไม่มีความทรงจำต่อกัน ปู่กับย่าอายุ 80 กว่าๆ แต่ยังดูแข็งแรงมาก นึกแล้วก็ขำ ปู่กับย่ามีลูกค่อนข้างช้าลูกคนแรกคือป้าต่ายปัจจุบันอายุ 40 ปี ยังไม่แต่งงานและคาดว่าอนาคตป้าแกคงจะเป็นเจ๊เก็บเงินค่าอพาร์ตเม้นและหอพักรายเดือนต่อไป แต่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวอย่างพ่อติณ พ่อแท้ๆ ของฉันกลับมีลูกตั้งแต่วัยรุ่น แต่กลับหาลูกไม่เจอจนวัยกลางคน

    ทุกอย่างเป็นไปได้ดีและราบรื่น...จนวันหนึ่งฉันเริ่มสังเกตความผิดปกติของตัวเองเมื่อก้าวขาขึ้นช่างน้ำหนักหน้าเซเว่นที่พุ่งขึ้นถึง 5 กิโลกรัม และพฤติกรรมแปลกๆ ฉันกินไม่หยุดกินแม้กระทั่งของที่ไม่ชอบอย่างเช่น ผัดคะน้า น้ำพริกถั่วเน่า แกงผักแปลกๆ ที่ขายในตลาดก็ซื้อมากินตลอด โดยเฉพาะขนมไทยหวานๆ และนมเปรี้ยวจะชอบมากๆ ยิ่งตอนเย็นพ่อมารับไปกินข้าว ฉันก็จะสั่งกับข้าวกินต่อด้วยขนม ของหวาน ผลไม้ หากไม่ได้อะไรดั่งใจนึกก็อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย เอาแต่ใจผิดปกติมาซักพักใหญ่ๆ รู้ตัวอีกทีประจำเดือนฉันก็ขาดไป 3 เดือนเกือบ 4 เดือนแล้ว แต่ตอนนั้นคิดว่าตัวเองคงจะเครียดเรื่องสอบจึงมีพฤติกรรมแปลกๆ และทำให้ประจำเดือนหยุดไปเหมือนเพื่อนในรุ่นบางคนที่ต้องใช้ยาฮอร์โมนบางตัวรักษาเพื่อให้ประจำเดือนกลับมาเป็นปกติ

    จนกระทั่งความจริงมาแตกตอนที่ฉันเป็นลมหมดสติอยู่ที่อู่ซ่อมรถของพ่อซึ่งเสาร์อาทิตย์ฉันจะไปช่วยงานและดูแลเรื่องการรับส่งรถให้ลูกค้าอยู่ที่เคาน์เตอร์เป็นประจำ พ่อพาฉันส่งโรงพยายาบาลทันที รู้ตัวอีกทีก็เจอแกนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เอาจริงๆ ตอนนั้นฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง คิดว่าเพราะนอนน้อยเลยเป็นลม

    แต่ไม่ทันที่ฉันจะเอ่ยถามหรือพูดอะไรออกไป พ่อก็พูดขึ้นมาว่า

    “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อก็จะอยู่ข้างๆ ลูกนะ”

    “อะไรกันคะ มีอะไรหรือเปล่า หนูป่วยโรคร้ายเหรอ?” ฉันพูดแซวเล่น แต่ไม่ทันที่พ่อจะตอบหรือบอกกับฉัน พยาบาลก็เดินมาพอดี

    “คนไข้ฟื้นแล้วเหรอคะ เดี๋ยวรอคุณหมอซักพักนะคะ”

    ฉันกับพ่อผงกหัวรับ พ่อไม่ได้พูดอะไรต่อเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จนฉันมารู้ความจริงเมื่อหมอเดินมาตรวจดูอาการและถามอาการของฉันให้แน่ชัด

    สรุปฉันท้อง! ท้องได้ 4 เดือนแล้วด้วย

    ตอนนั้นฉันแทบจะพูดอะไรไม่ออกเลย ได้แต่นั่งนิ่งๆ มีเพียงมืออุ่นๆ ของพ่อที่ยื่นเข้ามาจับมือฉันเพื่อปลอบประโลมหัวใจที่กำลังหนาวสั่น ฉันกลัวไปหมด ถ้าหากแม่รู้ว่าฉันท้องฉันต้องโดนแม่ด่าแน่ๆ ฉันสัญญากับแม่หลายอย่างว่าถ้าย้ายเข้าไปอยู่กับพี่เมสฉันจะไม่ท้อง แต่นี่! ฉันไม่ได้อยู่กับพี่เมส ไม่ได้ท้องกับพี่เมสแต่กลับมาท้องกับคนที่ฉันไม่สมควรไปข้องเกี่ยวด้วยซ้ำไป

    แล้วถ้าเกิดพ่อรู้ว่าพ่อของเด็กคือโซ่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไง พ่อจะขะยั้นขะยอถามฉันมั้ยนะหรือยังไงฉันเองก็กังวลจนอ้วกแทบพุ่งออกจากปาก

    แล้วเรื่องเรียนฉันล่ะ อีกหนึ่งปีฉันก็จะจบปริญญาอยู่แล้วเชียว แต่ก็มาพลาดท้องตอนนี้เนี่ยนะ

    “ไม่ต้องคิดมาก พ่อยังอยู่ตรงนี้” พ่อคงเห็นว่าฉันนิ่งไปเหมือนคนวิญญาณหลุดออกจากร่างจึงพูดปลอบฉันด้วยน้ำเสียงที่นุ่ม ฉันหันไปมองพ่อทั้งน้ำตา

    “แต่เรื่องเรียนหนูยังเหลืออีกหนึ่งปี หนูไม่พร้อม หนูอยากเอาเด็กออก” ฉันพูดออกไปอย่างไม่ต้องคิดมาก พ่อของเด็กก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน ถ้าโซ่รับรู้ก็คงคิดเหมือนกับฉัน

    “ตอนพ่อมีลูกๆ พ่ออายุสิบหกสิบเจ็ดปีเองนะ แม่ของลูกก็เพิ่งเรียนมหาลัยฯ พวกเราก็ช่วยกันดูแลลูก แม้สุดท้ายแม่จะพาลูกหนีจากพ่อไปเพราะทนพฤติกรรมพ่อไม่ไหว แต่แม่ก็เป็นคนเลือกที่จะไม่เอาลูกออกจนลูกมีวันนี้ พ่อเองก็อยากให้ลูกคิดเหมือนแม่ หลานพ่อเพียงคนเดียวพ่อดูแลได้อยู่แล้วหรือถ้าได้หลานแฝด พ่อก็ยินดีทั้งนั้น ดีเสียอีกปู่กับย่าจะได้ไม่เหงา ป้าต่ายเค้าก็จะมีอะไรสนุกๆ ทำมากขึ้น ส่วนเรื่องเรียนดรอปเรียนไปหนึ่งปีแล้วกลับไปเรียนก็ยังไม่สาย หรือถ้าลูกกลัวว่าจะโดนเพื่อนล้อก็ย้ายหน่วยกิจไปเรียนมหาลัยฯ อื่นก็ได้นะ หรือจะไปเรียนต่อที่เมืองนอก พ่อก็พร้อมส่งเสริมอยู่แล้ว”

    “พ่อไม่ถามเหรอว่าพ่อเด็กคือใคร” ฉันถามออกไปเสียงสั่นเครือ

    “ลูกสบายใจเหรอที่จะบอกพ่อ ดูสภาพลูกก็คงไม่อยากบอกพ่อหรอก จริงมั้ย?" พ่อยื่นมือมาปาดน้ำตาให้ฉัน "ถ้าไม่สบายใจก็ไม่ต้องพูด ไม่ต้องเล่า พ่อเข้าใจทุกอย่าง สภาพนี้พ่อเคยเจอมาหมดแล้ว เท่าที่พ่ออยู่กับลูกมาก็ไม่เห็นมีผู้ชายมาแวะเวียนมาหาเลยนี่ ก็แสดงว่าลูกจบกับเขาไปแล้วเพิ่งรู้ว่าตัวเองท้อง ถามรินทร์ไปก็เท่านั้นแหละ คนหมดใจจะให้อยู่ด้วยกันเพื่อรับผิดชอบเด็กก็คงลำบาก ดีไม่ดีจะมีปัญหากันเสียมากกว่านะพ่อว่า ยุคใหม่เราต้องสตรอง”

    พ่อพูดเหมือนมันคือเรื่องธรรมดาเล็กๆ ที่แก้ไขได้ไม่ติดขัดอะไร และฉันก็เชื่อในสิ่งที่พ่อแนะนำ ฉันไปสอบไฟนอลเพื่อจบปีสามเป็นครั้งสุดท้ายก่อนยื่นเรื่องขอลาออกและย้ายหน่วยกิจไปยังมหาลัยฯ เปิด ใช้เวลาที่ท้องกำลังขยายอยู่กับการอ่านนิยายและดูซีรีส์อยู่ที่บ้านพ่ออย่างสบายใจ ส่วนหอพักพ่อไม่ให้ฉันอยู่ต่อและยังเสียเงินค่ามัดจำฟรีๆ อีกด้วย

    ฉันตัดสินใจส่งข้อความไปบอกแม่ทั้งเรื่องพ่อแท้ๆ ที่ฉันย้ายมาอยู่ที่บ้านเขา และเรื่องลูกในท้อง ตอนแรกเตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องโดนแม่ด่าหลายยกแน่ๆ ปรากฏว่าแม่กลับเข้าใจฉันที่เลือกย้ายไปอยู่กับพ่อและขอโทษที่หาเงินส่งให้ฉันไม่ได้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ต่างประเทศนั้นค่อนข้างสูง แม่ต้องส่งเงินให้ทางบ้านที่ลำพูนด้วย ค่ากิน ค่าอยู่ต่างๆ ให้ลูกสองคนจึงทำให้หมุนเงินไม่ทัน แม่ไม่ได้ติดใจอะไรและรู้สึกโล่งอกด้วยที่จู่ๆ พ่อแท้ๆ ของฉันก็ยื่นมือเข้ามาช่วยในเวลาที่แม่กำลังเดือดร้อนพอดี ด้านความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับพ่อฉันนั้นก็คงเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว เนื่องจากแม่ฉันมีสามีใหม่เป็นรายที่สามไปแล้วล่ะ ในขณะที่ฉันกังวลเรื่องลูกในท้องแม่กลับตื่นเต้นกว่าฉันที่กำลังจะเป็นแม่คนเสียอีก แถมยังให้คำแนะนำมากมาย บอกให้ฉันบำรุงผิวเยอะๆ ออกกำลังกายสารพัด ฉันรู้สึกดีมากๆ ทีได้คุยกับแม่และเปิดใจทุกอย่าง

    และน่าแปลกที่ทั้งพ่อและแม่ฉันต่างก็ไม่ถามหาพ่อของเด็กเหมือนกันทั้งคู่ ด้านฟ่างเองคุยกับฉันอย่างตรงไปตรงมา

    “โซ่เหรอ”

    เมื่อกล้าถามฉันก็ตอบมันไปตรงๆ เช่นกัน

    “อืม แต่ฟ่างไม่ต้องไปเอาเรื่องโซ่นะ ปุ้นเองก็เพิ่งรู้ว่าท้อง แล้วเราสองคนก็ไม่ได้เป็นแฟนกันด้วย”

    “รู้แล้วน่า ถึงมันรู้มันก็คงให้ปุ้นเอาลูกออกอยู่ดี บ้านมันรวย พ่อแม่ก็มีหน้ามีตาในสังคม คงไม่รับปุ้นง่ายๆ หรอก”

    “รู้แล้วไม่ต้องย้ำ”

    “ว่าแต่ ปุ้นคิดว่าจะปิดเรื่องนี้ได้นานเท่าไหร่ คิดจะบอกให้โซ่รู้มั้ย”

    “...”

    ฉันเงียบ ไม่ได้ตอบคำถามฟ่าง กำลังครุ่นคิดหาวิธีจัดการกับชีวิตตัวเองอยู่ จู่ๆ พ่อก็เดินมาพร้อมแอปเปิ้ลที่ปลอกเปือกเสร็จแล้ว

    “โซ่คือใคร? ใช่พ่อของเด็กหรือเปล่า”

    สิ้นเสียงคำถามพ่อฟ่างมันก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุย ถามพ่อเรื่องรถของพาร์ทที่เอามาทำสีที่อู่ทันที พ่อเองก็น่าจะรู้แหละว่าฉันกับฟ่างไม่อยากจะพูดถึงก็เลยเปลี่ยนเรื่องคล้อยตามเจ้าฟ่างมัน

    เอาน่า! ฉันต้องรอด

    และฉันก็รอดจริงๆ ความลับยังคงเป็นความลับจนวันที่ฉันคลอดลูก ปุยฝ้าย มาร์ค นวล บาสมาเยี่ยมฉันที่โรงพยาบาล ปุยฝ้ายและมาร์ครู้ว่าฉันนั้นท้องกับใคร ยกเว้นนวลและบาสที่เข้าใจและคิดว่าคือพี่เมส และทั้งสองคนก็พูดเองเออเองว่าจะไม่เอ่ยปากเล่าให้ใครฟังและเข้าใจสถานการณ์ที่เจอ ฉันเองก็ผงกหัวรับ บาสเองก็คงไม่อยากจะบอกโซ่เนื่องจากโซ่นั้นไม่ชอบพี่เมส จึงทำให้ทุกคนลงรูปลูกสาวของฉัน แล้วแท็กไปหาพ่อฉันในไอจีแทน โดยไม่แท็กฉัน

    IG ปุยฝ้าย

    "Welcome baby umi อูมิ แปลว่าทะเล นึกแล้วอยากกินกุ้งเผาในตำนานกับเพื่อนๆ เลยนะ ยินดีด้วยนะจ๊ะ"

    IG มาร์ก

    "Welcome umi #หลานคนแรกของกลุ่ม เห็นแล้วอยากมีเลยครับผม"

    IG นวล

    "อูมิ ชื่อก็ว่าคิ้วแล้ว เจอตัวจริงคิ้วมว๊ากๆ เกิดมาก็จ้ำม่ำ 3850 กรัมแล้ว งวดนี้น้านวลขอตรงๆ นะหลานรัก"

    IG บาส

    "ยินดีด้วยนะครับท่านประธานติณ"

    คอมเมนต์

    espresso: พี่ติณมีลูกแล้วเหรอ?

    bassosity: น่ารักเนอะ

    espresso: น่ารัก อยากอุ้ม อยากเจอหลานบ้าง

    bassosity: อย่าเลย พี่ติณหวงแม่เด็ก 555+

    espresso: - -! อืม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×