ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Love not bad] ฝากร้ายคืนรัก

    ลำดับตอนที่ #11 : ไม่มีสถานะ [1]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.19K
      66
      9 พ.ค. 63

    ฉันเดินกลับมาที่คอนโดของตัวเองในสภาพที่เท้าพันแผล พอก้าวไปถึงหน้าเคาน์เตอร์ก็พบพาร์ทนั่งเล่นมือถืออยู่ตรงโซฟา ฉันจำได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่เห็นพาร์ทนั่งอยู่ตรงนี้นะ หรือว่าตอนนั้นฉันสติหลุดก็เลยไม่ได้มอง แต่ถ้าพาร์ทนั่งอยู่ตรงนี้พาร์ทก็น่าจะเห็นฉันบ้างสิ

    “พาร์ท” ฉันเดินไปสะกิดพาร์ทที่นั่งเล่มเกมอยู่

    “คุยกับแฟนเสร็จแล้วเหรอ” พาร์ทเงยหน้ามาถาม แต่มือก็ยังคงกดเล่นเกมต่อ

    “อืม แล้วนี่นายไปไหนมา”

    “ไปไหน? ก็นั่งอยู่ตรงนี้รอไง” พาร์ททำหน้างุนงง

    “ไม่สิ ก็” ฉันกำลังจะเอ่ยถาม แต่จู่ๆ พาร์ทก็ทักฉันเรื่องเท้าขึ้นมา

    “เท้าไปโดนอะไรมา” พาร์ทชี้มาที่เท้าฉัน

    “เอ่อคือ... เหยียบเศษแก้วมาน่ะ พอดีฉันอารมณ์เสีย หงุดหงิด ก็เลยทะเลาะกับแฟนรุนแรงไปหน่อย”

    “ถึงขั้นลงไม้ลงมือกันเลยเหรอ” พาร์ทถามเสียงตื่น “แล้วนี่ไอ้ฟ่างรู้ยัง?”

    “ใจเย็นๆ แฟนฉันไม่ได้ทำอะไรเลย เขาสุภาพบุรุษ มีแต่ฉันนี่แหละที่อาละวาด”

    “อ่าว!” พาร์ทเปลี่ยนน้ำเสียงลงทันควันเมื่อฉันสารภาพความผิดอย่างไม่ปิดบัง

    “ก่อนหน้านี้ก็วิ่งตามแฟนมาถึงเคาน์เตอร์ เท้าก็เลยเหยียบใส่เศษแก้วที่ขว้างใส่แฟนน่ะ ดูนั่นสิ! เลือดยังเลอะอยู่ที่พื้นอยู่เลย” ฉันหันหน้าไปชี้ที่พื้น พาร์ทเองก็ดูตามมือฉันด้วย

    “เลือดเธอเหรอ ก็ว่าไปเข้าห้องน้ำแป๊บเดียวกลับมาเลือดใคร นึกว่าใครมาฆ่ากันตายแถวนี้เสียอีก” พาร์ททำสีหน้าหงุดหงิด “เออ! เดี๋ยวไอ้ฟ่างมันตามมานะ มันเผลอนอนหลับในห้องแล้วก็จัดของบ้าบออะไรของมันไม่รู้”

    “นั่นหลับเหรอน่ะ เคาะห้องก็แล้ว โทรไปก็แล้วก็ไม่รับสายเลย” ฉันบ่นให้พาร์ทฟัง พาร์ทเองก็ส่ายหัวไปมาด้วยความระอาเพื่อนสนิทของตัวเอง “นายจะกลับเลยมั้ยหรือว่าขึ้นไปบนห้องฉันรอฟ่างมาก่อนค่อยกลับ”

    พาร์ททำสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงมองดูฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนพิจารณาอะไรบางอย่างประกอบการตัดสินใจ

    “ฟ่างให้อยู่เป็นเพื่อน”

    “ขอบใจนะ แต่ถ้าไม่สะดวกนายกลับก็ได้นะ ฉันเกรงใจ”

    “ขี้เกียจมีปัญหากับมัน” พาร์ทพูดแบบนี้ก็คงจะหมายความว่าจะอยู่เป็นเพื่อนฉันสินะ

    เราสองคนเดินไปหน้าลิฟต์และรอลิฟต์เปิดออก ระหว่างนั้นฉันจึงตัดสินใจบอกกับพาร์ทเรื่องที่ฉันปาของใส่แฟนในห้อง ห้องอาจจะรกและพาร์ทก็คงไม่ชอบสักเท่าไรนัก

    “เอ่อ ถ้านายขึ้นไปห้องฉันแล้ว อย่าตกใจนะ พอดีว่าก่อนหน้านี้ทะเลาะกับแฟนก็เลยพังห้องนิดหน่อย” พาร์ทหันมามองหน้าฉันด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน

    “สกปรกเหรอ”

    “ไม่สกปรก แค่ไม่เหมือนเดิม มีแก้วกาแฟแตกอยู่หน้าประตู นายต้องระวังเท้าด้วยไม่งั้นก็จะเป็นแผลแบบนี้” ฉันชี้ลงมาที่เท้าของตัวเอง พาร์ทผงกหัวทำความเข้าใจ

    ประตูลิฟต์เปิดออก ฉันกับพาร์ทเดินเข้าไปพร้อมกับเอาคีการ์ดที่ติดกระเป๋ากางเกงแปะเลือกชั้น พอประตูปิดลงไม่เท่าไรประตูก็เปิดอ้ากว้างอีกครั้งเผยให้เห็นโซ่ที่ยืนอยู่หน้าประตูในมือเขาถือถุงอะไรบางอย่างฉันเองก็ไม่ได้สนใจนัก

    “อ้าว! หวัดดี” ฉันโบกมือทักทายโซ่ แต่เขากลับทำหน้านิ่งเดินเข้ามาในลิฟต์โดยไม่ได้พูดอะไรด้วย สายตาของโซ่มองดูชั้นที่ประกฏในหน้าจอก่อนที่เขาจะยืนหันหน้าไปทางประตู

    นี่ถ้าเขาจะย้อนกลับมาที่คอนโดนี้อีกทำไมไม่ขับรถมาส่งฉันที่คอนโดด้วยล่ะ ปล่อยให้ฉันเดินลากขาตั้งนานแน่ะกว่าจะถึงคอนโด น่าโมโหจริงๆ เลย

    “นายพักที่นี่เหรอ” พาร์ทเอ่ยถามโซ่

    อ่าว! สองคนนี้รู้จักกันเหรอ

    “เปล่า แล้วนายล่ะ พักที่นี่เหรอ” โซ่ตอบคำถามพาร์ท ในขณะเดียวกันก็ถามพาร์ทกลับ

    “เปล่า” พาร์ทตอบ “แล้วนายมาทำไม หรือว่าแฟนนายพักที่นี่”

    “แล้วนายล่ะมาทำไม หรือว่าแฟนนายพักที่นี่” โซ่ไม่ตอบคำถามแต่กลับถามพาร์ทในประโยคคำถามเดิมและหันไปจ้องหน้าพาร์ทเขม็ง หวังว่าสองคนนี้จะไม่ตีกันในลิฟต์นะ ถามไถ่กันแค่นี้ทำไมต้องทำหน้าตาจริงจังกันขนาดนี้นะ

    “มาอยู่เป็นเพื่อนเพื่อนน่ะ เดี๋ยวเพื่อนอีกคนมากูก็กลับละ” พาร์ทมองมาที่ฉันเหมือนกับให้สัญญาณว่าฉันคือเพื่อนที่เขาพูดถึง โซ่เองก็ก้มลงมามองฉันด้วยสายตานิ่งๆ ไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกอะไร “ว่าแต่นายรู้จักข้าวปุ้นด้วยเหรอ เห็นก่อนหน้านี้ทักกัน”

    “ไม่อะ เพิ่งเคยเจอ”

    เดี๋ยวนะ! บอกว่าไม่รู้จัก เพิ่งเคยเจอเหรอ? อีตาบ้า ก็เราเคยเจอกันตั้งสองสามครั้งแม้จะเมื่อวานวันแรกก็เถอะ แต่ก็ถือว่ารู้จักกันแล้วสิ แล้วไหนเขาจะเคยมีอะไรกับฉันอีกนะ

    โอ๊ย! นี่ฉันกำลังหวังอะไรอยู่

    ฉันหันไปจ้องหน้าโซ่เขม็ง เขากวนประสาทฉันชัดๆ

    “เราเพิ่งเคยเจอกันเมื่อวานน่ะ พอดีไปเที่ยวหัวหินในกลุ่มเพื่อนเดียวกัน” ฉันหันไปอธิบายให้พาร์ทฟัง ขืนไม่อธิบายก็กลายเป็นว่าฉันหน้าแตกกลายเป็นพวกคิดเองเออเอง

    “อ๋อ! ก็คิดอยู่ว่าอยู่กันคนละมหาวิทยาลัยจะรู้จักกันได้ยังไง” เมื่อพาร์ทพูดจบประตูลิฟต์ก็เปิดออก เราสามคนก้าวขาออกจากลิฟต์ไล่ๆ กัน โซ่เดินไปทางซ้าย พาร์ทและฉันเดินมาทางฝั่งขวา

    ฉันเอาบัตรแตะเข้าห้อง เปิดประตู เปิดไฟ ตามลำดับ

    “ยืนรอนอกห้องแป๊บนะพาร์ท ขอเก็บกวาดสักครู่” พาร์ทยืนรออยู่หน้าห้องในขณะที่ฉันก็เดินเท้ากระเผกๆ เข้ามาในห้องพร้อมกับหยิบไม้กวาดที่ระเบียงมากวาดเศษแก้วที่กระจายเต็มพื้นหน้าประตู พอกวาดเสร็จพาร์ทก็ช่วยเก็บข้าวของที่กระจายเต็มพื้นให้กลับไปวางอยู่ที่เดิม

    “ชอบถ่ายรูปเหรอ”

    “หืม? อืมใช่” ฉันหันไปมองพาร์ทที่ยืนจ้องรูปซึ่งฉันเอาแปะเต็มบอร์ดข้างฝา มีทั้งรูปวิว รูปแมว รูปเพื่อน รูปความทรงจำเก่าๆ ติดเต็มไปหมด “เวลาไปเที่ยวไหนก็จะถ่ายรูปปรินต์มาแปะไว้เต็มบอร์ดแบบนี้แหละ”

    “สวยดี”

    “ฉันเหรอ?” พาร์ทหันมาทำหน้าเอือมๆ ใส่ก่อนจะยกยิ้มที่ขมวดคิ้วเล็กๆ ให้

    “รูปสิ! เธอน่ะ คนไม่มีสติ”

    “วันหลังจะมีสติแล้วล่ะ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าเป็นคนไม่มีสติมันแย่แค่ไหน ดูสิ! ห้องพังหมดเลย” ฉันพูดไปก็เก็บของไปด้วย

    “แต่ห้องก็สะอาดดี ให้อภัย” พาร์ทเดินไปนั่งที่โซฟา ก่อนจะหยิบเอามือถือขึ้นมาเปิดเล่นเกม “ปกติทะเลาะกับแฟนแล้วชอบขว้างปาข้าวของแบบนี้เหรอ”

    พาร์ทถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังมากนัก แต่สายตาก็รอให้ฉันตอบ

    “ก็เป็นแบบนี้แหละ ฉันมักใช้อารมณ์เหนือเหตุผลเสมอเลย เค้าคงเบื่อน่ะที่ฉันเป็นแบบนี้”

    “อืม! เข้าใจ ผู้หญิงถ้าหงุดหงิดมากๆ ก็ขว้างปาข้าวของแบบนี้แหละ อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย ผู้ชายบางทีโมโหมากๆ ก็เป็นเหมือนกัน”

    “ดูนายเข้าใจโลกดีนะ แสดงว่าก็เป็นเหมือนกันสินะ”

    “ไม่น่ะ พี่ชายเราเป็น ฮ่าฮ่าฮ่า” พาร์ทพูดเองก็หัวเราะเอง “แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นมากแล้ว เขานิ่งกว่าแต่ก่อนเยอะมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนไม่พอใจอะไรนะ เอะอะปาของ เอะอะไล่คนออก”

    “แล้วพี่ชายนายทำยังไงให้หายจากอารมณ์วู่วามและโมโหปี๊ดแตกแบบนั้น”

    “ปรึกษากับคุณหมอน่ะ คุณหมอให้ไปฝึกสมาธิ ถ้าเป็นคนสมัยก่อนก็คงเข้าวัดทำบุญ แต่คุณหมอแนะนำให้เข้าคอร์สกับทางโรงพยาบาลบำบัดจิตใจ พวกจิตปัญญาอะไรแบบนั้น พี่เราก็ไปฝึกสมาธิ อบรมนิสัย วางแผนความคิดใหม่ บำบัดด้วยดนตรี หลายอย่างเลยล่ะ ปรากฏว่าพี่ก็เปลี่ยนไปจริงๆ นะ ทั้งใจเย็น ควบคุมอารมณ์ได้ บางทีก็ดูจะใจเย็นมากจนน่ากลัวไปเลย”

    “ขนาดนั้นเลยเหรอ”

    “ไม่ขนาดนั้นหรอก เราจะกลัวพี่เราตอนเรามีความผิดน่ะ” พาร์ทหัวเราะ

    “นายจะล้างมือด้วยแอลกอฮอล์มั้ย? ห้องฉันมีนะ” ฉันยื่นแอลกอฮอล์ล้างมือให้พาร์ท

    “ไม่เป็นไร ฉันเช็ดมือตอนออกจากห้องน้ำมาแล้วล่ะ” ฉันผงกหัวรับ ก่อนจะหันหลังไปเก็บน้ำยาล้างมือที่หลังตู้เย็น

    “นอนพักสิ ไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอไง เดินไปเดินมาทั่วห้องเลยเดี๋ยวแผลก็อักเสบหรอก” พาร์ทพูดออกคำสั่งฉันนิดๆ

    “แต่ฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลย ขออาบน้ำก่อนก็แล้วกัน”

    พูดจบฉันก็เดินไปเตรียมเสื้อผ้าในห้องนอนเตรียมจะไปอาบน้ำในห้องน้ำ ส่วนกระเป๋าที่เดินทางกลับมาจากหัวหินฉันก็เอาเสื้อผ้าออกไปใส่เครื่องซักผ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ขณะที่ง่วนอยู่กับการเช็ดเครื่องสำอางออกจากหน้าอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำอยู่นั้นเอง

    ติ๊งดิ่ง ติ๊งดิ่ง

    เสียงกดกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น สงสัยฟ่างจะมาแล้วแน่ๆ ฉันได้ยินเสียงคนพูดคุยกันในห้องแต่ฟังไม่ได้ศัพท์จับไม่ได้ความเพราะว่าฉันเปิดเพลงฟังในห้องน้ำไปด้วย วันนี้ไม่สระผมกลัวไข้จะขึ้นมาอีก จึงแค่อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันเท่านั้น พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำภาพที่ปรากฏในตอนนี้ทำเอาหัวใจหล่นวูบไปที่ตาตุ่ม

    โซ่! เขามาห้องฉันได้ไงเนี่ย? แล้วพาร์ทล่ะ พาร์ทไปไหนแล้ว ก่อนหน้านี้เขานั่งเล่นเกมที่โซฟาไม่ใช่เหรอ แล้วไหนจะเสียงที่คุยกันก่อนหน้านั้นล่ะ

    “นายเข้าห้องฉันมาได้ไง?” ฉันพูดออกไปเต็มเสียงลั่นห้องด้วยความตกใจ

    “เดินเข้ามา”

    “รู้แล้วว่าเดินเข้ามา แต่ใครอนุญาตให้เข้ามา!” ฉันวีนใส่โซ่ด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า

    “เราเอง” พาร์ทที่เดินมาจากโซนห้องครัวพูดขึ้น เขายืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ห้องครัวแต่ฉันเองแหละที่หันหลังให้ห้องครัวจึงมองไม่เห็นพาร์ท

    “แล้วทำไมถึงปล่อยให้คนอื่นเข้ามาในห้องฉันโดยไม่ถามฉันก่อนล่ะ” ฉันโวยวายและเดินเท้ากระเผกไปนั่งที่เตียงในห้องนอนที่เปิดประตูทิ้งไว้ตะโกนคุยกัน

    “ก็เธอบอกเองนี่ว่ารู้จักกับโซ่ อีกอย่างโซ่มันก็เข้าห้องไม่ได้ ไม่รู้จะไปไหนก็เลยขอมารอในห้องก่อนน่ะ”

    “สรุปนายพักที่นี่เหรอ” ฉันหันไปถามโซ่ แต่เป็นพาร์ทเสียอีกที่ตอบแทน

    “อ๋อ! เปล่าหรอก น้องสาวมันพักที่นี่ แต่น้องมันไม่อยู่ห้อง” พาร์ทพูดพร้อมกับเอาชามโจ๊กร้อนๆ วางที่โต๊ะหน้าโซฟา “โจ๊กร้อนๆ กินหน่อยไหม เหมือนเย็นนี้ปุ้นยังไม่ได้ทานอะไรเลยนี่”

    “ขอบใจ แล้วนายกินแล้วเหรอ เหมือนจะยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกันนี่” ฉันย้อนถามคนที่แสดงความมีน้ำใจให้ฉัน ในขณะที่ฉันค่อยๆ ขยับตัวลงไปนั่งที่พื้นหน้าโซฟาเพื่อจะกินโจ๊กร้อนๆ ที่ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล

    “กินมาตลอดทาง จะไม่ได้กินอะไรล่ะ ตอนนี้จุกจะแย่” พาร์ทนั่งลงที่โซฟาข้างๆ โซ่และก็เหมือนเดิมพาร์ทเอามือถือขึ้นมาเล่นเกมอีกแล้ว ฉันค่อยๆ เป่าโจ๊กร้อนๆ ก่อนจะตักเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

    “นายรู้ได้ไงว่าฉันชอบกินโจ๊กใส่ไข่สองฟองกับขิงไม่ใส่หมูสับ ฟ่างบอกเหรอ?” ฉันหันไปถามพาร์ทในขณะที่ปากก็ยังเคี้ยวอยู่

    “ฮะ?” พาร์ททำหน้างงๆ ฉันเลยยิงคำถามซ้ำไปอีกรอบ

    “นายรู้ได้ยังไงว่าฉันชอบกินโจ๊กใส่ไข่สองฟองไม่ใส่หมูสับแต่ใส่ขิง” พอนึกขึ้นได้ว่าพาร์ทเอาเวลาไหนไปซื้อก็เริ่มนึกฉงนใจขึ้น หรือว่าพาร์ททำโจ๊กในห้องฉัน ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะในตู้เย็นไม่มีขิง “ว่าแต่ออกไปซื้อตอนไหนน่ะ”

    “เราไม่ได้ซื้อ โจ๊กไอ้โซ่มันน่ะ”

    “ฮะ!?” โจ๊กแทบพุ่งออกจากปากฉันเมื่อพาร์ทตอบคำถาม วางช้อนที่ตักโจ๊กเตรียมจะเข้าปากแทบไม่ทันแน่ะ

    “โจ๊กนายเหรอ?” ฉันหันไปถามโซ่ที่ก้มหน้าเล่นเกมข้างๆ พาร์ท เขาไม่ตอบคำถาม พาร์ทจึงเป็นคนพูดแทน

    “ของเหลือน่ะ แต่กินๆ ไปเถอะ มันซื้อให้น้องมัน แต่น้องมันออกไปกินข้าวข้างนอกกับเพื่อน”

    “อ๋อ”

    ทีแรกก็แอบหลงดีใจว่าโซ่ซื้อโจ๊กให้ฉันเสียอีก ปั๊ดโถ่เอ๊ย! แล้วน้องโซ่ทำไมต้องชอบใส่ไข่สองฟอง ใส่ขิง ไม่ใส่หมูสับเหมือนกันด้วยเนี่ย ทำเอาคนเขาคิดมากเข้าใจผิดไปหมดแล้ว

    “น้องนายกินเหมือนฉันเลยนะ” ฉันบอกกับโซ่ “รวมเป็นเท่าไหร่น่ะ เดี๋ยวฉันเอาเงินให้” ฉันหมายถึงรวมค่ารักษาแล้วก็ค่าโจ๊กไปด้วย หวังว่าโซ่คงเข้าใจความหมายของฉันนะ

    “เดี๋ยวคิดบัญชีทีหลัง” โซ่ตอบสั้นๆ แล้วพูดคุยกับพาร์ทเรื่องเกมต่อ

    ตาบ้านี่! จะนิ่งไปถึงไหนกันนะ ฉันนั่งกินโจ๊กไปด้วยดูทีวีไปด้วย รู้ตัวอีกทีก็กินหมดชามแล้ว ส่วนฟ่างก็เงียบหายไปเลย ไม่มีวี่แววว่าจะโผล่หน้ามาให้เห็น พอไลน์ไปหาก็ตอบกลับมาว่า ‘โทษทีนะปุ้น พอดีว่ามีธุระนิดหน่อย อาจจะไปหาดึก อยู่กับไอ้พาร์ทไปก่อนนะ’

    ฉันได้แต่ถอนหายใจมองดูผู้ชายสองคนที่นั่งเล่นเกมพูดคุยกันอย่างเข้าขา เห็นดังนั้นจึงลุกไปล้างจานแล้วกลับมานอนพักดูทีวีที่เตียงในห้องนอน โดยเปิดประตูห้องนอนที่กั้นเป็นกระจกเอาไว้เผื่อว่าพาร์ทมีอะไรจะมาเรียกฉันได้ ส่วนตอนนี้ก็ได้แต่ปล่อยให้โซ่กับพาร์ทมีความสุขในมุมของตัวเองต่อไปน่าจะดีกว่า

    เวลาผ่านไป

    ฉันเผลอนอนหลับไปจริงๆ ตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็มีมืออุ่นๆ มาแนบที่หน้าผาก ก่อนจะรับสัมผัสนุ่มๆ ที่ข้างแก้ม

    ฟ่างมาแล้วเหรอเนี่ย? ฉันพยายามปรือตาขึ้นมอง แต่กลับรู้สึกหนักอึ้ง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเป็นเงาเลือนลางของผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างเตียง แต่พอสายตาเริ่มปรับได้ก็ทำเอาฉันเด้งตัวหนี

    โซ่!

    “นี่นาย!”


     

     

     

     

    error loaded

    อยู่กับโซ่อย่าเผลอตัว เผลอใจ ระวังจะกลายเป็นคนไม่มีสถานะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×