แค้นดาบตัดหัวทะลวงเลือด
สิทธิ์ ชายหนุ่มผู้มากับความแค้น ที่มารดาเขาถูกสังหาร และบิดาถูกทำร้ายจนพิการ จึงมาตามทวงความแค้น กับเจ้าตำหนักกระบี่แดนเหนือ ผู้เป็นศัตรูของบิดา แต่สุดท้าย การล้างแค้น กลับกลายเป็นความหลอกลวงเมื่อ เจ้าตำหนักกระบี่เหนือกลับกลายเป็นบิดาที่แท้จริงของเขา แล
ผู้เข้าชมรวม
262
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
แค้นดาบตัดหัวทะลวงเลือด ตอนที่ 1
รุ่งอรุณ ของบนเทือกเขาภูกระดึงเช้านี้ ช่างหนาวเย็นยิ่งนัก แต่ก็มิอาจขัดขวางความพยายามของเหล่ายอดฝีมือแห่งแดนสยาม ที่ต่างพยายามขึ้นมาบนยอดดอย เพื่อชมการประลองยุทธ์ของสองสุดยอดฝีมือดาบและกระบี่แห่งแดนสยาม ในเมื่อวันนี้เวลาเที่ยงตรงเป็นการตัดสินชะตาระหว่างสองสำนัก หนึ่งคือ เจ้าสำนักเทพกระบี่เหนือ นามว่า อินทนนท์ ผู้ได้ฉายาว่าเทพกระบี่บัวขาว ผู้ได้รับการยอมรับจากชาวยุทธ์ในสยามว่า มีฝีมือกระบี่รวดเร็วที่สุด ในดินแดนภาคเหนือ อีกหนึ่ง คือ เจ้าสำนักดาบมารแดนใต้ นามว่า น้ำค้าง ผู้มีความเร็วดาบไม่เป็นสองรองใครแห่งแดนใต้ ผู้มีฉายาว่ามารโลหิต ทั้งสองต่างเป็นตัวแทนของทั้งสองสำนัก ซึ่งต่างเป็นคู่ปรับกันมาตลอดตั้งแต่ตั้งสำนักมาถึง18รุ่น ที่ผ่านมาผู้เป็นเจ้าสำนักรุ่นแรกของทั้งสองสำนัก ได้ทำข้อตกลงไว้ว่า หากเจ้าสำนักใดประลองชนะอีกฝ่ายจะได้กรรมสิทธิ์ ในการครอบครองอาวุธของอีกฝ่ายซึ่งนำไปสู่ ความลับของคัมภีร์ในตำนานของทั้งสองสำนักซี่งสามารถซึ่งสามารถบัญชาชาวยุทธ์ทั่วหล้า แต่ที่ผ่านมาการประลองไม่เคยปรากฏผลแพ้ชนะ เพราะ ผลลัพธ์ มักจะลงเอยด้วยการสูญเสียชีวิตของเจ้าสำนักทั้งสองสำนัก กาลเวลาล่วงเลยผ่านมาถึงหนี่งร้อยแปดสิบปี สังเวยชีวิตของคนทั้งสองสำนักไปหลายร้อยคน
"ช่างเป็นเช้าที่น่าตื่นเต้นเหลือเกินนะ ส้มฉุน อีกไม่กี่อึดใจ เราก็จะทราบผลว่าใครจะเป็นผู้เป็นสุดยอดมือกระบี่และดาบแห่งแดนสยาม เราอดเป็นห่วงท่านพี่ไม่ได้เลย ถึงแม้เราจะมั่นใจในฝีมือท่านพี่มากแค่ไหน แต่เราเคยเห็นความเร็วดาบของ น้ำค้าง เจ้าสำนักดาบมารแดนใต้ ความเร็วดาบของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านพี่เลย" เรไร ภรรยาของเจ้าสำนักกระบี่แดนเหนือ กล่าวอย่างถอนใจ ด้วยความเป็นห่วงสามีของตน วันนี้ซึ่งถือว่าเป็นวันสำคัญของสามีนาง ถึงแม้นางจะตั้งครรภ์แก่ ถึง 8เดือน แต่ก็อดเป็นห่วงสามีไม่ได้ต้องพยายามเดินทางขึ้นมาบนดอยเพื่อให้กำลังใจสามีของตน
"แหม ท่านหญิงคะ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงนายท่านหรอกค่ะ นายท่านถือเป็นสุดยอดฝีมือแห่งแดนเหนือ ความเร็วของกระบี่ย่อมไม่ด้อยไปกว่าใครแน่นอน อีกอย่างนายท่านอุตส่าห์ล่วงหน้า มาฝึกกระบี่บนภูกระดึงถึงสามเดือน ถือว่านายท่านได้เปรียบในเรื่อง ความคุ้นเคยกับภูมิอากาศและพื้นที่มากกว่า ยังไง บ่าวก็เชื่อว่านายท่านต้องเอาชนะจอมดาบแดนใต้ได้อย่างแน่นอน"สุ้มฉุน ผู้เป็นสาวใช้ของเรไรพูดเพื่อปลอบขวัญนายหญิงของตัว
"นายหญิงหยุดก่อน ข้างหน้าเป็นซำ ที่พักระหว่างทางบนภูกระดึง มีพวกคนจากสำนักดาบมารแดนใต้ นั่งพักอยู่เต็มไปหมดเลย" หนึ่งในผู้ติดตามของสำนักกระบี่แดนเหนือพูดขึ้นมา
มิคาด ยังพูดไม่ทันขาดคำ สายลมอันเย็นยะเยือกก็พัดมาทางเรไร พร้อมกับร่างทีห่อหุ้มไปด้วยผ้าสีดำทั่วตัว ชายผู้มีใบหน้าขาวซีดเผือด ผมยาวสยายปลิวไปตามกระแสลม แววตาเย็นชา แก้วตาเป็นสีเทาคล้ายสีของเกล็ดปลาบ่งบอกถึงความเลือดเย็น รอบขอบตาคล้ำ ข้างลำตัวสะพายดาบสีดำเล่มใหญ่น้ำหนักไม่น้อยกว่าห้าสิบกิโลกรัม และมีดาบสีดำอีกเล่มขนาดพอๆกันสะพายอยู่ด้านหลัง ตรงดิ่งมาอยู่ด้านหน้าของเรไรด้วยความรวดเร็ว กว่าสายตามนุษย์ธรรมดา จะทันสังเกต
"สวัสดี เรไร นายหญิงแห่งสำนักเทพกระบี่แดนเหนือ ข้าต้องขอแสดงความยินดีกับท่านจริงๆ ที่กำลังจะได้บุตร แต่ข้าคงต้องแสดงความเสียใจกับท่านไปพร้อมๆกัน ในเมื่อท่านกำลังจะสูญเสียชีวิตสามีในวันนี้" ชายผู้มีแววตาเลือดเย็นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไร้ซึ่งจังหวะ สร้างความกลัวจับใจ ให้กับผู้คนรอบข้าง
"ช่างเป็นเกียรติ กับเราจริงๆ ท่านเจ้าสำนักดาบมารแดนใต้อุตส่าห์ ลดตัวมาทักทายเราผู้ต่ำต้อย เราขอขอบคุณที่ท่านอุตส่าห์มาแสดงความยินดีกับเรา แต่เรามีลางสังหรณ์ว่า จะได้โชคลาภถึงสองเรื่องในคราวเดียว ท่าทางเราคงต้องแสดงความเสียใจกับท่านซะแล้ว" เรไร พูดอย่างไม่กลัวเกรงเจ้าสำนักดาบแดนใต้เบื้องหน้า
"สมแล้ว กับที่เป็นคู่ครองของเจ้าสำนักเทพกระบี่เหนือ อินทนนท์ กล้ายืนประจัญหน้ากับข้าอย่างไม่กลัวเกรง แม้แต่นิด ดีแล้ววันนี้เราจะตอบแทนท่านให้สาสม เราจะให้สามีของท่านได้ตายภายใต้คมดาบ ของข้า รับรองด้วยความเร็วดาบของข้า สามีของท่านจะถูกปลิดชีวิตแบบไม่ทรมาน อาจจะไม่ทันรู้สึกเจ็บด้วยซ้ำไป" น้ำค้าง เจ้าสำนักดาบแดนใต้กล่าวตอบ
"แต่มิคาด ก่อนหน้าที่ท่านจะชักดาบ วิญญาณของท่านก็คงถูกปลิดปลิวออกจากร่างไปแล้ว ด้วยความเร็วของกระบี่ของสามีข้าคงจะไม่ทันทำให้ท่านรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกัน ขอให้ท่านวางใจเถิด"เรไร กล่าวตอบอย่างไม่กลัวเกรง
"หึ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน คอยดูดาบของข้าจะเด็ดหัวสามีท่านมาเป็นของกำนัล รับขวัญลูกท่าน" น้ำค้าง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาและจากไปอย่างรวดเร็ว ราวกับสายลมพัดผ่านไปในบัดดล
ถึงเรไร จะแสดงถึงความเข้มแข็งต่อหน้าบุคคลภายนอก แต่ภายในใจ เมื่อต้องพบกับบุคคลที่ไม่อยากจะพบแบบไม่ทันตั้งตัวก็ต้องเกิดความกลัวเป็นธรรมดา ยิ่งเป็นบุคคลที่น่าเกรงขามทั้งลักษณะภายนอกและภายในอย่างน้ำค้างด้วยแล้ว มือทั้งสองข้างของเรไรเย็นเฉียบ มีเหงื่อซึมออกจากมือทั้งสองข้าง หน้าซีดเผือด ขณะที่กำลังฝืนใจเดินต่อเพื่อขึ้นยอดดอยก็เกิดอาการหน้ามือ จนส้มฉุนสาวใช้ประคองแทบไม่ทัน จนต้องให้เด็กรับใช้ช่วยกันหามขึ้นไปบนยอดดอย
หินก้อนใหญ่ยักษ์ตามสองข้างทางบนภูกระดึงต่างเต็มไปด้วยรอบแตกลึกมากมาย ทุกรอยต่างขอบเรียบและลึกบอกถึงความคมกริบของกระบี่ และฝีมือของผู้ฟันกระบี่ลงไป หินบางก้อนแตกกระเด็นเป็นเสียงๆบ่งบอกถึงพลังฝีมือของเจ้าของกระบี่ น้ำค้างเดินทางผ่านมาเห็นรอยฟันกระบี่ตามหินมากมาย ก็รู้ได้ในบัดดลว่าทุกรอยต้องเป็นของยอดฝีมือกระบี่เป็นแน่แท้ ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอินทนนท์ เจ้าสำนักเทพกระบี่เหนือ เมื่อยิ่งดูแต่ละรอยก็ยิ่งทำให้ น้ำค้างเกิดความรู้สึกตื่นเต้นที่สุดในชีวิต ในเมื่ออีกไม่กี่อึดใจเขาจะได้ประลองกับผู้มีฝีมือไม่ด้อยไปกว่าเพลงดาบของเขาเลย เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ทำให้น้ำค้างยิ่งร้อนใจ ยิ่งเร่งตะบึงขึ้นไปบนยอดดอยในบัดดล
บุรุษผู้หนึ่งสวมชุดสีขาวนั่งอยู่บนศาลาที่พักบนยอดภู หน้าตาเรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายกับสถานการณ์รอบกาย มีกระบี่ยาวประมาณหกฟุตอยู่ข้างกาย ท่าทางดูนิ่งสงบเหมือนกับกำลังทำสมาธิ
ทันใดนั้นก็มีพลังอีกสายหนึ่งพุ่งเข้ามา ช่างเป็นพลังความรู้สึกที่รุนแรงโหดเหี้ยมไร้ความปราณี กระบี่ที่อยู่ข้างกายบุรุษสั่นอย่างรุนแรงด้วยความรู้สึกได้ต่อปราณกระบี่ที่พุ่งเข้ามา ทันใดนั้นก็มีลมพายุพุ่งเข้ามาตรงหน้าบุรุษผู้นี้ ลมที่พัดมาอย่างรุนแรงทำให้ร่างที่เคยนิ่งสงบนำต้องขยับตัวตอบสนองต่อสิ่งที่กำลังพุ่งเข้ามาตรงหน้า ลมพายุที่พุ่งขึ้นมาจากด้านล่างของภูก็มาหยุดลงตรงหน้าบุรุษชุดขาวผู้นี้ และมีร่างสีดำทะมึนของบุรุษอีกผู้หนึ่งอยู่กลางพายุลูกนี้ สีหน้าและท่าทางช่างดูแววตาไร้ความรู้สึกยิ่งนัก หน้าตาบอกบุญไม่รับ ลูกนัยน์ตาสีเทาเหมือนเกล็ดปลา จ้องเขม็งเข้ามาที่บุรุษชุดขาว
"อรุณสวัสดิ์ ท่านอินทนนท์ ดูท่าทางท่านไม่สะทกสะท้านกับการประลองที่จะเกิดขึ้นวันนี้เลยนะ" บุรุษชุดดำกล่าว
"เหตุไฉน เราต้องอนาทรร้อนใจไปด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้มีเกิดก็ต้องมีดับ หมุนเวียนสลับเปลี่ยนกันไปทุกวัน การประลองถึงอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้นวันยังค่ำ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกำหนดไว้แล้ว "บุรุษชุดขาวกล่าว
"หึ เมื่อท่านคิดได้แบบนี้ก็ดี ข้าถือว่าท่านสามารถปลงได้แล้ว วันนี้ท่านคงเตรียมใจมาตายแล้วสินะ ไม่เหมือนกับข้า ข้ารู้สึกตื่นเต้นเสียเหลือเกิน ที่วันนี้ดาบมารของข้าจะได้ดืมเลือดของเจ้าสำนักเทพกระบี่ เลือดในกายของข้ามันช่างร้อนระอุพร้อมที่จะประลองกับท่านได้ทุกเมื่อ"บุรุษชุดดำกล่าวอย่างยิ้มเยาะ
"มารโลหิต ท่านอย่าพึ่งได้ใจไป การประลองเรายังไม่เริ่มต้น ท่านจะมาสรุปผลได้อย่างไร เชิญท่านนั่งลงให้สบาย แล้วจิบน้ำชาร่วมกับเราก่อนเถิด" อินทนนท์ กล่าวตอบ พร้อมกับรินน้ำชาให้กับมารโลหิต
"ดูท่านช่างมีน้ำใจกับศัตรูเสียเหลือเกิน แต่น่าเสียดายน้ำใจเหล่านี้ถ้าเป็นศัตรูของข้า ข้าคงรับไว้ไม่ได้" มารโลหิตกล่าวตอบ ขณะเดียวกันใช้มือเทน้ำชาในถ้วยออกทั้งหมด และใช้นิ้วชี้ดีดน้ำชาที่เทออกมาใส่อินทนนท์
หยดน้ำที่แฝงไปด้วยพลังลมปราณของมารโลหิตพุ่งเร็วจนเกือบปะทะกับใบหน้าของอินทนนท์ อินทนนท์จึงใช้ลมปากเป่าหยดน้ำกระเด็นเบี่ยงไปจากใบหน้าของเขาเพียงไม่กี่เซนติเมตร หยดน้ำพุ่งไปกระแทกเข้ากับต้นสนที่อยู่ด้านหลังศาลา ถึงจะเป็นเพียงหยดน้ำเล็กๆ แต่ด้วยความแรงของลมปราณในหยดน้ำทำให้ต้นสนร้าวและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และล้มระเนระนาดกันเป็นแถบๆ สิ่งนี้เป็นเหมือนสานท้ารบของมารโลหิตต่อเจ้าสำนักเทพกระบี่เหนือ ทันใดนั้นมารโลหิตก็พุ่งออกไปจากศาลานั้นและกล่าวคำลาไว้ว่า "ขอให้ท่านรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีๆเถิด อีกไม่กี่อึดใจศีรษะของท่านจะกลายเป็นของข้า ขอให้วางใจเถิด ความเร็วดาบของข้าจะไม่ทำให้ท่านรู้สึกเจ็บปวด อาจจะทำให้ท่านไม่ทันรู้ตัวว่าวิญญาณได้ถูกปลิดออกจากร่างแล้ว" ลมพายุที่เกิดขึ้นตามหลังมารโลหิต ทำให้เกิดฝ่นตลบไปทั่ว แต่อินทนนท์ก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขารู้สึกว่าฝ่ายที่น่าจะกลัวน่าจะเป็นมารโลหิตมากกว่า เพราะความนิ่งสงบเยือกเย็นของเขาดูน่าเกรงขามเหมือนกับเสือที่กำลังซ่อนเล็บก็ไม่ปาน
เมื่อเวลาล่วงเลยใกล้เที่ยงวันไปทุกที เวลากำหนดการประลองคือเที่ยงวันของวันนี้ เหล่าชาวยุทธ์ต่างเดินทางกันขึ้นมาบนยอดภูเป็นจำนวนนับพันคน ทุกคนต่างเข้ามาจับจองพื้นที่รอบๆลานประลองหมายจะชมสุดยอดการประลองที่อาจจะไม่ได้เห็นอีกในชีวิต ทั้งสองฝ่ายต่างจับจองพื้นที่กันคนละด้าน บ้างก็มีเสียงตะโกนท้าทายกันระหว่างศิษย์ของทั้งสองสำนัก จนหลายครั้งเกือบจะมีเรื่องมีราว แต่ก็ได้ผู้อาวุโสของแต่ละสำนักห้ามปรามไว้ให้สำรวมเพื่อไม่ให้รบกวนสมาธิของเจ้าสำนัก
ทันใดนั้นต้นสนสองใบ และสามใบที่อยู่รอบๆลานประลองอยู่ดีๆก็เกิดโคลงเคลงไปมาอย่างรุนแรง ลมที่เคยสงบก็เหมือนมีพายุกระหน่ำเข้ามา จนพัดเหล่าศิษย์สำนักดาบมารแดนใต้ไปคนละทิศละทาง ต้นสนเมื่อต้านแรงพายุไม่ไหวก็หักโค่นลงมารอบๆลานประลอง เหล่าผู้อาวุโสเกือบทุกคนถึงกับต้องปักดาบลงกับพื้นเพื่อตรึงตัวเองไม่ให้ถูกพัดไปกับกระแสลมพายุดังกล่าว
ผลงานอื่นๆ ของ sukitnam ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ sukitnam
ความคิดเห็น