ตอนที่ 17 : CHAPTER 15
CHAPTER 15
NIGHT SECRET / K Restaurant
ซันนี่เหรอ? คือใครกันนะ?
เจสสิก้ามองเครื่องดื่มน้ำอัมพันธ์ตรงหน้าตัวเองในแก้วทรงใบสูงก่อนจะหมุนแก้วนั้นเล่นพร้อมกับคิด หลังจากที่เธอผละออกจากยูริคนนั้นเธอก็ไม่รอลู่หานอีกเลย ความสงสัยของเธอมันมีมากกว่าเกี่ยวกับเรื่องของจงอิน แต่จะว่าไปเด็กที่ชื่อยูริทำไมถึงได้ทำตัวแปลกๆกับเธอกันนะ แถมสายตาตอนนั้นที่ส่งให้ เหมือนจะบอกประมาณว่าห้ามยุ่งกับซันนี่จะดีกว่า
“เหอะ! คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน” หญิงสาวร่างบางเหยียดยิ้มเมื่อคิดได้ก่อนจะยกแก้วใบสูงขึ้นจิบเล็กน้อย ของเหลวสีเหลืองใสรสฝาดส่งผ่านลำคอก่อนที่หญิงสาวจะวางแก้วลงเสียงดัง บาร์เทนเดอร์หนุ่มที่มองเธออยู่ก่อนหน้านั้นแล้วถึงกับตกใจ เมื่อเขาเห็นว่านางแบบสาวคนนี้คือเจสสิก้า นางแบบที่กำลังดังมากในตอนนี้ตีคู่มากับทิฟฟานี่นางแบบอีกคน ยังไม่ทันที่บาร์เทนเดอร์หนุ่มจะคิดอะไร ริมฝีปากสีสวยสดก็เอ่ยออกมาแทรก
“นายน่ะ ทำงานที่นี่นานหรือยัง?”
“ครับ”
“แล้วรู้จักคุณจงอินดีแค่ไหน?” เจสสิก้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับบาร์เทนเดอร์หนุ่มก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีกครั้ง คนที่ถูกถามเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยอมตอบออกไปอย่างไม่มีท่าทีลังเลใจแม้แต่น้อย
“ก็พอจะรู้ครับว่าคุณจงอินไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัว” เด็กหนุ่มตอบตามจริงก่อนที่เขาจะเห็นเธอมีสีหน้าบูดบึ้งไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่พูดอะไรออกไปอีกหวังว่าแค่นี้คงจะทำให้แม่นางแบบสาวเข้าใจอยู่หรอกนะ เขาบอกตามจุดประสงค์ขนาดนี้ จงอิน หรือ ไค ที่ส่วนมากชื่อหลังคนสนิทกันเท่านั้นจะใช้เรียกเป็นเจ้าของร้านอาหารและคลับที่เขาทำงานอยู่ ตอนที่เขามาสมัครงานก็ไม่เห็นว่าคุณจงอินจะมีท่าทีแปลกๆอะไร แถมยังดูเป็นคนอารมณ์ดีด้วยซ้ำ แต่แล้วเมื่อสองอาทิตย์ก่อนอยู่ๆใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มนั้นก็ไม่มีสีหน้าอารมณ์อะไรเลย มีเพียงแต่ความเย็นชาเท่านั้น อีกทั้งเขายังถูกกำชับว่าไม่ให้พูดถึงเรื่องนี้ แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาจะไม่มีทางพูดให้เธอได้ยินแม้จะรู้แก่ใจก็ตามคือ…..
“ไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัว เหอะ! นายไม่รู้หรือไงว่าฉันกำลังสนใจคุณจงอินของพวกนายน่ะ”
“ผมว่าทางที่ดีคุณอย่ายุ่งกับคุณจงอินดีกว่าครับ” เจสสิก้าขมวดคิ้วมองไม่เข้าใจกับสิ่งที่บาร์เทนเดอร์หนุ่มพูด ซึ่งเด็กหนุ่มที่กำลังจะผสมเหล้าแก้วใหม่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีกมีแค่เพียงการหันหลังให้เธอเท่านั้น
“อย่ายุ่งเหรอ? ฉันได้ยินคนพูดคำนี้มาสองครั้งแล้วนะ ทั้งซันนี่และคุณจงอิน ทำไมฉันถึงยุ่งกับสองคนนี้ไม่ได้นะ” เจสสิก้าพูดอย่างไม่พอใจก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้แล้วพยายามเดินไปห้องน้ำ ผู้คนที่เบียดเสียดกันทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดไม่ใช่น้อย ทำไมวันนี้ถึงไม่มีอะไรๆเข้าข้างเธอเลยนะ ร่างบางในชุดแซกสีดำรัดรูปสั้นๆถึงกับไปไม่เป็นเมื่อเห็นว่าผู้ชายที่ดูท่าทางมีเงินพอตัวกำลังหันหลังเต้นขวางทางเธอเอาไว้แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นก็คือเธอต้องการเข้าห้องน้ำต่างหาก
“ขอทางด้วยค่ะ” ชายคนนั้นเอี๊ยวตัวมามองด้านหลังก่อนจะพบกับใบหน้าสวยๆที่ไม่สบอารมณ์ของนางแบบสาวที่เขาเคยเจอ คริสมองอย่างงุนงงว่าเจสสิก้ามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง
“ครับ?”
“คุณสารวัตรคริสคะ ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับคุณหรอกนะ ขอทางให้ฉันด้วย!” เจสสิก้าตะเบ็งเสียงแข่งกับจังหวะดนตรีมันส์ๆที่ดังเพื่อให้อีกคนได้ยินชัดเจนขึ้น คริสก็พยักหน้าก่อนจะหลีกทางให้สาวเจ้าเดินไปแต่โดยดี เขามองร่างนั้นที่เดินไปทางห้องน้ำของร้านอย่างสนใจก่อนที่เขาจะผละออกจากสาวๆกลุ่มที่เขากำลังร่วมแด๊นซ์ด้วยพร้อมกับทำหน้าเสียดาย
“เอาไว้เราเต้นด้วยกันวันหลังอีกนะสาวๆ วันนี้ผมมีธุระด่วนซะแล้วสิ” สาวๆหลายคนถึงกับทำหน้าเสียดายเอามากๆเมื่อเห็นว่าคริสกำลังจะตีจากพวกตน แต่ก็มีเพียงรอยยิ้มราวกับเทพบุตรจากคริสเท่านั้นที่ส่งให้พร้อมกับคำพูดที่เหมือนจะเป็นความหวังให้พวกเธอ สาวๆจึงจำใจยอมปล่อยให้คริสไป แต่ก็ไม่วายมีใครสักคนที่อยากจะรั้งคริส
“ห้ามคืนคำนะคะคุณคริส”
คริสเดินผ่านผู้คนมากมายก่อนจะกึ่งเดินกึ่งสลับวิ่งไปยังห้องน้ำ และแน่นอนว่าร่างบางที่เขากำลังเดินตามมานั้นกำลังยืนพิงผนังทางเดินไปห้องน้ำพร้อมกับอีกมือหนึ่งมีบุหรี่มวนหนึ่งถูกจุดไว้ในมือ กลุ่มควันบางๆลอยขึ้นเต็มทางเดินจนคริสไม่สามารถเดินเข้าไปได้ และไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมตรงนี้ถึงสามารถดูดบุหรี่ได้เพราะมันแยกเป็นโซนที่ใช้ดูดบุหรี่ยังไงล่ะ เจสสิก้าหันหน้ามาทันทีก่อนจะเจอกับใบหน้าหล่อของสารวัตรที่เธอเจอก่อนหน้านั้น เธอกำลังจะอ้าปากถามแต่ก็หุบฉับไปพร้อมกับยกบุหรี่ขึ้นมาดูดแทนที่
จะพูด
“เป็นผู้หญิงสูบบุหรี่ไม่ดีหรอกนะ” คริสพูดขึ้นแต่เจสสิก้ากลับไม่ได้สนใจคำพวกนั้น เธอได้ยินจนชินแล้วไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่หรือแม้แต่บรรดาเพื่อนยังผู้จัดการ ยังไม่หมดแม้กระทั่งประธานบริษัทของค่ายที่เธอสังกัดก็ยังบอก
“….”
“คุณตามฉันมาทำไม?” เจสสิก้ายิงคำถามขึ้นมาแทนก่อนที่เธอจะได้ยินเสียงรองเท้าที่ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ จนกระทั่งรองเท้าสีดำขลับคู่นั้นหยุดอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับกลิ่นกายอ่อนๆของผู้ชายที่ดูน่าหลงใหล
“ผมแค่อยากทำความรู้จักครับ ไหนๆคุณก็เป็นแฟนของลู่หานมันไม่ใช่เหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาก่อนที่เขาจะยกมือสองข้างขึ้นมากั้นกักตัวของเจสสิก้าเอาไว้ แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับเธอจนหญิงสาวต้องมองเข้าไปในแววตาว่าสารวัตรหนุ่มต้องการอะไรกับเธอกันแน่ แต่พอเห็นแววตาดุจหมาป่ากำลังล่าเหยื่อแล้ว เธอก็เข้าใจในทันที มือบางอีกข้างที่ไม่ได้ถือบุหรี่ค่อยๆเลื่อนขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าคมหล่อๆนั่นอย่างยั่วยวน
“เหรอคะ”
“ผมอยากทำความรู้จักคุณมากกว่านี้ได้มั๊ยล่ะ?” ต่างคนต่างรู้ความหมายของคำว่าทำความรู้จักดีก่อนที่เจสสิก้าจะยกยิ้มอย่างพอใจ ถึงแม้ว่าคริสจะไม่ใช่คนที่เธอต้องการก็ตาม แต่ไหนๆเขาก็สนใจเธอแล้วเธอจะยอมเล่นด้วยดีมั๊ยนะ?
“ฉันไม่อยากทำผิดต่อลู่หานเลยจริงๆ”
“แน่ใจนะว่าคุณคิดอย่างนั้น” คริสเอ่ยออกมาอย่างรู้ทัน ริมฝีปากที่เม้มกันไว้ของเธอทำให้เขารู้สึกอยากจะเอาริมฝีปากตัวเองไปประทับ อยากบดขยี้ให้มันแดงกว่านี้ แต่ถ้าทำแบบนั้นตอนนี้ก็ดูจะเป็นการทำลายภาพลักษณ์สารวัตรของเขามากเกินไป ทางที่ดีเขาควรจะรอเวลาที่เหมาะสมมากกว่า
“ฉันก็คิดอย่างนั้นสิคะ”
“ผมจะยอมเชื่อคุณละกันนะ” สิ่งที่คิดไว้ก่อนหน้านั้น คริสคิดว่าล้มเลิกไปก่อนดีกว่ามั๊ย เพราะตอนนี้เขาได้ประทับริมฝีปากของตัวเองไปกับปากของอีกคนซะแล้วสิ ก่อนจะที่เขาจะกดจูบปากแดงๆนั่น ไม่ต้องรอให้เสียเวลาหรอก เขาสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของเธอทันทีก่อนจะทำการชิมความหวานจากข้างในปากของอีกคน ลิ้นอุ่นๆสองลิ้นแลกเปลี่ยนความหวานความต้องการต่อกันและกันไปมาอย่างไม่รู้สึกพอก่อนที่เจสสิก้าจะดับบุหรี่ในมืออีกข้างแล้วเลื่อนขึ้นมาเป็นโอบรอบคอของเขา ทั้งสองคนกำลังจูบกัน โดยไม่สังเกตเลยว่ามีใครบางคนกำลังแอบมองอยู่
หึหึ
อย่าเผลอละกันนะ….เจสสิก้า
แทยอนมองคนที่นอนกอดเธอเอาไว้ก่อนจะเบ้ปากใส่ ให้ตายเถอะผู้ชายคนนิ้ ไม่เคยพอเลยจริงๆสำหรับไอ้เรื่องพรรค์นี้ หลังจากที่เธอกับลู่หานนั้นสร้างบทรักหรือจะเรียกว่าบทลงโทษในรถของเขากันแล้ว เขายังขับรถพาเธอมาต่อที่คอนโดของเขาอีกต่างหาก ช่วงนี้แทยอนเลยรู้สึกว่าตัวเองนั้นมาคอนโดสุดหรูของเขาบ่อยไปแล้ว แถมมาก็ยังมาอยู่แต่ห้องเดิมๆ โดยเฉพาะห้องนอนที่เธอกับเขานั้นร่วงสร้างกิจกรรมเข้าจังหวะด้วยกัน เสียงเครื่องปรับอากาศดังไปทั่วห้องเพียงเพราะในห้องนี้เขาและเธอไม่มีใครพูดอะไร สายตาของแทยอนค่อยๆเปลี่ยนจากคนที่นอนกอดไปเป็นมองด้านล่างของตน ผ้าห่มที่คลุมร่างกายที่เปล่าเปลือยของเธอกับลู่หานเอาไว้ทำให้เธอรู้สึกเขินเอาดื้อๆ อะไรกันเนี่ย? ทำไมอยู่ดีๆเธอถึงได้มีอาการเขินกันล่ะ ในเมื่อเรื่องแบบนี้ของเธอกับเขาเกิดขึ้นบ่อยจะตายไป แทยอนเธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
“คุณนี่อึดชะมัดเลยนะคนสวย ขนาดโดนผมจัดหนักไปหลายรอบแล้วยังไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อยอีก” เสียงทุ้มหวานประจำของเขาเอ่ยขึ้นในขณะที่เขายังหลับตาแทรกความคิดของแทยอนขึ้นมาก่อนที่มือที่กอดเธอไว้จะกระชับกอดให้แน่นขึ้น แทยอนเม้มปากตัวเองก่อนจะพูด
“ฉันแค่นอนไม่หลับ” ฝนที่ตกซาด้านนอกทำให้บรรยากาศในห้องดูเย็นและหนาวขึ้นมาทันตา จนแทยอนต้องซุกหน้าลงกับอกแกร่งของเขา ลู่หานยกยิ้มก่อนจะลืมตาขึ้นมาพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ
“จะต่อกันอีกรอบมั๊ยล่ะ?”
เพี๊ยะ!
โดนฟาดเข้าที่แขนอย่างรวดเร็วหลังจากที่พูดจบก่อนที่เขาจะสำออยร้องขึ้นมาเรียกร้องความสนใจจากร่างเล็กที่กำลังนอนกอดเขาบนเตียงในตอนนี้
“โอ๊ย! ผมเจ็บนะคุณ”
“อย่ามาสำออยเลยคุณลู่หาน” ผู้กองหนุ่มรีบคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ทันทีก่อนที่มือเล็กจะฟาดลงที่เขาอีกครั้งก่อนจะส่งสายตาอันร้อนแรงไปให้คนตัวเล็กในอ้อมกอด แทยอนสบตากับผู้กองหนุ่มผมสีชมพูก่อนที่แก้มขาวของเธอจะแดงระเรื่อแต่อยู่ดีๆกลีบปากของแทยอนก็เอ่ยออกมา
“คุณคิดว่าเราจะเจอตัวฆาตกรมั๊ย?”
“ทำไมคุณถามแบบนั้น?” ลู่หานไม่ตอบเขาเพียงแต่ถามคำถามกลับไป ดวงตากวางสบตากับคนตัวเล็กในอ้อมกอดก่อนจะกระชับให้แน่นขึ้นเพื่อคลายความกังวลของหญิงสาวในขณะนี้ เขารู้ดีแทยอนกำลังกลัว กลัวกับเรื่องบางอย่างที่มันกำลังจะเกิดกับตัวเธอเอง แทยอนกัดปากตัวเองแน่นก่อนที่จะโดนสัมผัสอันร้อนแรงของลู่หานทาบทามบนริมฝีปากของเธอพร้อมกับผละออกอย่างรวดเร็ว
“เวลาคุณเครียด คุณชอบกัดปากตัวเองหรือไง” ลู่หานถามติดตลกก่อนที่แทยอนจะค้อนให้เขาที่ชอบพูดเล่นอะไรไม่ถูกเวลา ตอนนี้แทยอนกำลังเครียดหนักอยู่นะ สันนิฐฐานของเธอบอกว่าต้องเป็นบุคคลใกล้ตัวของเธอหรือไม่ก็ซันนี่แต่เซ้นส์ของแทยอนบอกจริงๆว่ามันเกี่ยวข้องกับเธอแม้เรื่องทั้งหมดอาจจะมาจากซันนี่ แต่ที่เธอคิดวิตกกังวลก็คือใครกัน ใครกันที่สามารถฆ่าบุคคลพวกนี้ได้โดยใช้อาวุธที่ไม่มีใครสามารถบอกได้เลยว่ามันคืออะไร รู้แค่เพียงมันเป็นของมีคมเท่านั้น
“คุณคิดว่าอาวุธนั่นที่คนร้ายใช้ฆ่ามันคืออะไร?”
“มีดไม่ก็ดาบมั๊ง” ลู่หานตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนที่แทยอนจะเอ่ยลอยๆออกมาจนเขาต้องขมวดคิ้วสงสัย
“แต่ฉันว่าไม่ใช่”
“แล้วคุณคิดว่ามันเป็นอะไรกันล่ะ?” แทยอนเองก็ตอบไม่ได้กับคำถามนี้ มีแค่ทางเดียวก็คือตามหาหลักฐานค้นหาทางพิสูจน์ว่าสิ่งใดกันที่คนร้ายใช้ฆ่า หากเจอเจ้านี่ละก็อาจจะตามหาตัวคนร้ายได้ง่ายๆ
“มันต้องเป็นอะไรคนอย่างพวกเราคาดไม่ถึงแน่ๆ” ลู่หานเหลือบตามองคนในอ้อมกอดก่อนจะเบนสายตาไปมองนอกหน้าต่างก่อนจะพบว่าหยาดฝนกำลังตกโปรยปรายท่ามกลางความมืดและเสียงฟ้าร้องคำรามทั่วท้องฟ้า ท้องฟ้าในวันนี้ดูมืดหม่นจนรู้สึกหดหู่ไปด้วย เสียงฝนที่เล็ดลอดจากข้างนอกเข้ามาข้างในห้องผ่านช่องเล็กๆจากหน้าต่างทำให้เขาต้องเดาะลิ้นในปาก
“ฝนตกอีกแล้วสิ” แทยอนเลิกคิ้วมองตามก่อนจะเห็นว่าฝนกำลังตกจริงๆ
“แปลกนะ พอผมมองเห็นฝนตกทีไรทำไมผมชอบนึกถึงไอ้ฆาตกรนั่นตลอด รู้สึกแปลกๆกับเรื่องนี้ซะแล้วสิ” ลู่หานพูดออกมาอย่างใจคิด มันก็จริงอย่างที่เขาพูด คนร้ายมักจะลงมือฆ่าคนในเวลาฝนตก มันเกี่ยวอะไรกันกับเรื่องนี้กันนะ เขาไม่เข้าเลยจริงๆหรือที่ไปที่มามันเกี่ยวกับฝน ชักจะเป็นปมที่แก้ยากซะ
แล้วสิ
“ฉันก็คิดเหมือนกับคุณ”
“ใช่มั๊ยล่ะ” แทยอนพยักหน้าก่อนจะจ้องหยาดเม็ดฝนที่ล่วงหล่นผ่านหน้าต่างใสพร้อมกับพึมพำเบาๆ มีแค่คนเดียวที่เธอคิดออกจริงๆในตอนนี้ ถ้าหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฝน แต่ว่ามันจะใช่เหรอ?
“เวลาที่ฉันมองฝน ฉันมักจะรู้สึกว่าตัวเองหดหู่ เหงา แถมยังเศร้าแปลกๆแต่ไม่ใช่แค่ฉันหรอกนะ ซอฮยอนเองก็เป็น แต่เด็กนั่นกลัวฝนมาตั้งแต่พ่อกับแม่ตายต่อหน้าต่อตาพวกเราสองคน ตั้งแต่นั้นมาซอก็ไม่เคยถูกกับฝนเลยสักครั้งและฉัน แบคฮยอนกับพี่หมอเลยต้องดูแลช่วยกัน” คำบอกเล่าลอยๆของแทยอนทำให้ลู่หานรู้สึกเห็นใจอยู่มาก พอได้ฟังแล้วหัวใจเขายิ่งปวดหนึบๆไปทั่วอย่างกับเหมือนมีอะไรมาบีบหัวใจเอาไว้ พอได้รู้จากที่จงแดและมินซอกเล่าประวัติให้ฟัง แทยอนเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารมากคนหนึ่งจนเขาเองแอบเจ็บแทน และยิ่งคำพูดของในตอนนี้ของแทยอนที่บอกว่าตัวเองเธอผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายแบบนั้นมาพร้อมกับความเจ็บปวดยิ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บแทนขึ้นไปอีก
ถ้าหากเป็นไปได้
ก็อยากปกป้องเธอคนนี้ไปตลอด
ลู่หานมองใบหน้าที่เศร้าสร้อยของแทยอนก่อนจะกดจูบที่กะหม่อมบางของเธออย่างรู้สึกเห็นใจและรักใคร่ ตอนนี้สิ่งที่เขาอยากทำก็คือการปกป้องของแทยอน ไม่ให้เจ็บปวดไปมากกว่า และไม่ใช่แค่ในหน้าที่ของตำรวจแต่เป็นหน้าที่ของผู้ชายคนหนึ่งที่สามารถดูแลผู้หญิงคนหนึ่งให้ได้ต่างหาก เขาคิดแบบนั้นก่อนจะไล่กดจูบลงมาเรื่อยๆจนถึงดวงตาที่เริ่มคลอด้วยน้ำตา เขาพูดปลอบเบาๆก่อนจะกดจูบซับน้ำตาให้กับเธออย่างอ่อนโยน
“อย่าร้องไห้เลยนะคนสวย ผมไม่ชอบเห็นน้ำตาของคุณเลยจริงๆ” แทยอนเงยหน้ามองผู้กองหนุ่มก่อนที่เธอจะเลื่อนใบหน้าเขาไปจูบที่มุมปากของเขาเป็นการตอบแทนที่เขาปลอบเธอ
จุ๊บ
แทยอนผละหน้าออกมาพร้อมกับจ้องใบหน้าหวานกึ่งหล่อของลู่หานอย่างหลงใหล ใบหน้าของผู้กองหนุ่มเริ่มเปลี่ยนเป็นยกยิ้มที่มุมปากก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าจนแทยอนเผลอใจเต้นแรงตาม
“อย่าทำให้ผมอยากสัมผัสคุณมากกว่านี้สิ รู้มั๊ยตอนนี้เราต้องไปหาตัวคนร้ายกันก่อนนะ” ลู่หานจ้องแทยอนด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ก่อนที่เขาจะดันตัวลุกขึ้นพร้อมกับคว้าเอาร่างของแทยอนที่เปล่าเปลือยอุ้มขึ้นมาในอ้อมแขน แทยอนจ้องดวงตาที่เป็นประกายนั้นกลับก่อนจะโอบรอคอของร่างสูงเป็นการอ้อน
“ถ้าฉันอยากให้คุณสัมผัสฉันล่ะ” เอ่ยด้วยน้ำเสียงเชิงอ้อนดูเป็นการยั่วที่น่าฟัดที่สุดที่ลู่หานเคยเห็นมา ผู้กองหนุ่มอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปฟัดแก้มนิ้มให้หายหมั่นเขี้ยวก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงชวนเคลิ้ม
“ยั่วแบบนี้ไม่ดีต่อตัวเองเลยนะ” และถ้าหากลู่หานเผลอใจอ่อนกับแทยอนละก็ วันนี้เขาและเธอก็คงพลาดอะไรๆหลายอย่างเกี่ยวกับฆาตกรด้วยเช่นกัน
“ไม่ได้ยั่วสักหน่อย ปล่อยฉันสิ ฉันจะไปอาบน้ำ”
“อาบด้วยกันดีกว่านะประหยัดเวลาดี” ลู่หานบอกก่อนจะรีบลุกพร้อมกับอุ้มร่างของแทยอนที่เปลือยในอ้อมแขนของเขาเดินไปยังห้องน้ำที่รอต้อนรับเธอและเขาให้เข้าไปสุขสมข้างใน
เจสสิก้ามองประตูที่ปิดตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากที่ตรงนั้นอย่างช้าๆ หญิงสาวในชุดรัดรูปได้แต่มองท้องฟ้าที่มืดครึ้มอย่างล่องลอย หยาดฝนที่ร่วงหล่นกระทบกับใบหน้าสวยนั้นไม่ได้ทำให้เจสสิก้ารู้สึกตัวสักเท่าไร หญิงสาวเอาแต่เดินตาลอยไปมาอย่างนั้น ภายในหัวก็คิดไปถึงซันนี่คนที่เธอรู้แค่ว่าคนนี้เป็นคนสำคัญของจงอินเท่านั้น และเมื่อนึกได้แบบนี้มืออีกข้างหนึ่งก็กำแน่นอย่างไม่รู้ตัว ตราบใดที่เธอสนใจใครอยู่ จะไม่มีทางที่ใครจะมาแย่งใครคนนั้นไปจากเธอได้ โดยเฉพาะลู่หานกับจงอินคนที่เธอหมายปองไว้ตลอด
ฝนที่ตกกำลังแรงขึ้นเรื่อยๆจนเจสสิก้าต้องขมวดคิ้วพลางวิ่งหลบฝนแต่ก่อนที่จะได้หลบฝนอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ตรงป้ายรถเมล์เก่าๆที่ไม่น่าจะมีใครอยู่ดึกป่านนี้กลับมีร่างของใครคนหนึ่งที่ใส่ชุดกันฝนคลุมดำ เจสสิก้าไม่รู้ว่าเพราะความมืดเกินไปหรือสายฝนที่ตกแรงทำให้เธอมองใบหน้านั้นไม่ชัด รองเท้าส้นสูงย่างก้าวเข้าไปในป้ายรถเมล์อย่างช้าๆพลางเหลือบตามองคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว อีกคนที่นั่งก้มหน้าอยู่ก่อนหน้านั้นก็แค่ขัยปลายเท้าพร้อมกับกระชับร่มในมือที่พับเก็บไว้เท่านั้นเอง แต่เธอกลับตกใจจนต้องอดมองด้วยสายตาสงสัยไม่ได้
ดึกป่านนี้ยังมีคนอยู่อีก
พลางคิดในใจอย่างรู้สึกฉงนใจแต่ก็ไม่ได้อะไรมาก เธอคิดว่าคนนี้อาจจะทำงานกลางคืนก็ได้ ใครจะไปรู้ หญิงสาวร่างบางค่อยๆเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ยาวตัวเดียวกันกับคนคนนั้นก่อนจะค่อยๆนั่งลงช้าๆพลางเหลือบตามองดูท่าทีของอีกคน แต่คนนั้นกลับเฉยและก้มหน้าอยู่แบบนั้น เธอจึงหันไปมองหยาดฝนที่หล่นกระทบกับพื้นถนนทันที
เงาของสองร่างที่นั่งเก้าอี้ตัวยาวตัวเดียวกันภายใต้ป้ายรถเมล์เก่าๆสะท้อนลงบนพื้นน้ำที่นองเจิ่งไปทั่วพื้นถนน ท้องฟ้ายังมืดครึ้มไม่มีท่าทีว่าฝนจะหยุดตกแม้แต่น้อย จนเจสสิก้าที่ต้องการกลับบ้านเร็วๆถึงกับชักสีหน้า
“จะตกอะไรกันนักกันหนา! ไม่รู้หรือไงว่าฉันต้องกลับบ้าน!” บ้าจริงเธอไม่น่าหนีมาก่อนสารวัตรคริสเลย เธอน่าจะรอให้เขาตื่นแล้วค่อยบอกให้เขาไปส่งเธอที่คอนโดซะก็เรียบร้อย แต่เพราะความที่นอนไม่หลับทำให้เธอตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบของเธอสินะ
“บ้าที่สุด!”
พรึ่บ!
อยู่ๆคนที่เจสสิก้าคิดว่าเขาน่าจะนั่งอยู่ตรงนี้อีกนานๆกลับลุกยืนขึ้นอย่างรวดเร็วจนเธอเองยังตกใจ หญิงสาวหันใบหน้าสวยๆของตนไปมองก่อนจะรู้สึกหนาวๆแปลกๆจนต้องใช้มือลูบแขนทั้งสองข้างของตัวเอง ทุกอย่างกำลังเงียบมีเพียงแค่เสียงลมหายใจของเจสสิก้ากับเสียงรองเท้าของอีกคนที่กำลังเดินมาทางที่เธอนั่ง เจสสิก้ามองรองเท้านั่นไม่วางตาเธอไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองคนนั้นเลย ทุกอย่างกำลังผ่านไปช้าๆจนกระทั่งรองเท้านั้นมาหยุดตรงหน้าของเธอ
เสียงของฝนที่กำลังอย่างแรงไม่ได้แทรกผ่านเข้าหูของเธอเลยแม้แต่น้อย เธอได้ยินแค่เสียงหายใจของตัวเองที่มันกำลังจะติดๆขัดๆกับเสียงหัวใจของเธอที่เริ่มเต้นแรง ไม่ใช่เพราะเธอเขินหรือตื่นเต้นแต่อย่างใด แต่มันเต็มไปด้วยความกลัว บุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ทำให้เจสสิก้ารู้สึกกลัวเป็นอย่างมาก เพียงแค่มองปลายรองเท้าอีกคนเจสสิก้าก็พูดไม่ออก
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
“อะ…เอ่อ” เป็นครั้งแรกที่นางแบบสาวนั้นรู้สึกกลัวสุดขีด มันเป็นความกลัวที่ส่งมาจากก้นบึ้งของจิตใจบ่งบอกว่าคนนี้มีอะไรชอบมาพากลแปลกๆทำให้เธอต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างช้าๆ
“….” ความเงียบทำให้บรรยากาศที่กำลังแปลกๆเกิดความรู้สึกอึดอัดแก่หญิงสาวเป็นอย่างมาก
ซ่าๆๆๆ
เสียงของฝนยังคงตกโปรยปรายไปทั่วรอบบริเวณและเพราะความอึดอัดเกินไปทำให้เจสสิก้าต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างช่วยไม่ได้แม้ว่าตอนนี้เธอจะรู้สึกกลัวแค่ไหน แต่อีกใจของเธอกลับสั่งให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นมองคนคนนั้น แต่บางทีเจสสิก้าอาจจะคิดผิด และเพียงแค่เธอสบตากับคนนั้นแสงแวววับแสบตาก็สะท้อนกับเธอพร้อมกับลมหายใจครั้งสุดท้ายจะดับลง
ฝนยังคงตกอยู่แบบนั้นอยู่ตลอดเวลาแต่ลมหายใจของเจสสิก้ากลับไม่มีอีกแล้ว ดวงตาที่เบิกโพลงราวกับตกใจบางสิ่งบางอย่างพร้อมกับร่างที่ล้มลงแน่นิ่งบนพื้นไม่ได้ทำให้คนชุดกันฝนสีดำนั้นกลัวและเห็นใจแม้แต่น้อย แต่กลับกันรอยยิ้มสะใจปนสมเพชถูกจุดบนใบหน้าก่อนที่คนคนนั้นจะคว้าเอาถุงสีดำที่ถูกยัดภายในกระเป๋าขึ้นมาพร้อมกับอ้าถุงให้กว้าง ถุงสีดำขนาดใหญ่ที่พอดีกับคนหนึ่งร่างทำให้สามารถใส่ร่างของหญิงสาวที่ไม่มีชีวิตได้พอดี ก่อนที่จะหยิบเอาอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ข้างๆกับร่างนั้น นั่นก็คือ
หัวของหญิงสาว!
เธอแส่หาเรื่องเองนะ…สาวน้อย
ในป้ายรถเมล์ไม่มีใครอีกแล้ว ไม่มีใครสักคน มีเพียงแค่ความเงียบและความร้างของป้ายเท่านั้น น้ำที่เจิ่งนองผสมกับเลือดเข้มข้นอยู่บนพื้นค่อยๆไหลไปตามทางที่ชันลงต่ำก่อนจะไหลเข้าไปในท่อน้ำ มีเพียงร่างหนึ่งที่มองอยู่บนถนนก่อนจะเดินกางร่มสีแดงจากไปทิ้งไว้แต่ความเหงาและเงียบอีกครั้งของป้ายรถเมล์นี้
วันต่อมา
ทิฟฟานี่ที่อยู่ในชุดนอนกระโปรงสีขาวบางกำลังยืนชงกาแฟภายในห้องครัวของคอนโดหรูใจกลางเมือง กลิ่นหอมอุ่นๆของกาแฟทำให้เธอรู้สึกสดชื่นมากกับบรรยากาศในตอนเช้าแบบนี้ เสียงของโทรทัศน์ที่เธอเปิดยังส่งเสียงของโฆษณาต่างๆดังมาจากห้องนั่งเล่น ทิฟฟานี่หมุนตัวพร้อมกับถือแก้วกาแฟอกมาจากห้องครัวก่อนจะมานั่งที่โซฟากลางห้องนั่งเล่นพร้อมกับวางแก้วกาแฟหอมๆลงบนโต๊ะตัวเล็ก ขาเรียวขาวยกขึ้นมาไขว้ก่อนที่ดวงตายิ้มจะจดจ้องไปยังจอโทรทัศน์อย่างสนใจเมื่ออยู่ๆก็มีรายงานเกิดเหตุเกี่ยวกับการตายขึ้นมา เธอมองนักข่าวที่อยู่ในทีวีกำลังชี้ให้เห็นถึงรอยเลือดที่ติดอยู่บนพื้นที่ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่งก่อนที่จะชี้ให้เห็นถึงรอยเลือดที่ไหลลงท่อน้ำ มันน่าขำนะที่กล้าเสนอข่าวแบบนี้ให้กับประชาชนดู นักข่าวพวกนี้คิดอะไรกันอยู่นะ ทิฟฟานี่ไม่สนใจหยิบรีโมทมากดเปลี่ยนช่องเพื่อที่จะดูอะไรที่บันเทิงมากกว่า เธอคิดว่าถ้าดูอะไรเกี่ยวกับการตายเช้าๆมันจะทำให้ตัวเองกังวล ก่อนที่จอโทรทัศน์จะเปลี่ยนเป็นนางแบบตาคมที่กำลังถ่ายชุดแฟชั่นของหน้าฝนอยู่ ทิฟฟานี่ยิ้มก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มอย่างสบายใจ
ติ๊ง!
เสียงเตือนของแอพพลิเคชั่นสุดฮิตดังขึ้นก่อนจะปรากฏข้อความบนหน้าจอไอโฟนสุดหรูหราของเธอ ทิฟฟานี่เหลือบตามองก่อนจะพบว่าข้อความนั้นเป็นข้อความของผู้จัดการของเธอที่ส่งมาเตือนเรื่องงานที่เธอต้องไปเดินแบบให้กับสินค้าดังๆของบริษัทหนึ่ง แต่พอนึกไปแล้วว่าวันนี้เจสสิก้านางแบบอันดับต้นๆสูสีกันกับเธอเองก็เข้าร่วมเดินด้วยทำให้ทิฟฟานี่ขมวดคิ้ว นี่แสดงว่าเธอกับเจสสิก้าต้องโคจรมาเจอกันอีกแล้วเหรอ นับตั้งแต่งานในครั้งนั้นที่เธอกับเจสสิก้ามีเรื่องกันถึงขั้นตบกันกลางงาน เธอกับเจสสิก้าก็ไม่เคยร่วมงานกันอีก ใครๆในวงการก็รู้ว่าทิฟฟานี่และเจสสิก้าไม่ถูกกันขนาดไหน อีกคนก็เอาแต่ใจอยากได้อะไรก็ต้องได้ ส่วนอีกคนก็เรื่องมากสุดๆ แบบนี้มันเข้ากันได้ที่ไหนกันล่ะ จริงมั๊ย?
“ยังไงก็ต้องเจอกันอีกสินะ” ทิฟฟานี่พูดเบาๆก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเอากาแฟที่หมดแก้วไปวางไว้เพื่อเตรียมที่จะล้าง แต่แค่เพียงขาเรียวก้าวเท้าออกไปยังไม่พ้นเขตห้องนั่งเล่นเสียงออดของห้องของเธอก็ดังขึ้น ทิฟฟานี่ขมวดคิ้วอีกครั้งว่าใครกันมากดออดห้องเธอในตอนเช้า แต่พอคิดๆไปอาจจะมีอะไรมาส่งเธอแบบด่วนๆก็ได้ มือขาวเลยได้แต่วางแก้วกาแฟไว้แถวนั้นก่อนจะสาวเท้าเดินไปที่ประตูพร้อมกับปลดล๊อคเพียงแค่เธอเปิดประตูก็พบกับคนส่งไปรษณีย์ที่ใส่หมวกจนปิดบังใบหน้าไว้หมดแต่มือของเขากลับยื่นกล่องพัสดุขนาดใหญ่ส่งมาให้เธอ
“เอ๋?...ของฉันเหรอคะ?” ทิฟฟานี่ถามออกไปแต่เขากลับไม่ยอมพูดอะไรแม้แต่น้อย เธอจึงเอื้อมมือไปรับอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะก้มหน้าลงมองกล่องขนาดใหญ่อย่างสงสัยว่าข้างในมันเป็นอะไร พอจะเงยหน้าขึ้นถามอะไรสักอย่างคนคนนั้นก็ไม่อยู่ซะแล้ว ทิฟฟานี่จึงเดินออกมาจากห้องเพื่อมองตามหาร่างนั้น แต่ว่ากลับไม่พบเลย
คนอะไรเดินเร็วชะมัด
หญิงสาวคิดในใจก่อนจะเดินเข้าไปในห้องพลางถือกล่องพัสดุปริศนาเข้าห้องด้วยอย่างช่วยไม่ได้ มือขาววางกล่องใหญ่ตรงกลางห้องก่อนจะเดินหามีดและกรรไกรมาเพื่อแกะกล่องดู ทิฟฟานี่ใช้มีดคัตเตอร์อย่างไม่ค่อยชำนาญเท่าไรเพราะเธอเองก็ไม่ได้หยิบจับสิ่งนี้มานาแล้วตั้งแต่โดนมีดบาดตอนจะทำอาหาร และแค่เพียงเธอเปิดกล่องแง้มดูนิดหน่อย กลิ่นเหม็นคาวบางอย่างก็ส่งกลิ่นออกมาให้กับเธอจนเธอต้องเอามือปิดจมูก ดูท่ายังไงก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีแน่ หรือบางทีอาจจะเป็นพวกแอนตี้หรือคนที่ไม่ชอบเธอส่งมาให้ แต่ความอยากรู้ว่ามันคืออะไรในกล่องก็ทำให้ทิฟฟานี่เปิดดูจนได้
!!!!!!!!!!
ดวงตาที่เบิกโพลงจากภายในกล่องนั้นคือสิ่งแรกที่เธอเห็นและทำให้ทิฟฟานี่ต้องตกใจและกริ๊ดออกมาทันทีที่เห็นมัน
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!
แสงแฟลชมากมายของนักข่าวและเจ้าหน้าที่กำลังรัวกับกล่องใบใหญ่ที่ในนั้นมีศพที่ถูกชำแหละออกมาเป็นชิ้นส่วนรวมถึงชานยอลด้วย ชายหนุ่มรัวกล้องของตัวเองอยู่สักพักก่อนจะหยุดพร้อมกับหันมามองเพื่อนสนิทหน้าหวานที่เกือบมีเรื่องกันเมื่อวานอย่างลู่หานก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยถาม
“มึงรู้ได้ไงว่าเป็นเจสสิก้า?” ผู้กองหนุ่มไม่ตอบอะไรมีเพียงแค่สายตาที่ส่งความเสียใจออกมาให้กับชิ้นส่วนจากร่างที่ไม่มีชีวิต ดวงตากวางของผู้กองหนุ่มหันไปมองยังเจ้าของห้องที่ดูท่าจะขวัญเสียไม่น้อยกับเหตุการณ์แบบนี้ ไม่ว่าจะใครก็ต้องตกใจและกลัวเหมือนกันนั่นแหละหากต้องเจอกล่องที่มีศพอยู่ในนั้น
“เสียดายคนสวยๆแบบนี้ว่ะ” ชานยอลยังคงพูดอยู่แบบนั้นเพื่อที่จะให้ภายในห้องคลายเครียดแต่ว่ามันกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย
“มึงตามเขาไปอยู่มั๊ยล่ะ?”
“ไม่ดีกว่า เขาชอบมึงนิ” ทั้งสองเพื่อนรักมองตากันก่อนที่ร่างของใครบางคนจะเดินเข้ามา ลู่หานหันไปมองก่อนจะก้มหัวให้กับเจ้านายของตน สารวัตรคิสที่อตนนี้เหมือนจะอึ้งเล็กน้อยกับข่าวที่ได้รู้และยิ่งเห็นว่าศพนั่นเป็นของเจสสิก้า ผู้หญิงที่เขานอนด้วยเมื่อคืน
“สารวัตร ตกใจอะไรครับ?” ชานยอลถามสารวัตรที่เหมือนจะทำหน้าตกใจเล็กน้อย คริสหันมามองก่อนจะพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยๆ
“พวกคุณรู้มั๊ย? ว่าเมื่อคืนเจสสิก้านอนกับผม” ชานยอลและลู่หานนิ่งก่อนจะตั้งใจฟังเรื่องที่สารวัตรคริสอยากจะเล่า
“ผมกับเธอนอนด้วยกัน ไม่สิ ไม่ใช่แค่นอน คุณก็รู้ใช่มั๊ยว่าผู้ชายอย่างเราๆเองก็ต้องการเรื่องแบบนี้เป็นธรรมดา” คริสเอ่ยเสียงเบาลงเพื่อที่จะไม่ให้คนอื่นๆได้ยินเรื่องที่เขาทำ ลู่หานมองเจ้านายตนไม่วางตา ไม่ใช่เพราะเขาโกรธหรืออะไรหรอกนะ แต่เพราะเขากำลังเก็บข้อมูลต่างหาก
“ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนนไหน แต่ตอนผมตื่นมานั่นก็ตีสามแล้ว และเจสสิก้าเธอก็ไม่อยู่ ผมเลยคิดว่าเธออาจจะกลับก่อนหน้านั้น”
“แสดงว่าเธอน่าจะโดนฆ่าตายที่ป้ายรถเมล์แถวบ้านสารวัตรหรือเปล่า?” ลู่หานถามออกไป อยู่ๆข่าวเมื่อเช้าที่เขาได้รับจากพวกเจ้าหน้าที่ที่ออกไปพิสูจน์รายงานเข้ามาก็ลอยเข้ามาในหัว และสถานที่ตรงนั้นก็บังเอิญอยู่ใกล้บ้านคริสที่สุด
“น่าจะ พวกนายคิดว่าจะเป็นฆาตรกรมร่มสีแดงหรือเปล่าล่ะ?”
“ไม่ผิดแน่” ลู่หานตอบมาอย่างมั่นใจก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองยังศพในกล่องที่ถูกเจ้าหน้าที่ยกออกมาข้างนอกเพื่อตรวจสอบดูชิ้นส่วน ยิ่งส่วนหัวของหญิงสาวแล้วด้วย คริสและชานยอลหันหน้าหนีทันทีเพราะไม่อาจทนเห็นได้ มีเพียงแค่ลู่หานที่ยังจดจ้องคู่หมั้นของตน
“มีแค่มันคนเดียวที่กล้าทำเรื่องแบบนี้”
“คุณจะปล่อยเร่องนี้ไม่ได้นะผู้กองลู่หาน งานนี้มันเกินสาหัสแล้ว ไอ้ฆาตกรนั่นมันต้องฆ่าใครสักคนเป็นรายต่อไป” คริสบอกกับผู้กองหนุ่มที่หันมามองตน ก่อนที่ชานยอลจะพูดออกมาพร้อมกับชี้นิ้วไปยังทิฟฟานี่ที่กำลังนั่งสั่นเทาเพราะความกลัวอยู่ที่โซฟา
“ไม่แน่อาจจะเป็นทิฟฟานี่ก็ได้เป็นรายต่อไป ใครจะรู้” สองหนุ่มหันไปมองตามนิ้วที่ชี้ของชานยอลก่อนที่แต่ละคนจะเงียบ โดยไม่มีใครพูดอะไรออกมา ลู่หานสบตากับเพื่อนรักแสบหนึ่งก่อนจะเดินไปหาทิฟฟานี่ ผู้กองหนุ่มหยุดยืนอยู่ตรงหน้านางแบบสาวก่อนจะถามเสียงเรียบ
“คุณทิฟฟานี่ใช่มั๊ย?” ทิฟฟานี่มองคนมาใหม่ก่อนจะพยักหน้า เธอจำได้ว่านี่คือผู้กองลู่หานเพราะเมื่อวานเขากับเธอเจอกันตอนที่อยู่ในโรงพยาบาล หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองปากสั่นไปหมดเมื่อสบตากับผู้กองหนุ่ม
“คุณรู้มั๊ยว่าใครส่งกล่องที่มีศพนี้มาให้คุณ?”
“ไม่ทราบค่ะ ที่หน้ากล่องไม่มีอะไรเขียนไว้”
“แล้วคุณเอากล่องนี้มาจากไหน?” ลู่หานเค้นถามเสียงเรียบแต่ในใจนี่ร้อนรุ่มไปหมด
“เมื่อเช้ามีไปรษณีย์มาส่งที่ห้องฉัน”
“คุณรับมันมากับมือ?”
“ค่ะ…”
“เห็นหน้ามันหรือเปล่า?”
“ไม่ค่ะเพราะเขาใส่หมวกปิดฉันเลยไม่เห็นหน้าเขา” ลู่หานพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะขอบคุณสำหรับข้อมูลเล็กน้อย ก่อนที่ผู้กองหนุ่มจะสาวเท้าไปหาคริสกับลู่หานที่ยืนรออยู่ ลู่หานมองหน้าทั้งสองคนก่อนจะพูดออกมา
“ไปตรวจสอบที่กล้องวงจรปิดของคอนโดนี้เถอะ”
TBC.
------------------------------------------------------
ต่อจนครบ 100% แล้ว !!!!
เพราะความสะเพร่าของบิวเอง บิวเลยทำไฟล์หาย T^T
ตอนนี้หลังๆเลยต้องแต่งใหม่หมดเลย
แต่ว่าในที่สุดเนื้อเรื่องของบิวก็ออกทะเลค่ะ
ไม่เป็นไรเนาะจะได้อ่านนานๆ และยาวๆ
อย่าว่ากันเลยนะคะ หากเรื่องนี้ไม่สนุก
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พอไรท์มาอัพตอนที่สิบเจ็ดต่อ ไรท์จะเห็นเม้นท์น้อยๆ ของ slowly มั้ยนะ
แล้วจะส่งฉากคัททั้งหมดของเรื่องนี้ให้มั้ยนะ (ไม่ลืมๆ pooongpangR@gmail.com)
ถ้าส่งให้ ขอให้ไรท์สมปรารถนาทุกประการ เพี้ยงงงงงงงง
แล้วคำพูดที่ว่่าเจสแส่หาเรื่องเองนี่เป็นของใครละเนี่ย
ติดตามต่อไปจ้าาาาา ไรต์เตอร์สู้ๆ
ใครจะเป็นรายต่อไปเนี่ยยยย
ใครคือฆาตกรรรร โอ๊ยยย อยากรู้
สงสัย ยูริ มาก
ใครเป็นฆาตกรกันนะ อยากรู้
ขอให้จับฆาตรกรกันได้เร็วๆนะ
แต่ที่สงสัย ยูริ ซอ
รายต่อไปใครอ่ะ ลุ้นๆๆๆ
น่ากลัวๆ
ตอนเเรกคิดว่า ยูริ พออ่านไปๆมาๆ คงเป็นไม่ได้อ่ะ ต่อๆๆๆ ค่า