คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #43 : อักษรไทย
ประวัติศาสตร์
อักษรไทยปรับปรุงมาจาก อักษรขอม ในที่นี้ ขอมที่ว่า คือคำที่ คนไทยทางเหนือใช้เรียกคนไทยทางใต้ในที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามานานแล้วว่า พวกขอม ขอมที่ว่าจึงเป็นขอมที่เป็นไทสยาม การนำภาษาขอม (หรือไทสยาม) มาปรับเป็นภาษาไทยที่ใช้ใน
ปัจจุบัน นั้น นักวิชาการจำนวนหนึ่ง ในช่วงปี พ.ศ. 2534 เป็นต้นมา พร้อมหลักฐานการศึกษาใหม่เชื่อว่า เป็นการปรับใช้มาจากในช่วงสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2223) ซึ่งตัวอักษรและการใช้งานมีความคล้ายคลึงกับของปัจจุบันมากที่สุด
ในอีกทฤษฎีหนึ่งได้มีการกล่าวไว้ว่า ในสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ท่าน ทรงประดิษฐ์อักษรที่เรียกกันว่า "ลายสือไทย" ขึ้น และ มีการเรียกกันว่าเป็นต้นกำเนิดของอักษรไทยนั้น มีการสืบอายุกลับไปเพียงประมาณ 700 ปี ซึ่งแท้จริง
แล้ว "ลายสือไท" น่าจะเป็นหนึ่งในการพัฒนาอักษรไทย ในหลายๆ สาย ซึ่งจริงๆ แล้วไทสยาม ได้มีอักษรใช้กันมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยเป็นการวิวัฒน์มาจาก อักษรพราหมี และ
ปัลลวะ ซึ่งเป็นแบบตัวอักษรที่นำมาจากอินเดียตอนเหนือและตอนใต้ตามลำดับ[1] ตามหลักฐานที่น่าเชื่อมากกว่ายืนยันว่า ชาติสยาม มีอักษรใช้มานานแล้ว นับได้เป็นพันปี คิดเป็นจำนวนปี ได้ 1400 ปีมาแล้วโดยประมาณ
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1826 โดยทรงดัดแปลงมาจากอักษรขอมหวัดและอักษรไทยเดิม ซึ่งดัดแปลงมาจากอักษรมอญและคิด
อักษรไทยขึ้นใหม่ให้มีสระ และวรรณยุกต์ให้พอใช้กับภาษาไทย และทรงเรียกอักษรดังกล่าว ลายสือไทย ดังมีกล่าวในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงตอนหนึ่งว่า
"เมื่อก่อนลายสือไทยนี้บ่มี 1205 ศกปีมะแม พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในใจ แลใส่ลายสือไทยนี้ ลายสือไทยนี้จึงมีพ่อขุนรามคำแหงผู้นั้นใส่ไว้
" (ปี 1205 เป็นมหาศักราชตรงกับพุทธศักราช 1826)
ลักษณะอักษรไทยสมัยพ่อขุนรามคำแหง
1. อักษรสมัยพ่อขุนรามคำแหงดัดแปลงมาจากอักษรขอมหวัด มีดังนี้คือ ก ข ค ฆ ง จ ฉ ช ญ ฎ ฐ ณ ต ถ ท ธ น ป ผ พ ภ ม ย ร ล ว ศ ษ ส ห และได้เพิ่มพยัญชนะและวรรณยุกต์ให้พอกับภาษาไทยในสมัยนั้น ได้แก่ ฃ ฅ ซ ฎ ด บ ฝ ฟ อ และวรรณยุกต์เอก และโท
2. สระและพยัญชนะเขียนเรียงอยู่ในบรรทัดเดียวกัน และสูงเสมอกัน เขียนสระไว้หน้าพยัญชนะ ยกเว้นสระอะ สระอาเขียนอยู่ข้างหลัง ส่วนวรรณยุกต์เขียนไว้ข้างบน
3. สระอะเมื่อมีตัวสะกด ใช้พยัญชนะซ้อนกัน เช่น น่งง (นั่ง) ขบบ (ขับ)
4. สระเอีย ใช้ ย แทน เช่น สยง (เสียง) ถ้าไม่มีตัวสะกดใช้สระอี โดยไม่มีไม้หน้า
5. สระอัว ที่ไม่มีตัวสะกด ใช้ วว เช่น ตวว (ตัว)
6. สระอือและสระออที่ไม่มีตัวสะกด ไม่ใช้ อ เช่น ชี่ (ชื่อ) พ่ (พ่อ)
7. สระอึ ใช้สระอิและสระอีแทน เช่น ขิ๋น (ขึ้น) จี่ง (จึ่ง)
8. ตัว ม ที่เป็นตัวสะกดใช้นฤคหิต เช่น กลํ (กลม)
ฯลฯ
อักษรไทยของพ่อขุนรามคำแหง ใช้แพร่หลายในเขตล้านนา ล้านช้าง และกรุงศรีอยุธยา ต่อมาชาวล้านนาและชาวล้านช้างเลิกใช้อักษรไทยสมัยกรุงสุโขทัยและใช้อักษรของพวกลื้อ ซึ่งเป็นอักษรไทยพวกหนึ่งแทน ส่วนกรุงศรีอยุธยายังคงใช้อักษรไทยและดัดแปลงแก้ไขมาเป็นระยะ ๆ จนเป็นเช่นอักษรไทยปัจจุบัน
ในสมัยอยุธยามีการเรียนการสอนภาษาไทยดังเห็นได้จากมีตำราสอนอ่านและเขียนภาษาไทยเกิดขึ้น ชื่อว่า จินดามณี คนไทยนิยม แต่งโคลงกลอน (และแต่งตำราต่าง ๆ) ในยุคโน้นคนมีโอกาสเขียนหนังสือ การเขียน คงแพร่หลายมากกว่ายุคสุโขทัย และ
เป็นการเขียนด้วยมือ ตัวหน ังสือจึงพัฒนาเปลี่ยนไปมากและมีลักษณะใกล้เคียงกับตัวเขียนในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการเขียนตัวอักษรเท่า นั้น ส่วนระบบการเขียนยังคงเดิม
นอกจากอักษรไทยที่สืบทอดมาจากสุโขทัยที่กล่าวมาแล้ว ในเมืองไทย ยังมีตัวอักษรพื้นเมืองอื่น ๆ ที่รู้จักกันอีกคือ ตัวอักษรฝัก ขาม และตัวอักษรพื้นเมืองล้านนา ซึ่งในปัจจุบันไม่ได้ใช้เขียนอ่านในชีวิตประจำวันแล้ว ตัวอักษรที่เราใช้เขียนในราชการ ใน
โรงเรียน และในการสื่อสารทั่ว ๆ ไป ในปัจจุบันเป็นตัวเขียนมีวิวัฒนาการสืบทอดมาจากลายสือไทยที่พ่อขุนรามคำแหงทรงประดิษฐ์ขึ้นที่เราได้เห็นในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ จาก "การจารึก" บนแผ่นศิลา มาสู่การเขียนด้วยมือ และในปัจจุบันนอกจากการเขียนแล้ว
เรายัง "พิมพ์" ภาษาไทยด้วยพิมพ์ดีด และด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์อีกด้วย รูปร่างลักษณะของตัวหนังสือไทยได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลาและเทคโนโลยีของแต่ละยุค เช่นเดียวกับคนไทยที่เปลี่ยนลักษณะชีวิตความเป็นอยู่ไปตามกาลเวลาและสภาพแวดล้อม
อ้างอิง
ความคิดเห็น