ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Engineer Romance ศิลปกรรมขอเกียร์ เอนจิเนียร์ขอใจ END

    ลำดับตอนที่ #5 : Episode - 3 - ความรู้สึกที่ถูกเก็บซ่อน [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.67K
      304
      8 พ.ค. 66

    ร้านหมูกระทะข้างมหาวิทยาลัย

    หลังจากรับน้องเสร็จฉันก็ทวงบุญคุณให้เพื่อนสนิทเลี้ยงหมูกระทะ เพราะเมื่อกี้ฉันสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องทุกคนได้สำเร็จ

    “นี่แกไปล้มที่ลานเกียร์” ทั้งสี่คนตะโกนดังลั่นแถมยังทำตาโตเป็นไข่ห่านจนลืมหมูที่อยู่บนเตา กับเรื่องสุดระทึกที่ฉันเล่ามาทั้งหมด

    “นี่ที่เล่ามาทั้งหมดพวกแกจับใจความได้ประโยคเดียวที่มันไม่สำคัญเลย?”

    “ประโยคนี้แหละสำคัญสุด”

    “อิจฉามากแม่ แกไปทำอีท่าไหนวะ”

    “มือแหกเนี่ยนะ” ฉันยกฝ่ามือให้พิมมี่ดู

    “ถ้ามือแหกแล้วได้พี่รามเป็นผัว เอ๊ยเป็นแฟนก็คุ้มนะโว้ย ฮ่า ๆ”

    “เดี๋ยวตบปากแตกแทนมือเลย แล้วเรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะแกเลยนังคิม บอกให้ดูต้นทางดันตามผู้ชายทิ้งฉันเลยจ้า” ฉันใช้ตะเกียบชี้หน้าคาดโทษเพื่อนสนิท

    “ก็รุ่นพี่วิศวะสุดหล่อเขาบอกให้ฉันไปช่วยถือของนี่หว่า คนเราก็ต้องมีน้ำจิตน้ำใจปะ” คิมมี่บอกท่าทีเขิน ๆ ไม่ได้สำนึกผิดเลย

    “เห็นผู้ดีกว่าเพื่อนนะแกเนี่ย” ฉันคีบหมูชิ้นที่คิมมี่ย่างไว้ใส่ปากประชดมันซะเลย

    “จะว่าไปฉันนึกว่าแกจะถูกเชือดคาห้องสโมสรนักศึกษาซะแล้ว”

    “พวกแกทุกคนก็เลยสละเรือหนีฉันไปเลยเนี่ยนะ”

    “ใครสละเรือพวกฉันก็แค่ตกใจเลยหนีมาตั้งหลัก แกคิดดูนะเว้ยถ้าถูกจับได้กันหมดแล้วพี่เขาเรียกตำรวจมาใครจะไปประกันตัวแก จริงไหมรถเมล์”

    “จริง พวกเราเป็นห่วงเอยมากเลยนะ”

    “เอานี่ฉันยกเบคอนของโปรดให้แกเลย สำหรับการเอาตัวรอดของแกวันนี้ ฉลาดมากเพื่อนรัก ไม่เสียแรงที่คบแกมาตั้งแต่เด็ก ๆ”

    “พวกแกทุกคนไม่ต้องมาประจบเอาใจฉันเลย ถึงย่างให้ฉันกินยังไงก็ต้องช่วยฉันพิมพ์บทเรียนวิศวะเล่มนั้นจ้า”

    “แต่ว่าวันนี้ฉันกับพิมมี่นัดพวกขนมขิงไปบริคบาร์แล้วนะเว้ย”

    “งั้นพวกแกไปก็ได้”

    “ถามจริง”

    “อืม พรุ่งนี้ฉันก็แค่จะไปบอกพี่รามว่าเรื่องเมื่อกลางวันที่จริงฉันมีผู้สมรู้ร่วมคิด ให้หักคะแนนรับน้องแกสองตัวได้เลยโดยเฉพาะแกนังคิมมี่”

    “เอิงเอย” ต่อให้โอดครวญให้ตายฉันก็ไม่ใจอ่อนหรอกจ้า กินหมูกระทะเสร็จปุ๊บฉันก็ลากเพื่อนไปร้านถ่ายเอกสารทันที และแจกแจงให้พิมพ์งานกันคนละสามบทอย่างเท่าเทียม

    พอถึงคอนโดฉันกับทิชาก็แยกย้ายกันเข้าห้องใครห้องมัน เพราะมีงานรอเราอยู่

    “เพิ่งจบบทแรกเองเหรอเนี่ย ปวดตาชะมัด ทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ”

    ฉันพักสายตาโดยไปอาบน้ำแล้วก็กลับมานั่งที่หน้าจออีกรอบ เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงที่มุ่งมั่นนั่งพิมพ์แต่ยังเหลืออีกตั้งหนึ่งบท จะได้นอนตอนไหนเนี่ย

    Rrrrr

    เบอร์ใคร?

    “ฮัลโหลค่ะ”

    [พิมพ์งานไปถึงไหนแล้ว]

    “ใคร...พี่ราม” ฉันเบิกตากว้างก่อนจะหันกลับมามองโทรศัพท์อย่างเหลือเชื่อ “พิมพ์ไปได้เยอะแล้วค่ะ พรุ่งนี้เสร็จชัวร์ไม่มั่วนิ่ม”

    [เหรอ ฉันจะบอกว่าฉันหยิบผิดเล่ม ลงมาเอาอีกเล่มไปพิมพ์แทน]

    “ฮะ?”

    [ทำไมชอบให้พูดซ้ำ ฉันรออยู่ข้างล่างรีบ ๆ ลงมา]

    “สั่ง ๆ แล้วก็วางไอ้...คนหล่อลวงเอ๊ย!”

    ก่อนจะลงไปหาพี่รามฉันรีบไลน์ไปบอกเพื่อนให้เลิกพิมพ์งานทันที โดยที่พวกมันไลน์มาด่ากันไม่หยุด แต่ด่าฉันนะไม่ใช่พี่รามของพวกมันหรอก พอลงมาที่ด้านล่างหน้าคอนโดเห็นรถบีเอ็มสปอร์ตสีขาวคันหรูไม่คุ้นตาจอดอยู่คันเดียวก็เลยเดาว่าน่าจะเป็นรถของพี่ราม

    ก๊อก ๆ กระจกรถคันสวยถูกลดหลังจากที่ฉันเป็นคนเคาะ

    “พี่มาถูกได้ไงเนี่ย”

    “พริบพราว”

    จริงด้วย พี่พริบพราวสนิทกับพี่ภณและคือฉันอยู่ข้างคอนโดพี่พริบพราวพอดี

    “แกล้งกันอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย” ฉันยื่นหนังสือส่งคืนเจ้าของ โดยที่คนบนรถยิ้มมุมปาก “ทำไมคนมหา’ ลัยนี้ขี้แกล้งนักนะ”

    “บ่นอะไร”

    “เปล่า บอกว่าเอาหนังสือเล่มใหม่มาสิ อยากพิมพ์ใจจะขาดแล้วค่ะเจ้านาย”

    “ประชดเก่ง เดี๋ยวก็หักคะแนนหรอก”

    “โหยยย อย่าโหดนักเลยกลัวจะแย่แล้วเนี่ย”

    “เนี่ยนะที่เรียกว่ากลัว”

    “ไหนล่ะคะหนังสือ” ฉันเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งเขาก็ส่งหนังสือเล่มใหม่มาให้กันที่บางกว่าเดิม “แน่ใจนะคะว่าถูกเล่มแล้ว เอยพิมพ์จนตาจะหลุดอยู่แล้วเนี่ย”

    “พิมพ์เฉพาะหน้าที่พับไว้”

    “เอาวันไหนคะ”

    “พรุ่งนี้หลังรับน้อง”

    “แต่นี่มันเที่ยงคืนแล้วนะ” ฉันต่อรอง แต่คนรับบทเป็นเจ้านายไม่ได้มีทีท่าจะใจอ่อน พอเปิดดูด้วยตาเปล่าก็ไม่ได้เยอะเหมือนรอบแรกที่ถูกแกล้ง “มีอะไรจะสั่งอีกไหมคะ เอยจะได้ขึ้นไปพิมพ์เลย”

    “เชิญ”

    “ไปนะคะท่านประธานสโมสรนักศึกษา”

     

    วันต่อมา

    “พี่คะ อเมริกาโน่เย็นเข้ม ๆ แก้วหนึ่ง” ฉันสั่งร้านกาแฟในคาเฟ่ของมหา’ ลัยด้วยสภาพอิดโรย ก่อนขึ้นไปที่ห้องเรียนพร้อมยัยทิชาที่ช่วยถือของให้

    “เอยตาแก...”

    “หมีแพนด้า หมีแพนด้า หมี ๆ แพนด้า” คิมมี่ร้องเพลงแซวฉันอีกคน

    “รถเมล์แกช่วยฉันพิมพ์อีกห้าหน้าสุดท้ายที่พับไว้ให้หน่อยสิ ไม่ไหวแล้ว” ฉันพูดจบก็โยนโน้ตบุ๊กกับหนังสือให้เพื่อนและทิ้งตัวลงนอนที่โต๊ะเลคเชอร์

    “ไหนว่าไม่ต้องพิมพ์แล้วไง”

    “ก็เจ้านายมันเอางานไปให้ถึงหน้าคอนโดเมื่อคืน”

    “เจ้านาย...พี่รามอะนะ”

    “กรี๊ดดดดด ถามจริง”

    “เบา ๆ สิพวกแก ก็ที่มันหายไปจากไลน์กรุ๊ปเพราะมันลงไปจีบกับพี่รามมาน่ะสิ”

    “จีบบ้าจีบบออะไรล่ะ เห็นงานไหม”

    “เฮ้ย...ได้เรื่องอยู่นะแม่”

    “นั่นสิแก บอกแล้วว่าล้มที่ลานเกียร์ของแรงจริง”

    “โอ๊ยไม่คุยกับพวกแกแล้ว เงียบ ๆ จะนอน”

    ดีนะที่คลาสเช้าอาจารย์ไม่โหดมากฉันเลยแอบงีบเป็นพัก ๆ ได้ ค่อยต่อชีวิตในการรับน้องช่วงเย็นหน่อย

     

    รับน้องคณะศิลปกรรมศาสตร์

    “เข้าแถวเร็ว ๆ ถ้านับถึงห้าแล้วสาขาไหนยังไม่พร้อมโดนทำโทษทั้งแถว”

    จะบอกว่าหลังจากรับคำท้า พวกพี่เขาก็ทำตามสัญญาที่ไม่แกล้งพวกเราจนเกินเหตุเหมือนที่ผ่านมา

    การทำกิจกรรมของคณะเริ่มทำให้เราสนุกที่ได้รับน้องมากขึ้น

    “วันนี้หลังจากตรวจเครื่องแบบเสร็จ เราจะทดสอบเพลงบูมของคณะกับเพลงบูมของมหา’ ลัยทีละกลุ่มด้วยนะ เพราะอาทิตย์หน้าจะมีรับน้องรวมทุกคณะครั้งแรก พี่ว้ากทุกคนไปประจำตำแหน่งด้วยนะครับ”

    “เฮ้ยอาทิตย์หน้ามีรับรวมคณะอื่นด้วย ตื่นเต้นว่ะ ได้เปิดโลกเจอผู้ชายคณะอื่นบ้าง”

    “คณะบริหารเขาว่าหล่อรวย คณะแพทย์เขาว่าหล่อสุภาพ คณะนิเทศเขาว่าหล่อน่ารัก คณะวิศวะเขาว่าหล่อโหด คณะเกษตรเขาว่าหล่ออึด เลือกไม่ถูกเลยว่ะแก”

    “แล้วคณะไหนที่เขาเลือกแกวะ”

    “ดับฝันอีกแล้วทิชา ชาติที่แล้วฉันไปเผาบ้านแกไว้หรือไงวะ”

    “เก็บอาการหน่อยก็ดี บูมกันได้หรือยังเดี๋ยวจะโดนทำโทษอีก”

    “นี่ก็อีกคนถือว่าพี่รามมาหาถึงคอนโดก็จะขิงกันเลยสินะ”

    “เพ้อเจ้อนะคิมมี่”

    สภาพหลังรับน้องคือพังทุกวันของจริง วันนี้ก็ไม่ต่างร้องบูมจนเส้นเลือดในสมองเกือบแตก คือถ้าไม่สุดพี่เขาก็ไม่ให้ผ่าน นี่เลยโดนไปเกือบสิบรอบ

    “พวกแกจะไปไหนกันต่อเหรอ”

    คือมนุษย์เพื่อนรักแต่งหน้าทำสวยกันสุดฤทธิ์ผิดปกติจากทุกวันที่จะโอดครวญอยากกลับบ้านกันทันที ดูกระชุ่มกระชวยกันเหลือเกิน

    “ไปส่งการบ้าน”

    “วิชาอะไรวะ”

    “วิชาวิศวกรรมศาสตร์อุตสาหการ” พิมมี่และคิมมี่ตอบอย่างพร้อมเพรียง

    “เดี๋ยว ๆ”

    “ไม่เดี๋ยว…ไปกันเถอะ” คิมมี่ลากแขนฉันให้เดินไปยังตึกของคณะวิศวกรรมทันทีด้วยสีหน้าสดใส

    “จะไปไหนกันเหรอน้อง ๆ”

    “ไปหาพี่ ๆ ราชันเอนจิเนียร์ค่ะพี่พราว”

    “พี่ก็กำลังจะไปพอดี ไปพร้อมกันเลยไหม” อย่างที่บอกว่าพี่พริบพราวสนิทกับพี่ภณ เธอต้องไปตามดูแลพี่ภณทุกอย่างหลังจากเลิกเรียนและรับน้องเสร็จ

    “ว่าแต่ไปทำไมกันเหรอ”

    “เอยเอางานไปให้พี่รามน่ะค่ะ”

    “หาทางตีสนิทได้แล้วด้วย เจ๋งว่ะ”

    “ก็...ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ” ฉันไม่กล้าเล่าวีรกรรมของตัวเองให้พี่พริบพราวฟังเลย ถ้าพี่พราวรู้นะหัวใจวายแน่เพราะเธอห้ามปรามกันเอาไว้แล้วแต่ฉันไม่ฟังเอง

     

    ห้องปฏิบัติการวิศวกรรมอุตสาหการ

    “ฉันสวยยังแก”

    “สวยแล้วแม่”

    “ตื่นเต้นมาก ไม่เคยเจอพวกพี่เขาใกล้ ๆ เลยว่ะ”

    “พวกนั้นไม่น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก ออกจะติงต๊องบางทีด้วย”

    “อิจฉาพี่พราวจังเลย ได้เจอพวกพี่ ๆ เขาทุกวัน”

    “ถ้าเจอทุกวันอาจจะไม่อิจฉาก็ได้ อาจจะระอาแทน”

    “จริง แค่วันสองวันยังระอาเลย” ฉันเผลอคิดเสียงดังจนทุกคนหันมามอง “ล้อเล่นน่ะ”

    พี่พริบพราวหัวเราะแล้วเป็นผู้เปิดประตูพาพวกเราเข้ามาข้างในห้องแล็บ

    ตอนนี้พี่ ๆ ราชันเอนจิเนียร์ทั้งห้าและรุ่นพี่วิศวะในสาขาบางคนนั่งกระจัดกระจายอยู่ตามกลุ่มคุยงานกันอย่างเคร่งเครียด

    “พี่เขาดูเครียด ๆ กันเนอะ พวกฉันรออยู่ตรงนี้ดีกว่า” ยัยทิชาบอกแล้วไปนั่งรอที่ริมห้อง ส่วนคนอื่นก็ตามเธอไปด้วย

    “ทั้งโปรเจกต์จบ ทั้งวิทยานิพนธ์ก็จะเครียด ๆ ประมาณนี้แหละ” พี่พราวกระซิบบอก “ให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม”

    “ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันเห็นพี่รามแล้ว เขานั่งอยู่กับพี่อีกคนที่พี่พริบพราวบอกว่าชื่อศิลา ฉันเลยหยิบแผ่นงานที่พิมพ์มาช่วงเที่ยงกับหนังสือไปคืนเจ้าของ

    “กูว่าจะเพิ่มตัวควบคุมพีไอดีสำหรับกระบวนการควบคุมอุณหภูมิที่ประยุกต์ใช้ในงานเชิงอุตสาหกรรมเข้าไปในหุ่นยนต์ด้วย มึงว่าไง”

    “เจ๋งว่ะ แต่มันไม่หินไปหน่อยเหรอวะไอ้ราม นี่เหมือนงานเด็กป.โทไปปะวะ มึงรู้ใช่ไหมว่าถ้าเสร็จไม่ทันมึงเรียนไม่จบนะ”

    “มึงกลัว?”

    “เออดิ”

    “กูก็กลัว”

    “แต่ถ้าทำได้คือเทพเลยนะ”

    “ก็เรามันเทพไง”

    “เอาก็เอาวะ”

    “สวัสดีค่ะพี่ ๆ” ฉันเอ่ยทักพวกเขาจากด้านหลังทั้งที่มายืนอยู่ได้สักพักแล้ว

    “อ้าวน้องนางสีดา”

    “เอิงเอยค่ะ” เพิ่งได้บอกชื่ออย่างเป็นทางการกับพี่ศิลา ส่วนพี่อีกสามคนที่อยู่ไกล ๆ ก็รีบมาทักทายกัน

    “มาขโมยศรรักถึงเมืองอโยธยาอีกเหรอครับ”

    “เปล่าค่ะพี่ศรันย์ เอยเอางานมาให้พี่ราม” ฉันยกหนังสือพร้อมกับงานที่พิมพ์ส่งให้พี่รามที่นั่งอยู่

    “อย่างพี่รามเนี่ยนะ เอางานไปให้น้องสีดาพิมพ์ให้?”

    “คือเอยไปทำผิดไว้นิดหน่อยค่ะ ก็เลยต้องชดใช้ด้วยการเป็นจินนี่ในตะเกียงแก้วให้พี่รามหนึ่งเดือน” ฉันรีบตอบก่อนคนหน้ายักษ์จะเล่าวีรกรรมจนฉันมองหน้ารุ่นพี่คนอื่นไม่ติด

    “บ๊ะ ยังไงเนี่ยไม่อยู่ไม่กี่วัน พี่รามเปิดใจให้นางสีดาแล้วเหรอวะ?”

    “หุบปากเลยไอ้ภณ ถ้าพวกมึงรู้ว่าน้องมันทำอะไรไว้จะบอกว่ากูใจดี”

    “มีความลับเก่งนะเนี่ยท่านประธาน”

    “ถ้างั้นเอยขอตัวก่อนนะคะ พี่ ๆ จะได้ทำงานต่อ” ฉันหาเรื่องหนีวงล้อเลียนของพวกรุ่นพี่ แต่ถูกพวกพี่ศรันย์เดินมากันท่าไว้ก่อน

    “นี่ก็จะสองทุ่มแล้ว ไปหาไรกินกันดีกว่า กูหิวสมองกูไม่สั่งการให้คิดอะไรแล้วเนี่ย”

    “มึงเคยมีสมองด้วยเหรอวะ”

    “ไอ้ภณ”

    “กูหยอกเล่น กูก็หิว”

    “นั่นเพื่อนน้องเอยใช่ไหมครับ”

    “ใช่ค่ะพี่ศรันย์”

    “เพิ่งรับน้องเสร็จ?”

    “ใช่ค่ะ” พวกเพื่อนฉันตอบรับเสียงหวาน

    “หิวกันไหมครับ”

    “หิวมากกกกกกค่ะพี่ศรันย์”

    “เคยไปกินข้าวต้มหลังคณะวิศวะยัง อร่อยนะ”

    “ยังเลยค่ะ อยากไปมาก” คิมมี่รีบตอบรับเสียงหวาน

    “งั้นเดี๋ยวพวกพี่พาไปกิน”

    ยัยพวกนั้นระริกระรี้สุดขีด ยิ่งเดินตามแก๊งราชันเอนจิเนียร์เข้ามาทางด้านหลังคณะที่ทะลุเป็นซอยร้านอาหารหลังมหาวิทยาลัยก็ยิ่งดูสวยมาก เพราะคนมองมาที่พี่ ๆ อย่างชื่นชมแล้วมองเราเหมือนเป็นติ่งเนื้อร้ายที่ควรกำจัด

    พอได้มานั่งอยู่ในร้านข้าวต้มพวกพี่ก็ชวนเราคุยกันอย่างสนิทสนม อันที่จริงพวกพี่ ๆ น่ารักทุกคน คุยเล่นและแซวเก่งอย่างเป็นกันเองแม้จะมีวงเล็บหนึ่งคนที่ดูมาดนิ่งกว่าคนอื่นก็เถอะ

    ฉันแอบมองพี่รามที่มาดนิ่งกว่าทุกคนในกลุ่ม รองมาก็อาจจะเป็นพี่มิวนิคที่ทุกคนเรียกว่าแวมไพร์อัจฉริยะ นอกนั้นดูสนุกสนานเป็นกันเอง

    แล้วฉันก็เพิ่งรู้ว่าพี่ภณกับพี่มิวนิคเป็นคู่จิ้นของมหาวิทยาลัยที่สาววายต่างพากันเชียร์ให้เป็นแฟนกันจริง ๆ เพราะพี่เขาดูแลกันดีมากเนื่องจากสนิทกันตั้งแต่เด็ก ๆ ส่วนพี่ศิลาฉันก็ว่าเขาหน้าคุ้น ๆ เขาเป็นนายแบบหนังสือแฟชั่นของนักเรียนนักศึกษาตั้งแต่มัธยม แต่ตอนนี้โฟกัสกับการเรียนเลยหยุดรับงานในวงการมาสักพักแล้ว

    เรื่องพวกนี้ยัยคิมมี่ชี้แจงแถลงไขโชว์พี่ ๆ เขาทั้งหมด ไม่ว่าพี่ ๆ จะพูดเรื่องอะไรคิมมี่กับพิมมี่ก็สามารถตอบได้ทุกเรื่อง เชื่อแล้วว่าสองคนนี้คือแฟนตัวยงของพี่ราชันเอนจิเนียร์ของจริง

    “ปีนี้น้องนาฏศิลป์ไทยน่ารักกันทุกคนเลยนะครับ”

    “พี่ศรันย์ก็พูดเกินไป”

    “น้อย ๆ หน่อยศรันย์ เดี๋ยวน้องพราวก็ใจแตกกันหมด”

    “ชมจริง คนน้อยแต่ร้อยเปอร์เซ็นต์”

    “เขินไปหมดแล้วค่ะ” คิมมี่บิดไปบิดมาแทนพวกเราอีกสี่คนไปหมดแล้ว

    “อาหารมาแล้ว ทานกันเต็มที่เลยนะน้อง ๆ พี่รามเขาเลี้ยงเอง” พี่ศรันย์แซวจนคนที่เป็นเจ้าของชื่อหันไปมองนิ่ง ๆ แต่ไม่ได้ปฏิเสธอะไร

    “น่าทานมากเลยค่ะพี่ศรันย์”

    “หมายถึงอาหารหรือพี่ศรันย์จ๊ะคิมมี่”

    “ถามแบบนี้คิมมี่ก็ตอบไม่ถูกเลยนะคะพี่ภณ” คิมมี่พูดแล้วก็ทำท่าเขินทัดผมที่สั้นมาก ประหนึ่งผมยาวถึงเอว “ถ้าคิมมี่บอกว่าเป็นพี่ศรันย์จะให้กินไหมล่ะคะ”

    “เอ่อให้ไหมครับพี่ศรันย์”

    “พี่ว่าทานข้าวดีกว่าครับ” พี่ศรันย์รีบตอบจนพวกเราหลุดขำที่เห็นเพื่อนสนิทหน้าแหก

    “เบรกกันหน้าทิ่มเลยนะคะพี่ศรันย์”

    “เอ่อ แล้วปีนี้สาขาแกโดนแกล้งอีกปะพราว” พี่ศรันย์เหมือนกลัววกเข้าเรื่องเดิมจนต้องรีบเปลี่ยนเรื่องในทันที

    “จะเหลือเหรอ” พี่พราวและทุกคนเหมือนนึกออกแล้วหันมามองที่ฉันที่นั่งส่ายหน้าน้อย ๆ ว่าอย่าพูดเรื่องเดิมพันเด็ดขาด “ก็มีบ้าง แต่ไม่เยอะ”

    “ทำไมน้อง ๆ หน้าเสียกันหมด”

    “เปล่าค่ะ ใครหน้าเสียไม่มี้”

    ก็แกนั่นแหละที่มีพิรุธสุดเลยพิมมี่เอ๊ย

    “ไม่มีก็ไม่มี แต่ถ้ามีอะไรก็บอกพวกพี่ได้นะไม่ต้องกลัว ประธานสโมสรนักศึกษานั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน”

    “อย่าไปเชื่อนะน้อง ๆ พี่รามนี่ตัวโหดเลย เดี๋ยววันรับรวมคณะน้อง ๆ ก็รู้เอง”

    “ยัยพราวแกก็ไปขู่น้องมัน”

    “ก็มันจริงนี่ เห็นหน้านิ่ง ๆ แบบนี้นะเวลาว้ากวิศวะคือ...” พี่พราวไม่พูดต่อแต่ทำท่าปาดคอ

    “ปลาหมึกผัดผงกะหรี่ค่ะ อร่อยดีเอยตักให้นะ” เป็นจังหวะเดียวกับที่ฉันตักของมาใหม่ที่ชิมแล้วชอบให้พี่รามที่นั่งตรงข้ามจนทุกคนเกิดอาการสภาวะเดดแอร์ทั้งโต๊ะ “เอยทำอะไรผิดเหรอคะ”

    “ไม่ผิดจ้ะ ไม่ผิดเลย” พี่ศิลาเป็นคนแรกที่ตอบมา “กินเยอะ ๆ นะครับพี่ราม”

    พี่ศิลากอดคอพี่รามที่ตักข้าวต้มทานต่อเหมือนไม่รู้ว่าถูกเพื่อนจับตามองอยู่

    “ปล่อยกู”

    “แหม พอมีนางสีดามากินข้าวด้วยทำเป็นขรึมเลยนะครับไอ้ประธาน”

    “พวกมึงเอาแต่โม้ น่ารำคาญ”

    “เอ้า ด่าพวกกูเฉย แต่กูว่าวันนี้ปลาหมึกผัดผงกะหรี่อร่อยจัดเลยนะพวกมึงลองยัง ขนาดพี่รามผู้ไม่กินผัดผงกะหรี่ ไม่ชอบกลิ่นเครื่องเทศยังกินได้เลย”

    “พี่รามไม่ทานผัดผงกะหรี่เหรอคะ” ฉันถามด้วยความตกใจหลังจากที่พี่ศิลาบอก ก็เมื่อกี้ตักให้เขาก็ตักทานปกติดีจนไม่รู้ว่าเขาไม่ชอบ

    “ไม่ชอบ ก็ไม่ได้หมายความว่ากินไม่ได้” พี่รามตอบเพื่อนตัวเอง แต่นั่นก็ทำให้แก๊งเขายิ่งแซวหนักจนฉันเริ่มเขิน

    “เชี่ยอร่อยจริงด้วย หวานกำลังดี ดีต่อใจท่านประธานเลยใช่ไหมครับ”

    “แต่กูว่าหวานไปนิด เคลมป้าดีปะวะ”

    “เคลมตีนกูก่อนไหม” พี่รามหันไปพูดกับพี่ศรันย์จนคนอื่นหัวเราะเยาะ

    “รามหรือเปล่า รามไม่น่ารักหรือเปล่า”

    “รีบแดกเลย จะได้รีบกลับไปทำโปรเจกต์ต่อ”

    “มีคนเขินหนึ่งอัตราว่ะ”

    “แต่คิมมี่ว่าไม่ใช่แค่หนึ่งนะคะ ตรงนี้ก็มีอีกหนึ่ง”

    “คิมมี่” ฉันเก๊กหน้าขรึมดุเพื่อนขณะที่เริ่มทำตัวไม่ถูกแล้ว “เดี๋ยวเอยตักให้ทุกคนเลย ไม่ได้ดูแลใครเป็นพิเศษสักหน่อย”

    “กินไปเถอะ ไม่ต้องสนใจพวกนี้ มันก็แซวไปงั้นแหละ”

    “ไหน ๆ กูดูสิ เมนูปลาก็ไม่มีนี่หว่า”

    “ทำไมวะไอ้ศิ” พี่ศรันย์แกล้งถามสีหน้าสงสัย

    “ก็มีคนหวงก้างไง”

    หลังจากประโยคนั้นทั้งโต๊ะก็หัวเราะชอบใจกันไม่หยุด ฉันยิ่งอยากมุดหายไปจากโต๊ะนี้แล้วให้ตายเถอะ

    “จะแดกข้าวต้มดี ๆ หรือให้กูไปหยอดให้แดก”

    “โอเค ๆ กูไม่แซวแล้วก็ได้ พี่พระรามนี่ดุจังครับ”

    หลังจากทานข้าวเสร็จพวกเราก็แยกย้ายกับพี่ ๆ เพราะพรุ่งนี้พวกเขามีเสนอโปรเจกต์เลยต้องกลับคณะไปทำงานกันต่อ ฉันเพิ่งรู้ว่าวิศวะเรียนหนักขนาดนี้ หรือว่าที่พี่ชายของฉันไปอยู่หอเพราะมันยุ่งจริง ๆ ไม่ใช่ข้ออ้าง

    Rrrrr

    “ค่ะแม่” ฉันรับสายวิดีโอคอลของคุณแม่ด้วยรอยยิ้ม

    [อยู่ไหนคะลูกสาว]

    “อยู่บนรถยัยทิชากำลังจะกลับคอนโดค่ะ เพิ่งไปทานข้าวกับเพื่อนมา”

    “คุณป้าสวัสดีค่ะ” ฉันหันกล้องไปทางเพื่อนสนิทให้คุณแม่สบายใจ

    [กลับมืดทุกวันเลยนะลูก รับน้องเสร็จช้าเหรอ]

    “นิดหน่อยค่ะ” คุณแม่จะต้องไม่รู้เรื่องพี่รามเด็ดขาด

    [เดี๋ยวพุธหน้าแม่บินไปหาลูกดีกว่า แม่คิดถึงลูก]

    “คุณแม่เพิ่งกลับไปเองนะคะ แล้วช่วงนี้หนูรับน้อง คุณแม่มาก็มาอยู่คอนโดคนเดียว เดี๋ยวเบื่อแย่ เอาไว้มาหลังรับน้องเสร็จดีกว่าค่ะ ช่วงเดือนหน้า”

    [เอางั้นเหรอ ก็ได้จ้ะ]

    “ว่าแต่ช่วงนี้พี่อินกลับบ้านบ้างหรือเปล่าคะ”

    [เห็นว่ายุ่ง ๆ เรื่องวิทยานิพนธ์จะเข้ามาพรุ่งนี้นะลูก มีอะไรหรือเปล่า]

    “เปล่าค่ะ เอยแค่สั่งให้พี่อินเข้าไปหาคุณแม่บ่อย ๆ คุณแม่จะได้ไม่เหงาเลยอยากรู้ว่าพี่อินทำตามไหม” ความจริงคือฉันให้พี่อินไปจัดการเรื่องรถต่างหาก เดือนหน้าจะได้เอารถมาใช้

    [จะให้พี่เขามาเกลี้ยกล่อมเรื่องรถน่ะสิ]

    “คุณแม่รู้ได้ไงคะ” ฉันยิ้มแห้งเมื่อโดนจับได้

    [เจ้าอินโทรหาแม่ มาอ้อนเรื่องรถให้เราเกือบทุกวัน]

    “คุณแม่คิดดูนะคะ หนูต้องอาศัยรถยัยทิชาทุกวันเกรงใจมันหรือบางวันจะไปซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วยัยนี่ไม่ไปด้วย หนูก็ต้องนั่งรถสองแถวไปเองร้อนก็ร้อน คนก็เยอะ ของก็หนัก”

    [ไม่ต้องมาอ้อนเลย ที่กรุงเทพฯ รถเยอะแม่เป็นห่วง]

    “หนูขับได้ค่ะ วันนั้นบอกแล้วไงว่าพี่อินมันกวนหนูเลยไม่มีสมาธิ”

    [แม่ขอคิดดูก่อนก็แล้วกัน]

    “ว่าแต่มีคนติดต่อมาเรื่องซ่อมรถบ้างไหมคะ”

    [ไม่มีนะ สงสัยเขาคงไม่เป็นอะไรมาก นี่โชคดีมากเลยนะเอย]

    “ค่ะ”

    พูดแล้วก็นึกถึงคนเจ็บ เขาหายไปเลยไม่ติดต่อกลับมา

    “หนูถึงคอนโดพอดีเลย วางก่อนนะคะคุณแม่เดี๋ยวเข้าลิฟต์แล้ว ฝันดีนะคะ รักคุณแม่ค่ะ จุ๊บ ๆ”

    [รักลูกจ้ะ]

    รายงานสถานการณ์แบบนี้ทุกวันเป็นเรื่องปกติ

    “เออแกฉันถามอะไรหน่อยสิ”

    “ว่า”

    “พี่อินเขาโสดแล้วจริงเหรอวะ ฉันเห็นเขาโพสต์เฟซบุ๊ก ไอจีบ่นเหงาทุกวัน”

    “มันสร้างกระแส”

    “หมายความว่าเขาไม่โสด?”

    “จะไปรู้เหรอ แกเคยเห็นฉันโทรคุยกับมันหรือไง”

    “เออ เอาจริงถ้าฉันไม่สนิทกับแกฉันนึกว่าแกเป็นลูกคนเดียวแน่ ๆ เป็นพี่น้องกันยังไงวะไม่เห็นติดต่อกันเลย”

    “เดี๋ยวถึงห้องว่าจะโทรไปหามันอยู่”

    “เรื่อง?”

    “เรื่องของฉัน แกถามทำไมเนี่ยอยู่ ๆ ก็มาสนใจเรื่องพี่ชายฉัน” หลังจากพูดยังไม่จบก็รู้สึกสังหรณ์แปลก ๆ “หรือว่าแก...”

    “เปล๊า”

    “ปฏิเสธเร็วไปปะ ยังไม่ทันบอกเลยว่าเรื่องอะไร”

    “มองตาก็รู้ใจแล้วปะ”

    “เหมือนที่ฉันเห็นอาการแปลก ๆ ของแกอยู่แบบนี้สินะ”

    “เห็นอะไร ไม่มี้”

    “ทิชา แก...ชอบพี่ชายฉันเหรอ”

    “ถึงห้องพอดี ฉันเข้าห้องก่อนนะ” ยัยนี่เปิดประตูเข้าห้องแล้วรีบปิดแต่ฉันเอาถุงผ้าใส่หนังสือกันไว้ได้ทัน

    “ไม่มีพิรุธเลย ไม่มีสักนิด มีแต่ความชัดเจนของแก ตอบฉันมาเดี๋ยวนี้”

    “ตอบอะไร ก็ไม่มีอะไร”

    “แกชอบพี่ฉันได้ไงวะ เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่รู้”

    “เบา ๆ ดิ แกจะเสียงดังบอกคนทั้งคอนโดเลยหรือไง เข้ามาก่อน” ยัยนี่รีบดึงแขนฉันเข้ามาในห้อง ฉันนั่งจ้องยัยทิชาอยู่ที่โซฟาจนมันเริ่มพูด “ฉันรู้ตัวว่าแอบชอบพี่อินตั้งแต่ขึ้นมอสี่”

    “สามปีแล้ว?”

    ยิ่งอึ้งหนักไปอีก

    “อืม อาจจะก่อนนั้นด้วย ก็พี่อินหล่อขนาดนั้น ป๊อปขนาดนั้นฉันก็คิดว่าแค่กรี๊ดเฉย ๆ แต่ตอนที่ไปบ้านแกบ่อย ๆ ช่วงปิดเทอมได้เจอพี่อินทุกวัน ก็เลยแน่ใจว่าชอบเขาจริง ฉันเลยลองถามแกว่าถ้าหากว่าเพื่อนในกลุ่มไปคบกับพี่ชายของแกมันจะเป็นไปได้ไหม แต่แกเคยบอกว่าไม่เห็นด้วย เพราะกลัวว่าพอเพื่อนกับพี่ชายเลิกกันมันจะมองหน้ากันไม่ติด ฉันเลยไม่กล้าบอก”

    ตอนนั้นฉันก็นึกว่าถามถึงยัยปิ่นมุกเพื่อนในห้องสมัยมอปลายที่ออกตัวว่าเป็นแฟนคลับนัมเบอร์วันพี่ชายฉันเอามาก ๆ เสียอีก

    “คนรอบตัวชอบพี่อินก็เยอะฉันเลยแอบเก็บเรื่องนี้เอาไว้ แล้วอีกอย่างฉันก็เห็นพี่อินมีคนคุยมาตลอดด้วยเลยไม่อยากคิดไปไกลพยายามทำใจให้เลิกชอบมาตลอด แต่พอเจอพี่อินความรู้สึกมันก็กลับมาทุกที”

    “แล้วอย่าบอกนะว่าที่หนีมาเรียนที่กรุงเทพฯ เป็นเพราะอยากหนีมาทำใจจากพี่ชายฉันด้วย”

    “อืม ก็ตอนนั้นพี่อินดูหวานกับแฟนมาก ฉันเลยคิดว่าถ้ามาไกล ๆจะตัดใจได้”

    “เวรกรรม”

    “แต่พอรู้จากแกว่าเขาเลิกกับแฟน ฉันก็แทบอยากย้ายกลับไปเรียนที่เชียงใหม่”

    “โอ๊ยยย อะไรวะเนี่ย”

    “ฉันมูฟออนจากพี่อินไม่ได้ว่ะ กลับมาที่ห้องฉันก็เอาแต่ส่องโซเชียลฯ ของเขา แค่เขาอัปเดตเพลงเศร้าฉันก็ต้องฟังตาม อยากทักไปปลอบใจอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้างแต่ฉันก็ไม่กล้า ฉันจะทำยังไงดีวะไม่อยากเป็นแบบนี้เลยว่ะ”

    “หนัก อาการหนักมาก” ฉันยกมือกุมขมับ ขนาดฉันยังไม่ใส่ใจพี่ตัวเองขนาดนี้เลย

    ติ้ง!

    “พี่อินอัปเดตสเตตัสอีกแล้ว”

    “นี่แกถึงขั้นเปิดแจ้งเตือนของมันทุกอย่างเลย?” ยัยทิชายิ้มเจื่อน ๆ เหมือนลืมตัวแล้วก็พยักหน้ารับ “เอาที่สบายใจ”

    “ถ้าคิดจะเริ่ม ก็อย่ากลัวความล้มเหลว แรงใจอะมีน้อย แรงอ่อยอะมีเยอะ” ทิชาอ่านสเตตัสของพี่ชายฉันที่ลงในโซเชียลให้ฟัง แทบอยากจะโทรไปด่าความอ่อยเก่งของพี่ชายตัวเองตอนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

    “ฉันว่า ฉันจะจีบพี่อิน”

    “คิดดีแล้วใช่ไหม แกก็รู้ว่าไอ้พี่อินมันเคยเจ้าชู้มาก่อน”

    “แต่คนล่าสุดก็คบมาแปดเดือนเลยนะเว้ย พี่อินอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้”

    “งั้นก็เชิญตามสบาย”

    “เดี๋ยวดิ แกช่วยฉันก่อนดิเอย ฉันจะเริ่มยังไงดีวะ”

    “ให้ช่วยอะไร?”

    “จีบพี่ชายแกไง”

    “ได้ดิ” ฉันรับคำเพื่อนสนิทแล้วหยิบมือถือจากมือทิชามากดไปที่ข้อความไอจีพี่ชายตัวเองที่ออนไลน์อยู่ในขณะนี้

    ‘พี่อิน’

    ‘ครับน้องทิชา มีอะไรหรือเปล่า หรือว่ายัยเอยไปก่อเรื่องอะไรไว้’

    ฉันเบะปากใส่ข้อความที่พี่ชายตอบกลับอย่างรวดเร็ว แถมมันยังหาว่าฉันไปก่อเรื่องอีก

    ‘เปล่าค่ะ แต่ทิชามีเรื่องสำคัญอยากสารภาพ’

    ‘สารภาพ กับพี่เหรอ?’

    ‘ทิชาชอบพี่อินมานานแล้วค่ะ ชอบพี่อินมาตั้งแต่ ม.4 และชอบพี่มาตลอด’

    “ยัยเอยแกทำอะไรวะ” พอฉันส่งมือถือกลับไป ยัยทิชาก็ช็อกตาค้างไปเลย

    “เรื่องความรักเป็นความรู้สึกของคนสองคน ฉันไม่ยุ่ง...บายนะเพื่อน”



    มาแล้วค๊าาาาาาาา กลุ่มนี้เฟียซอยู่นะ

    เลือกผู้เอง จีบเองนักเลงพอ

    แต่ยัยน้องก็แกล้งเพื่อนแรงมากกก 5555

    ถ้าเป็นทิชาก็คือเงิบไปเหมือนกัน

    ตอนหน้ามาดูกันว่าทิชาจะเอาคืนยัยน้องหรือป่าว

    บอกเลยว่ามีไปถึงห้อง อุ๊บส์ จะห้องนอนคนพี่หรือคนน้องมารอติดตามน๊า


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×