ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My mafia husband name is JK {BTSxYOU}

    ลำดับตอนที่ #20 : EP13 : สิ่งที่ไม่คาดคิด 70%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.31K
      127
      14 มี.ค. 64







    'คังนัม' คือ ก็คือย่านธุรกิจ แฟชั่น และย่านของคนมีอันจะกินในกรุงโซลยุคปัจจุบัน มีทั้งเเหล่งช้อปปิ้งเเบรนด์ดังระดับโลก ร้านอาหารระดับมิชชลินสตาร์ มีทัศนียภาพที่สวยงามสะอาดตา ไม่เเปลกใจเลยที่ผู้คนมักจะต้องการมาใช้ชีวิตที่ย่านนี้ เพราะบ่งบอกได้ถึงคุณภาพชีวิตที่ดี

    เหมือนกับกลุ่มผู้ชายหน้าตาดีกลุ่มหนึ่งที่เดินมาด้วยกัน ในเวลาใกล้พลบค่ำเเบบนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสมเเก่การเริ่มต้นของการท่องราตรี ด้วยการหาร้านนั่งดื่ม ที่มีอาหารชั้นดี กับดนตรีชั้นนำ

    "ร้านนี้เพลงดี กูรับประกัน"

    "ถ้าเพลงไม่เพราะ กูจะให้มึงขึ้นไปร้องเเทนเลยจีมิน" ปาร์คจีมินยิ้มปนขำให้กับคำพูดของเพื่อน ฟังดูก็รู้ว่าประชด คนอย่างเขาเนี่ยนะจะร้องเพลงให้ใครฟัง ไม่ใช่ว่าร้องไม่ได้ เเต่เเค่ไม่มีความรู้สึกว่าอยากจะร้องมันก็เท่านั้น

    "จีมินร้องเพลง คืนนี้เราคงได้เหมาร้านเเน่ๆว่ะ" เสียงหัวเราะดังขึ้นจากอีกสามคนที่เหลือ เพราะคนที่ถูกพูดถึง

    นั้นไม่เคยร้องเพลงให้ได้ยินจริงๆ เพื่อนกลุ่มนี้เลยพลอยคิดว่าเขาน่าจะร้องเพลงได้ไม่ดี

    เเต่จีมินก็ไม่ได้สนใจจะเเก้ตัวอะไรอยู่เเล้ว เเละระหว่างที่พวกเขาเดินผ่านร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่ง จู่ๆขายาวๆก็หยุดเดินไปดื้อๆ ทำเอาเพื่อนๆของเขาถามออกมาอย่างสงสัย

    "หยุดเดินทำไมวะ"

    "พวกมึงไปรอที่ร้านเลยเดี๋ยวกูตามไป เเวะซื้อของเเป๊บนึง"

    "โอเค อย่าช้านะ"

    "เออ..." เขาตอบส่งๆ ก่อนจะหันไปมองใครคนหนึ่งที่ยื่นเลือกของในร้านสะดวกซื้อตรงหน้าเขา

    "หาเรื่องตายจริงๆสินะ ยัยเด็กผี"

     

    "เเซนวิชสตรอเบอร์รี่ ชีสเค้กสตรอเบอร์รี่ เครปสตรอเบอร์รี่ เอ...ขาดอะไรอีกนะ"

    "อ้อ นมตรอเบอร์รี่" คิดได้อย่างนั้นอิมนายอนก็เดินไปคว้านมรสสตรอเบอร์รี่ยี่ห้อดังมาจากตู้เเช่เย็น

    "ยัยยูรินนึกยังไง ถึงได้อยากกินเเต่สตรอเบอร์รี่ขนาดนี้นะ" ถึงจะสงสัยอยู่บ้าง เเต่เธอก็ไม่ได้สนใจ เเล้วหยิบของกินที่เพื่อนสนิทวานขอให้ซื้อไปฝากก่อนเข้าไปหาเธอที่ตึกบลูอีเกิ้ล

     

    เเต่เเล้วความผิดพลาดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่ออิมนายอนเลื่อนสายตาลงมาด้านล่างของตู้เเช่นม ตู้นี้คือตู้ที่อัดเเน่นไปด้วยผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัวเอาไว้ 

    "ใจเย็นๆนะอิมนายอน" เจ้าของดวงตากลมโตเเละฟันกระต่ายน่ารักพยายามสะกดจิตตัวเองที่จะไม่เอื้อมมือไปหยิบของที่เธอโปรดปราน เเต่ไม่รู้เพราะอะไรมันทำให้เธอเกิดเเพ้มันขึ้นมาได้ 

    เเต่เพราะว่าชีสหลากรสสำหรับเธอเเล้ว มันคือสิ่งที่พระเจ้าสร้างมันขึ้นมาเพื่อเธอ ไม่ว่าจะเป็นชีสประเภทไหนเธอก็ชอบทั้งนั้น ยิ่งสมองนึกถึงมัน ความทรงจำที่บอกเธอว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอมันน่าลิ้มลองมากเพียงใด ยิ่งกระตุ้นต่อมความอยากขึ้นเป็นร้อยเท่า

    ถึงเเม้สมองส่วนที่เป็นเหตุเป็นผลกำลังบอกกับเธอว่า เดินออกไปจากตรงนี้ซะ เธอกินมันไม่ได้เป็นอันขาด เเต่สมองส่วนที่ทำตามอารมณ์เเละความต้องการกับร้องตะโกนบอกว่า ให้หยิบชีสเเท่งรสนมตรงหน้าขึ้นไปจ่ายเงินเเละกินมันซะ ถึงจะเเพ้ก็ไม่เป็นไร ถ้าไปโรงพยาบาลทันก็น่าจะปลอดภัย

    "เเค่นิดเดียว คงไม่เป็นไร"

     ในเวลานี้สมองของอิมนายอนถูกสมองส่วนความต้องการสั่งการไปเสียเเล้ว เมื่อมือเล็กค่อยๆเอื้อมไปเข้าไปใกล้เเท่งชีสตรงหน้าขึ้นทุกทีๆ จนในที่สุด

     

    เพี๊ยะ!!!

    "โอ๊ย!!" 

    ร่างเล็กสะดุ้งโหยงเพราะความเจ็บแล่นเข้ามาที่ปลายนิ้วมือ ด้วยสัญชาตญาณทำให้อิมนายอนหันขวับไปมองตามเพื่อให้หายข้องใจว่าใครกันคือคนที่บังอาจมาตีมือเธอ

    “คุณจีมิน!!!

    “อยากตายรึไง?

    “อะ อะไร อย่ามาหาเรื่องกันนะ” ปาร์คจีมินถอนหายใจเฮือกใหญ่กับนิสัยเด็กๆที่คนตรงหน้าชอบทำอยู่เป็นประจำ เวลาทำความผิดทีไร เด็กร้ายกาจคนนี้ทักจะตีหน้าซื่อตาใสทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพื่อกลบเกลื่อน

    “ใครกันแน่ที่หาเรื่องใส่ตัว ไม่รู้จักสำเหนียกว่าตัวเองแพ้นม เห็นชีสทีไรจะจับใส่ปากตลอด ยัยเด็กตะกละ ตัวโตเป็นฮิปโปขนาดนี้ ฉันแบกเธอไปโรงพยาบาลเหมือนตอนเด็กๆไม่ได้แล้วนะ”

    ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความไม่พอใจ เมื่อได้ยินประโยคยาวเหยียดจากปาร์จีมิน อิมนายอนยกมือขึ้นสองข้างขึ้นเท้าเอวพร้อมรบทันที

    “นี่คุณ คุณว่าใครเป็นฮิปโปหะ!

    “ว่าชีสในตู้มั้ง”

    “คุณจีมิน!!!

    “อย่ามากวนประสาทฉันนะ”

    “อ้อ แล้วฉันก็ไม่เคยขอให้คุณมาแบกฉันด้วย ฉันดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาสัญญาว่าจะดูแล แต่ก็ทำไม่ได้หรอก!

    “อิมนายอน นั่นมันคนละเรื่องกัน!

    “ใช่สิมันคนละเรื่อง น้องสาว ไม่สิ เด็กข้างบ้านจะไปเทียบกับผู้หญิงสวยๆเซ็กซี่ที่คุณคบได้ยังไง”

    “ไปกันใหญ่แล้วนายอน”

    “รักษาคำพูดไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาทำเหมือนหวังดีหน่อยเลย” ร่างสูงตรงหน้าที่เริ่มโมโหขึ้นมาจากท่าทางไม่น่ารักของเด็กคนนี้ ชะงักไปเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูดออกมา

    “นายอนอ่า...พี่”

    “หยุด ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น!” อิมนายอนตัดบทอย่างรีบร้อน ก่อนที่เธอจะเดินผ่านร่างสูงกว่าไปโดยไม่วายจะต้องหาเรื่องเขาด้วยการใช้เรียวไหล่กระแทกไปที่แขนของปาร์คจีมินก่อนจะเดินผ่านเขาไป

    “เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจหนักๆของชายหนุ่มดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับสายตาที่ทอดมองตามหลังเด็กแสบไปด้วย แววตาที่แฝงไปด้วยความหนักอกหนักใจของเขาเอง

    “ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ” ความสงสัยแล่นเข้ามาในความคิดเพียงชั่ววูบ แต่เขาก็ได้คำตอบแทบจะในทันทีว่าอิมนายอนกลายเป็นเด็กร้ายกาจแค่กับเขามันเป็นเพราะอะไร

    มันก็เป็นเพราะเขาเองยังไงล่ะ ที่เป็นคนทำให้เด็กหญิงตัวเล็กที่เอาแต่เดินตามเขาต้อยๆพร้อมกับเสียงเรียก พี่จีมินคะ พี่จีมินขา หายไป ไม่มีแล้วน้องสาวข้างบ้านที่ตามติดเขายิ่งกว่าเงา เหลือเพียงหญิงสาวที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับสายตาที่ห่างเหิน อิมนายอนตีตัวออกหากจากเขาทุกคราวที่เขาเข้าใกล้เธอ หรือหากเป็นสถานการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้  ทั้งสองคนไม่ได้เคยพูดจาดีๆต่อกันได้เกินหนึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำ เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆก็กลับกลายเป็นทั้งสองคนเหมือนกับคนที่ไม่ค่อยถูกชะตากันไปเสียแล้ว

     

    “บ้าชะมัด!

    “เจอหน้าทีไรอารมณ์เสียทุกทีสิน่า” นับเป็นครั้งที่ยี่สิบกว่าได้แล้วที่นายอนเอาแต่บ่นฟึดฟัดกับตัวเองมาตลอดทางที่เธอเดินมาจนมาถึงหน้าเพนเฮาส์ของเพื่อนสนิท นายอนไม่จำเป็นต้องกดกริ่งก่อน เพราะเธอนัดแนะกับยูรินเอาไว้แล้ว เธอกดรหัสตามที่เพื่อนส่งมาให้ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป มันเป็นแบบนี้ทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยขั้นสูง เวลาที่เธอมาหายยูริน เธอจะต้องได้รับรหัสจากเจ้าของห้องก่อน และแต่ละครั้งตัวเลขและตัวอักษรที่ได้มาก็ไม่เหมือนเดิมสักครั้ง

     

    Jungkook Part

    "หื้ม..."

    "รำคาญชิบ-_-"

    สุดท้ายผมก็อดทนไม่ไหวอีกเเล้ว เพราะโคตรรำคาญตัวเองเลย ที่พอหลับไปสักพักก็สะดุ้งตื่นเพราะจู่ๆผมก็รู้สึกหิวขึ้นมา ปกติผมไม่ใช่คนที่จะกินอะไรตอนดึกดื่นเเบบนี้ ไม่รู้ว่าคืนนี้เป็นอะไร จริงๆตั้งใจจะไม่นอนดึกเกินไปเพราะยูรินอยากให้ผมพักผ่อนเยอะๆ ยัยตัวเล็กเอาแต่บ่นว่าผมโหมงานเกินไปแล้ว แถมพรุ่งนี้ยังมีประชุมเรื่องปัญหาของสาขาย่อยที่ปูซานตั้งแต่เช้าอีก

     

    ผมลุกขึ้นจากเตียงให้เบาที่สุดเพราะไม่อยากให้คนที่นอนอยู่ข้างๆตื่น ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องครัว เเละเเน่นอนว่าเป้าหมายของผมก็คือ ตู้เย็นนั่นเอง 

    ที่เเรกผมคิดว่าจะหาพวกเครื่องเคียงที่เป็นผักมากินรองท้องให้มันจบๆไป เพราะไม่อยากกินอะไรที่มันหนักท้องจนเกินไป เเต่ผมก็อดเเปลกใจไม่ได้ที่จู่ๆตู้เย็นของผมมันก็ถูกอัดเเน่นไปด้วยสิ่งที่ทำมาจากสตรอเบอร์รี่???

    "สตรอเบอร์รี่สด" 

    "นมสตรอเบอร์รี่"

    "ไอศกรีมสตรอเบอร์รี่"

    "เค้กสตรอเบอร์รี่"

    "สตรอเบอร์รี่มาจากไหนเยอะเเยะวะ?" สงสัยจะเป็นเมียผมนั่นเเหละที่ซื้อมา สตรอเบอร์รี่อยู่เต็มตู้เย็นว่าเเปลกเเล้ว เเต่มันดันมีสิ่งที่เเปลกกว่าก็คือ 

    "สตรอเบอร์รี่งั้นเหรอ?" ทำไมไอ้ของที่มีเเต่สีเเดงตรงหน้าผมมันถึงทำให้ผมรู้สึกว่ามัน 'น่ากิน' ขึ้นมาได้ ทั้งๆที่ผมไม่ค่อยชอบผลไม้รสเปรี้ยวเท่าไหร่ เเล้วยิ่งเป็นพวกของหวานล่ะก็ ช่วยดูหน้าผมด้วยว่ามันเข้ากันรึเปล่า -_-

    "กินสักชิ้น เเก้หิวไปก่อนเเล้วกันวะ" มันมีเยอะมากผมกินสักชิ้นสองชิ้นยูรินคงไม่ว่าหรอก

     

    ผมเริ่มจากเค้กสีขาวๆที่มีสตรอเบอร์รี่ลูกโตวางอยู่ด้านบนก่อน เพราะมันมีอยู่ตั้งห้ากล่อง เลือกกินแบบที่มีเยอะที่สุดก็แล้วกิน ยังไงผมก็ตั้งใจกินแค่ชิ้นเดียวอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเค้กด้วยล่ะก็ เผลอๆชิ้นหนึ่งผมยังกินไม่หมด ของหวานมันเลี่ยนมากสำหรับผม แต่ตอนนี้ผมคงหิวมากเลยรู้สึกว่าอยากกินมันขึ้นมา คิดได้แล้วก็ทำการตักขึ้นมาคำหนึ่งแล้วเอาเข้าปาก

    O.O

    โคตรอร่อย นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกเมื่อผมได้ลิ้มรสชาติหอมหวานละมุมของไอ้เค้กชิ้นนี้

    “ไม่จริงน่า”

    O.o

    คำแรกผมคิดว่าเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ พอคำที่สองเท่านั้นแหละมันคือเรื่องจริงที่ขนมหวานตรงหน้าผมมันอร่อยมาก เอาเป็นว่ารีบกินชิ้นนี้ให้หมดแล้วรีบไปนอนก็แล้วกัน

     

    ตอนนี้ผมชักเริ่มไม่เเน่ใจเเล้วล่ะ ว่าเมียจะไม่ว่าเพราะที่ตั้งใจไว้ทีเเรกว่าจะกินเเค่ชิ้นเดียว แต่ตอนนี้ชิ้นเดียวจริงๆ ชิ้นเดียวที่ว่าก็คือ ตอนนี้เค้กมันเหลือแค่ชิ้นเดียวนี่สิ ไม่สิมันกำลังจะไม่เหลือแล้วเพราะ มือที่จู่ๆผมก็ควบคุมมันไม่ได้กำลังแกะกล่องมันออกจนได้

    “เฮ้อ...” อร่อยจนต้องถอนหายใจ

    บ้าไปแล้วผมต้องบ้าแน่ๆที่จู่ๆก็เกินคลั่งไคล้เค้กสตรอเบอร์รี่ขึ้นมา มันเป็นเรื่องที่ให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด มีอย่างที่ไหน มาเฟียผู้นำบลูอีเกิ้ล ชอบกินเค้กสตรอเบอร์รี่  แค่คิดก็โคตรคอนทราสต์เลย  และตอนนี้ผมรู้สึกว่าสิ่งที่กินเข้าไปมันเริ่มอยู่ท้องแล้วล่ะ โอเคถึงเวลากลับไปนอนแล้ว

    End Jungkook Part        

     

    หลังจากประชุมเรื่องสำคัญเสร็จสิ้น คิมซอกจินกับปาร์คจีมินก็เข้ามานั่งหาอะไรดื่มในห้องทำงานของจอนจองกุกต่อ โดยที่ไม่ต้องรอให้เจ้าของห้องออกปากชวนสักคำ

    "ตกลงมึงจะไปเองจริงเหรอ?" ปาร์คจีมินถามคำถามที่ไม่ทันได้ถามในที่ประชุมออกไป

    "มึงคิดว่าไง" 

    "ก็อย่างที่คุณคังพูดในที่ประชุมเมื่อกี้ ว่าตั้งเเต่มึงขึ้นรับตำเเหน่ง ก็ยังไม่เคยไปดูงานที่สาขาปูซานเลยสักครั้ง พวกหัวหน้าสาขาที่เเก่จนจะลงโลงทางนู้นคงเห็นว่ามึงประสบการณ์น้อยกว่า เลยคิดเเข็งข้ออยากลองภูมิ"

    ผู้นำป้ายเเดงของบลูอีเกิ้ลพยักหน้าเบาๆเห็นด้วยอย่างที่เพื่อนสนิทออกความคิดเห็น ปัญหาเรื่องการทุจริต เเละการเรียกร้องให้ปรับฐานรายได้ของสาขาย่อยที่ปูซานเริ่มก่อตัวนับตั้งเเต่เขาขึ้นรับตำเเหน่ง เเละยิ่งเวลาผ่านไปปัญหายิ่งลุกลามใหญ่โตจนส่งผลกระทบต่อการบริหาร เป็นเห็นให้ฝ่ายบริหารเเละที่ปรึกษาของบลูอีเกิ้ลเสนอความเห็นว่างานนี้ จอนจองกุกควรไปจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง

     

    "ถ้าพวกนั้นอยากลองของ ก็คงต้องจัดของหนักๆให้ลองกัน" เเววตาที่เเฝงไปด้วยความสนุกที่ได้ทำในสิ่งท้าทายมันคือนิสัยของมาเฟียหนุ่มที่เป็นตั้งเเต่เด็ก 

    "มึงจะไปคนเดียวเหรอ" คิมซอกจินเอ่ยถามบ้าง

    "โดยองก็ไป"

    "กูหมายถึงมึงจะจัดการเรื่องนี้คนเดียวเหรอ ให้พวกกูไปด้วยมั้ย" ทำไมจอนจองกุกจะไม่รู้ว่าที่ถามเเบบนั้นเพราะเป็นห่วง

    "ไม่เป็นไรฮยอง โฮซอกฮยองน่าจะเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว ฝากดูเเลทางนี้ดีกว่า ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเเค่ไหน" ปัญหาที่มีมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย ปัญหาอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับ 'คน' มันวุ่นวายและน่าปวดหัวกว่าเรื่องอื่น

    "อย่างจอนเจค กูให้มากสุดสามวันเลย" คนที่อายุมากที่สุดในห้องเอ่ยขึ้น ใบหน้าของคิมซอกจินกำลังบ่งบอกว่า เรื่องสนุกกำลังจะเกิดขึ้น

    "เพราะเพื่อนผมเก่งใช่มั้ยล่ะฮยอง” จีมินหันไปคุยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับคิมซอกจิน

    “เปล่า มันติดเมีย”

    -_-*

    “กูเปล่าพูดน้า จินฮยองน้า...กูไปหาชาส้มยูสุกินดีกว่า เห็นแม่บ้านบอกว่าเพิ่งเอาเข้ามาวางไว้ในห้องมึง” จีมินไม่รอให้คำด่าใดๆออกมาจากปากของเพื่อน เขารีบชิ่งไปอีกมุมหนึ่งของห้องที่เป็นมุมของว่างที่มีเครื่องดื่มจำพวกชากาแฟจัดวางเอาไว้

    “เอ่อ..น่าสนใจนะ กูเอาด้วย” และคนจุดประเด็นอย่างคิมซอกจินก็รีบตีเนียนเดินตามรุ่นน้องคนสนิทไป

    จอนจองกุกเองก็มองตามพลางส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา เป็นแบบนี้มาสักพักแล้วที่เขามักจะโดนคนสนิทแซวเรื่องมีเมีย แต่ก็ใช่ว่าเขาจะชินกับมันง่ายๆ ถูกแซวทีไรก็รู้สึกแปลกๆทุกที

    ผลัก!!!

    เจ้าของห้องหันขวับไปไปยังต้นเสียงที่ทำลายความเงียบภายในห้องนี้ เสียงนั่นคือเสียงของประตูห้องทำงานที่ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับใครบางคนที่ก้าวฉับๆเข้ามาภายในห้อง

    ใบหน้าสวยหวานที่เปื้อนยิ้มอยู่เป็นประจำ ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยคิ้วได้รูปสวยที่ขมวดเข้าหากันจนแทบจะเป็นปม พร้อมกับดวงตากลมโตจ้องมองมายังคนเป็นสามีอย่างไม่พอใจ

    “ยูริน!!

    “มีอะไรรึเปล่า” ไม่ให้แปลกใจได้ยังไง ทุกทีถ้าหากภรรยาจองเขาจะเข้ามาหาที่ห้องทำงาน เธอจะโทรบอกเขาก่อน แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เพราะจู่ๆเธอก็พรวดพราดเข้ามา

    “คนขี้ขโมย!” เรียวปากที่คว่ำลงอยู่แล้ว องศาที่คว่ำลงยิ่งเพิ่มขึ้น พร้อมกังเสียงแหลมๆที่เธอไม่เคยใช้กับเข้ามาก่อน

    “ขี้ขโมย?

    “พี่ไปขโมยอะไรของเธอ” มาเฟียหนุ่มถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ

    “ก็สตรอเบอร์รี่ชีสเค้กในตู้เย็นไงคะ!!!

    “พี่เจคแอบกินไปจนหมด ไม่ได้บอกกันสักคำ ทำแบบนี้ได้ยังไงคะ!!!” ยิ่งพูดถึงในใจของนัมยูรินยิ่งเดือดดาล เธอตั้งใจว่าตื่นมาจะจัดการสตรอเบอร์รี่ชีสเค้กที่เหลือในตู้เย็นให้หมด เมื่อวานเธอฝากอิมนายอนซื้อมาและมันเป็นชิ้นที่ถูกใจเธอที่สุด เธอกินมันไปสองชิ้นแล้ว แต่ก็กังวลว่าจะมีผลต่อน้ำหนักตัว เธอจึงแบ่งเก็บไว้กินวันนี้แทน แต่พอตื่นมาแล้วพบว่าตู้เย็นว่างเปล่า มันทำให้เธอรู้สึกโมโหหงุดหงิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    และผู้ต้องหาในคดีนี้คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากสามีของเธอ ที่ไม่รู้นึกอะไรขึ้นมาถึงได้ลุกขึ้นมากินของหวานไปครึ่งค่อนตู้เย็นแบบนั้น

    “เดี๋ยวให้คนไปซื้อให้ใหม่” จองกุกพูดไปเพื่อหวังให้ภรรยาสงบลง เพราะเธอคงไม่รู้ว่าตอนนี้ภายในห้องๆนี้ไม่ได้มีเพียงสองคนเท่านั้น ยังมีผู้ชายสองคนที่ในมือกำลังถือถ้วยชา ยืนค้างนิ่งงันไปเมื่อเห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ยิ่งเห็นสายตาที่ล้อเลียนว่าเขากลัวเมียของทั้งสองคนแล้ว จองกุกยิ่งทำตัวไม่ถูก

    “ไม่ค่ะ จะกินตอนนี้ จะกินเดี๋ยวนี้ เข้าใจมั้ย!!!

    “อย่าขึ้นเสียงใส่พี่ เรื่องเล็กๆแค่นี้ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่!!!

    “พี่เจคขึ้นเสียงกับฉันเหรอคะT^T

    !!!” ทีแรกตั้งใจจะกำราบเมียต่อหน้าเพื่อน เพราะเขาไม่อยากให้ใครมองว่ามาเฟียอย่างเขาต้องยอมอ่อนข้อให้ใคร ต่อให้เป็นภรรยาก็เถอะ แต่พอเห็นว่าภรรยาคนสวยมีน้ำใสๆคลออยู่ที่ขอบตา ทำเอาหัวใจแกร่งกระตุกวูบ แต่ความเป็นจอนจองกุกมันค้ำคอทำให้เขาเลือกที่จะทำในสิ่งที่ไม่ควรทำออกไป

    “นัมยูรินกลับห้องไปก่อน ถ้าไม่มีเหตุผลแบบนี้ไม่ต้องคุยกัน”

    “ฮึก....นิสัยไม่ดี ตัวเองผิดแท้ๆยังจะมาตะคอกคนอื่นอีก!!!” คราวนี้ไม่ใช่แค่น้ำตาคลอแล้ว แต่น้ำตาไหลลงมาเป็นทางต่อหน้าต่อตาเขา ไหนจะแววตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง และตัดพ้อส่งมาให้ จอนจองกุกสำนึกได้ในทันทีเลยว่าตัวเองกำลังทำผิดมหันต์ แต่ไม่ทันแล้ว เพราะนัมยูรินได้วิ่งออกจากห้องทำงานนี้ไปทั้งน้ำตา ทิ้งให้คนเป็นสามีนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อเป็นน้ำแข็งบนเก้าอี้ทำงานราคาแพง

     

    “เจคมึง...ไปพูดแบบนั้นกับน้องได้ไงวะ” ปาร์คจีมินรีบปรี่เข้ามาหาเพื่อนที่โต๊ะทำงานทันที

    “ยัยนั่นไม่มีเหตุผลเอง แค่เรื่องเล็กๆ” ศักดิ์ศรีค้ำคอทำให้จอนจองกุกพูดแบบนั้นออกไป ทั้งๆที่ภายในใจร้อนรนไปหมดแล้ว

    “ไม่น่าใช่เรื่องเล็กตั้งแต่คนอย่างมึงกินสตรอเบอร์รี่แล้ว แถมยังเป็นของหวานอย่างสตรอเบอร์รี่ชีสเค้กด้วยแล้ว กูว่าเรื่องใหญ่”

    “จริงของจินฮยอง” จีมินพยักหน้าเห็นด้วย ตั้งแต่รู้จักกันมานับสิบปี ทั้งสองคนยังไม่เคยเห็นจอนจองกุกแตะของหวานเลยด้วยซ้ำ ขนาดกาแฟยังกินกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลมาตลอด

    “จริงๆก็ประหลาดทั้งคู่” จอนจองกุกตวัดสายตามองคิมซอกจินด้วยสงสัยในสิ่งที่ตรงหน้าพูด

    “กูจะแถลงตรงนี้ หนึ่งมึงกินของหวานซึ่งมันไม่ใช่เรื่องปกติของมึง และสองเราเคยเห็นน้องยูรินโมโหอะไรขนาดนี้มั้ยล่ะ” นัมยูรินในสายตาของคิมซอกจิน เธอเป็นผู้หญิงฉลาด มีมารยาท และใจเย็น ซึ่งตรงข้ามกับจอนจองกุกเกือบทุกอย่าง แต่วันนี้เป็นเพราะอะไรกัน กับแค่เรื่องของกินเล็กๆน้อยๆอย่างที่จอนจองกุกพูด กลับทำให้เธอโมโหได้ถึงขนาดนี้

    “น้องแต่งงานกับมึงได้ไม่กี่เดือน นี่มึงถ่ายทอดความเกรี้ยวกราดไปให้น้องแล้วเหรอวะ” ปาร์คจีมินเอ่ยถามขำๆ

    -__-

    “ว่าแต่ ถ่ายทอดกันทางไหนน้า...”

    “ทางลูกปืนมั้ง-_-* ร้อนใจเรื่องภรรยาไม่พอจอนจองกุกยังต้องมาถูกเพื่อนล้อจนได้ยังไงก็คงหนีไม่พ้น มันคุ้มกันรึเปล่าที่ทำให้เมียโกรธ

    “โหดกับกูได้ แต่อย่าโหดกับเมีย มึงรีบไปง้อเลยนะไอ้เจค”

    “ง้อทำไม เดี๋ยวก็ได้ใจหมด”

     

     +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    เวลาสี่ทุ่มเศษปกติแล้วไม่ใช่เวลาที่มาเฟียหนุ่มเลิกงาน หากแต่วันนี้เขาจำต้องขับรถออกไปตามหาบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญต่อชะตาชีวิตของเขาในคืนนี้เป็นอย่างมาก

    “เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจครั้งที่เท่าไหร่เจ้าตัวก็ไม่อาจรู้ได้ จองกุกไม่เคยมีความรัก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะลดความเป็นตัวเองลงเพื่อใครได้ภายในเวลาเพียงไม่นานเลยเผลอพูดจาไม่ดีออกไป ทำให้ตอนนี้เขาต้องมายืนพิงกำแพงหน้าประตูห้องโดยในมือมีถุงผ้าสีเข้มอยู่ซึ่งภายในเต็มไปด้วยสตรอเบอร์รี่ชีสเค้กยี่ห้อเดียวกับที่เขากินไปเมื่อคืนหกชิ้นรวด

    เขากำลังคิดหนักว่าพอเจอหน้ากันเขาจะใช้สายตาแบบไหนมองเธอ จะต้องใช้คำพูดแบบไหนเพื่อทำในสิ่งที่เรียกว่า ง้อเมีย ครั้งแรกให้สำเร็จ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว สู้ให้เขาไปไล่ยิงพวกที่ทรยศยังง่ายกว่า

    “เอาวะ” พอใช้เวลาเตรียมตัวเตรียมใจสักครู่ เจ้าของร่างสูงในชุดสีดำสนิทจึงยื่นมือไปกดยังแผงควบคุมประตูเพื่อกดรหัสผ่านก่อนเข้าห้อง แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้

    ตี๊ด....

    ???” เมื่อมีแสงไฟสีแดงสว่างวาบขึ้นที่แผงควบคุมพร้อมกับเสียงดังยาวๆที่บ่งบอกว่ารหัสผ่านที่เขาใช้เข้าห้องทุกครั้งวันนี้มันกลับแจ้งเตือนว่าไม่ถูกต้อง แต่เพราะเขาคิดว่าเขาอาจกดรหัสผิดก็ได้ จึงกดตัวเลขชุดเดิมไปอีกครั้ง

    ตี๊ด....

    !!!

    และผลก็ออกมาเป็นเหมือนเดิมราวกับภาพเดจาวูยังไงยังงั้น คนฉลาดอย่างเขาทำไมจะคิดไม่ได้ว่าสาเหตุที่เขาเข้าห้องไม่ได้เป็นเพราะคนที่กำลังโกรธเขาอยู่เป็นตัวต้นเหตุแน่ๆ

    ติ๊ง... ต่อง...

    “ยูรินเปิดประตูให้พี่หน่อย”

     

    “เฮ้อ...” ผ่านไปราวๆห้านาที สิ่งที่เขาได้คือความเงียบสนิท ปกติแล้วจอนจองกุกไม่ได้ใจเย็นแบบนี้ ถ้าเป็นเรื่องอื่นเขาคงพังประตูเข้าไปจัดการแล้ว

    “นัมยูรินอย่า....” อย่าเล่นอะไรไร้สาระแบบนี้ คือประโยคที่เขากำลังจะพลั้งปากพูดออกไป ตามประสาคนเอาแต่ใจและปากไวกว่าใคร ดีที่ปะสบการณ์เมื่อเช้าทำให้เขาคิดได้ว่าไม่ควรพูดจาแย่ๆกับผู้หญิงที่เขารัก

    ติ๊ง... ต่อง...

    “ยูรินเปิดประตูให้พี่ที...”

    “ครับ”

    หางเสียงที่เขาใช้มันน้อยมาก ออกจากปากหนักๆของมาเฟียหนุ่มจนได้ ถึงจะไม่เคยมีความรัก แต่ก็ไม่ใช่จะไม่รู้ว่าการแสดงออกว่าเขาสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไปจะต้องใช้คำพูดอย่างไง

    แต่ผลตอบรับก็ไม่ได้ดีอย่างที่คาดเอาไว้ ภรรยาขี้งอนไม่พอยังใจแข็งขึ้นมาซะอย่างนั้น เขามั่นใจมากว่าเธออยู่ในห้องแต่ที่แกล้งเปลี่ยนหัสเข้าบ้านและไม่ยอมมาเปิดประตูมันเป็นเพราะเธอยังโกรธเขาอยู่ ถ้าทำไม่สำเร็จมีหวังคืนนี้ไม่ได้นอนกับเมียแน่ๆ พรุ่งนี้ก็ต้องไปจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นที่ปูซานแล้วด้วย หากปรับความเข้าใจกับภรรยาไม่ได้ เขาคงไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี

    “เอาไงดีวะ” จอนจองกุกหลับตาลงเพื่อคิดหาวิธีที่จะเข้าห้องไปง้อภรรยาให้ได้ แต่คนอย่างเขาคิดหาทางหวานๆไม่ได้เหมือนคนอื่นเขา จะทำได้ก็แค่ทำสิ่งที่ตรงไปตรงมาตามความรู้สึกของตัวเอง ในเมื่อเขารู้แล้วว่าสิ่งที่ทำลงไปมันผิด เขาเลยคิดได้ว่าควรทำในสิ่งที่เป็นตัวเองมากที่สุดจะดีกว่า

    ติ๊ง... ต่อง...

    “ยูรินพี่มาง้อ”

    “พี่ขอโทษ”

    ติ๊ด...

    แกร่ก...

    ไม่นานเสียงสวรรค์สำหรับคนทำผิดก็ดังขึ้น มือหนารีบเอื้อมคว้าลูกบิดประตูด้วยความดีใจ จอนจองกุกสาวเท้าก้าวยาวๆเพื่อตามไปดักหน้าคนตัวเล็กที่กำลังเดินหนีเขาไปให้ทัน ร่างบางชะงักเมื่อสามีมายืนดักหน้าเธอเอาไว้ ปากเล็กเตรียมออกปากไล่ให้คนตัวสูงหลบไปให้พ้นทาง แต่ยังไม่ทันที่คำใดเล็กรอดออกไป เพราะจอนจองกุกยกมือข้างที่มีถุงผ้าขึ้นมาในระดับสายตาของภรรยาพอดิบพอดี

    “อะไรคะ”

    “เค้กไง แบบเดียวกับที่พี่กินของเธอไปเลยนะ”

    “.....”

    จองกุกใจร้อนเกินกว่าจะรอให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรต่อ ร่างสูงรีบคว้าข้อมือเล็กให้เดินตามเข้าไปที่โซฟา ตามด้วยกันดึงรั้งให้ยูรินนั่งลงข้างๆเขา จากนั้นก็หยิบเค้กที่ซื้อมานับสิบชิ้นออกมาวางบนโต๊ะตรงหน้าของทั้งคู่

    “พี่เจคคิดว่าฉันเห็นแก่กินเหรอคะ” เสียงแข็งๆถามออกมาฟังดูก็รู้ว่ายังไม่หายโกรธเขา

    “เปล่า... พี่แค่อยากไถ่โทษที่กินของเธอไป”

    “โกรธพี่เรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ”

    “ไม่ใช่สักหน่อย ไม่ได้อยากกินขนาดนั้น”

    “อ่า...” คนฟังพยักหน้ายิ้มๆ ส่วนสายตาก็กำลังมองปากเล็กที่เคี้ยวเค้กอยู่แท้ๆ แต่ยังปฏิเสธอีกว่าไม่ได้โกรธเพราะเรื่องของมันอีก

    “แต่ไม่ชอบ อึ่ก ที่พี่เจคเสียงดังใส่”

    “โอเค ทีหลังพี่จะไม่ทำแบบนั้นอีก”

    “ว่าแต่...”

    “หืม?” จองกุกเงยหน้าจากการแอบแกะเค้กอีกชิ้นหนึ่งเตรียมไว้ให้ยูริน เงยหน้าขึ้นมามองหน้าคนที่พูดกับเขา

    “ทำไมจู่ๆถึงกินเค้กล่ะคะ”

    “ก็...ไม่รู้สิ อยู่ๆพอเห็นแล้วก็อยากกินขึ้นมา พอกินไปคำหนึ่งแล้ว ก็หยุดไม่ได้”

    “รู้ตัวอีกที ก็เป็นอย่างที่เห็น”

    “แปลกๆนะคะ”

    “เธอก็แปลก”

    “เหรอคะO.O?

    “ทุกทีสองทุ่มจะไม่กินอะไรแล้ว”

    “พี่เจครู้?” ความเอาใจใส่เพียงเล็กๆน้อยของคนเย็นชาตรงหน้ามันทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นมา

    “เมียพี่ ทำไมจะไม่รู้ล่ะ” เขาพูดโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองหน้าคู่สนทนาแต่อย่างใด เพราะเขากำลังแกะเค้กชิ้นที่สามเอาไว้รอ ยิ่งเห็นการกระทำของสามี อารมณ์น้อยใจของเธอก็หายเป็นปลิดทิ้ง คนอย่างจอนจองกุกแค่ไปหาซื้อเค้กมาให้เธอก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อแล้ว บอกใครไปใครก็คงไม่เชื่อว่ามาเฟียผู้ยิ่งใหญ่แห่งบลูอีเกิ้ลกำลังนั่งแกะเค้กให้ภรรยากินอยู่

    !!!” หญิงสาวถึงกับทำตัวไม่ถูกเป็นเพราะมือใหญ่ที่เอื้อมมาหาเธอแล้วจองกุกก็ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยที่ริมฝีปากของเธอ

    “ไม่ต้องรีบกินสิเลอะหมดแล้ว  พี่ไม่แย่งหรอก”

    “ขอโทษนะคะที่วันนี้ใจร้อน ทำตัวไม่น่ารัก” มาเฟียหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆ รอยยิ้มที่ถ้าไม่สังเกตก็แทบจะมองไม่ออกว่าเขากำลังยิ้มอยู่ แต่รอยยิ้มที่บางเบาของเขา มันมีผลมากมายมหาศาลต่อความรู้สึกของเธอ

    “ไม่เป็นไร พี่ใจร้อนกว่าเธอตั้งเยอะ”

    “จินฮยองกับจีมิน บอกว่าพี่ถ่ายทอดความใจร้อนให้เธอ”

    “ถ่ายทอด?

    “ยังไงคะ?
    “อยากรู้เหรอ
    ?

    “กินให้เสร็จ เดี๋ยวบอก”

    “บอกเลยไม่ได้เหรอคะ?

    “บอกตรงนี้เดี๋ยวเธอปวดหลัง” รอยยิ้มที่ยูรินคิดว่าอบอุ่นเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เข้ามาแทนที่

    “ในหัวพี่ ไม่คิดเรื่องนี้สักคืนไม่ได้ใช่มั้ยคะ”

    “ทำไมต้องไม่คิดด้วยล่ะ เป็นเรื่องปกติของ ผั-...”

    “ของสามีภรรยา” ปากเล็กชิงเปลี่ยนคำก่อนที่จองกุกจะพูดสิ่งที่เขาพูดจนติดปากออกมา

    “ก็รู้นี่ ว่าเป็นเรื่องปกติ”

    “แล้วพรุ่งนี้พี่ก็จะไม่ได้กลับมา” มือที่กำลังจะตักเค้กเข้าปากชะงักลงเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากสามี

    “พี่จะไปไหนคะ?

    “มีปัญหาเกิดขึ้นที่สาขาปูซาน พี่ต้องไปเคลียร์เอง” สีหน้าและแววตาหนักใจและเป็นกังวลของสามี ทำให้คนเป็นภรรยาอดเป็นห่วงไม่ได้

    “ให้ฉันไปด้วยมั้ยคะ” ในเวลาที่ยากลำบาก เธอก็อยากอยู่ข้างๆเขา

    “ไม่เป็นไรหรอก เธออยู่ที่นี่ เผื่อพี่ไม่กลับมา”

    “ไม่กลับมา!

    “พี่พูดผิด พี่หมายถึงเผื่อมันต้องใช้เวลาหลายวัน พี่ไม่อยู่ เธออยู่ที่นี่ทำหน้าที่นายหญิงของบลูอีเกิ้ลได้มั้ย” ยิ่งได้ยินอย่างนั้นยิ่งสร้างความรู้สึกบางอย่างให้กับนัมยูริน จอนจองกุกไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน เผื่อพี่ไม่กลับมา’ ‘ทำหน้าที่นายหญิง เธอไม่ชอบจริงๆ โดยสถานะแล้วเธอก็เป็นนายหญิงของบลูอีเกิ้ลจริงๆนั่นแหละ แต่อย่างเธอเนี่ยนะจะทำอะไรได้ ถ้าไม่มีจอนจองกุก

    “อย่าพูดผิดอีกนะคะ ไม่ชอบ”

    “ช่วงนี้ซีเรียสจังเลยนะ” คนเป็นสามีอดที่จะแซวไม่ได้ เมื่อกลางวันก็โมโหเรื่องของกิน ตกดึกก็ไม่พอใจที่เขาพูดผิดเล็กๆน้อยๆ

    “เป็นคนจริงจังค่ะ”

    “เหรอ...”

    “พี่เจค!!

    “หึหึหึ” คนขี้แกล้งอย่างเขาไม่ว่าจะตอนไหนก็หาเรื่องแกล้งเธอได้เสมอ แต่มันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกว่าเธอพิเศษสำหรับ คนอย่างจอนจองกุกน่ะเหรอ จะไปแกล้งใครเล่นแบบนี้ ไม่มีทางหรอก

     

     

    ดวงตาคมจ้องมองคนที่กำลังขยับตัวอีกครั้ง ถึงแม้ยูรินจะใช้แผงอกกว้างของเขาเป็นหมอนหนุนนอน แต่คืนนี้เธอดูจะขยับตัวมากกว่าทุกที เพราะเธอนอนไม่หลับ

    “เป็นอะไร หืม?” เสียงแหบพร่าเอ่ยถามออกไปในที่สุด

    “พี่เจคจะไม่อยู่นานเลยเหรอคะ” ที่แท้เธอก็กังวลเรื่องที่เขาจะต้องไปต่างจังหวัดนี่เอง

    “อาจจะไม่นานก็ได้ ถ้าทุกอย่างโอเค พี่จะรีบกลับมาหาเธอเลย” เจ้าของใบหน้าสวยเงยหน้าขึ้นมองหน้าสามีด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

    “จริงนะคะ ต้องรีบกลับมาหายูรินนะคะ”

    “พี่จะไปไหนได้ล่ะ”

    “สัญญามาเลย”

    “สั่งเก่ง ช่วงนี้เอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ”

    “ยังไม่สัญญาอีก”

    “โอเค พี่สัญญา จะรีบกลับมา พอใจมั้ย”

    ^^

    คนฟังยิ้มร่าออกมาก่อนจะหลับตาลงได้แล้ว เพราะเธอรู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อจองกุกรับปากกับเธอแล้วว่าจะรีบกลับมา ต้องยอมรับเลยว่าเธอกลายเป็นคนติดสามีไปแล้ว ตั้งแต่ที่เปิดใจให้กันและกัน ยูรินก็มีความสุขมากที่ผู้ชายที่เธอรัก ก็รู้สึกกับเธอแบบเดียวกัน แม้ว่าเขาจะไม่เคยพูดมันออกมาก็ตาม หรือทั้งสองคนจะเคยมีเรื่องหมองขุ่นข้องหมองใจ แต่ทั้งคู่ก็ผ่านมันมาได้

     

    ชายหนุ่มร่างกำยำที่มีส่วนสูงร้อยแปดสิบต้น ส่วนอีกคนก็ร้อยแปดสิบปลายๆ เดินมาด้วยกันหลังจากที่ชวนกันไปกินของร้อนๆหลังเลิกงาน กำลังเดินไปขึ้นรถของตัวเอง หลังจากที่ขึ้นไปเก็บข้าวของเพื่อกลับบ้าน

    “รีบนอนนะมึง พรุ่งนี้ต้องขับรถให้คุณเจคไม่ใช่รึไง” อีกอนหันไปบอกกับคังโดยองเพื่อนที่ทำงานด้วยกันมานาน

    “รู้แล้วน่า” อีกอนเป็นคนละเอียดกับงานมากๆ รวมไปถึงทุกเรื่องในชีวิตด้วย

    “กอน”

    “อะไร หยุดเดินทำไม”

    “กูลืมกุญแจรถว่ะ” อีกอนถอนหายใจออกมาเพราะความขี้ลืมของโดยอง

    “เดี๋ยวกูเดินไปส่ง” ทั้งคู่กำลังจะเดินไปที่ลิฟต์ เพื่อขึ้นไปเอาของที่ลืมเอาไว้ ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับห้องทำงานของจอนจองกุก และอยู่ถัดขึ้นไปสามชั้น แต่โดยองก็หยุดเดินขึ้นมาดื้อๆ ทำเอาอีกอนที่เดินตามมาหยุดเดินแทบไม่ทัน

    “อะไรอีกวะ”

    “เดินขึ้นบันไดไปดีกว่า แค่สามชั้นเอง เมื่อกี้มึงกินหมูสามชั้นไปหลายชิ้นเลย เดินกัน ออกกำลังกายด้วย”

    “เยอะสิ่ง” บ่นไปก็เท่านั้น แต่เขาก็ยอมเดินตามโดยองไปทางบันไดแทนการขึ้นลิฟต์

    กึ่ก

    “หยุดทำ-”

    “ชู่ว” แต่เพียงเดินขึ้นไปยังไม่ถึงชั้นที่หมาย จู่ๆโดยองก็หยุดเดินอีกครั้งตรงประตูทางออกไปยังที่จอดรถซึ่งมันเป็นกระจกทำให้มองออกไปแล้วเห็นที่จอดของแต่ละชั้นได้ อีกอนคิดว่าเพื่อนแกล้งจึงถามออกไปแบบนั้น แต่พอเห็นสายตาจริงจังของโยองอีกอนก็เข้าใจความหมายขึ้นมาทันทีตามชาตญาณโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโดยองเห็นอะไร แต่เขาเชื่อว่ามันต้องเป็นที่ไม่ปกติเป็นแน่เพราะชั้นนี้เป็นชั้นที่ใช้จอดเก็บรถทุกคันที่ใช้ในบลูอีเกิ้ล

    โดยองส่งสัญญาณว่าเขาจะเดินไปดูก่อน ก่อนจะค่อยๆเปิดประตูออกอย่างเบามือที่สุด โดยมีอีกอนเดินตามไปเพื่อระวังข้างหลังให้

    ทั้งสองค่อยๆก้าวอย่างระมัดระวังจนมาถึงจุดที่สายตาเฉียบคมของโดยองเห็นถึงสิ่งผิดปกติ หากแต่เขาไม่ได้เดินเข้าไปตรงๆ โดยองพาอีกอนเดินอ้อมเสาอีกด้านหนึ่งแทน จนในที่สุดเขาก็เจอแล้วว่าสิ่งผิดปกติที่โดยองเห็นคืออะไร

    “คุณเป็นใคร?” โดยองใช้ปืนพกเล็งไปยังผู้ชายสองคนที่เดินมามาจากบริเวณที่จอดรถVIP ซึ่งเป็นรถของคนสำคัญของบลูอีเกิ้ลทุกคน

    “หันมา ช้าๆ” เสียงเยือกเย็นของโดยองเอ่ยขึ้น ทำให้คนที่พวกเขายังไม่เห็นหน้าค่าตา ค่อยๆหันมา อีกอนสังเกตด้วยความรวดเร็วแล้วประมวลผลได้ว่า ในมือของหนึ่งในสองคนนั้นมีกล่องคล้ายกล่องเครื่องมืออยู่

    “พวกผมมาเช็ครถครับ” คนตัวสูงกว่าเอ่ยขึ้นนิ่งๆ

    “เช็ครถ?” อีกอนได้ยินอย่างนั้นเขาจึงต้องการรู้ว่ารถคันที่คนแปลกหน้าสองคนมาเช็คคือรถคันไหน และเมื่อเขาหันไปก็ต้องตกใจไม่น้อยเลยที่รถคันนั้นคือคันที่เจ้านายของเขาจะใช้เดินทางไปปูซาน

    “เป็นฝ่ายช่างแต่ทำไม ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน” อีกอนเอ่ยถาม ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเจ้านายเขายิ่งปล่อยผ่านไปไม่ได้

    ยิ่งเห็นท่าทางดูมีพิรุธของทั้งสองคนเขายิ่งไม่อยากวางใจง่ายๆ โดยองเดินเข้าไปใกล้คนแปลกหน้ามาขึ้นเพื่อจะได้เห็นใบหน้าให้ชัดเจนเพื่อจดจำเอาไว้

    “ตอบสิ!” อีกอนพูดด้วยเสียงกดต่ำเพื่อเป็นการกดดัน

    “ช่างประจำลาหยุดสองอาทิตย์ ไม่รู้เหรอ?” แต่ยังไม่ทันที่จะได้คำตอบอะไร เสียงของคนที่ทั้งโดยองและอีกอนคุ้นเคยก็ดังขึ้น

    “คุณโฮซอก!” อีกอนเรียกชื่อคนที่เดินเข้ามาด้วยความแปลกใจ แต่ก็พอจะวางใจได้ที่จองโฮซอกสามารถยืนยันได้ว่าคนแปลกหน้าสองคนเป็นใคร

    “สองคนนี้มาแค่ชั่วคราว รถคันนี้ต้องใช้ด่วนไม่ใช่รึไง เลยต้องหาช่างที่ไว้ใจได้มาก่อน”

    “ไว้ใจได้แน่นะครับ” โดยองเป็นคนปากไวพอๆกับความคิดถามออกไป

    “คิดว่าไงล่ะ?” ท่าทางนิ่งของจองโฮซอก ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มันทำให้ทั้งโดยองและอีกอนเข้าใจได้ถึงที่มาที่ไปของคนแปลกหน้าที่พวกเขาเจอ โดยองจึงลดปืนลงและเก็บเข้าที่ในที่สุด

    “งานเสร็จแล้วใช่มั้ย” โฮซอกหันไปถามช่างทั้งสองคน

    “ครับ เรียบร้อยดีทุกอย่างครับ”

    “ไปได้แล้ว” ช่างแปลกหน้าทั้งสองคนก้มหัวให้คนสั่งตามมารยาทแล้วเดินออกไปจากตรงนั้น

    “แล้วนายสองคนไม่กลับบ้านกลับช่องรึไง โดยองพรุ่งนี้ขับรถแต่เช้านี่”

    “ครับ”

    “หมอนี่ลืมของ เรากำลังขึ้นไปเอาครับ”

    “รีบไปเอาเถอะดึกแล้ว ฉันกลับก่อนนะ”

    “ขับรถดีๆครับ คุณโฮซอก” อีกอนบอกอย่างสุภาพ ก่อนที่ผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของบลูอีเกิ้ลจะเดินออกไป

     

    “ทำไมคุณโฮซอกถึงไม่ย้ายมาอยู่ที่นี่สักที”

    “กอนเอ้ย ทั้งนายจินโม ทั้งคุณเจค ยังไม่มีใครทำให้คุณโฮซอกยอมย้ายมาอยู่ที่นี่ได้เลย” ตึกบลูอีเกิ้ลไม่ได้เป็นแค่ตึกที่เอาไว้บริหารงานอย่างเดียว ที่นี่มีชั้นที่เป็นที่พักไว้สำหรับพนักงานหรือผู้บริหารระดับสูงด้วย แต่จองโฮซอกก็ปฏิเสธมาโดยตลอด

     

    วันต่อมา

    “ฉันเตรียมของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นไว้ให้หมดแล้วนะคะ” คิดว่าตัวเองตื่นเช้าแล้วแต่คนเป็นภรรยากลับตื่นเช้ากว่า เพื่อมาตระเตรียมของให้กับเขา จอนจองกุกรู้สึกดีกับสิ่งที่เธอทำให้ แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าไม่อยากให้ภรรยาต้องเหนื่อยกับเขามากเกินไป

    “คราวหลัง ให้โดยองเตรียมให้ก็ได้ ไม่เห็นต้องเหนื่อยทำเองเลย”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ไปแต่งงานกับโดยองเลยสิคะO^O” ขจอนจองกุกหลุดขออกมา เพราะคำพูดคำจาที่ติดประชดของตัวตัวเล็กที่ตั้งท่าเตรียมจะงอนเขาอีกแล้ว

    “อย่าเพิ่งงอน พี่ยังไม่มีเวลาง้อ”

    “ไม่ได้ขี้งอนขนาดนั้นสักหน่อยค่ะ”

    “เหรอ...”

    “ขอซื้อได้มั้ยคะคำว่า เหรอ ของพี่เนี่ย” คำนี้ของเขามันมีเอาไว้สำหรับแกล้งเมียโดยเฉพาะ

    “หึหึหึ ได้”

    “เท่าไหร่คะ”

    “ไม่เอาเป็นเงิน”

    “ทำไมคะ?

    “รวย” จะเรียกว่าความมั่นหน้าก็คงไม่ได้ เพราะเขารวยจริงๆนั่นแหละ แต่ถึงอย่างนั้นคนฟังก็อดหมั่นไส้ไม่ได้อยู่ดี

    “รู้หรอกค่ะว่าจะให้จ่ายเป็นอะไร มองหน้าพี่ก็เห็นไปถึงไส้ติ่งแล้ว”

    “อะไรพี่ยังไม่ได้พูดเลยนะ”

    “แค่ หึหึหึ ของพี่ก็รู้แล้วค่ะว่าคิดแต่เรื่องนั้น”

    “เธอเองรึเปล่าที่คิดแต่เรื่องจะกินพี่ พี่ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”

    “แย่แล้ว รู้สึกว่าร่างกายตัวเองไม่ปลอดภัย พี่จ้างบอดี้การ์ดเพิ่มดีมั้ย?” ปากเล็กเม้มเข้าหากันเพราะ ทั้งๆที่อยากหัวเราะออกมาดังๆกับนิสัยทะเล้นของสามีที่คงจะมีเพียงเธอเท่านั้นที่ได้เห็น

    “หยุดเล่นได้แล้วค่ะ ข้างล่างคงเตรียมตัวกันพร้อมแล้ว” พูดจบเธอก็เตรียมจะเดินไปที่ประตูห้อง แต่ขาทั้งสองข้างก็ต้องชะงักไปเพราะแรงกอดจากด้านหลัง

    “อ๊ะ!

    “เป็นอะไรคะ” ไม่ให้แปลกใจได้ยังไง เพราะจู่ๆคนตัวสูงก็เดินเข้ามากอดเธอเอาไว้

    “ลงไปข้างล่าง กอดไม่ได้” เพราะคนคงเยอะไปหมด จอนจองกุกไม่ค่อยชอบแสดงความรู้สึกต่อหน้าคนอื่นสักเท่าไหร่

    “ไม่อยากไป”

    “พี่คือนายใหญ่ของบลูอีเกิ้ลนะคะ พูดแบบนี้ไม่ได้”

    “แล้วพี่ต้องพูดแบบไหนล่ะ”

    “ก็ต้องพูดว่า พี่จะรีบจัดการธุระให้เสร็จ แล้วรีบกลับมานะครับ”

    “พี่จะรีบจัดการธุระให้เสร็จ แล้วรีบกลับมา” มาเฟียหนุ่มพูดตามที่ภรรยาบอก

    “นะครับหายไปไหนคะ”

    “นะครับ”

    “พี่เจค!

    “พี่จะรีบจัดการธุระให้เสร็จ แล้วรีบกลับมานะครับ”

    “จะรอนะคะ”

    แค่คำพูดที่ฟังดูธรรมดาของคนในอ้อมกอด มันกลับส่งผลมากมายต่อหัวใจของเขา หัวใจที่เต้นแรงเร่า และอบอุ่นไปพร้อมๆกัน จอนจองกุกอดคิดไม่ได้ว่า หรืออีกเหตุผลที่ทำให้เขาไม่คิดที่จะรักใครมายี่สิบห้าปีเต็ม คงเพราะต้องเป็นเธอคนนี้เท่านั้น ที่ใช่สำหรับเขา เพราะถ้าไม่ใช่เธอ เขาก็ไม่เคยต้องการใคร

     

    “ทำไมเปลี่ยนเป็นคันนี้ล่ะ” เมื่อจอนจองกุกเดินมายังหน้าลานจอดรถก็เกิดคำถามนี้ขึ้นด้วยความแปลกใจ เพราะปกติแล้วเวลาเดินทางไกล เขาจะใช้รถที่เป็นประเภทรถตู้เพราะเหมาะแก่การเดินทางไกลมากกว่า

     และเขามีคันที่ใช้เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขากลับเห็นว่ารถที่มีเลขทะเบียน 111 ซึ่งรถทุกคันที่เป็นของจอนจองกุกหรือรถที่เขาใช้ จะมีเลขทะเบียนแบบเดียวกันหมดทุกคัน เพราะเป็นป้ายทะเบียนที่ตั้งใจประมูลมาเพราะเป็นเลขวันเกิดของเขา แต่รถที่โดยองขับมารอเขากลับเป็นรถอีกคันหนึ่ง ซึ่งเป็นรถSUV ของยี่ห้อปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริดสีดำแทน แต่รถคันนี้ก็เป็นรถอีกคนที่จอนจองกุกใช้อยู่แล้ว นอกจากรถส่วนตัว

    “คันนั้นอยู่ๆก็สตาร์ทไม่ติดครับ เลยเปลี่ยนเป็นคันนี้แทน”

    “โอเค ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันประชุม”

    “ครับ”

    พูดจบจอนจองกุกก็ไม่วายกวาดสายตามองไปยังคนที่มองมาที่เขาเช่นกัน เขาเพียงต้องการเห็นรอยยิ้มสดใสของใบหน้าหวานอีกครั้งก่อนไปก็เท่านั้น พอได้เห็นแล้วพลังใจในการทำงานก็เหมือนถูกเติมเต็มขึ้นมาทันที

     

    หลังจากส่งสามีไปทำงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยูรินก็กลับขึ้นไปบนตึกอีกครั้งแต่ไม่ใช่ชั้นที่เป็นเพนเฮาส์แต่อย่างใด  แต่เป็นชั้นเดียวกับที่เป็นออฟฟิศและห้องทำงานของสามี เธอมาที่นี่เพราะนัดใครบางคนเอาไว้

    ร่างบางแต่สูงโปร่งเดินเข้ามาในห้องทำงานของสามีก็แอบนึกใจหายที่วันนี้เดินเข้ามาแล้วไม่เจอกับเจ้าของห้องเหมือนทุกที  แต่ก็ต้องหยุดความคิดนั้นไว้ เพราะเธอต้องทำความเข้าใจว่าสามีของเธอไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา เขามีภาระหน้าที่และผู้คนมากมายที่ต้องดูแล เรื่องงานสำหรับจอนจองกุกก็หนักอยู่แล้ว  เธอจึงตั้งใจว่าจะทำให้ตัวเองเป็นเสมือน บ้านของสามี บ้านที่เมื่อได้ที่เหนื่อยล้า ก็จะเป็นที่แรกที่อยากเอนกายพักพิงให้หายเหนื่อย หรือถ้าเป็นไปได้ ความเหนื่อยล้า และความเจ็บปวดที่ฝังอยู่ภายใจจิตใจของเขา เธออยากให้เขาแบ่งมันมาให้กับเธอบ้างก็คงจะดี

    ก๊อกๆๆๆ

    “เข้ามาได้” เมื่อเสียงเล็กๆเอ่ยปากอนุญาต คนด้านนอกก็เปิดประตูเข้ามา พร้อมกับอีกสองคนที่ช่วยกันถือบางอย่างที่มีชิ้นใหญ่ และถูกห่อหุ้มด้วยกระดาษสีน้ำตาลเอาไว้

    “เอาวางไว้ที่โต๊ะตรงนั้นก่อนก็ได้ค่ะ” เสียงเล็กๆ บอกกับคนที่ยกของเข้ามาอย่างเป็นมิตร

    “ผมให้คนมาเจาะรูเตรียมแท่นสำหรับแขวนภาพเอาไว้ตรงตำแนห่งที่คุณยูรินบอกแล้วนะครับ” อีกอนที่เดินตามเข้ามาเป็นคนสุดท้ายบอกกับนายหญิงของเขา

    “ขอบคุณ อีกอนมากนะ”

    “ให้พวกเราแขวนให้มั้ยครับ ผมกลัวว่าคุณจะลำบาก”

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวนายอนมาช่วยติด” เธอนัดอิมนายอนเอาไว้ ว่าจะมาช่วยเธอติดภาพถ่ายแต่งงาน และจะออกไปซื้อของด้วยกันต่อ

     

    หลังจากที่ทุกคนออกจากห้องไปยูรินก็จัดการแกะกระดาษสีน้ำตาลออกจนหมด รอยยิ้มพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมื่อในที่สุดเธอก็ได้เห็นรูปที่ถ่ายในวันแต่งงานของเธอกับจอนจองกุก เดิมทีที่ทั้งคู่ทำสัญญากันเรื่องแต่งงานเพราะผลประโยชน์ เธอจึงไม่คิดจะมีรูปแต่งงานเอาไว้ เพราะถึงยังไงพอครบหนึ่งปี เรื่องของเธอกับจอนอจองกุกก็ต้องจบลง

    แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เธอจึงขอให้อีกอนไปหารูปที่ถูกถ่ายในวันแต่งงานมาให้ และสองรูปที่เธอเลือกเอาไว้ ก็ถูกอัดแล้วใส่กรอบเอาไว้อย่างดี รูปหนึ่งเธอตั้งใจเอาไปติดไปที่เพนเฮาส์ ส่วนอีกรูปหนึ่งเธอต้องการเอาติดไว้ที่ห้องทำงานของสามี

    ใครจะคิดว่าเธออยากบอกให้ทุกคนที่เข้ามาในห้องนี้ว่าเจ้าของห้องมีภรรยาแล้วก็ได้ เรื่องของจองนารามันทำให้เธอวางใจผู้หญิงคนไหนอีกไม่ได้เลย ทั้งที่รู้ว่าสามีของเธอไม่มีทางนอกใจ เธอมั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ขอเอาไว้สักนิด เพื่อความสบายใจ และอีกอย่างหนึ่งสามีของเธอจะได้มีกำลังใจในการทำงานเมื่อเห็นรูปแต่งงานของทั้งคู่ก็เป็นได้

    ดวงตากลมโตจ้องมองภาพความทรงจำที่ตัวเองสวมชุดเจ้าสาวที่ขาวบริสุทธิ์ โดยที่มีร่างสูงที่สวมชุดสูทเป็นทางการสีดำยืนอยู่ข้างกายของเธอ เป็นงานแต่งงานเจ้าบ่าวคนอื่นคงฉีกยิ้มกว้างไปแล้ว ตรงข้ามกับสามีของเธอ ที่เอาแต่ตีหน้านิ่งตลอดงาน เป็นใครมาเห็นเข้าก็คงคิดว่าทั้งคู่คงถูกบังคับให้แต่งงานกัน แต่ก็คงไม่มีใครล่วงรู้ความรู้สึกที่ทั้งสองคนมีให้กันไปมากกว่าตัวเองได้หรอก

    “เดี๋ยวนี้ยิ้มเก่งกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ” พอนึกถึงคนในรูปแล้วอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้จริงๆ

     

    เมื่อแกะกระดาษห่อเสร็จแล้ว ร่างบางก็ออกแรงดึงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน แต่คงเพราะเธอเคลื่อนไหวร่างกายเร็วเกินไปทำให้เธอเกิดอาการหน้ามืดขึ้นมา ยูรินพยายามประคับประคองร่างกายให้ยืนให้ได้เป็นปกติ แต่มันยากเย็นเหลือเกิน ขนาดแรงยืนยังแทบจะไม่มี นับประสาอะไรกับแรงที่จะใช้ถือกรอบรูปขนาดใหญ่ในมือ

    เพล้ง!!!
    “ไม่นะ
    !! ภาพกระจกบนกรอบรูปที่แตกละเอียดเพราะแรงกระแทกลงบนพื้นทำให้ยูรินที่สติเหลือเพียงน้อยนิดตกใจมาก แต่เธอทำอะไรไม่ได้เลย

    “ยูริน!!!” อิมนายอนที่เปิดประตูเข้ามาพอดีดิบพอดี และเห็นกรอบรูปที่แตกกระจาย ก็ตกใจพออยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เธอตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือใบหน้าที่ซีดเซียวไร้สีของเพื่อนสนิท

    เห็นอย่างนั้นนายอนจึงรีบสาวเท้าเข้าไปประชิดตัวเพื่อนแล้วประคองยูรินเอาไว้ทัน ก่อนที่เธอจะล้มลงไปและอาจจะหัวฟาดพื้นเอาไว้ แต่ด้วยเรี่ยวแรงของนาอยนที่ไม่ได้มีมากมายอะไร เพราะเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ในที่สุดเธอก็ค่อยๆทิ้งร่างกายไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก แต่ยังคงระวังไม่ให้เพื่อล้มลงไปกระแทกพื้น

    “ยูรินไหวรึเปล่า!

    “ทำแตกหมดเลย” เสียงกระท่อนกระแท่นบอกกับเธอ

    “ช่างมันก่อนเหอะ”

    “ใครอยู่ข้างนอก เข้ามาด่วน ยูรินเป็นลม!” อิมนายอนร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจากคนข้างนอก เพราะลำพังเธอคงไม่ไหวแน่ๆ

    และคนที่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาคนแรกก็คือ ปาร์คจีมินที่บังเอิญเดินผ่านมาพอดี ร่างสูงตรงเข้าไปหาอิมนายอนด้วยความตกใจไม่แพ้กัน

     “ยูรินเป็นลมค่ะพี่จีมิน” นายอนบอกอย่างร้อนใจ

    “พาไปโรงพยาบาลเถอะ” จีมินเอ่ยขึ้น

    “มะ ไม่เป็นไรค่ะ...” แต่เจ้าตัวกลับเอ่ยขึ้นมาเสียงเบาๆ เธอสั่งการร่างกายได้ลำบาก แต่เธอก็ยังพอมีสติอยู่บ้าง

    “งั้นพาไปที่โซฟาก่อนดีกว่าค่ะ” ทันทีที่นายอนบอก ปาร์คจีมินก็ออกแรงอุ้มร่างของยูรินขึ้นมา แล้วไปวางลงยังบนโซฟาตัวยาวอย่างระมัดระวัง ส่วนอิมนายอนก็รีบไปหาผ้าชุบน้ำเย็นๆมา เช็ดหน้าเช็ดตาให้กับเธอ ยังดีที่ชุดที่เธอสวมอยู่ไม่ได้ดูอึดอัดแต่อย่างใด จึงไม่จำเป็นต้องคลายชุดออก

    “เกิดอะไรขึ้น” จีมินเอ่ยถามในที่สุด

    “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เข้ามาก็เห็นกำลังเป็นลมแล้ว”

    “อื้อ...” นานไม่ ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงอู้อี้ในลำคอของคนที่หมดสติไป เปลือกตาของเธฮค่อยๆเปิดขึ้น ก่อนจะหันไปมองคนข้างๆเธอ ใบหน้างงๆของยูรินทำให้นายอนรู้ว่าเพื่อนคงกำลังคิดอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น

    “เธอเป็นลมน่ะ”

    “เหรอ พักนี้หน้ามืดบ่อยๆ ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน” นับตั้งแต่วันที่เธอกับมินยุนกิวันนั้น อาการนี้ก็เกิดขึ้นกับเธออยู่บ่อยครั้ง

    “พี่ว่าไปหาหมอดีกว่านะ จะได้บอกไอ้เจคมันถูก”

    “อย่าบอกพี่เจคนะคะ” ยูรินเอ่ยขึ้นเสียงดัง สร้างความไม่เข้าใจให้กับอีกสองคนอย่างมาก

    “แค่นี้ปัญหาของพี่เจคก็เยอะอยู่แล้วค่ะ ไม่อยากให้พี่เจคต้องมาเป็นห่วงทางนี้”

    “แต่ว่า...”

    “ได้ แต่มีข้อแม้นะ” ในขณะที่ปาร์คจีมินคิดว่าเรื่องนี้ควรบอกให้เพื่อนของเขารับรู้ แต่อิมนายอนก็พูดแทรกขึ้นมา

    “ข้อแม้อะไร” คนที่ใบหน้าเริ่มมีสีขึ้นมาบ้างแล้วเอ่ยถาม

    “เธอต้องไปหาหมอกับฉัน ถ้าไม่อยากให้คุณเจคเป็นห่วง เธอก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีสิ เห็นบอกว่าหน้ามืดบ่อยๆ มันแปลว่าเธอไม่ปกติแล้ว ไปให้คุณหมอตรวจจะดีกว่า เป็นอะไรจะได้รักษาตั้งแต่เนิ่นๆ”

    “แต่...”

    “ไม่มีแต่นัมยูริน”

    “ก็ได้...” เสียงเรียบนิ่งของนายอนที่เธอใช้กับยูรินทำให้ชายหนุ่มเพียงคนเดียวในห้องนี้ทองเธออย่างเลือกเชื่อ เขาไม่คิดว่า เด็กแสบในสายตาเขาจะมีโหมดจริงจังขนาดนี้กับเขาเหมือนกัน

    “มองอะไรคะ ไม่เคยเห็นคนสวยเหรอ” จริงจังได้ไม่นานก่อนจะตวัดสายตามาจิกกัดเขาตามเคย

    “คนสวยน่ะเคยเห็น แต่ไม่เคยเห็นคนที่คิดเอาเองว่าตัวเองสวย”

    “คุณจีมิน!

    “อะไร เมื่อกี้ยังเรียกพี่อยู่เลย” จีมินเอ่ยเสียงทะเล้น

    “ใคร? ใครเรียกคุณว่าพี่ ตกใจจนสมองเลอะเลือนรึเปล่าคุณ” จีมินนึกในใจว่า ร่างจริงจังของอิมนายอนคงเป็นแค่ร่างชั่วคราวเหมือนร่างทรงนั่นแหละ ร่างจริงๆคือยัยเด็กแสบปากไม่มีหูรูดนี่ต่างหากล่ะ

    “ยัยเด็กปากเสียเธอว่าใครสมองเลอะเลือน”

    “หมามั้ง”

    “ยัย!

    “เอ่อ...ตกลงต้องไปหาหมอมั้ย” ยูรินพูดแทรกขึ้นกลางคันเพื่อหวังยุติสงครามระหว่างอิมนายอนและปาร์คจีมิน

    “ถ้าไม่ติดว่าต้องพายูรินไปหาหมอนะ ไม่จบง่ายๆแน่” นายอนพูดอย่างคาดโทษ

    “มาต่อให้จบเมื่อไหร่ก็ได้ พร้อมเสมอ”

    “นี่!!

    “ไปกันครับน้องยูรินเดี๋ยวพี่ขับรถไปส่งดีกว่า ขืนปล่อยไปสองคน พี่ว่าอันตรายครับ คนแถวนี้ไม่รู้จะคลุ้มคลั่งขึ้นมาเมื่อไหร่”

    “คุณจีมิน!

    “นายอนอ่า เวียนหัวมากเลย รีบไปโรงพยาบาลกันเถอะนะ” จริงๆอาการของเธอดีขึ้นมากแล้ว แต่ถ้าไม่พูดแบบนั้นออกไป นายอนจะต้องไม่ยอมหยุดง่ายๆแน่

    “เห็นแก่เพื่อนฉันหรอกนะ”

    แต่พอทั้งสองช่วยกันประคองร่างบางของยูรินให้ลุกขึ้นจากโซฟา ก็ไม่วายที่อิมนายอนจะแอบกระซิบบอกกับศัตรูตลอดการของเธอเบาๆ ปาร์คจีมินถึงกับแอบหลุดขำออกมา เพราะนิสัยความไม่ยอมคนมาตั้งแต่เด็กของนายอน ยิ่งถูกท้าทาย ยิ่งถูกขัดใจ นายยอนจะยิ่งอยากเอาชนะ และเขาเองก็ไม่ใช่พวกที่จะยอมใครง่ายๆซะด้วยสิ

     


     70%

    To be continue ++++

    ฝาก สตรีมเเท็ก  #พี่เจคใจเย็น ด้วยน้า


    ชื่อทางการติดต่อไรท์

    twt : @Lilyn_T_V

    Facebook group : Lilyn-Fic


    B
    E
    R
    L
    I
    N
    ?
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×