คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : บทที่ 15 (50%)
ท่ามกลางความตื่นตะลึงชายคนหนึ่งก็พลิกตัวลงจากม้ามายืนอยู่ตรงหน้าเฟิงชิงถิง เขาประสานมือคำนับนางก่อนจะกล่าว
“ข้าคือถานเฟิง มีตำแหน่งเป็นทูตซ้ายของพรรคโลหิตอัคคี ขออภัยแม่นางที่พวกข้ามาช้า ขอแม่นางกับท่านประมุขขึ้นไปบนรถม้าส่วนเรื่องตรงหน้าให้เป็นหน้าที่ของคนพรรคโลหิตอัคคีจัดการเอง”
“คนพรรคโลหิตอัคคี!” คนผู้หนึ่งตะโกนออกมาด้วยความแตกตื่น
“นางมาร หลักฐานชัดเจนเช่นนี้ยังจะปฏิเสธอีกหรือว่าไม่ได้เป็นพวกมาร” ชายคนที่โดนผงคันของนางเอ่ยพลางเกาแขนจนผิวหนังเริ่มถลอกมีเลือดไหลซิบๆ ออกมา
เฟิงชิงถิงมองไปยังชายคนนั้นด้วยแววตาไม่พอใจ แต่นางก็หันไปบอกกับชายที่คารวะนางด้วยน้ำเสียงราบเรียบกว่าเดิม "เช่นนั้นก็รบกวนท่านแล้ว”
“แม่นาง ท่านประมุข เชิญ” ชายคนนั้นผายมือให้เฟิงชิงถิงขึ้นรถม้า
ตอนนั้นเองเฟิงชิงถิงจึงสังเกตเห็นว่าคนพรรคโลหิตอัคคีที่คุยกับนางเมื่อครู่ แท้แล้วเป็นลูกจ้างร้านผ้าที่ใต้ดวงตามีรอยบากรอยหนึ่งนั่นเอง
นางรีบก้าวขึ้นไปบนรถม้า ส่วนสือซานเหลียงนั้นเขาจ้องมองถานเฟิงผู้นั้นนิ่ง จนเฟิงชิงถิงจะรู้สึกแปลกใจที่สือซานเหลียงดูคล้ายไม่ระแวงคนพรรคโลหิตอัคคีที่มีอาวุธติดกายเหมือนกับคนกลุ่มอื่นๆ
“อย่าปล่อยให้สือซานเหลียงหนีไปได้!” เฟิงชิงถิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหยวนถังมาอยู่บริเวณนี้ตั้งแต่เมื่อใด แต่คนที่สั่งเหล่าชาวยุทธ์ให้ขัดขวางการหลบหนีของสือซานเหลียงคือเขานั่นเอง
เฟิงชิงถิงรู้ว่ายามนี้เป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน นางจึงดึงแขนสือซานเหลียงให้ขึ้นรถม้า ถานเฟิงหรือทูตซ้ายถานยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้คนในพรรคป้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้ามาจู่โจมสือซานเหลียงได้ เหล่าคนที่อยู่บนม้าต่างชักม้ามาล้อมรถม้าเอาไว้ หลังจากที่สือซานเหลียงขึ้นไปด้านในรถม้า เขาก็พยักหน้าให้คนบังคับรถม้าวิ่งฝ่าวงล้อมออกไป จากตอนแรกเป็นเหยาะย่าง ไม่นานก็เริ่มโผทยาน
“อย่าปล่อยให้นางมารผู้นั้นหนีไป!” ศิษย์สำนักง้อไบ๊นางหนึ่งตวาดเสียงแหลมตามหลังรถม้า
เสียงการต่อสู้ด้านนอกรถม้าดังขึ้น โชคดีที่เฟิงชิงถิงล่อให้เหล่าชาวยุทธ์ตามสือซานเหลียงตัวปลอมไปบ้างแล้วยามนี้คนที่ติดตามกลุ่มของนางจึงไม่ได้มากเท่าตอนแรก
ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถม้าเฟิงชิงถิงได้ยินเสียงคล้ายนกหวีดส่งสัญญาณบางอย่าง แล้วไม่นานนางก็เห็นว่านอกหน้าต่างรถม้ามีเงาของชาวยุทธ์เพิ่มขึ้นมาอีกจำนวนมาก
“ท่านประมุข แม่นางเฟิง โปรดนั่งดีนะขอรับ ข้าจะเร่งความเร็ว” คนบังคับรถม้าตะโกนบอก
“ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง” เฟิงชิงถิงตะโกนถาม
“ชาวยุทธ์ส่งสัญญาณเรียกคนมาเพิ่มขอรับ ยามนี้พวกเราจึงต้องรีบสลัดคนเหล่านี้ออกไป”
เฟิงชิงถิงเปิดหน้าต่างออกดู เห็นว่ายามนี้เหล่าชาวยุทธ์ติดตามกลุ่มของพวกนางมาติดๆ บนถนนมีหลายคนควบม้าตามมา กลางอากาศมีคนใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามหลังคาบ้านเรือนตามมาไม่ห่าง
“อย่าปล่อยให้นังตัวดีหนีไปได้!” เสียงร้องบอกจากศิษย์สำนักง้อไบ๊
“นังตัวดีหรือ?” เฟิงชิงถิงขบกรามแน่นเปิดหน้าต่างรถม้า ล้วงมือเข้าไปในห่อผ้า หยิบขวดกระเบื้องที่มีรอยตะปุ่มตะป่ำขึ้นมา นางยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่างเหลียวหลังดูก็เห็นว่า ศิษย์สำนักง้อไบ๊กำลังขี่ม้าตามมา
ใบหน้าหวานยิ้มเย็น “ช่วยชะลอรถม้าให้ข้าด้วย”
“หากเราชะลอคนพวกนั้นอาจจะตามเรามาทันนะขอรับ”
“ไม่ต้องห่วง พวกนางไม่มีทางตามมาทันหรอก” เฟิงชิงถิงกรอกผงบางอย่างเข้าไปรวมกับผงอัปลักษณ์อย่างระมัดระวังเพราะอยู่บนรถม้าที่วิ่งเร็ว
“ขอรับ” คนบังคับรถม้าชะลอความเร็วลงตามที่เฟิงชิงถิงสั่ง
ถานเฟิงควบม้ามาอยู่ข้างหน้าต่างรถม้าแล้วเอ่ยถาม “แม่นางเฟิงท่านสั่งให้คนบังคับรถม้าชะลอความเร็วหรือขอรับ”
“บอกให้คนของท่านอย่าอยู่ด้านหลังรถม้า” เฟิงชิงถิงบอก
คิ้วของถานเฟิงขมวดครู่หนึ่งแต่เขาก็ตัดสินใจรวดเร็ว เพียงส่งสัญญาณมือแค่คราเดียว คนที่ขี่ม้าคุ้มครองอยู่ด้านหลังก็เร่งฝีเท้าม้ามาขนาบอยู่ข้างรถม้าอย่างเป็นระเบียบ
รถม้าชะลอความเร็วลงทำให้ศิษย์สำนักง้อไบ๊ขี่ม้าเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม “นังตัวดีโผล่หน้าออกมาจากรถม้าแล้วเจ้าค่ะศิษย์พี่”
“จับนางมารมาให้ได้ สั่งสอนให้นางรู้ว่าศิษย์สำนักง้อไบ๊หาใช่สตรีธรรมดาที่นางจะกล่าวหาได้ สิ่งที่เราทำนั้นก็เพื่อทำให้ยุทธภพสงบสุข”
“เจ้าค่ะศิษย์พี่!” เหล่าสตรีสำนักง้อไบ๊ยี่สิบกว่าคนยิ่งควบม้าเร็วขึ้น
เฟิงชิงถิงได้ยินคำพูดเหล่านั้นอย่างชัดเจน แต่ตอนนี้นางไม่สนใจ ทำเพียงยื่นมือที่ถือขวดกระเบื้องไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะโรยผงในขวดกระเบื้องออกมา ผงในขวดกระเบื้องถูกลมตีลอยฟุ้งก่อนจะปะทะเข้ากับผิวหน้าและแทรกเข้าไปในร่มผ้าของเหล่าศิษย์สำนักง้อไบ๊ที่ขี่ม้าตามมา
เฟิงชิงถิงเห็นว่าม้าที่ขี่ตามนางมาถึงจุดที่นางโรยผงยาแล้วจึงยิ้มให้เหล่าสตรีสำนักง้อไบ๊ก่อนจะเอ่ยว่า
“ในเมื่อข้าเป็นนางมารแล้ว ดังนั้นก็ให้พวกเจ้าได้รู้เสียบ้างว่าข้าหาใช่สตรีที่ถูกผู้อื่นกล่าวหาลอยๆ ได้ง่ายๆ หลักฐานความโหดร้ายของข้าขอฝากไว้กับพวกเจ้าก็แล้วกัน” นางยิ้มให้คนสำนักง้อไบ๊อีกครั้งก่อนจะลดศีรษะกลับเข้าไปในรถม้าดังเดิม
ยังไม่ทันที่เหล่าสตรีสำนักง้อไบ๊จะแปลคำพูดของเฟิงชิงถิงออก ร่างกายของพวกนางก็มีอาการแปลกๆ มันทั้งร้อนทั้งคันจนพวกนางไม่มีสมาธิที่จะควบม้าได้อีกต่อไป
“นี่มันอะไรกัน ศิษย์พี่ข้าคัน” ศิษย์คนหนึ่งหยุดม้าที่นางขี่อยู่กระโดดลงจากหลังม้าแล้วเริ่มเกาตามเนื้อตัวและใบหน้าของตนเอง คนอื่นก็เริ่มทำตามๆ กันจนสุดท้ายไม่เหลือกลุ่มคนสำนักง้อไบ๊ที่ควบม้าตามมาสักนางเดียว
แม้จะกำจัดศิษย์สำนักง้อไบ๊ไปได้ แต่ก็ยังเหลือชาวยุทธ์อีกจำนวนไม่น้อย นอกจากกลุ่มที่ขี่ม้าคุ้มกันแล้วก็ยังมีคนของพรรคโลหิตอัคคีอีกหลายคนที่คอยต้านไว้ไม่ให้เหล่าชาวยุทธ์ตามมาถึงรถม้า แต่ก็คงหนักหนาพอควรเพราะจากการคำนวณจากสายตาชาวยุทธ์น่าจะมีมากกว่าคนพรรคโลหิตอัคคีถึงสามเท่าตัว อีกทั้งบางคนยังซัดอาวุธลับเข้าใส่รถม้า ดีที่เหล่าคนที่ขี่ม้าล้อมรอบอยู่สกัดเอาไว้ได้
“เมื่อครู่แม่นางเฟิงใช้สิ่งใด” ถานเฟิงที่ขี่ม้าอยู่ไม่ห่างจากหน้าต่างรถม้าเอ่ยถาม
“ผงคันผสมกับผงอัปลักษณ์” หากผู้ใดโดนผงคันก็จะคัน ส่วนผงอัปลักษณ์นั้นผิวที่สัมผัสโดนจะร้อนคล้ายถูกไฟแผดเผาแต่ก็ไม่นานเท่านั้น เมื่ออาการร้อนดังไฟเผาจางหายไปตุ่มหนองก็จะผุดขึ้นบนผิวบริเวณนั้นแทน หากตุ่มหนองนั้นแตกก็จะร้อนเหมือนบริเวณนั้นโดนไฟเผาอีกครั้งจนกว่าแผลจะหาย
“มีอย่างอื่นที่แรงกว่านี้หรือไม่”
“มีสิ” เฟิงชิงถิงตอบด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“เช่นนั้นรอข้าส่งสัญญาณแล้วแม่นางค่อยโรยผงเหล่านั้นออกจากรถม้าเหมือนเมื่อครู่ได้หรือไม่”
เฟิงชิงถิงพยักหน้าเลือกขวดกระเบื้องอย่างรวดเร็วก่อนจะหันไปมองถานเฟิงเพื่อบอกเป็นสัญญาณว่านางพร้อมแล้ว ถานเฟิงยกมือส่งสัญญาณอีกครั้ง เหล่าคนพรรคโลหิตอัคคีที่กระจัดกระจายเพื่อคอยสกัดเหล่าชาวยุทธ์ก็เลิกการต่อสู้ไปกลางคัน ก่อนจะหลบหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“แม่นางเฟิงโปรดลงมือ” ถานเฟิงบอกกับเฟิงชิงถิง
นางพยักหน้าแล้วโปรยผงในขวดกระเบื้องออกมาทางหน้าต่างอีกครั้ง ถานเฟิงเห็นว่านางโปรยผงสีขาวออกจากขวดแล้วเขาก็ชักม้าให้หันหลังไปเผชิญกับเหล่าชาวยุทธ์ บังคับให้ม้าหยุดนิ่งก่อนจะปล่อยมือจากบังเหียน สองมือทำท่าประคองอากาศใช้ลมปราณบังคับให้ลมโอบล้อมผงยาของเฟิงชิงถิงเอาไว้ ก่อนจะให้มันฟุ้งกระจายเป็นวงกว้างกระทบกับใบหน้าและร่างกายของเหล่าชาวยุทธ์โดยที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว ไม่นานพวกเขาก็ออกอาการผิดปกติจนติดตามมาไม่ได้ ถานเฟิงเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างพอใจก่อนจะควบม้าตามรถม้าไป
เฟิงชิงถิงโผล่หน้าออกไปมองนอกรถม้า มองดูถานเฟิงขี่ม้าตามมาแล้วก็ถอนใจอย่างโล่งอก โชคดีที่ยามนี้ดึกแล้วอีกทั้งถนนที่คนพรรคโลหิตอัคคีใช้งานยังเป็นถนนที่ปลอดคนอีกต่างหาก ดังนั้นจึงไม่มีชาวบ้านคนใดได้รับผลจากผงยาของนาง
ผ่านไปไม่นานนัก รถม้าก็มาหยุดที่คฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่งที่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนสาขาพรรคโลหิตอัคคี หลังจากรถม้าเข้ามาในอาณาบริเวณรัวคฤหาสน์ประตูใหญ่ก็ถูกปิดลง มีชายสี่คนกลับมายืนคุมประตูใหญ่ และเมื่อรถม้าเคลื่อนเข้าไปอีกเฟิงชิงถิงก็เห็นคนหลายสิบยืนเรียงแถวอยู่สองข้างที่รถม้าเคลื่อนผ่าน
หลังจากที่เฟิงชิงถิงและสือซานเหลียงลงจากรถม้า เหล่าคนที่มายืนต้อนรับก็ตะโกนดังก้องพร้อมกับคุกเข่าก้มหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน “คารวะท่านประมุข!”
“...” เฟิงชิงถิงตกตะลึง ส่วนสือซานเหลียงก็เพียงยืนเหม่อมองไปไกล
เมื่อไม่ได้ยินเสียงท่านประมุขตอบรับ เหล่าคนที่คุกเข่าอยู่ก็ตะโกนออกมาเสียงดังกว่าเดิม “คารวะท่านประมุข!”
ครั้งนี้สือซานเหลียงไม่ได้เงียบอีกต่อไป เขากวาดตามองเหล่าคนที่ก้มหน้า ก่อนจะตวาดออกมาเสียงดังด้วยความไม่พอใจ “น่ารำคาญ!”
เหล่าผู้ที่ก้มหน้าได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งก้มหน้าต่ำลงเข้าไปใหญ่ก่อนจะมีคนผู้หนึ่งเอ่ยเสียงดังออกมา “พวกข้าน้อมรับความผิดที่ตามหาตัวท่านประมุขล่าช้า โปรดลงทัณฑ์แก่พวกเราด้วย!”
“โปรดลงทัณฑ์แก่พวกเราด้วย!” พวกเขาเอ่ยเสียงประสาน
เฟิงชิงถิงมองคนเหล่านั้นก่อนจะมองไปทางสือซานเหลียงที่ทำจะตวาดเสียงดังอีกครั้ง นางรีบปิดปากเขาก่อนจะรีบชิงเอ่ยก่อน “พวกท่านอย่าได้ถือสา ยามนี้ท่านประมุขกำลังป่วยอยู่ขอให้พวกท่านทำหน้าที่ต่อจากนี้ให้ดีก็เพียงพอ”
สือซานเหลียงไม่ได้โกรธที่เฟิงชิงถิงปิดปากเขา เขาจับมือที่ปิดปากตนเองมาเล่นอย่างเพลิดเพลิน เหล่าคนที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นภาพนั้นเข้าพอดีก็มีสีหน้าคล้ายกับมีหินก้อนใหญ่ติดคอก็ไม่ปาน
เฟิงชิงถิงเองก็ไม่คิดว่าสือซานเหลียงจะเอามือของนางไปเล่นเช่นนี้ ท่ามกลางสายตามากมาย นางรู้สึกว่ามือตัวเองยามนี้คล้ายกับถูกคนเหล่านั้นมองจนพรุนไปเสียแล้ว อีกทั้งใบหน้าก็ร้อนเป็นไฟอีกต่างหาก
“พวกเจ้าได้ยินแล้วก็ลุกขึ้นได้ ท่านประมุขใจกว้างเพียงใดก็รู้ อย่าคุกเข่าเอ่ยเรื่องไม่เป็นเรื่องให้ท่านประมุขรำคาญ”
ผู้ที่แก้ไขสถานการณ์กระอักกระอ่วนให้ผ่านพ้นไปคือถานเฟิงที่เพิ่งจะเดินเข้ามา เขาพยักหน้าให้เฟิงชิงถิงคล้ายบอกว่าขอบคุณ เฟิงชิงถิงก็พยักหน้าให้เขาพร้อมกับพยายามดึงมือที่ถูกกุมไว้ออกจากมือใหญ่ แต่ทำอย่างไรก็ดึงไม่ออก เรื่องนี้สร้างความอับอายให้แก่นางไม่น้อย แล้วนางก็รู้สึกว่าใบหน้าที่ร้อนผ่าวนั้นแทบจะไหม้เกรียม เมื่อคนที่ดึงมือนางไว้เอ่ยออกมาว่า
“ฮูหยิน หมั่นโถว”
ที่จริงเวลานี้เป็นเวลานอนของเฟิงชิงถิงแล้ว แต่วันนี้เพราะอยู่ดึกเกินไปสือซานเหลียงก็คงจะหิวขึ้นมาอีกรอบ นางเข้าใจสือซานเหลียง แต่เหตุใดเขาต้องมาบอกนางต่อหน้าคนมากมายด้วยเล่า อีกทั้งเขายังเอ่ยคำว่า ฮูหยิน ออกมาด้วย แล้วเช่นนี้นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน ทั้งที่เมื่อก่อนตอนที่ท่านป้าหมี่เจาบอกให้เขาเรียกนางว่าฮูหยิน สือซานเหลียงก็ไม่เคยเรียกนางเช่นนั้น แต่หลังจากเหตุการณ์ที่สือซานเหลียงเข้าใจว่า ‘หมั่นโถว’ บนตัวนางกินได้ เขาก็เรียกนางว่า ฮูหยิน สลับกับ หมั่นโถว ซึ่งนางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงเรียกนางเช่นนี้
“...”
ความเงียบงันเข้ามาแทนที่ หากมีเข็มตกลงพื้นก็คงจะได้ยินอย่างชัดเจน เหล่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองประมุขของเขากับสตรีข้างกายด้วยปากที่อ้าค้าง ไม่เว้นแม้แต่ถานเฟิงผู้มีตำแหน่งเป็นคนสนิทของสือซานเหลียง
“แค่กๆ” คนผู้หนึ่งไอออกมาเพราะมียุงบินเข้าปาก ทำให้ทุกคนที่ตะลึงงันมีสติกลับมาอีกครั้ง
พวกเขาคุกเข่าทำท่าคารวะอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง “คารวะฮูหยิน!”
“พวกท่าน” เฟิงชิงถิงถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กำลังจะปฏิเสธมือของนางก็ถูกกระตุกซ้ำพร้อมกับเสียงทุ้ม “หมั่นโถวของข้า ฮูหยิน”
ยามนี้แววตาของเขาเริ่มเลื่อนต่ำกว่าใบหน้าของนางแล้ว เฟิงชิงถิงเห็นว่าไม่ดีแน่ เรื่องอื่นนางยังพอทนความอับอายได้ แต่หากผู้อื่นล่วงรู้ความลับเรื่องหมั่นโถวของนางแล้ว นางคงทนความอับอายไม่ได้แน่
“ประมุขสือคงจะหิวแล้ว พอจะมีสิ่งใดให้เขากินหรือไม่” นางหันไปถามถานเฟิง
ถานเฟิงโค้งให้เฟิงชิงถิงเล็กน้อยก่อนจะหันไปตวาดเหล่าคนที่คุกเขาอยู่ด้วยเสียงเฉียบขาด “ได้ยินหรือไม่ ท่านประมุขหิวแล้ว จะให้ท่านประมุขยืนอยู่ที่นี่ทั้งคืนหรือไร ผู้ใดมีหน้าที่ใดก็ไปทำเสีย ที่ควรแยกย้ายก็แยกย้ายไป”
“ขอรับท่านทูตซ้ายถาน!” เสียงขานรับเสียงดังก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไป
เมื่อเห็นว่าคนในสำนักแยกย้ายกันไปแล้ว ถานเฟิงก็หันไปทางบ่าวที่อยู่ไม่ไกล “ผู้คุมกฎผีอยู่ที่ใด”
“อยู่ในห้องปรุงยาขอรับ” บ่าวผู้นั้นก้มหน้าตอบ
“ไปบอกเขาว่าท่านประมุขกลับมาแล้ว ให้เขาไปเจอท่านประมุขที่ห้องอาหาร”
บ่าวรับคำก่อนจะถอยออกไป
ถานเฟิงหันมายิ้มกับเฟิงชิงถิงก่อนจะผายมือให้
“ท่านประมุข แม่นาง เอ่อ...ฮูหยิน เชิญทางนี้ขอรับ”
เฟิงชิงถิงอยากจะบอกกับถานเฟิงว่านางไม่ใช่ฮูหยินของสือซานเหลียงแต่ติดที่ว่านางไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไรดี อีกทั้งยามนี้คล้ายว่าคนที่พรรคก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสือซานเหลียงสติไม่ดี นางควรจะบอกถานเฟิงอย่างไรดี
ความคิดเห็น