คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : บทที่ 15 (100%)
เฟิงชิงถิงเรียบเรียงคำพูดยังไม่ทันเสร็จก็ถูกพามาที่ห้องอาหารแล้ว ถานเฟิงเชิญให้นางนั่งที่โต๊ะอาหารตัวใหญ่ ส่วนเขานั้นยืนสำรวมอยู่ไม่ห่างเท่าใดนัก ไม่นานอาหารร้อนๆ ก็ถูกสาวใช้ลำเลียงมาวางบนโต๊ะ
หลังจากนั้นไม่นานชายรูปร่างสูงผอมคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง เขาคารวะสือซานเหลียงคราหนึ่ง ดูเขาไม่ได้แปลกใจที่สือซานเหลียงไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย เจ้าของร่างสูงผอมมองมาทางเฟิงชิงถิง
“เขาคือผีสือเป็นหมอประจำพรรคโลหิตอัคคีและเป็นทูตขวาทำหน้าที่คุมกฎของพรรค ผีสือนี่คือแม่นางเฟิงชิงถิงที่ข้าเล่าให้เจ้าฟัง ยามนี้เขาคือฮูหยินของท่านประมุข” ถานเฟิงเอ่ยแนะนำ
“คารวะฮูหยิน ขออภัยที่ข้าน้อยเสียมารยาท” ท่าทางของผีสือนอบน้อมมากกว่าเก่า
“พวกท่านโปรดเรียกข้าว่าแม่นางเฟิงก็พอ ที่ท่านประมุขสือเรียกข้าว่าฮูหยินนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น โปรดอย่าเรียกข้าว่าฮูหยินอีกเลย” เฟิงชิงถิงรีบอธิบาย
“ขอรับ” ถานเฟิงตอบ
“ได้ข่าวว่าพวกเจ้าเปลี่ยนแผนการไปรับท่านประมุขกะทันหัน เกิดสิ่งใดขึ้น” ผีสือถามถานเฟิง
“มีคนแจ้งข่าวกับเหล่าสำนักใหญ่ว่าท่านประมุขอยู่ที่นั่น เหล่าชาวยุทธ์จึงไปรวมตัวกันที่โรงผ้าปัก เราจึงต้องเปลี่ยนแผน ดีที่แม่นางเฟิงฉลาดหลักแหลมใช้วิธีแปลงโฉมผู้อื่นให้มีหน้าตาคล้ายท่านประมุขจึงหลอกชาวยุทธ์ไปได้มาก แต่เพราะยังเหลือชาวยุทธ์อยู่จำนวนมาก ข้าจึงสั่งให้คนที่มีรูปร่างคล้ายท่านประมุข สร้างควันที่โรงเก็บฟืนล่อเหล่าชาวยุทธ์หน้าโง่พวกนั้นให้หลงทิศ ก่อนจะพาท่านประมุขกลับมา แต่ชาวยุทธ์ก็มีมากจึงสลัดหลุดยาก โชคดีที่มีผงยาของแม่นางเฟิง ทำให้ที่กบดานของเรายังคงปลอดภัยไม่มีผู้ใดตามมา”
“ผงยาแบบใดกัน” ผีสือดวงตาเป็นประกายเมื่อได้ยินว่าผงยา
“ผงยานั้นเป็นยาที่ข้าปรุงขึ้นมาเอง เป็นผงผลัดผิวเทรวมกับผงกร่อนกระดูก” แค่ได้ยินชื่อผีสือก็ก้าวเข้ามาใกล้เฟิงชิงถิงอย่างสนใจ พอนางอธิบายต่อ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายอีกครั้ง “ผงผลัดผิวนั้นที่จริงข้าตั้งใจปรุงยาสูตรนี้เพื่อรักษาคนเป็นโรคผิวหนังแต่เพราะผลข้างเคียงนั้นรุนแรงข้าจึงไม่ได้ใช้รักษาคน เพิ่มตัวยาบางอย่างมากขึ้นก็เป็นยาที่ใช้ป้องกันตัวเอง หากผู้ใดโดนผงผลัดผิวเข้า ผิวที่ถูกผงนั้นสัมผัสจะอ่อนไหวเป็นพิเศษ เบื้องต้นจะมีอาการแสบร้อนผิวหนัง แม้โดนเสียดสีเพียงเล็กน้อยก็จะรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเข็มตำ หากถูกลมเย็นพวกเขาจะหนาวคล้ายถูกหิมะกัดและรู้สึกหนาวเหน็บเข้าไปถึงกระดูก หากถูกแสงแดดหรือถูกความร้อนผิวบริเวณนั้นก็จะไหม้และลอก อีกทั้งยังร้อนไปถึงภายใน”
“ส่วนผงกร่อนกระดูกนั้นข้าคิดมาเพื่อจะช่วยให้กระดูกที่หักผสานกันง่ายขึ้น แต่เพราะใส่ตัวยาบางอย่างมากเกินไป ผงยานั้นจึงกลายเป็นโทษขึ้นมา หากผู้ที่ถูกผงกร่อนกระดูกสัมผัส ผงนั้นจะซึมเข้าสู่ร่างกายแทรกเข้าสู่ผิวหนังส่งผลให้ร่างกายของพวกเขาอ่อนแรง เวลาขยับร่างกายเมื่อใดก็กระดูกส่วนนั้นก็จะปวดร้าวคล้ายกับถูกกร่อน สร้างความทรมานไม่น้อย แต่พวกท่านไม่ต้องกังวล ถึงแม้จะทรมานแต่ก็ไม่ถึงตาย ผงผลัดผิวนั้นแค่อาบน้ำใบชาหรือทิ้งไว้สักสี่ห้าวันยาเหล่านั้นก็หมดฤทธิ์ไปเอง”
“แต่ข้าอยากให้คนพวกนั้นมันทรมานจนตาย” ใบหน้าของถานเฟิงโหดเหี้ยมขึ้น
“ใช่ คนพวกนั้นอ้างว่าเป็นฝ่ายธรรมะแต่กลับทำตัวไม่ต่างกับหมาหมู่” ผีสือเอ่ย แต่ก็มองเฟิงชิงถิงด้วยแววตาเลื่อมใสมากกว่าเดิม
“แต่ไม่คาดว่าแม่นางเฟิงจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้” ถานเฟิงเองก็อดที่จะเลื่อมใสในตัวนางไม่ได้ นางทั้งฉลาดหลักแหลมอีกทั้งยังดูแลท่านประมุขเขาอย่างดีอีกต่างหาก
“มนุษย์ทุกคนย่อมมีขีดจำกัดของตนเอง” ผู้ใดใช้ให้พวกเขาเรียกนางว่านางมาร นังแพศยา นังตัวดี กันเล่า
“น่ายินดีที่เหล่าชาวยุทธ์พวกนั้นสามารถทำให้แม่นางเฟิงข้ามขีดจำกัดนั้นมาได้” ถานเฟิงยิ้มใบหน้าที่ดูเหี้ยมเกรียมอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่ออาหารถูกลำเลียงมาจนเต็มโต๊ะ ถานเฟิงก็สั่งให้คนออกไปจนหมด ส่วนสือซานเหลียงก็ไม่สนใจผู้ใดคีบเนื้อปลาน้ำแดงชิ้นโตไว้ในชามข้าวตรงหน้าเฟิงชิงถิงชิ้นหนึ่งก่อนจะเริ่มกินอาหารของตนเอง
เฟิงชิงถิงเห็นถานเฟิงและผีสือที่ยืนมองอยู่ห่างๆ นางก็คิดจะเอ่ยเรื่องอาการสติไม่ดีของสือซานเหลียง แต่คนทั้งสองกลับปัดชายเสื้อคุกเข่าให้กับนาง
“ข้าทั้งสองขอบคุณแม่นางเฟิงที่ช่วยเหลือท่านประมุข โปรดรับการคารวะจากพวกข้าด้วย”
“พวกท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ โปรดลุกขึ้น” เฟิงชิงถิงตกใจที่ชายตัวโตสองคนคารวะให้นางอย่างเต็มพิธี
ชายทั้งสองยอมลุกขึ้นแต่ถานเฟิงยังเอ่ยต่อ “เราออกตามหาท่านประมุขอยู่นานก็หาไม่เจอ จนมีคนมาสอบถามหาญาตินามว่าสือซานเหลียงที่สาขาสำนัก เพราะพวกข้าไม่ไว้ใจจึงออกมาสืบดู เมื่อรู้ว่าเป็นท่านประมุขจริงๆ ข้าเห็นว่าที่โรงผ้าปักนั้นดูปลอดภัยกว่าสาขาสำนักที่มีชาวยุทธ์จับตาอยู่ จึงให้คนที่ไว้ใจได้แอบคุ้มครองพวกท่านอยู่ห่างๆ จนมั่นใจว่าที่แห่งนี้ปลอดภัยจากเหล่าชาวยุทธ์จึงได้กล้าไปรับพวกท่านมา”
“แล้วพวกท่านรู้หรือไม่ว่า ยามนี้สือซานเหลียงเขา” เฟิงชิงถิงถาม
ชายทั้งสองพยักหน้า
“พวกเรารู้ว่ายามนี้ท่านประมุขมีอาการไม่ปกติ อีกทั้งยังสืบรู้ว่าแม่นางเฟิงเองก็ถูกทหารเจิ้งตามตัวอยู่ ดังนั้นแม่นางไม่ต้องกังวล ยามนี้ไม่ว่าจะเป็นชาวยุทธ์หรือทหารแคว้นเจิ้ง ไม่มีผู้ใดตามตัวท่านหรือท่านประมุขเจอแน่นอน” ผีสือบอก
เฟิงชิงถิงพยักหน้า รู้สึกสงบขึ้นมากเมื่อรู้ว่าพวกเขาสืบเรื่องของสือซานเหลียงและนางมาอย่างดี
“เท่าที่ข้ารู้แม่นางเฟิงก็เป็นหมอเช่นกัน อีกทั้งยังมีฉายาถึงหมอเทวดาตัวน้อย ดังนั้นขอแม่นางเฟิงโปรดชี้แนะว่าอาการของท่านประมุขยามนี้เป็นอย่างไรบ้างและควรจะรักษาอย่างไร” ผีสือถาม
“พวกท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าสือซานเหลียงนั้นยามนี้ไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บธรรมดา” เฟิงชิงถิงถามคนทั้งสองเพื่อความแน่ใจ
“เรารู้ว่าท่านประมุขสติของเขา... แต่เรื่องนี้พวกเราต้องเก็บไว้เป็นความลับ แม้แต่คนในพรรคก็บอกไม่ได้ ไม่เช่นนั้นท่านประมุขอาจจะเป็นอันตรายได้” ถานเฟิงตอบและละคำบางคำเอาไว้
เฟิงชิงถิงพยักหน้า ถานเฟิงอธิบายต่อไปว่า “หากมีผู้อื่นรู้เข้า พวกเขาอาจจะใช้โอกาสนี้ลอบสังหารท่านประมุขได้ ยามนี้จึงรบกวนแม่นางเฟิงช่วยพวกเราปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับอีกแรงหนึ่ง”
“ข้าเข้าใจ” นางตอบสีหน้าจริงจัง “เช่นนั้นข้าจะเล่าอาการโดยละเอียดของเขาให้พวกท่านรู้ก่อน”
หลังจากนั้นเฟิงชิงถิงก็สรุปสาเหตุและอาการต่างๆ ของสือซานเหลียงให้คนทั้งสองฟัง ชายทั้งสองพยักหน้าด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
“มีทางแก้หรือไม่ขอรับ” ถานเฟิงถาม
“ลมปราณตีกลับมีทางเดียวคือทะลวงลมปราณเพื่อให้ลมปราณกลับมาหมุนเวียนได้สะดวกเช่นเดิม แต่เพราะท่านประมุขในยามนี้คงจัดการกับลมปราณของตัวเองไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องให้ผู้ที่มีพลังลมปราณล้ำลึกเป็นผู้ช่วยทะลวงให้” ผีสือลูบคางตอบก่อนจะหันมาทางเฟิงชิงถิง “ใช่หรือไม่แม่นางเฟิง”
เฟิงชิงถิงพยักหน้า “เรื่องนี้คงไม่เป็นเรื่องใหญ่เกินความสามารถของคนพรรคโลหิตอัคคีที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่งเช่นพวกท่าน” เฟิงชิงถิงละคำว่า ‘พรรคมารอันดับหนึ่ง’ เอาไว้
ถานเฟิงและผีสือมองหน้ากัน ก่อนที่ถานเฟิงจะหันมาตอบนางด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก “ตอบแม่นางเฟิงตามจริง หากเป็นเมื่อก่อนตัวข้าเองก็สามารถช่วยเหลือท่านประมุขได้ หากไม่ใช่เพราะไอ้พวกคนโฉดที่สวมหน้ากากว่าตนเองเป็นผู้มีคุณธรรมใช้แผนสกปรกกับพวกเรา ท่านประมุขก็ไม่เป็นเช่นนี้”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“พวกเราเดินทางมาเพื่อฉลองครบรอบสองปีก่อตั้งสาขาที่ด่านชายแดนต้าหลวน โดยเดินทางเลียบชายแดนมาเรื่อยๆ เพราะต้องการรู้สถานการณ์ชายแดน แต่ไม่คิดว่าคนฝ่ายธรรมะจะรู้ข่าว พวกมันปลอมตัวเป็นชาวบ้านเปิดร้านน้ำชาอยู่ข้างทางเมื่อเราเข้าไปพักดื่มน้ำมันก็ใส่ยาพิษสลายลมปราณไว้ในน้ำชา เพราะน้ำแถวชายแดนทั้งมีกลิ่นและเฝื่อน เมื่อนำมาต้มน้ำชารสชาติฝืดเฝื่อนก็ไม่หาย พวกเราจึงไม่รู้ว่าในน้ำชานั้นมียาพิษ แต่เมื่อท่านประมุขดื่มเข้าไปแล้วเขาก็รู้ทันที แต่ก็สายไปแล้วเพราะพวกเราที่คอแห้งจากการเดินทางก็ดื่มน้ำชาไปไม่น้อยเช่นกัน
“หลังจากที่เราดื่มน้ำชาไปมาก พวกชาวยุทธ์ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้มีคุณธรรมก็ปรากฏตัวขึ้นมาจำนวนมาก คิดจะฆ่าล้างพรรค แต่เพราะท่านประมุขรู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของคนเหล่านั้นคือเขา ท่านประมุขจึงใช้ตัวเองเป็นตัวล่อและสั่งให้พวกข้าหนีไป หากท่านประมุขไม่ช่วยหลอกล่อคนเหล่านั้นให้ ท่านประมุขก็ไม่เป็นเช่นนี้” ถานเฟิงเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“แต่ยามนี้เขาก็ใกล้จะหายแล้ว เหลือเพียงแค่การทะลวงลมปราณเท่านั้น” เฟิงชิงถิงคิดจะปลอบ
“อย่างที่ข้าบอก พวกเราในสำนักต่างถูกพิษสลายลมปราณกันทุกคน ท่านประมุขดื่มชาไปน้อยจึงไม่เป็นอะไรมาก แต่พวกเราที่ดื่มไปมาก ลมปราณที่แก่กล้าจึงสลายไปจนเกือบหมด”
“แม้ข้าจะพยายามปรุงยาที่ช่วยขับพิษนี้ให้สลายไป แต่เกือบสามเดือนแล้วลมปราณที่กลับมาก็ยังไม่ถึงครึ่ง” ผีสือถอนหายใจ
“หากไม่ใช่เพราะถูกพิษ เหล่าชาวยุทธ์ที่อยู่ในโรงผ้าปักพวกนั้น แค่ใช้ระดับหัวหน้าหน่วยไม่กี่คนก็จัดการคนเหล่านั้นได้แล้ว” ถานเฟิงกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น
“พอจะมีผู้ใดช่วยเหลือได้หรือไม่” เฟิงชิงถิงเริ่มกังวลใจ
“หากจะบอกว่าไม่มีก็คงไม่ใช่ แต่เกรงว่าท่านประมุขจะไม่ยินยอม”
“แต่เรื่องนี้รอไม่ได้ เจ้าก็รู้” ผีสือค้าน
“กิน” เสียงห้วนดังขึ้นขัดการสนทนาของพวกนาง เสียงนั้นคือเสียงของสือซานเหลียงนี่เอง
เขามองถานเฟิงและผีสือด้วยแววตาไม่พอใจก่อนจะหันมาสั่งเฟิงชิงถิงอีกครั้ง “กิน”
ถานเฟิงหัวเราะ แต่ก็ต้องหยุดหัวเราะทันทีที่เห็นแววตาของท่านประมุขตวัดมาหา แม้ท่านประมุขยังสติไม่ดี แต่เขาที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่ท่านประมุขมาหลายปี จึงพอจะรู้ว่ายามนี้ท่านประมุขนั้นไม่พอใจพวกเขา
“เช่นนั้นพวกข้าไม่รบกวนแล้ว”
“เรื่องผู้ที่จะมาช่วยสือซานเหลียงคงต้องให้พวกท่านจัดการ เพราะข้านั้นไม่ค่อยรู้เรื่องยุทธภพ”
“ข้าจะรีบจัดการ เชิญพวกท่านกินอาหารกันตามสบาย” ถานเฟิงบอกก่อนจะออกจากห้องอาหารไปพร้อมกับผีสือ
หลังจากกินอาหารมื้อดึกเสร็จ สาวใช้สองนางก็เข้ามาเชิญเฟิงชิงถิงและสือซานเหลียงไปยังเรือนนอน นางรู้จากสาวใช้ว่าเรือนนอนของนางแยกกับเรือนนอนของสือซานเหลียง แต่ยามที่จะต้องแยกกันไปเรือนนอนของแต่ละคนสือซานเหลียงกลับไม่ไปไหน
“ท่านประมุขเจ้าคะ เรือนของท่านประมุขอยู่ทางนี้เจ้าคะ” สาวใช้นางหนึ่งเรียกสือซานเหลียงด้วยน้ำเสียงสั่น นางเกรงว่าจะทำให้ท่านประมุขโกรธ
โชคดีที่สือซานเหลียงเป็นคนไม่พูดมาก อีกทั้งท่าทางของเขายังคล้ายกราดเกรี้ยวตลอดเวลา จึงไม่มีใครกล้าสบตาหรือเงยหน้ามอง ทำให้ไม่มีคนสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา
“ท่านประมุขสือ เรือนนอนของท่านอยู่ทางนั้น ข้าจะพาท่านไปเอง” เฟิงชิงถิงคิดว่าหากนางพาเขาไปเองเขาคงยอมไป และก็เป็นดังคาด เขายอมเดินตามนางมาอย่างง่ายดาย สาวใช้เห็นเช่นนั้นก็รีบบอกทางเฟิงชิงถิงด้วยความยินดี
เรือนพักของสือซานเหลียงถูกประดับด้วยเครื่องเรือนอย่างดี ดูโอ่อ่าและหรูหราไม่น้อย นางเดินมาส่งเขาถึงห้องโถงก็คิดจะให้สาวใช้อีกคนพานางไปยังเรือนของนาง แต่กลายเป็นว่าสือซานเหลียงเดินตามนางออกมา เอ่ยเรียกนางตามคำพูดที่เริ่มจะเคยชิน
“ฮูหยิน”
เฟิงชิงถิงกุมขมับ สาวใช้ที่ได้ยินต่างหน้าแดง
“เช่นนั้นพวกเราจะไปแจ้งกับทูตซ้ายถานว่าท่านประมุขต้องการให้แม่นางเฟิงพักอยู่ที่เรือนนอนเดียวกับท่านประมุขนะเจ้าคะ”
“ยังเรียกฮูหยินว่าแม่นางเฟิงอีกหรือ” สาวใช้อีกคนหันไปดุสาวใช้ที่ดูอ่อนวัยกว่าก่อนจะหันมาขอโทษเฟิงชิงถิง “ขออภัยเจ้าค่ะฮูหยิน โปรดอย่าถือสานางเลยนะเจ้าคะ”
“ไม่ๆ” เฟิงชิงถิงโบกมือรัว คิดจะแก้ความเข้าใจผิดกับสาวใช้ทั้งสอง แต่เมื่อคิดว่าต้องปิดบังเรื่องที่สือซานเหลียงสติไม่ดีนางจึงคิดว่าไม่อธิบายจะดีกว่า
“เพราะท่านประมุขไม่ชอบให้มีคนพลุกพล่าน ดังนั้นในเรือนแห่งนี้จึงมีแค่ท่านประมุขกับฮูหยิน แต่ฮูหยินไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ เพียงแค่สั่นกระดิ่งพวกเราจะมาทันทีเจ้าคะ เช่นนั้นพวกเราขอตัวเจ้าค่ะ” สาวใช้รู้ว่าท่านประมุขเป็นคนไม่พูดมากเกี่ยวกับเรื่องจุกจิก นางนี้จึงอธิบายเรื่องต่างๆ ให้เฟิงชิงถิงฟังก่อนจะขอตัวออกไป
เมื่อเหลือกันแค่สองคน เฟิงชิงถิงก็เลิกใส่ใจเรื่องต่างๆ นางเริ่มทำสิ่งที่ตนเองเคยชินคือการสางผมให้สือซานเหลียงไปพร้อมกับฝังเข็ม ระหว่างนั้นนางก็เอ่ยกับเขาอย่างเคยชิน “บริเวณศีรษะที่มีเลือดคั่งยามนี้คงสลายไปหมดแล้ว ความจำของท่านคงกลับมาแล้วใช่หรือไม่ ไม่เช่นนั้นท่านคงไม่อยู่นิ่งหากมีคนแปลกหน้าพกอาวุธเข้ามาใกล้ เช่นนั้นก็เหลืออีกเพียงอาการเดียว ท่านไม่ต้องห่วง อีกไม่นานพวกข้าจะต้องหาวิธีให้ท่านกลับมาเป็นปกติให้ได้”
หลังจากถอนเข็มออกจากศีรษะเขาจนหมด นางก็รู้สึกง่วงขึ้นมาจับใจ เฟิงชิงถิงเดินไปนั่งที่เตียงกว้าง มองสือซานเหลียงที่โยกตัวไปมาอย่างอารมณ์ดีก็อดจะเอ่ยไม่ได้ “หากท่านหายแล้วห้ามเรียกข้าว่าฮูหยินอีกรู้หรือไม่ ยามนี้เพราะท่านสติไม่ดีข้าจึงไม่ถือสา”
นางปิดปากหาวพร้อมกับดวงตาปรือปรอย ไม่นานเปลือกตาที่หนักอึ้งก็ปิดลงช้าๆ นางแอนกายพิงเสาปลายเตียงพร้อมกับเอ่ยว่า “หากท่านหายแล้วห้ามจับมือข้าต่อหน้าผู้อื่นด้วย ยามนี้เพราะท่านสติไม่ดีจึงไม่ถือสา เข้าใจหรือไม่” คำท้ายเสียงเบาลงมาก ก่อนจะขาดหายพร้อมกับรางเล็กที่หายใจอย่างสม่ำเสมอเพราะหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย
ร่างใหญ่ที่โยกตัวไปมาหยุดนิ่ง ดวงตาที่เหม่อลอยเบนมามองหญิงสาวที่หลับไม่รู้เรื่องด้วยแววตาแน่นิ่ง ไม่นานเขาก็ลุกขึ้นมาเดินตรงไปยังเตียงตัวใหญ่ มองภาพหญิงสาวนั่งหลับตาโดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เห็นปากอวบอิ่มของนางขยับไปมาเล็กน้อยคล้ายกับละเมอสิ่งใดอยู่เขาก็ยื่นมือออกมาคิดจะสัมผัสกลีบปากอวบอิ่มนั้น แต่ยังไม่ทันได้สัมผัส ภาพของนางที่ปากเต็มไปด้วยเลือดก็ทำให้มือที่ขยับเข้าใกล้ค้างอยู่กลางอากาศก่อนจะหดกลับไปอย่างสั่นเทา
สือซานเหลียงเปลี่ยนการกระทำเป็นขยับไปนั่งอยู่ที่ปลายเตียงด้านในข้างร่างบาง เขานั่งนิ่งอยู่นานก็ไม่เห็นว่านางจะเอียงกายมาพิงเสียที คิ้วหน้าก็ขมวดอย่างไม่พอใจ สุดท้ายคนที่มีความอดทนต่ำก็ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้คีบแขนเสื้อของเฟิงชิงถิงไว้ ดึงแขนเสื้อที่คีบเอาไว้เบาๆ ด้วยสีหน้าตั้งใจสุดฤทธิ์ เห็นหัวไหล่ของนางเอียงมาทางเขาเล็กน้อย รอยยิ้มที่มุมปากก็ผุดขึ้นมาเล็กน้อยและดึงอีกครั้งอย่างบรรจง จนนางขยับไหล่มาพิงหัวไหล่ตนเอง เขาจึงยอมคลายนิ้วออกจากเสื้อของนาง หัวเราะเฮอะๆ ออกมาสองคำเมื่อรู้สึกว่าร่างบางที่พิงตนนั้นขยับศีรษะซบลงมาที่หัวไหล่ก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับมุมปากที่หยักโค้ง
ความคิดเห็น