คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #75 : Login 72: ลมสงบก่อนพายุเข้า
Login
72: ลมสงบก่อนพายุเข้า
ในคืนนั้นเอง...
อิงศรยังคงหลับอยู่
แต่กลับมีสติและมองเห็นรอบตัวห้อมล้อมไปด้วยหมอก เขาลุกจากท่านอน
ยืนอยู่บนพื้นที่ถูกบดบังด้วยหมอก
“ที่นี่คือที่ไหน”
อิงศรเพียงแค่คิดแต่มันกลับกลายเป็นเสียงพูดดังออกไป
เขาตกใจเล็กน้อย
“เมื่อกี้มันอะไรน่ะ”
เสียงในความคิดดังขึ้นอีกแล้วทั้งที่ปากไม่ได้ขยับ
“ที่นี่คือรูนรูมรึเปล่า”
สภาพของที่นี่คล้ายคลึงกับรูนรูมแต่กลับมีความรู้สึกขัดแย้งที่บอกว่ามันไม่ใช่
ตอนนั้นเอง...
ก็มีเสียงดังมาแต่เป็นเสียงคนอื่นเป็นเสียงของผู้หญิง...
“บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย”
ไม่ใช่
มันฟังดูสดใสกว่านั้นเหมือนกับเสียงของเด็กมากกว่า ผู้พูดจึงอาจจะเป็นได้ทั้งหญิงและชายที่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่ม
“นั่นใครน่ะ” “นั่นใครน่ะ”
อิงศรถามออกไปหนนี้เสียงในความคิดก็ดังออกไปพร้อมกันทำให้เสียงก้งองไปทั่ว
เสียงปริศนาตอบกลับมาว่า
“จนถึงตอนนี้เจ้ายังคงสับสนว่าเหตุใดอาคานาร์จึงเกิดขึ้นกับเจ้า
อาคานาร์คืออะไรกันแน่ และอาคานาร์เกิดขึ้นได้อย่างไร เราจะเป็นคนตอบเจ้าเอง”
อิงศรคิดในใจ
“ใครกัน
ทำไมถึงรู้เรื่องอาคานาร์ ซีลอร์ดเหรอ หรือว่าโดโกบาร์ แกเป็นใครกันแน่
แล้วแกรู้อะไรเรื่องอาคานาร์มันคืออะไรตอบมาสิ!”
แล้วเสียงก็ดังออกไปทันที
ความนึกคิดความสงสัยมากมายกลั่นตัวเป็นเสียงดังก้องมาจากทุกทิศทาง
แต่เสียงปริศนาพูดเหมือนไม่ได้ใส่ใจกับคำถามของเขาเลย
“อาคานาร์คือเจตจำนงที่ก่อตัวขึ้นจากสายสัมพันธ์ไม่มีอะไรอื่นอีก
จงผูกสัมพันธ์ จงพบเจอให้มากขึ้น
สั่งสมพลังให้มากขึ้นอนาคตที่จะต้องใช้พลังเหล่านั้นรอเจ้าอยู่บุตรแห่งมนุษย์อย่าได้ลังเลอีกเลยจงช่วยมนุษย์และช่วยเหลือเรา”
เมื่อสิ้นเสียงอิงศรก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันใด
เขาทรุดตัวลงนั่งชันเข่าพลางใช้มือกดขมับศีรษะด้วยใบหน้าเจ็บปวด
“อึก...ทำไม...ปวด...อา”
เริ่มจะมีเสียงวิ้งยาวๆ
ดังขึ้นมาโลกหมุนเอียงกะเท่เร่แล้วอิงศรก็หมดสติลงไปในตอนนั้น
...
“เดี๋ยว!”
อิงศรได้สติ
เขากลับมานอนอยู่บนพื้นอีกแล้ว
“ฝันไปเหรอ...”
แล้วพึมพำอย่างนั้น
“ก็ต้องเป็นฝันน่ะสิตอนนี้เธออยู่ในรูนรูมนี่นา”
มีเสียงตอบกลับมาแบบนั้นพอหันไปก็เห็นซีลอร์ดรออยู่ในลอยตัวเหนือพื้นเล็กน้อย
“ซีลอร์ด...”
“ไงอิงศรคืนนี้มีอะไรจะพูดไหมหรือจะกลับเลย”
ซีลอร์ดพูดพลางส่งมือให้จับจากนั้นก็ดึงเขาลุกจากพื้น
“หมายความว่าเมื่อกี้เป็นฝีมือนายเหรอ”
“ฝีมือผม...เธอหมายถึงเรื่องอะไรเหรอ”
ซีลอร์ดทำหน้างุนงง
“ก็เมื่อกี้ไงที่บอกว่าอาคานาร์คือเจตจำนงของสายสัมพันธ์แล้วก็ให้ฉันช่วยมนุษย์อะไรนัน่น่ะไม่ใช่นายรึไง”
“วันนี้ผมเพิ่งจะเจอเธอเองนะไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นด้วย”
อีกฝ่ายเหมือนจะไม่รู้จริงๆ
ซีลอร์ดพูด
“แต่ผมแอบสนใจที่เธอพูดมานิดหน่อยนะอาคานาร์คือเจตจำนงของสายสัมพันธ์นั่นคือทฤษฎีใหม่ที่เธอตั้งขึ้นมางั้นเหรอ”
“เปล่า
ก็บอกแล้วไงว่าได้ยินใครก็ไม่รู้พูดมาในความฝันน่ะ”
“ตอนนี้เธอก็ฝันอยู่นี่หรือว่าฝันซ้อนฝัน”
“ขอทีเหอะอย่าทำให้สับสนจะได้ไหมแต่สรุปแล้วไม่ใช่นายเหรอ”
ซีลอร์ดส่ายหน้า
“ไม่ใช่ผมหรอก”
ถ้าอย่างนั้นใครกันล่ะที่พูดกับเขาก่อนหน้านี้
อิงศรอยากจะคิดเรื่องนั้นแต่ตอนนี้เขามีสิ่งที่ต้องพูดกับซีลอร์ดซะก่อน
“ถ้างั้นตอนนี้จะบอกได้ยัง”
“เรื่องอะไรเหรอ”
“อย่ามาทำไขสือน่า”
อิงศรตะหวาดแต่ซีลอร์ดยังคงยิ้มหน้าเป็นแล้วถามกลับมาอีก
“ก็แล้วมันเรื่องอะไรกันเหรอถ้าเธอไม่พูดมาผมก็คงไม่รู้หรอกเธอไม่ให้ผมอ่านใจเองนี่หรือว่าจะ...”
“เรื่องที่นายรู้จักกับสิงห์
ธุวดารกะ”
“เห
นั่นใครกันเหรอ”
ซีลอร์ดยังคงรักษาท่าทีเอาไว้และทำเป็นเหมือนไม่รู้จักแต่นั่นเป็นคำลวงแน่นอนข้อมูลที่อิงศรมีมันชี้ชัดกันตั้งแต่ตอนที่ซีลอร์ดบอกชื่อของตัวเองมา
สามปีก่อนสิงห์พูดเอาไว้แบบนี้...
“ตามคำพยากรณ์ของซีลอร์ด
นายคือผู้ถูกฟันเฟืองเลือกให้เป็นผู้กอบกู้”
อิงศรพูดตามนั้นทุกระเบียดโดยไม่ผิดแม้แต่คำเดียว
ตอนนี้เองที่ใบหน้าของซีลอร์ดเปลี่ยนไปยิ้มแป้นแล้นหุบลง
สายตาจับจ้องมาที่เขาอย่างจริงจัง
“สิงห์เนี่ยไม่รู้จักระวังคำพูดเอาซะเลยนะ”
“แปลว่านายรู้”
“ใช่ผมรู้จักสิงห์”
พอซีลอร์ดตอบมาอย่างนั้น
อิงศรก็กำหมัดแน่นรู้สึกได้ว่าร่างกายร้อนขึ้นมาอย่างมีสาเหตุและนั่นน่าจะเป็นเพราะความโกรธที่เหมือนกับภูเขาไฟที่น่าจะดับสนิทไปแล้วแต่กลับปะทุขึ้นมาอีก
“งั้นที่พวกเด็กกำพร้านั่นต้องตายแล้วก็ขวัญที่ต้องกลายเป็นพวกเอเลี่ยนนั่นก็ฝีมือนายด้วยงั้นสิ”
“ทำไมถึงสรุปเอาอย่างนั้นล่ะ”
“ก็พอฉันหนีพวกเอเลี่ยนมาได้สิงห์ก็อยู่ตรงนั้นเลยน่ะสิถ้าคาดเดาไม่ได้ว่าฉันจะหนีมาก็ไปรออยู่ไม่ได้หรอก...”
มือของอิงศรก็พุ่งเข้าไปคว้าคอเสื้อซีลอร์ดที่กำลังลอยตัวอยู่แล้วดึงลงมา
“หรือไม่ก็คนที่สั่งให้พวกเอเลี่ยนมันมาไล่ล่าฉันก็คือแกเอง”
"..."
ซีลอร์ดไม่ตอบแต่ปัดมืออิงศรออกแล้วถอยไปข้างหลังสองถึงสามก้าว
“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะตอนนี้ศรเข้าใจถูกอยู่แค่ครึ่งเดียว”
“ถ้างั้นมันอะไรกันเล่า
ถ้าแก้ตัวไม่สวยฉันไม่เอานายไว้แน่”
“ยังจำที่ผมบอกคราวที่แล้วได้รึเปล่าเรื่องที่ผมเองก็ไม่รู้ความหมายทั้งหมดของสารแห่งอนาคตที่ได้มาจากอาคาชิกเรคคอร์ดนั่นน่ะ”
“หมายถึงที่คุยเรื่องแพทซ์กันเมื่อวานอ่ะนะ”
“ใช่”
“จะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั่นนายแค่รู้จากอาคาชิกเรคคอร์ดแล้วก็เอาไปบอกสิงห์แค่นั้นเองน่ะเหรอ”
“อืม
ผมรู้ว่าเธอจะไปเจอกับสิงห์ที่นั่นมันถูกกำหนดเอาไว้แบบนั้น”
“ใครจะไปเชื่อเรื่องพรรค์นั้นกันเอาหลักฐานมาสิถ้านายไม่ได้โกหก”
แต่หลักฐานอะไรนั่นอิงศรก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันไม่มีทางที่จะหาอะไรมายืนยันได้
เขาพูดออกไปทั้งที่รู้แต่ก็ยังอยากจะคาดคั้นเอาของพรรค์นั้น
แล้วซีลอร์ดก็ถามกลับมาอย่างที่คิดเอาไว้
“งั้นเธออยากได้อะไรเป็นหลักฐานกันล่ะ”
“…”
“นั่นสิ
เธอคาดคั้นผมทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ามันไม่มี”
“แล้วนายจะให้ฉันเชื่อใจคนที่ไม่ยอมบอกอะไรเลยได้ยังไง
ฉันน่ะนึกโทษตัวเองเรื่องขวัญมาตลอดเลยนะ”
ไม่รู้ว่าทำไมแต่พอเป็นเรื่องของมิ่งขวัญทีไรเขามักจะหัวเสียไปเรื่อย
ซีลอร์ดที่ถูกคาดคั้นก็ไม่สามารถตอบอะไรได้
“…”
ห้องจึงตกอยู่ในความเงียบจนกระทั่ง…
ซีลอร์ดเอ่ยปากเล่าอะไรบางอย่าง
“หลังจากที่มนุษย์ถูกขับไล่ลงไปจากสวนแห่งแรกผมก็นึกเสียใจเรื่อยมาถ้าตอนนั้นไม่ทำอย่างนั้นไปอดัมก็คงไม่ต้องถูกเนรเทศ
จนทุกวันนี้ผมก็ยังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่”
บางอย่างที่น่าจะเป็นอดีตของตัวซีลอร์ดเอง
”ความรู้สึกของเธอก็ประมาณนี้รึเปล่าล่ะ”
หมอนี่คิดจะบอกว่าตัวเองก็มีความรู้สึกแบบเดียวกับเขาอย่างนั้นหรือ?
ทำให้รู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันด้วยความคิดเรื่องมีปมในใจที่คล้ายกันนั่นคือสาเหตุที่เล่าเรื่องของตัวเองอย่างนั้นสินะ
“...”
อิงศรไม่ได้ตอบ
ถึงอย่างนั้นซีลอร์ดก็พูดต่อไปว่า
“หลังจากนั้นผมก็คอยเฝ้าดูอยู่เสมอ
อดัมที่ตกลงมายังสวนแห่งนี้ซึ่งไม่มีอมฤตก็ได้สูญเสียทุกอย่างไปแม้แต่ร่างกายจนต้องกลับไปเริ่มวิวัฒนาการกันใหม่ตั้งแต่ศูนย์พยายามปรับตัวเองเพื่อให้อยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งอมฤตจนกระทั่งกลับมาเป็นมนุษย์อย่างเธอเช่นทุกวันนี้เพราะงั้นผมจึงไม่อยากเห็นพวกเธอที่เป็นลูกหลานของเขาจะต้องมาประสบชะตากรรมเช่นนั้นอีกแบบนี้พอจะเป็นหลักฐานได้รึเปล่า”
“ไม่เคยได้ยินใครเขาเอาไบเบิลมาอ้างเป็นหลักฐานหรอกนะ”
อิงศรพูด
ซีลอร์ดยิ้ม
“งั้นผมก็ไม่มีคำแก้ตัวแล้วเอาเป็นว่าแล้วแต่เธอจะยอมรับก็แล้วกัน”
แล้วพูดมาแบบนั้น
ดูเหมือนจะตัดใจยอมเรื่องพยายามชักจูง
“แล้วอดัมเนี่ยมีตัวตนจริงๆ
เรอะฉันเคยได้ยินแค่ว่าเป็นมนุษย์คนแรกที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาตามที่กล่าวในไบเบิลอ่ะนะแต่นั่นมันเรื่องแต่งของมนุษย์ไม่ใช่รึไง”
“เค้าโครงความจริงมันก็พอมีอยู่บ้างแหละส่วนหนึ่งก็เพราะเหตุการณ์เฮเว่นฟอลน่ะเลยทำให้มีมนุษย์ที่รู้เรื่องชาติกำเนิดเดิมมาก่อนอยู่บ้างแต่ทุกวันนี้ก็เป็นแบบเธอไปหมดแล้วทุกคนไม่สนใจเรื่องของอดีตกันอีกแล้ว”
“เมื่อกี้นายพูดว่าเหตุการณ์อะไรนะ
เฮเว่นฟอล?”
“อันนั้นน่ะเหรอมันยาวนะจะฟังไหมล่ะ”
“ไม่ดีกว่า
เอาเป็นว่านายสาบานได้สินะว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเอเลี่ยน”
อิงศรปฏิเสธ
เขาเริ่มจะใจเย็นลงบ้างแล้วจึงไม่คิดจะคาดคั้นอะไรแต่ซีลอร์ดกลับตอบคำถามมาว่า
“ผมคงสาบานให้ไม่ได้หรอกนะ”
“ว่าไงนะ!”
อิงศรถลึงตามอง
ไม่เข้าใจเลยว่าหมอนี่จะยั่วให้เขาโกรธขึ้นมาอีกทำไม
“เพราะผมเคยเป็นต้นแบบให้กับการสร้างบุตรแห่งแสงและครั้งหนึ่งก็เคยใช้ชื่อว่าไฮโดรเจนเพื่ออยู่ร่วมกับพวกเขามาก่อนมีอยู่หลายคนที่ผมสนิทด้วยแต่เพราะการจากมาเพื่อที่จะเฝ้าดู
อดัมก็ทำให้พวกเขาเหงาอยู่เหมือนกันบางทีอาจจะมีใครในนั้นที่ต้องการจะดึงตัวผมกลับไปจึงได้คิดที่จะรวบรวมฟันเฟืองและนั่นอาจเป็นพวกที่มาไล่ล่าเธอเมื่อสามปีก่อน”
สรุปว่าถ้าเชื่อตามที่พูดซีลอร์ดก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมของเขาโดยตรง
ถ้าอย่างนั้นแล้วยังควรจะเชื่อใจซีลอร์ดต่อไปดีรึเปล่า
“…”
ไม่มีคำพูดใดๆ
ต่อไปอีก อิงศรไม่รู้ว่าเขากำลังโกรธหรือว่าสับสนอยู่กันแน่ดังนั้นการสนทนาจึงจบลงเมื่อสัมผัสเริ่มจะเลือนรางและหมอกก่อตัวหนาขึ้น
จากนั้นสติก็หลุดออกจากรูนรูม
เช้าวันต่อมา
นาฬิกาภายในห้องบอกเวลา 8.00 น.
อิงศรลืมตาตื่นบนเตียงในห้องพักของโรงแรมที่มาค้างคืน
มันถือว่าสายมากสำหรับเวลาตื่นนอนตามปกติ
เมื่อสำรวจภายในห้องก็พบว่าตัวเองอยู่คนเดียวนรินทร์ที่นอนควรจะอยู่อีกเตียงกับโดโกบาร์ที่น่าจะนอนอยู่ที่โซฟาแต่กลับไม่อยู่กันทั้งคู่
หลังจากล้างหน้าแล้วอิงศรก็ลงไปที่ล็อบบี้เพื่อจะหาข้าวเช้าทานแต่กลับเจอกลุ่มทหารที่ไม่คุ้นหน้ามาดักรออยู่ตรงบันได
อิงศรมองเครื่องประดับยศที่ติดอยู่บนอกเสื้อทหารเหล่านั้นทุกคนยศสูงกว่าเขาและมีเครื่องหมายพิเศษที่คล้ายกับเครื่องหมายที่สิงห์มี
ได้ยินมาว่ามันเป็นตราประจำตระกูลธุวดารกะแต่สีของทหารพวกนี้แตกต่างออกไปบางทีคงจะเป็นกองทหารส่วนตัวของธุวดารกะ
ทหารคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้าแล้วทำวันทยหัตถ์
"ร้อยโทอิงศร
โรจน์จุฬา เรามารับแล้วครับ"
อิงศรทำวันทยหัตถ์กลับแล้วถามไปว่า
"มีเรื่องอะไรครับ"
"ท่านพลเอกสั่งให้มาเชิญคุณไปยังที่ประชุมเป็นการเร่งด่วนครับ"
พลเอกเรียกตัว...
สิงห์อย่างนั้นหรือ? ทำไมถึงมาเรียกตัวเอาแต่เช้าแบบนี้หรือว่าเรื่องที่โดโกบาร์เป็นคนจัดการเรดเมื่อวานนี้จะถูกดูออก
ไม่สิ.. ยังไงสิงห์ก็คงมองกลลวงตื้นๆ นั่นออกแต่ทำไมถึงต้องเรียกไปคุยให้มันเอิกเกริกแบบนี้ด้วยแถมยังใน
‘ที่ประชุม’ มันหมายความว่ายังไงกัน
อิงศรครุ่นคิดเรื่องเหล่านั้นแล้วตอบไปว่า
"ครับ
ถ้าอย่างนั้นช่วยนำทางด้วย"
จากนั้นเขาก็เดินไปตามคำเชิญของพลเอกที่น่าจะเป็นสิงห์
แต่เด็กหนุ่มยังไม่รู้...
ยังไม่รู้ว่าปลายทางข้างหน้านั้นคือคำเชิญชวนสู่เขตแดนที่มนุษย์จะกลายเป็นของเล่นของเทพและมารเพื่อใช้เล่นในเกมเดิมพันโลกใบนี้กับพระเจ้า
ทางแยกแห่งชะตากรรมกำลังรอให้ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกกำหนดมัน
ความคิดเห็น