คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #57 : Login 55: ผู้พิสูจน์แห่งสวนศักดิ์สิทธิ์
Login 55: ผู้พิสูจน์แห่งสวนศักดิ์สิทธิ์
สถานที่ที่อิงศรฟื้นขึ้นมาคือเตียงในห้องพยาบาล
แต่กลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่...
สาเหตุก็คือเตียงที่นอนทับอยู่มีรอยแยกระหว่างเตียง
เพราะมันเป็นการเอาของที่เหมือนกับเตียงมาวางเรียงกัน
สิ่งของที่วางอยู่รอบห้องก็ไม่ใช่ของใช้สำหรับผู้ป่วยแต่เป็นกรงเล็กกรงน้อยสำหรับขังสัตว์เลี้ยง
ไม่ก็พวกเครื่องใช้สำหรับสัตว์มากกว่า
อิงศรตระหนักว่าที่นี่ไม่ใช่สถานพยาบาลของคนแต่เป็นของสัตว์
จากนั้นเขาก็ชันร่างกายท่อนบนขึ้นแล้วเริ่มสำรวจตัวเอง
เครื่องแบบทหารที่สวมก่อนจะหมดสติถูกเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง
เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่ไม่คุ้นตา
ห้องที่เขาอยู่เป็นห้องเดี่ยว
แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างทำให้รู้ว่านี่เป็นตอนกลางคืนแล้วก็พาลนึกไปถึงคำพูดที่ซีลอร์ดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะตื่น
'เธอสลบไปตั้งสิบสองวันแล้วนี่
ดูเหมือนว่าข้างนอกเองก็อยากจะรีบให้ตื่นเหมือนกัน'
สิบสองวัน...เขาสลบไปนานขนาดนั้นสถานการณ์จะเปลี่ยนไปขนาดไหนกัน
"ช่วงนี้เราสลบบ่อยเหมือนกันนะเนี่ย"
อิงศรพึมพำ
ในห้องไม่มีใครอยู่จึงไม่ต้องสนใจว่าจะมีคนมาได้ แต่ทว่า...
"ถ้าลงประกวดคนขี้เซาแห่งปีคงชนะเลิศเลยล่ะค่ะ"
กลับมีเสียงที่คุ้นเคยดังแว่วมา
อิงศรหันไปทางนั้น ประตูห้องเปิดออกโดยเด็กสาวผมสีแดง มีนานั่นเอง
"ตั้งสิบสองวันเลยนะคะที่คุณอิงศรสลบไป
หลับลึกซะจนเมษาถอดใจจะยกชุดที่ใส่ให้แล้วล่ะค่ะ"
หล่อนพูดพร้อมกับชี้ชุดที่เขาสวมอยู่ดูเหมือนจะเป็นของเมษาที่เอามาให้ยืมเปลี่ยนก่อน
และแล้ว...
อิงศรก็ชิงถามเรื่องสำคัญก่อนเลย
"ขวัญ...แล้วขวัญล่ะ"
ดวงตาของมีนาหรี่ลงเล็กน้อย
หล่อนยังคงยืนอยู่หน้าประตูที่มืดสลัวทำให้เห็นหน้าไม่ค่อยชัด
แต่พอรู้สึกได้ว่ากำลังทำหน้าบูด
"ตื่นมาก็เรียกหาน้องชายก่อนเลยเหรอคะ"
"คนอื่นๆ ก็ด้วย
ทุกคนเป็นยังไงบ้าง"
"แหม พอถามก็เป็นห่วงขึ้นมาเชียว
สบายใจได้ค่ะทุกคนปลอดภัยดีรวมทั้งฉันด้วยแต่ถ้าจะให้พูดตรงกว่านี้คงต้องบอกว่าสาหัสเหมือนกันล่ะค่ะ"
"เจ้าพวกนั้นเป็นอะไรไปงั้นเหรอ!?"
อิงศรถามหน้าตาตื่น
"ที่เป็นน่ะคุณอิงศรต่างหากระหว่างที่หมดสติทำอะไรลงไปบ้างรู้ตัวรึเปล่าคะ"
"..."
อิงศรไม่ตอบ
เพียงแต่จ้องมองมีนาที่ยังพยายามคุยจากประตูเขาสงสัยว่าทำไมเด็กสาวถึงต้องเว้นระยะห่างไว้ตั้งขนาดนั้น
“ทำไมไม่เข้ามาล่ะ”
แต่มีนาไม่ตอบ
แล้วเริ่มพูดเรื่องที่ตัวเองถามไปก่อน
“ตอนนี้คุณอิงศรโดนภาคทัณฑ์เอาไว้อยู่ค่ะยศร้อยโทที่ได้พร้อมนรินทร์ตอนสู้กับเรดบอสก็ถูกลดเหลือแค่สิบเอกด้วยค่ะ”
“เรื่องยศน่ะช่างมันเถอะแต่ช่วยตอบมาก่อนได้ไหมว่าทำไมถึงต้องไปยืนพูดซะตรงนั้นด้วย”
พวกเขาเริ่มโต้เถียงกันเสียงดังขึ้นแล้วในตอนนั้นเอง
“โฮ่งๆๆ”
“หน้ากากรอด้วย!”
“กวินทร์อย่าวิ่งเซ่เดี๋ยวโคล่ามันก็ฟู่กันพอดี”
เสียงดังมาจากระเบียงทางเดินด้านนอก
วินาทีถัดมาสุนัขตัวหนึ่งก็พรวดพราดผ่านประตูห้องที่เปิดอ้าทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่มีนาเข้ามา
สุนัขวิ่งลอดใต้ขามีนาจนมาถึงเตียง
“ว้าย...”
มีนากรีดร้องแต่ยังไม่ทันจะสุดก็มีอีกคนเปิดประตูพรวดพราดตามเข้ามาอีก
ด้วยความเร่งรีบทำให้ชนมีนาจนเซถลาเข้ามาถึงกลางห้อง คนๆ นั้นคือกวินทร์
“อะ..ขอโทษครับ”
กวินทร์พูดพลางจับแขนมีนาที่กำลังเซถลาไว้
จากนั้นประตูห้องที่เปิดอ้าอยู่ก็ถูกดึงก่อนจะมีอีกสองคนตามเข้ามาเป็นเมษากับนรินทร์นั่นเองทั้งสองคนถือถุงพลาสติกของร้านสะดวกซื้อ
เมื่อรวมกับกระป๋องน้ำอัดลมในมือของกวินทร์ที่ช่วยพยุงตัวมีนาอยู่ก็พอจะเดาได้ว่าทั้งสามคนไปหาเสบียงมาตุน
เมษาพูดขึ้นว่า
“กว่าจะเจอร้านที่ยังรอดมาจากวันนั้นได้ต้องเดินไปเกือบสิบโลแน่ะทั้งหมดนี่ก็เพราะเจ้าศรมันยิงไม่ยั้งมือกันเล้ย~”
ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตว่าอิงศรฟื้นแล้ว
คนที่รู้ตัวก่อนคือกวินทร์
“อ๊ะ! พี่ศรฟื้นแล้ว”
“อ้าว จริงเดะ!
เฮ้ยนรินทร์ตอนนี้กี่โมง”
เมษาพูด
จากนั้นนรินทร์ก็เปิดหน้าจอระบบเพื่อดูเวลา
“เที่ยงคืนกว่าๆ แล้ว”
“ตื่นตอนครบสิบสองวันจริงๆ
ด้วยแม่นอย่างที่มีนาบอกเลยแฮะ”
คำพูดนั้นของเมษาทำให้รู้สึกเอะใจแปลกๆ
อิงศรจึงเบี่ยงสายตาไปมองมีนา
อยากจะถามว่าทำไมถึงรู้เวลาที่เขาจะตื่นแต่ความคิดนั้นก็ต้องหยุดชะงักไปเพราะว่า...
“นี่เธอร้องไห้มางั้นเหรอ”
แสงจากหน้าต่างทำให้มองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน
ขอบตาของเด็กสาวคล้ำเล็กน้อยและมีคราบน้ำตาเปรอะอยู่
หรือนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่เธอไม่ยอมเข้ามาใกล้เพราะกลัวจะถูกเห็นน้ำตา
“ไม่ใช่นะคะ
นี่น่ะก็แค่อดหลับอดนอนเฝ้าไข้คุณอิงศรมาหลายวันก็เลยไปหยอดตามาน่ะค่ะ”
มีนาพูดแก้ตัวอย่างร้อนรนจนดูมีพิรุธ
แต่อิงศรเลิกสนใจแล้วจึงพูดออกมาว่า
“เออ ช่างเหอะ”
แล้วหันไปถามนรินทร์แทน
“นรินทร์ช่วงที่ฉันสลบไปมันเกิดอะไรขึ้นน่ะเล่าให้ฟังที”
แต่มีนาก็พูดแทรกเข้ามา
“ตอนนี้ไม่ได้ค่ะ
คุณอิงศรเพิ่งจะฟื้นหยกๆ
อย่าเพิ่งทำให้ตื่นเต้นมากเลยจะดีกว่าไว้หลังจากนี้ค่อยเล่าก็ได้...”
แต่ตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขัดขึ้นมา
“ซีลอร์ดเล่าให้ฟังหมดแล้วสินะ”
จากนั้นทุกคนก็หยุดพูดโดยอัตโนมัติ
ต่างคนต่างก็มองหน้ากันเหมือนจะถามว่าเมื่อกี้ใครเป็นคนพูด
“ตรงนี้ ข้าอยู่ตรงนี้”
สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังจุดที่เสียงดังมาซึ่งก็คือสุนัข
กวินทร์พูดว่า
“เมื่อกี้หน้ากากพูดงั้นเหรอ”
“มันจะเป็นไปได้ไงเล่า”
เมษาพูดอย่างนั้นแต่ก็ทำหน้าอิหลักอิเหลื่อเสียเต็มประดา
จากนั้นสุนัขก็พูดอีก
“คุยกันด้วยรูปร่างแบบนี้คงเป็นอุปสรรค์เกินไปช่วยรอซักครู่หนึ่งนะ”
แล้วแสงก็ห้อมล้อมตัวของสุนัข
รูปร่างเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ทุกคนได้แต่จ้องตาค้าง
ต่างก็ตกใจจนไม่เป็นอันทำอะไร
จนกระทั่งแสงสว่างที่ห้อมล้อมตัวสุนัขจางหายไป
ก็ปรากฏร่างของเด็กผู้ชายก้มตัวยืนสี่เท้าอยู่
เด็กชายลุกขึ้นยืนด้วยสองขา
อายุราวสิบปีเห็นจะได้
ร่างกายเปลือยเปล่า
ผิวสีขาวผ่อง
เรือนผมสีดำ
ดวงตาสีเทาฉายประกายคมกริบ
เหมือนกับเคยเห็นดวงตาแบบนั้นที่ไหนมาก่อน
เป็นเมื่อเร็วๆ นี้เองซึ่งคนที่เขาเจออยู่เมื่อเร็วๆนี้ก็คือ ผู้ถูกลืมเลือน หรือ
ซีลอร์ด
จะว่าไปแล้วเด็กคนนี้....หมาตัวเมื่อกี้
ก็พูดชื่อของซีลอร์ดออกมา หรือว่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน?
อิงศรจ้องมองเด็กชายปริศนาแล้วครุ่นคิดอย่างหนัก
พยายามเชื่อมต่อเด็กคนนี้กับผู้ถูกลืมเลือนแต่ก็หาจุดเชื่อมโยงไม่ได้เลย
และแล้ว...
คนอื่นก็เพิ่งจะรู้สึกตัว
"หน้ากาก...กลายเป็นคนแล้ว"
กวินทร์จ้องมองด้วยความตกตะลึงส่วนมีนาก็
“ว้าย!”
กรีดร้องแล้วเอามือปิดตาพลางหันหน้าหลบเด็กชายปริศนา
“อะไรของเธออีกเนี่ย”
เมษาทำท่าเหนื่อยหน่าย
“ฉันเป็นผู้หญิงนะตาบ้ารีบหาอะไรให้สวมก่อนสิ”
มีนาพูดมาอย่างนั้นแล้วก็วิ่งออกทางประตูห้องไป
“เร็วๆ ล่ะ”
เสียงของหล่อนดังมาจากข้างนอก
คงกะจะหลบอยู่ตรงนั้นจนกว่าจะแต่งตัวให้เด็กชายปริศนาเสร็จ
“ปุบปับมาพูดแบบนี้จะให้ไปหาเสื้อผ้ามาจากไหนกันเล่า”
เมษาพูดพลางมองหาสิ่งที่จะใช้แทนเครื่องแต่งกายได้
“ถ้างั้นใช้เจ้านี่ไหมล่ะ”
นรินทร์พูดแล้วเดินไปที่มุมห้องซึ่งมีกองหนังสือพิมพ์เก่าวางอยู่
เขาหยิบมันขึ้นมาสะบัดฝุ่นออกแล้วเอามาพันบริเวณเอวของเด็กชายแทนเครื่องแต่งกายเพื่อแกขัดไปก่อน
“เสร็จแล้วครับคุณมีนา”
นรินทร์พูด
“เสร็จแล้วใช่ไหมคะ”
มีนายื่นหน้าผ่านประตูห้องเข้ามาดูลาดเลา
เมื่อแน่ใจแล้วว่าของลับของเด็กชายถูกปกปิดหล่อนจึงกลับเข้ามาในห้อง
“พี่ศรดูหูนี่สิครับ”
กวินทร์พูดแล้วจับที่ใบหูสีดำของเด็กชายซึ่งมีลักษณะเหมือนหูของสุนัข
เมื่อลองมองดูดีๆ
แล้วมีอีกหลายจุดที่บ่งบอกว่าเด็กชายปริศนาไม่ใช่มนุษย์
นอกจากใบหูของสุนัขแล้วก็มีชิ้นส่วนที่เหมือนกับโลหะติดอยู่ข้างใบแก้มด้วย
มีนาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง
"คือว่า..."
"อะไรอีกเล่า"
เมษาพูดรำคาญ
"เปล่าก็แค่จะบอกว่าก่อนหน้านี้ตอนที่สู้กับบอสเสือขาวน่ะตอนนั้นคนที่ต้านการระเบิดตัวเองไว้ไม่ใช่ฉันหรอกนะแต่เป็นหน้ากากน่ะ"
แล้วสิ่งที่มีนาพูดก็ทำให้เมษาฉุกคิดขึ้นมา
“จริงสิ”
เมษาทุบมือตัวเอง
“เสียงเมื่อกี้เหมือนเสียงของบอสในดันเจี้ยนกระจกเลยนะ”
จากนั้นกวินทร์ก็พูดเสริมเข้าไปอีกว่า
“จะว่าไปตอนที่เราเจอหน้ากากก็ตอนออกจากดันเจี้ยนนั่นพอดีด้วยนะครับ”
“ตอนนั้นข้าเป็นคนพิสูจน์บาปของพวกเจ้าเองนั่นล่ะ”
เด็กชายปริศนาพูด
คำพูดนั้นทำให้ท่าทีของทุกคนยกเว้นนรินทร์ที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเปลี่ยนไป
มีนา เมษา
และกวินทร์ต่างก้าวถอยไปข้างหลังกันคนละก้าวเป็นปฏิกิริยาตอบรับที่พร้อมเพรียงกันอย่างช่วยไม่ได้
“นายคือไอ้ตาชั่งตอนนั้นเรอะ”
อิงศรถาม
และตอนนี้เองเขาก็เตรียมตัวให้พร้อมที่จะกระโจนออกจากเตียงได้ทุกเมื่อหากว่ามีอะไรเกิดขึ้น
เด็กชายตอบคำถามนั้นว่า
“ข้าไม่ใช่ตาชั่งอย่างที่พวกเจ้าเรียกกัน
ข้าคือโดโกบาร์เป็นผู้พิสูจน์แห่งสวนศักดิ์สิทธิ์”
แล้วหน้าจอแสดงชื่อกับแถบพลังชีวิตของเด็กชายก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ
Dogobar Lv. 1
[100:100]
ความคิดเห็น