คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #58 : Login 56: องค์กรของมนุษย์
Login
56: องค์กรของมนุษย์
เวลาเก้าโมง
อิงศรออกจากโรงพยาบาลสัตว์มาได้วันหนึ่งแล้ว
ในคืนนั้นพอเด็กชายที่กลายร่างจากสุนัขทำท่าจะพูดเรื่องยุ่งยากมีนาก็ก็หยุดเอาไว้เพราะเป็นห่วงอาการของเขา
เลยนัดเจอกันอีกครั้งเพื่อพูดคุยทีหลัง
เขาจึงกลับมาพักที่ห้องตัวเอง
ใช้เวลาหนึ่งวันไปกับการพักฟื้นร่างกายและเก็บข้าวของในห้อง
มีคำสั่งมาว่าอีกสามวันให้ทำการย้ายออกจากค่ายแห่งนี้แต่ก็ไม่ใช่ว่าสาเหตุจะมาจากความเสียหายที่เกิดขึ้นเพียงอย่างเดียว
เดิมทีก็มีกำหนดการให้ทิ้งค่ายแห่งนี้เพื่อกลับไปยังศูนย์บัญชาการหลักตั้งแต่แรก
การป้องกันค่ายตอนเรดบอสเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อจะรวบรวมแอพพลิเคชั่นปีศาจตั้งแต่แรก
เด็กหนุ่มลุกจากเตียงสองชั้น
ปีนบันไดลงมา เขาอยู่ในชุดเสื้อแขนสั้นแบบสบายๆ
การเก็บของเสร็จสิ้นไปตั้งแต่เมื่อคืนวานที่เหลือก็เป็นพวกของจุกจิกส่วนตัวเท่านั้น
ซึ่งค่อยยัดลงไปใน Inventory ทีหลังก็ได้
หลังจากออกไปเข้าห้องน้ำจนเสร็จ
อิงศรก็กลับเข้าห้องแล้วนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานและเปิดหน้าจอเมล์
ไม่มีข้อความใหม่ส่งเข้ามา
ฉบับสุดท้ายยังเป็นเมล์ตัวจับเวลาตายของกวินทร์
ทั้งที่ป่านนี้แล้วก็ควรมีเมล์ส่งมาว่าจะคุยเรื่องนั้นกันเมื่อไหร่แท้ๆ
ถ้าให้นึกเรื่องที่ทำให้เมล์ส่งมาช้าแล้วล่ะก็คงเป็นเรื่องของมีนาที่รับตัวเด็กปริศนาคนนั้นไปจัดการ
แต่อิงศรก็เหม่อมองหน้าจอนั้น
ที่เขาจ้องมองอยู่คือส่วนหน้าจอย่อยที่อยู่ข้างในอีกทีเป็นรายการชื่อของเพื่อนที่จะส่งข้อความไปให้ในนั้นมีชื่อที่เขียนด้วยตัวหนังสือสีเขียวกับสีเทา
ชื่อที่เขียนด้วยสีเขียวคือ
กวินทร์ ข้าวหลาม มีนา เมษา นรินท์ สิงห์
ชื่อที่เขียนด้วยสีเทาคือ
พิพัฒน์ แล้วก็ชื่อจริงของ ฟู มิกซ์ พลอย เน็กซ์ นิว
ชื่อที่เป็นสีเทามีความหมายว่าคนๆ
นั้นไม่สามารถติดต่อไปหาได้หรืออีกนัยหนึ่งก็คือตายไปแล้วนั่นเองและในรายชื่อที่เป็นสีเทานั่นก็มีชื่อของ
มิ่งขวัญ รวมอยู่ด้วย
เพราะแบบนั้นถึงปักใจเชื่ออย่างสนิทว่ามิ่งขวัญตายไปแล้วจนกระทั่งได้พบกันอีกครั้งที่สนามรบ
คงเป็นเพราะกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวก็เลยทำให้อยู่ในรายชื่อที่ติดต่อไปหาไม่ได้
ระบบของเกมโลกาวินาศ...
ไม่สิ ‘เกมโกงวันโลกาวินาศ’ นั้นระบบติดต่อสื่อสารจะทำกันได้แค่คนที่เคยเจอหน้ากันและต่างฝ่ายต่างเพิ่มอีกฝ่ายเป็นเพื่อนในรายชื่อ
ถ้าหากว่าลบชื่อของเพื่อนไปก็ต้องไปเจอหน้ากันอีกครั้งแล้วขอเพิ่มรายชื่อกันใหม่
ดังนั้นถึงอยากจะส่งข้อความหามิ่งขวัญก็ทำไม่ได้
จากนั้น...
“คุณอิงศรอยู่ไหมคะจะเข้าไปแล้วน้า~”
เสียงของมีนาก็ดังลอดประตูห้องมา
แต่ยังไม่ทันจะลุกไปปลดกุญแจให้ประตูกลับเปิดออกจากด้านนอกได้ซะอย่างนั้น
อิงศรหันตัวกลับทางประตูห้องโดยที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้เอาขาถ่างออกลำตัวแนบชิดพนักพิง
“เฮ้ย!
เข้ามาได้ไงน่ะก็ฉันล็อกประตู...”
คำถามของเขาได้รับคำตอบเป็นกุญแจห้องสำรองที่ควรจะแขวนอยู่ที่ห้องของผู้จัดการหอพักซึ่งตอนนี้มันถูกควงอยู่ในมือของมีนา
“เพราะกลัวว่าจะไม่อยู่ก็เลยไปเอากุญแจสำรองมาเผื่อไว้ก่อนน่ะค่ะ”
“ถือวิสาสะหยิบมาเฉยๆ
เลยเรอะ”
“ผู้จัดการหอเขาหนีไปตั้งแต่ก่อนจะเกิดเรดบอสแล้วนี่คะ”
หล่อนพูดอย่างนั้นแล้วก็ถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องทั้งที่เขายังไม่อนุญาต
แถมยังไม่ได้ส่งเมล์มานัดกันไว้เลยว่าจะคุยวันนี้ที่ห้องของเขาแต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เจอจนชินชาแล้วตั้งแต่รู้จักกับยัยคนนี้
จากนั้นกลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังก็ตามเข้ามาด้วย
ทั้งเมษา กวินทร์ และ นรินทร์ ก็มากันครบทีมทุกคนอยู่ใน ชุดไปรเวท
รวมไปถึงเด็กชายปริศนาที่เปลือยล่อนจ้อนในวันนั้นคราวนี้ก็กลับมาพร้อมกับใส่ชุดแขนสั้นที่มีลายเหมือนกับชุดที่เมษาใส่บางทีคงเอาให้ยืมอีกแล้ว
พอคิดถึงเรื่องเสื้อเขาก็นึกขึ้นมาได้
“เออ
เสื้อที่ยืมนายมาน่ะวางอยู่ตรงนั้นนะซักคืนให้แล้ว”
อิงศรชี้ไปที่เสื้อกับกางเกงซึ่งพับกองอยู่บนเตียงชั้นล่าง
“ยังอุตส่าห์หาเวลาซักได้อีกนะ”
เมษาพูดแล้วเก็บชุดบนเตียงยัดใส่หน้าจอ
Inventory
“ว่าแต่นายเหอะนี่เปิดร้านเช่าชุดแล้วรึไงคราวนี้ให้เจ้าเปี๊ยกนั่นยืมด้วยมีหลายไซด์หลายขนาดเหลือเกินนะ”
อิงศรมองไปที่ชุดของเด็กชายปริศนา
ตอนที่เอาเสื้อให้เขายืมนั่นก็ว่าไปอย่างเพราะขนาดตัวพอๆ
กันแต่ถึงขนาดมีไซด์เล็กให้เด็กสิบขวบด้วยก็ดูจะมีชุดเยอะเกินไปหน่อย
แต่เมษาก็ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ
“เหอะ ไม่ใช่ของฉัน
ยัยมีนาต่างหากล่ะ”
แล้วมีนาก็รับไปพูดต่อเอาเองทันที
“พอดีสมัยก่อนเราชอบแต่งตัวคู่กันน่ะค่ะแล้วก็แต่งสลับกันด้วยฉันเลยมีกางเกงของเมษาแล้วเมษาก็เลยมีกระโปรงของฉันแทน”
“ไม่ใช่แล้วเฟ้ย!
เธอบังคับจับฉันแต่งเองไม่ใช่รึไง!”
เมษาตะหวาดด้วยใบหน้าเขินอายขณะที่มีนากลั้นขำแทบตาย
ส่วนกวินทร์กับนรินทร์ก็หรี่ตามองเมษาแล้วทำท่าเหมือนจะถอยห่างออกมาเล็กน้อยด้วยสาเหตุที่เข้าใจได้ง่าย
เจ้าตัวเลยยิ่งร้อนรนเข้าไปใหญ่
“เดี๋ยวสิเฮ้ย!
พวกนายกำลังคิดว่าฉันเป็นพวกแบบนั้นอยู่ใช่ไหมเนี่ย”
จากนั้นมีนาก็หัวเราะซะยกใหญ่
ดูเหมือนจุดประสงค์ที่มาบุกรุกห้องของเขาจะถูกลืมไปซะแล้วดังนั้น
“เฮ้ๆ
ตกลงมาทำอะไรกันแน่เนี่ย”
อิงศรก็เลยพูดเตือนความจำทั้งสี่คน
มีนาหันมาพูดกับเขาว่า
“ก็...เดี๋ยวจะต้องคุยเรื่องซีเครียดกันแล้วเลยอยากจะให้บรรยากาศมันซอฟท์ลงซักหน่อยน่ะค่ะ”
“แหมถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะรีบคุยๆ
ให้มันเสร็จๆ ดีกว่านะค้างคาแบบนี้แล้วมันเครียดหนักกว่าเก่าอีก”
นรินทร์พูดอย่างเห็นด้วยกับเขา
จากตรงนี้เองการแสดงก็ได้จบลงเป็นที่เรียบร้อย
ทุกคนต่างพยักหน้าให้กัน มันคือสัญญาณที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่คืนที่เขาตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาลสัตว์
สัญญาณว่าการแสดงเพื่อตบตาคนที่อาจจะดักฟังพวกเขาได้จบลงเป็นที่เรียบร้อย
“ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่ในรัศมีนี้แล้วล่ะ”
อิงศรพูดอย่างมั่นใจเพราะในช่วงที่พวกมีนาพูดคุยเสียงดังโหวกเหวกกันอยู่นั่นเขาใช้สกิลตรวจสอบภายในรัศมีห้าร้อยเมตรรอบห้องพักแล้ว
ถึงจะเป็นเรื่องกำหนดกันไว้ก่อนก็ตามแต่เรื่องที่เลือกมาคุยกันที่ห้องของเขาก็เป็นเรื่องกะทันหันจริงๆ
อย่างน้อยที่สุดมีนาควรส่งเมล์มาบอกก่อน
เมื่อทุกคนหาที่นั่งของตัวเองได้การสนทนาก็เริ่มขึ้นจากเด็กชายปริศนาซึ่งตอนนี้นั่งอยู่ตรงกลางห้อง
“งั้นก็ขอเริ่มจากเหตุผลที่ข้ามาอยู่กับพวกเจ้าก็แล้วกัน
แต่ก่อนอื่นอยากให้มนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกเล่าทุกอย่างที่เจ้ารู้มาจากซีลอร์ดให้ข้าฟังก่อนจะได้รู้ว่าจะเริ่มเล่าตรงไหนดี”
ให้เล่าที่ฟังจากซีลอร์ด...
เป็นคำขอที่ค่อนข้างลำบากใจเอาเรื่องเพราะต้องเล่าต่อหน้าพวกพ้อง
เดิมทีเขาก็ไม่ใช่ประเภทบอกเรื่องทุกอย่างที่ตัวเองรู้ให้กับคนอื่นอยู่แล้ว
เพราะมันจะทำให้ข้อมูลรั่วไหลยิ่งในกลุ่มนี้มี
มีนากับเมษาที่เป็นพี่น้องกับสิงห์อยู่ด้วยก็ยิ่งไม่อยากให้ข้อมูลรั่วไปถึงสองคนนี้เลย
แม้ว่าที่ผ่านมาจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสองคนนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาของสิงห์
ดังนั้นจึงตัดเรื่องเป็นสปายออกไปได้
แต่ถ้าวางใจปล่อยข้อมูลให้ไปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นสองคนนี้น่าจะถูกพาตัวไปรีดข้อมูลก่อนใคร
หลังจากชั่งใจอยู่นานและถูกสายตาของทุกคนเร่งเร้าอิงศรก็ตัดสินใจจะเล่าทั้งหมดออกไป
“เอาเถอะยังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นฟังแล้วจะเชื่อทันทีอยู่แล้วนี่นะ”
เขาพึมพำกับตัวเองโดยไม่ให้ใครได้ยิน
“งั้นทุกคนตั้งใจฟังให้ดีล่ะเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้น่ะมันออกจะเกินสามัญสำนึกไปหน่อย”
แล้วเขาก็เริ่มเล่าทุกอย่างออกมาแบบสรุป
เรื่องการมีอยู่ของตัวตนที่เรียกว่าพระเจ้า
โฉมหน้าที่แท้จริงของเกมโกงวันโลกาวินาศ
บททดสอบที่จะลงทัณฑ์มนุษย์ด้วยเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสอง
และเรื่องที่เขากับน้องชายเป็นฟันเฟืองสำหรับขับเคลื่อนเครื่องทำสวนเหล่านั้น
ตลอดเวลาที่ฟังเรื่องราวอันเหลือเชื่อที่คุยกับซีลอร์ดมานั้นทุกคนฟังอย่างตั้งใจและไม่มีใครแย้งอะไรออกมา
คงเพราะได้ประสบกับเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์มาโดยตรงจึงเชื่อเรื่องที่เขาเล่าโดยง่าย
“....ก็อย่างที่เล่าไป”
เด็กชายปริศนาพยักหน้าให้แล้วเริ่มพูด
“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะเข้าใจถึงสถานการณ์ของตัวเองกันแล้วนะมนุษย์เอ๋ย
ถ้าเช่นนั้นข้าจะบอกสถานะของตัวเองเพื่อให้พวกเจ้าไว้ใจ
ตัวข้าคือหนึ่งในสิบสองเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ผู้พิสูจน์โดโกบาร์”
รู้สึกได้ว่าบรรยากาศภายในห้องหนักอึ้งขึ้นมาทันที
แต่โดโกบาร์...
“ข้าเป็นผู้พิสูจน์โดยสันดานจึงนึกอยากตรวจสอบด้วยตัวเองว่ามนุษย์นั้นหมดสิ้นคุณค่าในการคงอยู่แล้วจริงๆ
หรือไม่
ซึ่งพวกเจ้าสี่คนก็พิสูจน์ให้ข้าเห็นแล้วดังนั้นข้าจึงเริ่มคิดคล้ายกับซีลอร์ดเพื่อจับตาดูพวกเจ้าต่อไปข้าจึงมาอยู่ด้วย”
ยังคงกล่าวต่อเหมือนไม่รู้สึกถึงแรงกดดันจากพวกเขาเลย
ทั้งที่โดนพวกมนุษย์ที่จะต้องลงทัณฑ์ล้อมอยู่ ซึ่งความจริงมันก็ถูกแล้ว
มนุษย์อย่างพวกเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายจะต้องหวาดกลัว
จากนั้นมีนาก็
“ม...แหมพอฟังแล้วเป็นเรื่องเหลือเชื่อน่าดูเหมือนกันนะคะเนี่ย”
พูดเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายความตึงเครียดลง
“จิ...จริงด้วยสิครับพี่ศรผมยังไม่ได้คืนเจ้านี่ให้เลย”
กวินทร์พูดพลางล้วงเอาฮาร์โมนิก้าออกจากกระเป๋ากางเกง
คงตั้งใจจะเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อลบบรรยากาศอันน่าอึดอัดนี่
เด็กหนุ่มลุกจากเตียงมายืนข้างหน้าแล้วยื่นฮาโมนิก้าให้
อิงศรจ้องฮาร์โมนิก้าที่ช่วยหยุดเขาซึ่งกำลังอาละวาดด้วยเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์
ถึงแม้จะยังไม่ได้ฟังเรื่องนี้จากพวกกวินทร์โดยตรงแต่เขาก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตอนที่คุยกับซีลอร์ดแล้ว
มาคิดๆ ดูก็รู้สึกเจ็บใจที่สุดท้ายของสุดท้ายเขาก็ถูกสิงห์กับข้าวหลามช่วยเอาไว้อีกเหมือนเมื่อสามปีก่อน
ไม่รู้ว่าที่สิงห์มอบฮาร์โมนิก้าอันนี้ให้กับที่ข้าวหลามให้สเปรย์ขยายเสียงมาก่อนออกเดินทางนั้นเป็นเรื่องที่สองคนนั่นคาดการณ์ไว้แต่แรกหรือว่าเป็นแค่ความบังเอิญกันแน่
อิงศรเอื้อมมือออกไปทำท่าเหมือนจะรับของแต่กลับกุมฮาร์โมนิก้าและมือของกวินทร์แล้วดันกลับไป
“นายเก็บเอาไว้เถอะ”
“หา?”
กวินทร์ทำหน้าตกใจ
“ถ้าเกิดว่าฉันอาละวาดขึ้นมาอีกนายจะได้เป็นคนหยุดเอาไว้ไง”
“พี่ศรรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอครับ”
ดูเหมือนจะตกใจที่เขารู้เรื่องทั้งที่ยังไม่ได้บอก
อิงศรพยักหน้ารับ กวินทร์จึงถอยกลับไปนั่งที่
จากนั้น...
อิงศรก็เบนสายตาไปที่ชื่อกับแถบพลังชีวิตของโดโกบาร์
Dogobar
Lv.1
[/////100:100/////]
สีของตัวหนังสือที่เขียนชื่อเป็นสีเขียวหมายความว่าเป็นพวกเดียวกับฝ่ายมนุษย์
ก่อนหน้านี้ตอนที่กลายร่างครั้งแรกก็ลองให้นรินทร์ตรวจสอบด้วยแอพพลิเคชั่นปีศาจแล้วแต่ก็ไม่พบความผิดปกติ
ค่าพลังที่มีอยู่ในตอนนี้ก็เหมือนกับมนุษย์ มีอาชีพพื้นฐาน ‘สเปลเลอร์’ เหมือนกับนรินทร์ เนื่องจากระดับเลเวลเป็นค่าเริ่มต้นจึงยังไม่ได้ติดตั้งสกิลหรือเพิ่มขีดความสามารถใดๆ
ราวกับเด็กเพิ่งเกิดใหม่
พวกเด็กที่เกิดหลังจากโลกล่มสลายก็จะถูกดึงเข้ามาพัวพันกับเกมตั้งแต่ตอนที่ออกจากท้องแม่เหมือนกัน
“ทีนี้ตาฉันถามมั่งล่ะนะ”
อิงศรพูดต่อหน้าโดโกบาร์
“นายคิดจะใช้ร่างนั้นทำอะไรกันแน่”
“เพื่อการจับตาดูจำเป็นต้องเรียนรู้ความเห็นของมนุษย์ดังนั้นจึงใช้ร่างนี้แน่นอนว่าด้วยเงื่อนไขเดียวกับพวกเจ้าร่างกายนี้สามารถ
ตายได้ เรียนรู้ได้ ใช้พลังของปีศาจที่พวกเจ้าเรียกกันว่าเดม่อนแอพพลิเคชั่นได้ หากเป็นความปรารถนาของพวกเจ้าแล้วจะใช้ร่างกายนี่อย่างไรก็ได้”
อิงศรยิ้ม
“พูดแบบนั้นมันจะดีเร้อ~ พูดซะอย่างกับพวกฉันเป็นแก็งลักเด็กเลยนะนั่น”
แล้วโดโกบาร์ก็ยิ้มเหมือนกัน
“นี่ก็เพื่อการพิสูจน์คุณค่าของมนุษย์แน่นอนว่าถ้าประเมินตกเมื่อไหร่ข้าจะทำการกวาดล้างเอง”
คำพูดของโดโกบาร์เป็นของจริง
แวบหนึ่งที่รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกลายเป็นศัตรูขึ้นมา
คนอื่นๆ
ได้แต่นั่งเกร็งตัวไม่โต้ตอบเพราะถูกแรงกดดันนั่นเล่นงานซึ่งเขาเองก็ด้วย
อิงศรรู้สึกว่าการโต้ตอบกับโดโกบาร์อาจจะต้องระมัดระวังให้มากขึ้นยังไงเสียอีกฝ่ายก็คือพรรคพวกของพระเจ้าที่คิดทำลายมนุษย์
แล้วก็เป็นอีกครั้งที่มีนาแทรกขึ้นมาเพื่อทำลายบรรยากาศอันหนังอึ้ง
“เอาเป็นว่าประเด็นของน้องหมาจบไปแล้วนะคะงั้นต่อไปเรามาพูดเรื่องแนวทางของกลุ่มกันดีกว่าค่ะ”
นั่นเป็นหัวข้อที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนอิงศรจึงหันไปถาม
“เรื่องอะไร?”
“พอดีว่าพวกเราคุยกันตอนที่คุณอิงศรยังหลับอยู่น่ะค่ะแต่เรื่องส่วนใหญ่ก็ได้คำตอบหมดแล้วเหลืออีกแค่เรื่องเดียว
แต่ก่อนจะพูดเรื่อนั้นอยากจะให้ทุกคนรู้เอาไว้ก่อนเรื่องที่เบื้องบนคิดจะใช้ประโยชน์จากพวกเราน่ะค่ะ”
เบื้องบนคิดจะใช้ประโยชน์
ถ้าเบื้องบนที่ว่าหมายถึงสิงห์ล่ะก็มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไปตั้งนานแล้วทำไมจะต้องมาบอกเอาป่านนี้ด้วย
มีนาพูดต่อไปว่า
“ก่อนอื่นจะขอพูดย้อนไปถึงธุวดารกะในอดีตนะคะ
ประมาณหลายร้อยปีก่อนได้แล้วล่ะมั้ง”
ไม่รู้ว่าทำไมหล่อนถึงขึ้นต้นเรื่องด้วยประวัติของตระกูลตัวเอง
แต่มันก็ทำให้นึกถึงเรื่องที่มังกรในเรดบอสพูดขึ้นมา
ในตอนนั้นมีนาถูกยึดร่างกายไปโดยมังกรแล้วก็พูดเอาไว้แบบนี้
‘เจ้าเองก็เป็นเลือดเนื้อธุวดารกะงั้นรึคงเป็นผู้นำของเหล่ามนุษย์พวกนี้ล่ะสิ
กล้ามากนะที่เอาเทพมาใช้สนองความโลภ
มันกี่ร้อยกี่พันปีกันแล้วล่ะที่บาปของพวกเจ้าไม่ได้ระงับลงเลยแม้แต่ชั่วอายุคนเดียว’
มีนาเริ่มพูด
“ธุวดารกะนั้นเดิมเป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อการควบคุมเรื่องเหนือธรรมชาติค่ะในความเป็นจริงแล้วก่อนที่โลกของเราจะล่มสลายก็เคยมีปีศาจและเทพดำรงอยู่ร่วมกับมนุษย์มาตั้งนานนมแล้ว
ธุวดารกะได้คิดค้นวิธีที่จะควบคุมเทพและปีศาจเพื่อนำมาใช้ประโยชน์แต่ก็ไม่ได้มีแค่พวกเราหรอกนะคะยังมีองค์กรอื่นทั้งในประเทศและนอกประเทศที่วิจัยเกี่ยวกับอาคมสำหรับควบคุมเทพและปีศาจอยู่อีกอย่างเช่นอารย-สนธยาที่อ้างตัวว่าเป็นองค์กรทางวิทยาศาสตร์เองก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะและนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของเดม่อนแอพค่ะ”
อิงศรเข้าใจที่มีนาพูดมาถ้าธุวดารกะเป็นองค์กรที่มีประวัติยาวนานขนาดนั้นก็คงไม่แปลกที่จะเคยทำกับเทพและปีศาจเอาไว้มากมายและในกรณีที่เป็นแบบนั้นหมายความว่าพวกสัตว์เทวะแท้จริงแล้วเป็นเทพกับปีศาจอย่างนั้นหรือ
แต่เขาเองก็เคยเห็นพวกสัตว์กลายพันธุ์เป็นสัตว์เทวะมาแล้วถ้าอย่างนั้นก็อาจจะต้องบอกว่าเฉพาะสัตว์เทวะชั้นจ่าฝูงเท่านั้นหรือเปล่า
มีนายังคงพูดต่อไปอีก
“เดิมทีแล้วปีศาจและเทพมีตัวตนที่เหมือนกับเป็นข้อมูลอยู่การถอดรหัสข้อมูลนั้นแล้วนำมาประยุกต์ใช้ก็คือหลักการของเดม่อนแอพ”
หมายความว่าแต่เดิมปีศาจและเทพเป็นเพียงข้อมูลอย่างนั้นหรือ
รู้สึกเหมือนจะมีเรื่องทำนองนี้ถูกพูดขึ้นมา
แล้วอิงศรก็นึกขึ้นได้ว่าในตอนนั้นที่สิงห์ตอบโต้มังกรก็พูดอะไรราวๆ
นี้เหมือนกัน
‘โลกหลังจากนี้ไปมนุษย์จะไม่ต้องการเทพหรือปีศาจอีกพวกแกมันก็แค่โปรแกรมที่ชำรุดไปแล้ว
ได้แต่รอวันที่จะอันอินสตอลออกก็เท่านั้น’
ซีลอร์ดเองก็เคยพูดไว้แบบนี้
“หากมนุษย์ไม่แสดงความตั้งใจก็จะถูกลบออกไปพร้อมกับสวนแห่งนี้
รากจะแผ่ขยายออกไป การกำจัดข้อมูลที่ไม่ได้ใช้เพื่อทวงคืนพื้นที่เก็บรักษาจะดำเนินไปจนกว่าทุกอย่างจะถูกอันอินสตอล
ออกจากระบบ ทั้งประวัติศาสตร์ ทั้งช่วงเวลาและการมีตัวตนอยู่ของมนุษย์จะกลับคืนสู่ความว่างเปล่า’
อันอินสตอลหมายถึงถอนการติดตั้งโปรแกรม
ทำไมคำพูดของสิงห์กับซีลอร์ดจึงคล้ายคลึงกัน
คำตอบมันมีอยู่ตรงนี้นี่เอง
ถ้าบอกว่าโลกใบนี้หรืออาจจะหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างแท้จริงแล้วเป็นเพียงข้อมูล
ถ้าเป็นอย่างนั้นมนุษย์ที่หมดสิ้นความตั้งใจในการก้าวไปข้างหน้าก็คือข้อมูลที่หมดสิ้นคุณค่าในการเก็บรักษาดังนั้นพระเจ้าที่เป็นผู้ใช้งานก็เลยจะลบข้อมูลขยะที่เรียกว่ามนุษย์ทิ้งไป
มีนายังคงพูดอยู่
“แล้วทีนี้เพราะว่าเดม่อนแอพเกิดขึ้นก่อนที่โลกจะล่มสลายบวกกับที่ฟังจากคุณอิงศรเล่าก็เลยคิดขึ้นมาได้ว่าบางทีอาจจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันก็ได้”
แล้วหล่อนก็จ้องมองมาที่อิงศร
แต่เขาไม่มีคำพูดจะตอบโต้
ไม่สิ... มันมีอยู่
ยังมีอีกเรื่องที่เขานึกสงสัยและมีนาก็กำลังตอบความสงสัยนี้อยู่
เรื่องที่เห็นในความทรงจำซึ่งเคยลืมไปแล้ว...
พ่อกับแม่ของเขามีส่วนร่วมในการพัฒนาเดม่อนแอพให้ธุวดากะรวมไปถึงอาจจะมีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับอารย-สนธยา
แต่ควรจะพูดเรื่องนี้ที่นี่รึเปล่า?
ความคิดเห็น