คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #49 : Login 47: เหล่าวัชพืชในสวนศักดิ์สิทธิ์
Login 47: เหล่าวัชพืชในสวนศักดิ์สิทธิ์
ประตูวิทยาลัยทิศเหนือ
ทัพหนุนที่มาจากประตูทิศใต้เริ่มเฮโลกันออกมาบางส่วนยังคงต่อต้านจ่าฝูงสัตว์เทวะที่เข้าไปข้างในแล้ว
แต่ส่วนใหญ่ก็พากันออกมาด้านนอกเพื่อต่อสู้กับฝูงมนุษย์ต่างดาว
มนุษย์ทุกคนตรงนั้นมีอาวุธติดตั้งแอพพลิเคชั่นปีศาจจึงต่อกรกับชั้นศิษย์ที่มีเลเวลสูงถึง
60 ได้
ในทางทฤษฎีทัพของเมตไตรยมีจำนวนคนมากกว่าและอาจได้รับชัยชนะแต่ตัวแปรสำคัญคือมนุษย์ต่างดาวชั้นราชครูที่มีพลังขนาดทำลายกองทัพย่อยๆ
ให้หายไปได้ในพริบตา ดังนั้นสงครามครั้งนี้มนุษย์คงจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
มนุษย์ฆ่ามนุษย์ต่างดาวแล้วก็ถูกฆ่ากลับ
มนุษย์ต่าวดาวฆ่ามนุษย์แล้วก็ถูกมนุษย์รุมฆ่าเอาคืน
สนามรบดำเนินไปอย่างบ้าคลั่ง
ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายนั้น
อิงศรซึ่งตายไปแล้วยังคงสัมผัสมันได้
ถึงพลังชีวิตจะหมดลงไปแต่ประสาทสัมผัสอื่นๆ
ก็ยังอยู่ครบ
ยังคงได้ยินเสียง ยังคงได้กลิ่น
ยังคงรับรู้รสของเลือดที่ไหลซึมอยู่ในปาก
.....แต่กลับขยับตัวไม่ได้
นี่คือความตายอย่างนั้นหรือ
คือการที่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากมองดูเหล่าพวกพ้องถูกทำลายลงไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ
คือโทษทัณฑ์จากบาปกรรมที่ไปลบหลู่เทพเจ้าอย่างที่จ่าฝูงสัตว์เทวะได้บอกเอาไว้อย่างนั้นหรือ
มนุษย์ต่างดาวพากันเดินข้ามซากศพของเขาไปโดยที่ไม่มีตนใดใส่ใจหรือแยแส
ต่อให้ถูกเหยียบก็ไม่สามารถร้องหรือตอบโต้อะไรได้
มีนา เมษา กวินทร์ นรินทร์
และพันโทข้าวหลามได้รับการช่วยเหลือจากทัพหนุนและถูกปลดปล่อยจากเงื้อมือของมนุษย์ต่างดาว
แต่สถานการณ์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี
กลุ่มของเมตไตรยเริ่มถอยเข้าไปในแนวของค่ายเพราะไม่อาจตีโต้กับฝูงมนุษย์ต่างดาวจำนวนขนาดนี้ได้
หนำซ้ำเพราะการปะทะกับสัตว์เทวะก่อนหน้านี้ทำให้กำลังพลลดลงไปเกินครึ่ง ย่อมไม่อาจขัดขืนต่อชะตากรรมที่จะต้องแตกพ่าย
อิงศรได้แต่หวังให้พวกพ้องเลิกอาลัยอาวรณ์ตนที่ทำตัวงี่เง่าจนถูกฆ่า
แล้วรีบหนีเอาตัวรอดไปเสีย เพราะทุกอย่างมันได้จบลงไปแล้ว
ต่อให้เขาจะยังมีชีวิตอยู่ก็ตามแต่หากถูกกองทัพมนุษย์ต่างดาวที่นำโดยชั้นราชครูถึงสองตนบุกโจมตีใส่แล้วล่ะก็
ในสถานการณ์เช่นนี้มนุษย์ก็มีแต่ต้องหนีอย่างเดียว
แถมยังช่วยมิ่งขวัญไม่สำเร็จอีกตัวเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่งมันจบลงแล้ว
จบอย่างเศษสวะน่าสมเพชที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากอวดดีทำตัวลังเลว่าจะช่วยพวกพ้องหรือน้องชายถึงสองครั้งสองคราแล้วก็ตายไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย
แต่ทว่าทั้ง เมษา กวินทร์ มีนา
นรินทร์ทั้งสี่คนไม่ได้หนีไปกับกองทัพที่กำลังถอยเข้าไปในค่ายแต่ยังคงต่อสู้กับพวกมนุษย์ต่างดาว
เพราะยังอาลัยอาวรณ์ในตัวเขาอยู่อย่างนั้นหรือ?
ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น...ไม่ใช่เหตุผลที่โลกสวยขนาดนั้น
ทั้งสี่คนนั่นถอยไม่ได้ต่างหาก
เพราะความบอบช้ำจากการต่อสู้ที่ผ่านมาทำให้เจ้าพวกนั้นอ่อนแรงกันไปหมดและคงจะไม่ทันสังเกตุแนวรบที่กำลังถอยร่นจึงตามไปกับคนอื่นไม่ทันและติดแหงกอยู่กลางดงศัตรู
ยิ่งมาเสียคนที่เป็นหัวหน้าคอยสั่งการอย่างเขาไปด้วยก็ไม่แปลกที่จะตามความเคลื่อนไหวของกองทัพไม่ทัน
เพราะเหตุนั้นจึงตัดสินใจผิดพลาด...
เดินทางผิดพลาด...
สรุปแล้วเพราะความอ่อนหัดของเขาเลยลากพวกพ้องมาตายตามไปอีก
'นี่มันก็ขุมนรกดีๆ นี่เอง' หากยังออกเสียงได้เขาคงจะสบถออกไปเช่นนั้น
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วตอนนี้ทั้งสี่คนนั่นถูกทำให้ยอมจำนนด้วยกำลังที่เหนือกว่าและกำลังจะถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา
ตัวเขาในตอนนี้แค่จะเบือนหน้าหนีจากภาพอันโหดร้ายหรือจะหลั่งน้ำตาก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
วิ้ง---
มีเสียงวิ้งยาวๆ
ดังขึ้นมาในหัวจากนั้นก็รู้สึกเหมือนที่กระดูกสันหลังกำลังมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวขยุกขยิกอย่างน่ารังเกียจ
อะไรบางอย่างนั้นกำลังดันเสื้อ
มันพยายามจะแหวกผิวหนังออกมาจนทำให้เกิดความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง
"อ๊าก!!!"
อิงศรกรีดร้อง...
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทำไม่ได้เลยซักอย่างแต่ตอนนี้กลับกรีดร้อง
ทว่าความเจ็บปวดก็ทำให้ลืมทุกอย่างไปเช่นกันใจของอิงศรกำลังจดจ่อต่อความเจ็บปวดอันแปลกพิลึกที่กำลังทรมานตนเองอยู่
ทุกอย่างถูกย้อมเป็นสีแดงรู้สึกได้ว่าน้ำตากำลังหลั่งออกจากดวงตา
แต่หยดน้ำตากลับไม่ได้ใสอย่างที่คิด
หยดน้ำตาของเขาเป็นสีแดงก่ำ...เลือดกำลังหลั่งจากดวงตา
ไม่เพียงเท่านั้นเจ้าสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวขยุกขยิกอยู่ที่หลังได้ขยายใหญ่ขึ้นและนำพาความเจ็บปวดมาเพิ่มเป็นเท่าทวี
อิงศรยังคงกรีดร้องต่อไป
เสียงกรีดร้องดังไปทั้งสนามรบจนทั้งมนุษย์และมนุษย์ต่างดาวพากันหันเหความสนใจมาที่เขา
ในขณะเดียวกันเจ้าสิ่งปริศนาที่อยู่บนหลังก็ได้พูนตัวปูดทะลุเสื้อด้านหลังจนฉีกขาด
สติของอิงศรหลุดลอยออกไปในตอนนั้น...
สิ่งปริศนาที่ปรากฏออกมานั้นเชื่อมต่อกับกระดูกสันหลังของเด็กหนุ่ม
เป็นกระดูกที่มีรูปร่างเหมือนกับฟันเฟือง
ฟันเฟืองกระดูกเริ่มหมุนกวัดแกว่งอย่างนุ่มนวลเสียงเสียดสีที่เกิดจากการหมุนดังเอี๊ยดอ๊าดราวกับจะป่าวประกาศถึงการตื่นขึ้นของอะไรบางอย่าง
"ว...วัชพืช"
เด็กหนุ่มพึมพำออกมาอย่างนั้น
ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้นมาจากนั้นร่างของมนุษย์ต่างดาวหลายตนก็กระดอนขึ้นไปในอากาศก่อนจะร่วงหล่นลงมาราวกับเม็ดฝนโปรยปราย
สายตาของทุกคนหันเหไปยังจุดที่เกิดระเบิด
พวกที่กระดอนขึ้นไปเพราะแรงระเบิดไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
หลังจากลงพื้นแล้วก็ลุกขึ้นมาจับอาวุธเตรียมต่อสู้กับตัวการที่ส่งพวกตนกระเด็นออกมา
"อะไรกันน่ะ"
มีนาพยายามเพ่งสายตามอง
ณ
ศูนย์กลางของความวุ่นวายนั่นเธอเห็นคนๆ หนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางมนุษย์ต่างดาว
คนๆ
นั้นคืออิงศรที่น่าจะตายไปแล้วกระทั่งตอนนี้แถบแสดงพลังชีวิตของเขาก็ยังว่างเปล่าแต่กลับยืนขึ้นมาทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
"คุณอิงศร..."
พริบตาหนึ่ง มีนายิ้มเผยอด้วยความยินดีที่เห็นอิงศรยังมีชีวิตอยู่
แต่รอยยิ้มนั่นไม่ทันไรก็เลือนหาย
...แล้วกลายเป็นความตกตะลึงงึนงันแทนรวมไปถึงมิ่งขวัญด้วย
"ศร..."
มิ่งขวัญซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เกิดเรื่องนักมองเห็นพี่ชายลุกขึ้นมา
เหตุใดอิงศรที่ล้มตายไปแล้วถึงกลับฟื้นขึ้นมา?
สิ่งที่อาจจะตอบโจทย์ข้อนี้ได้คงจะเป็นนัยน์ตาที่กลายเป็นสีแดงก่ำดั่งเลือดและฟันเฟืองอันเขื่องที่มีสีขาวซีดราวกับกระดูกกำลังหมุดพัดกวัดแกว่งอยู่ด้านหลังของเด็กหนุ่ม
อิงศรเริ่มพูด...
"วัชพืชที่รุกล้ำสวนอันศักดิ์สิทธิ์..."
แล้วเปลี่ยนเป็นตะหวาดในทันที
"จะต้องถอนรากถอนโคนให้สิ้น!!"
พร้อมกับฟันเฟืองที่ด้านหลังก็เพิ่มรอบการหมุนให้รวดเร็วยิ่งยวดขึ้นไปอีก
คำพูดเมื่อครู่
สร้างความตื่นตะลึงให้กับพวกพ้องแต่สำหรับมนุษย์ต่างดาวนั่นก็แค่ลมปากของมนุษย์ที่หมดทางสู้
"ยังไม่ยอมตายอีกงั้นรึ"
โซเดียมซึ่งยืนสั่งการอยู่ทางด้านหลังของจุดที่เกิดเรื่องพูดพลางจิกปากไปด้วย
"ฮึ่ม
จะว่าไปตอนนั้นก็เหมือนกันนี่..."
หล่อนพึมพำและนึกถึงเรื่องที่เคยฆ่าอิงศรไปในคืนวันที่เผาโรงเรียนฆ่าพวกเด็กๆ
ของอารย-สนธยา
ตอนนั้นอิงศรก็ถูกฆ่าแต่ก็ยังรอดกลับมาจนต้องฆ่าซ้ำอีกแล้วก็ฟื้นขึ้นมาอีก
"ชิ ยุ่งยากจริงนะสมแล้วที่เป็นของที่ยัยรูบิเดียมสนใจนักหนา"
โซเดียมเดาะลิ้นก่อนจะออกคำสั่งให้จัดการกับอิงศรที่ฟื้นขึ้นมา
"จัดการมันซะคราวนี้ซากก็อย่าให้เหลือเชียวล่ะ"
บรรดามนุษย์ต่างดาวชั้นศิษย์ตะโกนขานรับด้วยเสียงอันดังกึกก้อง
แล้วเฮโลกันเข้าไปประเคนอาวุธใส่อิงศรที่อยู่ตรงใจกลาง
แต่ ทว่า...
ร่างของเด็กหนุ่มกลับเปลี่ยนเป็นโปรงใส
อาวุธที่ประเคนเข้ามาต่างก็ทะลุผ่านร่างไปทั้งหมด
จากนั้นร่างโปรงใสของอิงศรก็สลายตัวออกเป็นชิ้นๆ
คล้ายกับตัวต่อของเล่นแล้วลอยออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่ก้อนอุกกาบาตซึ่งตกลงมาในวันสิ้นโลกตั้งอยู่
ชิ้นส่วนอิงศรจมหายเข้าไปในผิวของอุกกาบาต
ทันใดนั้นแผ่นดินก็สั่นสะเทือนเพราะก้อนอุกกาบาตกำลังสั่นไหว...
ภายในอุกกาบาต...
ตัวต่อประกอบร่างกลับเป็นอิงศรอีกครั้ง
ที่นั่นเป็นห้องคับแคบที่มีพื้นที่พอแค่ให้พลิกตัวไปพร้อมกับฟันเฟืองที่ติดอยู่บนหลัง
ผนังห้องทั้งสี่ด้านรวมถึงด้านบนกับด้านล่างทำจากวัสดุโปร่งใสเหมือนกระจก
เมื่อมองทะลุผนังออกไปก็จะเห็นแต่ฟันเฟืองสีเหลืองทองคำ
จำนวนนับไม่ถ้วนเรียงตัวกันเป็นระบบกลไก
เรียกได้ว่าหากมีฟันเฟืองตัวใดตัวหนึ่งหมุนขึ้นมาล่ะก็ฟันเฟืองทั้งหมดก็จะถูกดึงให้หมุนตามไปด้วย
ที่ผนังห้องด้านหลังมีช่องถูกแกะเอาไว้
รูปร่างและขนาดของมันเข้ากันได้กับฟันเฟืองบนหลังพอดิบพอดีอีกทั้งขอบของช่องก็เชื่อมเข้ากับฟันเฟืองที่อยู่ด้านนอก
อิงศรถอยหลังเพื่อให้ฟันเฟืองสอดลงในช่อง
ทันทีที่เฟืองสวมเข้าไปก็เกิดเสียงดังกริ๊ก
ฟันเฟืองได้ถูกเชื่อมเข้ากับซี่ของเฟืองที่อยู่ข้างนอก
...ฟันเฟืองบนหลังเริ่มหมุน
แล้วฟันเฟืองข้างนอกก็ทยอยหมุนตามไปทีละตัวๆ
จนกระทั่งฟันเฟืองทั้งหมดพากันหมุน...
ห้องทั้งห้องสั่นไหวไปมา
อะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว...
อะไรบางอย่างนั้นถูกควบคุมจากฟันเฟือง..
จากห้องแห่งนี้...
ที่ด้านนอก
อุกกาบาตกำลังสั่นไหวแผ่นดินเองก็สั่นสะเทือนไม่ว่าจะมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาวก็พากันหยุดมือจากสิ่งที่ทำ
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่อุกกาบาต
ผิวหินของอุกกาบาตทยอยเปลี่ยนเป็นโปร่งใสแล้วสลายตัวเป็นอนุภาคแสง...เผยโฉมสิ่งที่หลับใหลอยู่ภายใน
และแล้ว...
ส่วนศีรษะที่เหมือนกับม้าก็ปรากฏออกมาจากนั้นก็เป็นส่วนลำตัว
สิ่งที่อยู่ในอุกกาบาตคือวัตถุรูปร่างม้าที่ทำขึ้นจากวัสดุมันวาวคล้ายกับอลูมิเนียมหรือของที่ใกล้เคียงกัน
อยู่ในท่านั่งพับขา เก็บลำคอ คางชิดหน้าอก มีส่วนที่เป็นดวงตาคล้ายกับหลอดไฟที่ไม่ได้เปิด
เมื่อผิวอุกกาบาตหลุดลอกออกไปจนหมดส่วนที่คล้ายกับรถลากเทียมเข้ากับตัวม้าก็ปรากฏให้เห็น
เป็นรถลากที่สร้างขึ้นจากวัสดุเดียวกัน
มีชิ้นส่วนที่เป็นแง่งยื่นออกไปทางด้านข้างคล้ายกับคันธนู
จู่ๆ
ดวงตาก็เรืองแสงเป็นกลายสีแดงเหมือนไฟสัญญาณจราจร
ม้ายักษ์ลุกขึ้นยืน
แค่การขยับตัวเพียงน้อยนิดก็ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาได้
สัดส่วนในตอนที่ยืนขึ้นนั้น
กะคร่าวๆ
ด้วยสายตาจากส่วนหัวถึงปลายของรถลากแล้วยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตรส่วนสูงจากหัวถึงกีบเท้าหน้าประมาณครึ่งหนึ่งของความยาวทั้งตัวได้
ด้วยขนาดที่อลังการเช่นนี้จึงหยุดสนามรบของมนุษย์กับมนุษย์ต่างดาวให้หยุดนิ่งได้ราวกับต้องมนต์สะกด
ทั้งที่ระยะห่างจากตัวม้าถึงสนามรบก็มีช่วงความยาวที่มากแท้ๆ
แต่จากมุมมองของมีนากลับมองเห็นม้าอยู่ใกล้แค่เอื้อม
ขนาดของมันใหญ่ล้นฟ้าถึงเพียงนั้น ยิ่งตอนที่ยืนขึ้นแล้วความสูงแทบจะเทียมเมฆอาคารสูงระฟ้ากลายเป็นแค่ของเด็กเล่นไปเลยถ้าเทียบกับมันแล้ว
แถมยังรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่ล้นออกมาทั้งหนักอึ้งทั้งชวนอึดอัดราวกับจะถูกบดขยี้ในพริบตา
มีนารู้สึกแข้งขาอ่อนแรงลงจนแทบทรุดคงเป็นเพราะพลังกดดันของม้าตัวนั้น
รู้สึกได้ว่าร่างกายกำลังสั่น รู้สึกถึงความกลัวกำลังกลั่นออกมาจากทั่วทั้งร่าง
ถึงจะพยายามคิดว่าที่อยู่ข้างในนั้นคืออิงศรก็ตามมีความเป็นไปได้ที่ม้าจะไม่ใช่ศัตรู...
แต่ทว่า...
เสียงของอิงศรก็ดังมาจากม้าตัวนั้น
"วัชพืช..."
เป็นคำพูดที่จับใจความอะไรแทบไม่ได้
เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังยืมเสียงของอิงศรพูดอยู่มากกว่า
ตอนนั้นเองพวกจ่าฝูงสัตว์เทวะที่เข้าไปในค่ายแล้วก็กุลีกุจอย้อนกลับออกมาจนเป็นที่น่าฉงน
พวกมันเดินย่ำไปทั่วโดยไม่สนว่าจะเป็นมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาว
ได้ยินคำพูดสนทนาระหว่างสัตว์เทวะหงส์กับเต่าแว่วมาด้วยตอนที่มันเคลื่อนที่ผ่านหน้าไป
"อาวุธของพระเจ้าตื่นแล้ว"
"พวกมนุษย์มันปล่อยให้ความโลภไปปลุกอาวุธของพระเจ้า"
'อาวุธของพระเจ้า' คือใจความที่จับมาได้
สิ่งนั้นมีอำนาจมากถึงขนาดทำให้จ่าฝูงสัตว์เทวะต้องย้อนกลับมาเพื่อผลประโยชน์บางอย่างเลยเชียวหรือ
แล้ว 'อาวุธของพระเจ้า'
ก็คือม้าตัวนี้อย่างนั้น?
ไม่มีเวลาให้คิดนานนักเพราะสัตว์เทวะที่วกกลับมาเริ่มอาละวาดโดยไม่เลือกเป้าโจมตีพวกมันโจมตีทั้งมนุษย์และมนุษย์ต่างดาวจนสนามรบวุ่นวายไปหมด
ระหว่างนั้นเมษาที่ยืนอยู่ข้างๆ
ก็เข้ามาจูงมือแล้วพาวิ่งย้อนกลับเข้าไปในค่าย
"อย่ามัวแต่เหม่อสิอยากถูกเหยียบหรือไง"
พอพูดมาอย่างนั้นเท้าของเต่าก็ลอยข้ามหัวเธอไปแล้วเหยียบลงตรงจุดที่ยืนอยู่เมื่อครู่
มีนาพูด
"แต่ว่า...อิงศร"
พูดทั้งที่รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาห่วงคนอื่น
แต่การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์อันรวดเร็วของสนามรบก็ทำให้ปรับอารมณ์ตามไม่ทันจนเกิดความสับสน
เมษาตอบกลับมาว่า
"เออๆ รู้แล้วๆ
ห่วงหมอนั่นเหมือนกันแหละน่าแต่ตอนนี้เอาตัวพวกเราให้รอดก่อนเถอะ"
จากนั้นพวกเขารวมทั้งกวินทร์กับนรินทร์ก็วิ่งมาสมทบกับกลุ่มของพันโทข้าวหลามที่ตั้งมั่นอยู่หน้าประตูค่าย
"พวกนายยังสู้ไหวใช่ไหม"
พันโทถามขณะเดียวกันก็ใช้ปืนยิงสกัดพวกมนุษย์ต่างดาวที่ไล่ตามมาให้
"ครับ/ค่ะ"
ทั้งสี่คนตอบแล้วเริ่มตั้งขบวนรบใหม่อีกครั้งโดยตกลงกันว่าจะให้มีนาเป็นผู้สั่งการแทนอิงศรที่ไม่อยู่
“คุณนรินทร์คะวิเคราะห์เจ้ายักษ์นั่นได้รึเปล่า”
มีนาถาม
“ก่อนหน้านี้แว่นมันหลุดไปน่ะต้องรออีกหน่อยกว่าเดม่อนแอพจะฟื้นฟูเสร็จ”
“เข้าใจแล้วค่ะถ้างั้นเราจะตั้งรับอยู่ที่นี่คอยดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยไปช่วยคุณอิงศร”
มีนาแสดงความตั้งใจที่จะช่วยอิงศรอย่างไม่ลดละ
แต่แล้วกวินทร์ก็ถามขึ้นมาว่า
“พี่ศร...ยังไม่ตายใช่ไหมครับ”
เด็กหนุ่มแสดงอาการลังเลออกมา
คงเพราะยังสับสนกับสถานการณ์จึงเกิดความลังเลขึ้นมาว่าตอนนี้ควรจะทำตัวอย่างไร
ควรจะเลือกทางไหน
“อื้อจะต้องยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ
ฉันเชื่ออย่างนั้นค่ะทุกคนก็คิดว่างั้นใช่ไหมล่ะ”
มีนาพูดแล้วหันไปขอความเห็นกับอีกสองคน
เมษาและนรินทร์ต่างก็พยักหน้าแล้วตอบรับคำพูดนั้น
“อื้อ”
“อื้อ”
พอเห็นแบบนั้นแล้วสีหน้าของกวินทร์ก็ไม่มีความลังเลเหลืออยู่อีก
“นั่นสิครับพี่ศรน่ะไม่ตายง่ายๆ หรอก”
เหล่าเด็กหนุ่มสาวต่างย้ำเตือนตัวเองถึงความหวังอันน้อยนิด...
ตอนนี้สนามรบแบ่งออกเป็นสองฝั่ง
มนุษย์ออกันอยู่หน้าประตูวิทยาลัยกำลังประมือกับสัตว์เทวะส่วนมนุษย์ต่างดาวก็ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะการอาละวาดของสัตว์เทวะกับคำสั่งของโซเดียมที่ให้ทัพฝ่ายตนถอยออกมา
โซเดียมมองไปที่ร่างของม้าซึ่งยังไม่เคลื่อนไหวหลังปรากฏตัวจากอุกกาบาต
"ไม่รู้หรอกนะว่าคืออะไรแต่จัดการมันก่อนน่าจะดีกว่า"
คิดแบบนั้นแล้วจึงออกคำสั่ง
"จัดการเจ้ายักษ์นี่ซะระหว่างที่พวกชาวโลกยังสู้กับสัตว์เทวะอยู่"
ด้วยคำสั่งของโซเดียมทัพมนุษย์ต่างดาวจึงเริ่มการโจมตี
พลังเหนือมนุษย์อันแสนร้ายกาจของมนุษย์ต่างดาวประเคนส่งไปยังม้ายักษ์
ทั้งลำแสง ทั้งอาวุธบิน ทั้งคลื่นพลัง
การจู่โจมทุกรูปแบบเท่าที่จะมีได้ถูกใช้ขึ้นพร้อมกัน
การโจมตีทั้งหมดเข้าปะทะแล้วเกิดระเบิดรุนแรงจนควันจากการระเบิดลอยโขมงบดบังทุกอย่างในรัศมีนั้น
แต่เสียงของอิงศรกลับดังออกมาจากกลุ่มควัน
“เหล่าวัชพืชเอ๋ย...”
จากนั้นแผ่นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและหยุดลง
แล้วก็สั่นขึ้นมาอีกแล้วก็หยุดไปอีก
การสั่นสะเทือนสลับไปมานั้นเหมือนกับจังหวะย่างเท้าบางทีม้าอาจจะกำลังเคลื่อนที่เข้ามา
ตอนนั้นเองอาคารสูงที่อยู่ใกล้กับบริเวณนั้นก็เกิดเอนตัวเหมือนถูกเบียดจนกระทั่งถล่มลง
ใบหน้าของม้าโผล่ออกมาจากกลุ่มควัน
“โทษทัณฑ์ของการมาบุกรุกสวนอันศักดิ์สิทธิ์จะต้องถูกถอนรากถอนโคน!”
เสียงของอิงศรคำรามดังกึกก้องปานฟ้าร้อง
ทันใดนั้นดวงตาของม้าที่เปล่งประกายแสงสีแดงก็ยิ่งทวีความเจิดจ้าจนดูราวกับมีเปลวไฟลุกออกมาจากดวงตา
“ดูเหมือนฉันต้องลงมือเองสินะ”
โซเดียมเริ่มควงไม้เท้าแล้วเปลวไฟก็ลุกพรึ่บขึ้นที่ส่วนหัวกับปลายไม้เท้า
เปลวไฟถูกเหวี่ยงควงจนกลายเป็นวงล้อเพลิง
จากนั้นก็หมุนตัวหนึ่งรอบเกิดวงเวทที่วาดขึ้นจากไฟจำนวนเจ็ดวงล้อมรอบจุดที่ยืน
“มหาอัคคีราโอ (MahaAkkhielao)”
โซเดียมร่ายสกิลแล้วสะบัดไม้เท้าที่ควงอยู่ออกเป็นการสั่งให้เวททำงาน
วงเวทไฟทั้งเจ็ดวงระเบิดพร้อมกันและได้ยิงลำแสงพระเพลิงออกไปด้วย
ลำแสงเพลิงที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงเป็นสกิลโจมตีสายไฟขั้นสูงสุง
การโจมตีระดับนั้นถูกใช้โดยผู้เชี่ยวชาญเวทเพลิงและยังเป็นถึงราชครูมนุษย์ต่างดาวที่มีเลเวลถึง
144 ซึ่งเป็นเลเวลสูงที่สุด
ดังนั้นการโจมตีนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดปรมาณูที่สามารถกวาดล้างทุกอย่างให้หายไปในพริบตาได้
แต่ลำแสงเพลิงทั้งเจ็ดลำก็มอดดับลงกลางอากาศโดยที่ยังเข้าไม่ถึงตัวของม้า
“บ้าน่ะ! เป็นไปได้ยังไง”
โซเดียมคำราม
เพราะรู้ดีว่าลำพระเพลิงไม่ได้มอดดับไปเอง...
แต่เพราะอนุภาคที่เกิดจากอุกกบาตตอนที่สลายตัวแล้วก็ล่องลอยอยู่รอบตัวม้ามาตลอดพอลำแสงเพลิงกระทบเข้ากับมันแล้วก็สลายไปทันที
เสียงของอิงศรดังออกมาจากม้า...
“โซเดียลาโอ (Zodialao)”
ทันใดนั้นเอง ดวงตาของม้าที่ลุกวาวอยู่แล้วก็ยิ่งเปล่งแสงเจิดจ้าแล้วแสงก็รวมกันยิงออกไปเป็นลำโดยเล็งตรงไปที่โซเดียม
ราชครูหญิงรีบร่ายสกิลป้องกันตัวทันใด
“เอเลเมนท์วอลล์ (Element Wall)”
บาเรียแสงจำนวนห้าอันห้าสีปรากฏขึ้นขวางระหว่างตัวของโซเดียมกับลำแสงที่ม้ายิงมา
มันคือกำแพงอาคมที่มีคุณสมบัติต้านทานทั้งห้าธาตุ ดิน น้ำ ไม้ ไฟ ทอง
อย่างสมบูรณ์แบบและยังป้องกันการโจมตีอื่นๆ
ได้อย่างแน่นหนาชนิดที่ว่าไม่มีทางจะพังทลายลงในการโจมตีครั้งเดียว แต่ทว่า...
ลำแสงกลับทะลวงผ่านบาเรียทั้งหมดอย่างง่ายดายแล้วปะทะเข้ากับร่างของโซเดียม
ทะลวงผ่านร่างนั้นไปพร้อมกับช่วงชิงชีวิตมา
Sodium Lv. 144
[.....0:49500.....]
แถบพลังชีวิตกลายเป็นว่างเปล่าในพริบตาร่างของโซเดียมสูญสลายไปในลำแสงนั้น
ลำแสงยังคงแล่นต่อไปถึงตกกระทบลงบนพื้นแต่ก็ยังลากต่อไปข้างหน้า
ลากผ่านฝูงมนุษย์ต่างดาวแล้วช่วงชิงชีวิตไปมากมาย
แถบพลังชีวิตของมนุษย์ต่างดาวจำนวนมากที่ซ้อนทับกันจนราวกับทุ่งดอกไม้สีแดงทยอยร่วงลับเหมือนถูกสายลมเด็ดออก
ลำแสงยังคงมุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ
ลากผ่านกองทัพของมนุษย์แล้วทำให้ร่วงโรยเหมือนกลีบดอกไม้
ลากผ่านสัตว์เทวะจ่าฝูงทั้งสองตัวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่เพราะมาขวางเส้นทางยิงจึงถูกกำจัดไปพร้อมกัน
Crimson Feather
Heraldic Beast Deity: Crimson
Feather Lv. 50
[.....0:59000…..]
Heraldic Beast Deity: Dusk Shell
Lv. 50
[…..0:60000…..]
ลากผ่านพวกมีนาไปแบบฉิวเฉียดแล้วแล่นเข้าไปในวิทยาลัยและยังลงลากต่อไปอีกระยะหนึ่งก่อนจะระเบิดออก
แผ่นดินสั่นสะเทือนอีก
เสียงระเบิดดังกัมปนาท
แรงระเบิดผ่าทิวทัศน์ออกเป็นสองส่วน
หลังจากการระเบิดสงบลงพื้นที่วิทยาลัยก็ตกอยู่ในสภาพถูกแบ่งครึ่ง…
อาคารที่อยู่ในวิถีของลำแสงและตกเป็นเหยื่อของแรงระเบิดที่เกิดตามมาถูกบดขยี้เละเป็นผงป่นปี้ไปหมดทุกอย่าง
สนามรบพังพินาศ...
ด้วยการโจมตีแค่ครั้งเดียวก็ปลิดชีพทุกเผ่าพันธุ์ไปมากมายไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาวแม้แต่สัตว์เทวะก็ไม่ได้รับการยกเว้นทั้งหมดกลายเป็น
‘ศูนย์’
เลขศูนย์ของพลังชีวิตผลิบานไปทั่วทั้งสนามรบ
ฉากที่ลำแสงมฤตยูนั่นสรรสร้างขึ้นมาไม่ใช่ภาพสรุปหลังสงครามแต่เป็นภาพของวันสิ้นโลก...เป็นการกวาดล้างอย่างสมบูรณ์แบบจนหาที่ติไม่ได้
"วัชพืชอันเน่าเหม็นจะต้องถอนรากถอนโคนให้กลับคืนสู่ความว่างเปล่า"
เสียงของอิงศรพูดทิ้งท้ายไว้เช่นนั้น...
หลังจากช่วงเวลาแห่งการนิ่งเงียบผ่านพ้นไปความโกลาหลก็เข้าปกคลุมทุกสิ่งอย่าง
ไม่ว่าจะมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาวก็แทบไม่แตกต่างกัน การตอบสนองในเวลานี้มีแต่
คำถาม, เสียงกรีดร้องอย่างเสียสติ,
คำพูดก่นด่า, เสียงกรีดร้องและร่ำไห้
พันโทข้าวหลามรอดชีวิตมาได้หวุดหวิดทั้งที่อยู่ในเส้นทางลำแสงเพราะลูกน้องคนหนึ่งผลักเขาออกมาก่อนแล้วก็โดนลำแสงนั่นพรากชีวิตไป
เขารู้สึกเจ็บอย่างรุนแรงที่หัวไหล่ข้างซ้าย
บางทีไหล่อาจจะหลุดตอนที่ล้มเพราะถูกผลัก
แต่ไม่มีเวลามามัวเสียใจหรือร้องครางโอดโอยอีกแล้ว
ข้าวหลามพยายามฝืนตัวเองลุกขึ้นยืน
รอบตัวก็มีแต่คนตายห้อมล้อมเต็มไปหมดหาคนรอดชีวิตแทบไม่ได้ จากนั้นจึงเบี่ยงสายตามองเข้าไปในวิทยาลัยที่พังพินาศแทน อาคารศูนย์บัญชาการถูกเป่ากระเด็นไปแล้ว...
สิงห์ที่อยู่ที่นั่นกับพวกคนที่ศูนย์บัญชาการคงตายหมด
ตายแบบไม่รู้ตัวเลยเพราะว่าไม่มีสัญญาณติดต่อมาหาในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น
“บ้าเอ้ย...นี่พวกเราต้องมาจบสิ้นเพราะม้าที่นายเก็บมางั้นเรอะสิงห์”
ข้าวหลามพึมพำแล้วหันไปยังทิศที่ม้ายักษ์ยืนอยู่
ม้ายังคงเคลื่อนที่
มันก้าวเท้าแล้วแผ่นดินก็สั่นสะเทือนแล้วก็ก้าวอีก
ใครหลบไม่ทันก็จะถูกเหยียบตายไปทั้งอย่างนั้น
แล้วตอนนั้นเอง...
ระหว่างย่างก้าวหนึ่งของม้านั่นเอง
ในบรรดาฝูงมนุษย์ต่างดาวที่พากันหนีจากกีบเท้ายักษ์ที่กำลังจะเหยียบลงบนพื้นมีตนหนึ่งที่ไม่หนีแต่กลับยืนเผชิญหน้า
พันโทข้าวหลามจำได้ว่านั่นคือมนุษย์ต่างดาวที่อิงศรบอกว่าเป็นน้องชาย
น้องชายของอิงศรตะโกนใส่ม้าไปว่า
“ศร หยุดเถอะ
อย่าอาละวาดไปมากกว่านี้เลย”
แต่กีบเท้าไม่ฟังคำพูดนั้นแล้วทุ่มลงมาบดขยี้ร่างที่โง่เขลา
ความคิดเห็น