ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #49 : Login 47: เหล่าวัชพืชในสวนศักดิ์สิทธิ์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 996
      52
      31 ธ.ค. 59

    Login 47: เหล่าวัชพืชในสวนศักดิ์สิทธิ์

     

                ประตูวิทยาลัยทิศเหนือ

                ทัพหนุนที่มาจากประตูทิศใต้เริ่มเฮโลกันออกมาบางส่วนยังคงต่อต้านจ่าฝูงสัตว์เทวะที่เข้าไปข้างในแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็พากันออกมาด้านนอกเพื่อต่อสู้กับฝูงมนุษย์ต่างดาว

                มนุษย์ทุกคนตรงนั้นมีอาวุธติดตั้งแอพพลิเคชั่นปีศาจจึงต่อกรกับชั้นศิษย์ที่มีเลเวลสูงถึง 60 ได้

                ในทางทฤษฎีทัพของเมตไตรยมีจำนวนคนมากกว่าและอาจได้รับชัยชนะแต่ตัวแปรสำคัญคือมนุษย์ต่างดาวชั้นราชครูที่มีพลังขนาดทำลายกองทัพย่อยๆ ให้หายไปได้ในพริบตา ดังนั้นสงครามครั้งนี้มนุษย์คงจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

                มนุษย์ฆ่ามนุษย์ต่างดาวแล้วก็ถูกฆ่ากลับ

                มนุษย์ต่าวดาวฆ่ามนุษย์แล้วก็ถูกมนุษย์รุมฆ่าเอาคืน

                สนามรบดำเนินไปอย่างบ้าคลั่ง

                ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายนั้น

                อิงศรซึ่งตายไปแล้วยังคงสัมผัสมันได้

                ถึงพลังชีวิตจะหมดลงไปแต่ประสาทสัมผัสอื่นๆ ก็ยังอยู่ครบ

                ยังคงได้ยินเสียง ยังคงได้กลิ่น ยังคงรับรู้รสของเลือดที่ไหลซึมอยู่ในปาก

                .....แต่กลับขยับตัวไม่ได้

                นี่คือความตายอย่างนั้นหรือ

                คือการที่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากมองดูเหล่าพวกพ้องถูกทำลายลงไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ

                คือโทษทัณฑ์จากบาปกรรมที่ไปลบหลู่เทพเจ้าอย่างที่จ่าฝูงสัตว์เทวะได้บอกเอาไว้อย่างนั้นหรือ

                มนุษย์ต่างดาวพากันเดินข้ามซากศพของเขาไปโดยที่ไม่มีตนใดใส่ใจหรือแยแส ต่อให้ถูกเหยียบก็ไม่สามารถร้องหรือตอบโต้อะไรได้

                มีนา เมษา กวินทร์ นรินทร์ และพันโทข้าวหลามได้รับการช่วยเหลือจากทัพหนุนและถูกปลดปล่อยจากเงื้อมือของมนุษย์ต่างดาว แต่สถานการณ์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี

                กลุ่มของเมตไตรยเริ่มถอยเข้าไปในแนวของค่ายเพราะไม่อาจตีโต้กับฝูงมนุษย์ต่างดาวจำนวนขนาดนี้ได้ หนำซ้ำเพราะการปะทะกับสัตว์เทวะก่อนหน้านี้ทำให้กำลังพลลดลงไปเกินครึ่ง ย่อมไม่อาจขัดขืนต่อชะตากรรมที่จะต้องแตกพ่าย

                อิงศรได้แต่หวังให้พวกพ้องเลิกอาลัยอาวรณ์ตนที่ทำตัวงี่เง่าจนถูกฆ่า แล้วรีบหนีเอาตัวรอดไปเสีย เพราะทุกอย่างมันได้จบลงไปแล้ว ต่อให้เขาจะยังมีชีวิตอยู่ก็ตามแต่หากถูกกองทัพมนุษย์ต่างดาวที่นำโดยชั้นราชครูถึงสองตนบุกโจมตีใส่แล้วล่ะก็

                ในสถานการณ์เช่นนี้มนุษย์ก็มีแต่ต้องหนีอย่างเดียว

                แถมยังช่วยมิ่งขวัญไม่สำเร็จอีกตัวเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่งมันจบลงแล้ว

                จบอย่างเศษสวะน่าสมเพชที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากอวดดีทำตัวลังเลว่าจะช่วยพวกพ้องหรือน้องชายถึงสองครั้งสองคราแล้วก็ตายไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย

                แต่ทว่าทั้ง เมษา กวินทร์ มีนา นรินทร์ทั้งสี่คนไม่ได้หนีไปกับกองทัพที่กำลังถอยเข้าไปในค่ายแต่ยังคงต่อสู้กับพวกมนุษย์ต่างดาว

                เพราะยังอาลัยอาวรณ์ในตัวเขาอยู่อย่างนั้นหรือ?

                ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น...ไม่ใช่เหตุผลที่โลกสวยขนาดนั้น

                ทั้งสี่คนนั่นถอยไม่ได้ต่างหาก

                เพราะความบอบช้ำจากการต่อสู้ที่ผ่านมาทำให้เจ้าพวกนั้นอ่อนแรงกันไปหมดและคงจะไม่ทันสังเกตุแนวรบที่กำลังถอยร่นจึงตามไปกับคนอื่นไม่ทันและติดแหงกอยู่กลางดงศัตรู ยิ่งมาเสียคนที่เป็นหัวหน้าคอยสั่งการอย่างเขาไปด้วยก็ไม่แปลกที่จะตามความเคลื่อนไหวของกองทัพไม่ทัน

                เพราะเหตุนั้นจึงตัดสินใจผิดพลาด...

                เดินทางผิดพลาด...

                สรุปแล้วเพราะความอ่อนหัดของเขาเลยลากพวกพ้องมาตายตามไปอีก

                'นี่มันก็ขุมนรกดีๆ นี่เอง' หากยังออกเสียงได้เขาคงจะสบถออกไปเช่นนั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วตอนนี้ทั้งสี่คนนั่นถูกทำให้ยอมจำนนด้วยกำลังที่เหนือกว่าและกำลังจะถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา ตัวเขาในตอนนี้แค่จะเบือนหน้าหนีจากภาพอันโหดร้ายหรือจะหลั่งน้ำตาก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ

               

                วิ้ง---

                มีเสียงวิ้งยาวๆ ดังขึ้นมาในหัวจากนั้นก็รู้สึกเหมือนที่กระดูกสันหลังกำลังมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวขยุกขยิกอย่างน่ารังเกียจ

                อะไรบางอย่างนั้นกำลังดันเสื้อ มันพยายามจะแหวกผิวหนังออกมาจนทำให้เกิดความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง

                "อ๊าก!!!"

                อิงศรกรีดร้อง...

                ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทำไม่ได้เลยซักอย่างแต่ตอนนี้กลับกรีดร้อง

                ทว่าความเจ็บปวดก็ทำให้ลืมทุกอย่างไปเช่นกันใจของอิงศรกำลังจดจ่อต่อความเจ็บปวดอันแปลกพิลึกที่กำลังทรมานตนเองอยู่

                ทุกอย่างถูกย้อมเป็นสีแดงรู้สึกได้ว่าน้ำตากำลังหลั่งออกจากดวงตา แต่หยดน้ำตากลับไม่ได้ใสอย่างที่คิด หยดน้ำตาของเขาเป็นสีแดงก่ำ...เลือดกำลังหลั่งจากดวงตา

                ไม่เพียงเท่านั้นเจ้าสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวขยุกขยิกอยู่ที่หลังได้ขยายใหญ่ขึ้นและนำพาความเจ็บปวดมาเพิ่มเป็นเท่าทวี

                อิงศรยังคงกรีดร้องต่อไป เสียงกรีดร้องดังไปทั้งสนามรบจนทั้งมนุษย์และมนุษย์ต่างดาวพากันหันเหความสนใจมาที่เขา ในขณะเดียวกันเจ้าสิ่งปริศนาที่อยู่บนหลังก็ได้พูนตัวปูดทะลุเสื้อด้านหลังจนฉีกขาด

                สติของอิงศรหลุดลอยออกไปในตอนนั้น...

                สิ่งปริศนาที่ปรากฏออกมานั้นเชื่อมต่อกับกระดูกสันหลังของเด็กหนุ่ม เป็นกระดูกที่มีรูปร่างเหมือนกับฟันเฟือง

                ฟันเฟืองกระดูกเริ่มหมุนกวัดแกว่งอย่างนุ่มนวลเสียงเสียดสีที่เกิดจากการหมุนดังเอี๊ยดอ๊าดราวกับจะป่าวประกาศถึงการตื่นขึ้นของอะไรบางอย่าง

                "ว...วัชพืช"

                เด็กหนุ่มพึมพำออกมาอย่างนั้น

                ตูม!

                เสียงระเบิดดังขึ้นมาจากนั้นร่างของมนุษย์ต่างดาวหลายตนก็กระดอนขึ้นไปในอากาศก่อนจะร่วงหล่นลงมาราวกับเม็ดฝนโปรยปราย

                สายตาของทุกคนหันเหไปยังจุดที่เกิดระเบิด

                พวกที่กระดอนขึ้นไปเพราะแรงระเบิดไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ หลังจากลงพื้นแล้วก็ลุกขึ้นมาจับอาวุธเตรียมต่อสู้กับตัวการที่ส่งพวกตนกระเด็นออกมา

                "อะไรกันน่ะ"

                มีนาพยายามเพ่งสายตามอง

                ณ ศูนย์กลางของความวุ่นวายนั่นเธอเห็นคนๆ หนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางมนุษย์ต่างดาว

                คนๆ นั้นคืออิงศรที่น่าจะตายไปแล้วกระทั่งตอนนี้แถบแสดงพลังชีวิตของเขาก็ยังว่างเปล่าแต่กลับยืนขึ้นมาทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

                "คุณอิงศร..."

                พริบตาหนึ่ง มีนายิ้มเผยอด้วยความยินดีที่เห็นอิงศรยังมีชีวิตอยู่ แต่รอยยิ้มนั่นไม่ทันไรก็เลือนหาย

                ...แล้วกลายเป็นความตกตะลึงงึนงันแทนรวมไปถึงมิ่งขวัญด้วย

                "ศร..."

                มิ่งขวัญซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เกิดเรื่องนักมองเห็นพี่ชายลุกขึ้นมา

                เหตุใดอิงศรที่ล้มตายไปแล้วถึงกลับฟื้นขึ้นมา?

                สิ่งที่อาจจะตอบโจทย์ข้อนี้ได้คงจะเป็นนัยน์ตาที่กลายเป็นสีแดงก่ำดั่งเลือดและฟันเฟืองอันเขื่องที่มีสีขาวซีดราวกับกระดูกกำลังหมุดพัดกวัดแกว่งอยู่ด้านหลังของเด็กหนุ่ม

                อิงศรเริ่มพูด...

                "วัชพืชที่รุกล้ำสวนอันศักดิ์สิทธิ์..." แล้วเปลี่ยนเป็นตะหวาดในทันที

                "จะต้องถอนรากถอนโคนให้สิ้น!!"

                พร้อมกับฟันเฟืองที่ด้านหลังก็เพิ่มรอบการหมุนให้รวดเร็วยิ่งยวดขึ้นไปอีก

                คำพูดเมื่อครู่ สร้างความตื่นตะลึงให้กับพวกพ้องแต่สำหรับมนุษย์ต่างดาวนั่นก็แค่ลมปากของมนุษย์ที่หมดทางสู้

                "ยังไม่ยอมตายอีกงั้นรึ"

                โซเดียมซึ่งยืนสั่งการอยู่ทางด้านหลังของจุดที่เกิดเรื่องพูดพลางจิกปากไปด้วย

                "ฮึ่ม จะว่าไปตอนนั้นก็เหมือนกันนี่..."

                หล่อนพึมพำและนึกถึงเรื่องที่เคยฆ่าอิงศรไปในคืนวันที่เผาโรงเรียนฆ่าพวกเด็กๆ ของอารย-สนธยา ตอนนั้นอิงศรก็ถูกฆ่าแต่ก็ยังรอดกลับมาจนต้องฆ่าซ้ำอีกแล้วก็ฟื้นขึ้นมาอีก

                "ชิ ยุ่งยากจริงนะสมแล้วที่เป็นของที่ยัยรูบิเดียมสนใจนักหนา"

                โซเดียมเดาะลิ้นก่อนจะออกคำสั่งให้จัดการกับอิงศรที่ฟื้นขึ้นมา

                "จัดการมันซะคราวนี้ซากก็อย่าให้เหลือเชียวล่ะ"

                บรรดามนุษย์ต่างดาวชั้นศิษย์ตะโกนขานรับด้วยเสียงอันดังกึกก้อง

                แล้วเฮโลกันเข้าไปประเคนอาวุธใส่อิงศรที่อยู่ตรงใจกลาง แต่ ทว่า...

                ร่างของเด็กหนุ่มกลับเปลี่ยนเป็นโปรงใส อาวุธที่ประเคนเข้ามาต่างก็ทะลุผ่านร่างไปทั้งหมด

                จากนั้นร่างโปรงใสของอิงศรก็สลายตัวออกเป็นชิ้นๆ คล้ายกับตัวต่อของเล่นแล้วลอยออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่ก้อนอุกกาบาตซึ่งตกลงมาในวันสิ้นโลกตั้งอยู่

                ชิ้นส่วนอิงศรจมหายเข้าไปในผิวของอุกกาบาต

                ทันใดนั้นแผ่นดินก็สั่นสะเทือนเพราะก้อนอุกกาบาตกำลังสั่นไหว...

     

                ภายในอุกกาบาต...

                ตัวต่อประกอบร่างกลับเป็นอิงศรอีกครั้ง

                ที่นั่นเป็นห้องคับแคบที่มีพื้นที่พอแค่ให้พลิกตัวไปพร้อมกับฟันเฟืองที่ติดอยู่บนหลัง

                ผนังห้องทั้งสี่ด้านรวมถึงด้านบนกับด้านล่างทำจากวัสดุโปร่งใสเหมือนกระจก เมื่อมองทะลุผนังออกไปก็จะเห็นแต่ฟันเฟืองสีเหลืองทองคำ จำนวนนับไม่ถ้วนเรียงตัวกันเป็นระบบกลไก เรียกได้ว่าหากมีฟันเฟืองตัวใดตัวหนึ่งหมุนขึ้นมาล่ะก็ฟันเฟืองทั้งหมดก็จะถูกดึงให้หมุนตามไปด้วย

                ที่ผนังห้องด้านหลังมีช่องถูกแกะเอาไว้

                รูปร่างและขนาดของมันเข้ากันได้กับฟันเฟืองบนหลังพอดิบพอดีอีกทั้งขอบของช่องก็เชื่อมเข้ากับฟันเฟืองที่อยู่ด้านนอก

                อิงศรถอยหลังเพื่อให้ฟันเฟืองสอดลงในช่อง ทันทีที่เฟืองสวมเข้าไปก็เกิดเสียงดังกริ๊ก

                ฟันเฟืองได้ถูกเชื่อมเข้ากับซี่ของเฟืองที่อยู่ข้างนอก

                ...ฟันเฟืองบนหลังเริ่มหมุน

                แล้วฟันเฟืองข้างนอกก็ทยอยหมุนตามไปทีละตัวๆ

                จนกระทั่งฟันเฟืองทั้งหมดพากันหมุน...

                ห้องทั้งห้องสั่นไหวไปมา

                อะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว...

                อะไรบางอย่างนั้นถูกควบคุมจากฟันเฟือง..

                จากห้องแห่งนี้...

     

                ที่ด้านนอก

                อุกกาบาตกำลังสั่นไหวแผ่นดินเองก็สั่นสะเทือนไม่ว่าจะมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาวก็พากันหยุดมือจากสิ่งที่ทำ สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่อุกกาบาต

                ผิวหินของอุกกาบาตทยอยเปลี่ยนเป็นโปร่งใสแล้วสลายตัวเป็นอนุภาคแสง...เผยโฉมสิ่งที่หลับใหลอยู่ภายใน

                และแล้ว...

                ส่วนศีรษะที่เหมือนกับม้าก็ปรากฏออกมาจากนั้นก็เป็นส่วนลำตัว สิ่งที่อยู่ในอุกกาบาตคือวัตถุรูปร่างม้าที่ทำขึ้นจากวัสดุมันวาวคล้ายกับอลูมิเนียมหรือของที่ใกล้เคียงกัน อยู่ในท่านั่งพับขา เก็บลำคอ คางชิดหน้าอก มีส่วนที่เป็นดวงตาคล้ายกับหลอดไฟที่ไม่ได้เปิด

                เมื่อผิวอุกกาบาตหลุดลอกออกไปจนหมดส่วนที่คล้ายกับรถลากเทียมเข้ากับตัวม้าก็ปรากฏให้เห็น เป็นรถลากที่สร้างขึ้นจากวัสดุเดียวกัน มีชิ้นส่วนที่เป็นแง่งยื่นออกไปทางด้านข้างคล้ายกับคันธนู

                จู่ๆ ดวงตาก็เรืองแสงเป็นกลายสีแดงเหมือนไฟสัญญาณจราจร

                ม้ายักษ์ลุกขึ้นยืน

                แค่การขยับตัวเพียงน้อยนิดก็ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาได้

                สัดส่วนในตอนที่ยืนขึ้นนั้น กะคร่าวๆ ด้วยสายตาจากส่วนหัวถึงปลายของรถลากแล้วยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตรส่วนสูงจากหัวถึงกีบเท้าหน้าประมาณครึ่งหนึ่งของความยาวทั้งตัวได้

                ด้วยขนาดที่อลังการเช่นนี้จึงหยุดสนามรบของมนุษย์กับมนุษย์ต่างดาวให้หยุดนิ่งได้ราวกับต้องมนต์สะกด

                ทั้งที่ระยะห่างจากตัวม้าถึงสนามรบก็มีช่วงความยาวที่มากแท้ๆ แต่จากมุมมองของมีนากลับมองเห็นม้าอยู่ใกล้แค่เอื้อม ขนาดของมันใหญ่ล้นฟ้าถึงเพียงนั้น ยิ่งตอนที่ยืนขึ้นแล้วความสูงแทบจะเทียมเมฆอาคารสูงระฟ้ากลายเป็นแค่ของเด็กเล่นไปเลยถ้าเทียบกับมันแล้ว

                แถมยังรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่ล้นออกมาทั้งหนักอึ้งทั้งชวนอึดอัดราวกับจะถูกบดขยี้ในพริบตา

                มีนารู้สึกแข้งขาอ่อนแรงลงจนแทบทรุดคงเป็นเพราะพลังกดดันของม้าตัวนั้น รู้สึกได้ว่าร่างกายกำลังสั่น รู้สึกถึงความกลัวกำลังกลั่นออกมาจากทั่วทั้งร่าง ถึงจะพยายามคิดว่าที่อยู่ข้างในนั้นคืออิงศรก็ตามมีความเป็นไปได้ที่ม้าจะไม่ใช่ศัตรู...

                แต่ทว่า...

                เสียงของอิงศรก็ดังมาจากม้าตัวนั้น

                "วัชพืช..."

                เป็นคำพูดที่จับใจความอะไรแทบไม่ได้ เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังยืมเสียงของอิงศรพูดอยู่มากกว่า

                ตอนนั้นเองพวกจ่าฝูงสัตว์เทวะที่เข้าไปในค่ายแล้วก็กุลีกุจอย้อนกลับออกมาจนเป็นที่น่าฉงน พวกมันเดินย่ำไปทั่วโดยไม่สนว่าจะเป็นมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาว

                ได้ยินคำพูดสนทนาระหว่างสัตว์เทวะหงส์กับเต่าแว่วมาด้วยตอนที่มันเคลื่อนที่ผ่านหน้าไป

                "อาวุธของพระเจ้าตื่นแล้ว"

                "พวกมนุษย์มันปล่อยให้ความโลภไปปลุกอาวุธของพระเจ้า"

                'อาวุธของพระเจ้า' คือใจความที่จับมาได้ สิ่งนั้นมีอำนาจมากถึงขนาดทำให้จ่าฝูงสัตว์เทวะต้องย้อนกลับมาเพื่อผลประโยชน์บางอย่างเลยเชียวหรือ แล้ว 'อาวุธของพระเจ้า' ก็คือม้าตัวนี้อย่างนั้น?

                ไม่มีเวลาให้คิดนานนักเพราะสัตว์เทวะที่วกกลับมาเริ่มอาละวาดโดยไม่เลือกเป้าโจมตีพวกมันโจมตีทั้งมนุษย์และมนุษย์ต่างดาวจนสนามรบวุ่นวายไปหมด

                ระหว่างนั้นเมษาที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เข้ามาจูงมือแล้วพาวิ่งย้อนกลับเข้าไปในค่าย

                "อย่ามัวแต่เหม่อสิอยากถูกเหยียบหรือไง"

                พอพูดมาอย่างนั้นเท้าของเต่าก็ลอยข้ามหัวเธอไปแล้วเหยียบลงตรงจุดที่ยืนอยู่เมื่อครู่

                มีนาพูด

                "แต่ว่า...อิงศร"

                พูดทั้งที่รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาห่วงคนอื่น แต่การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์อันรวดเร็วของสนามรบก็ทำให้ปรับอารมณ์ตามไม่ทันจนเกิดความสับสน

                เมษาตอบกลับมาว่า

                "เออๆ รู้แล้วๆ ห่วงหมอนั่นเหมือนกันแหละน่าแต่ตอนนี้เอาตัวพวกเราให้รอดก่อนเถอะ"

                จากนั้นพวกเขารวมทั้งกวินทร์กับนรินทร์ก็วิ่งมาสมทบกับกลุ่มของพันโทข้าวหลามที่ตั้งมั่นอยู่หน้าประตูค่าย

                "พวกนายยังสู้ไหวใช่ไหม"

                พันโทถามขณะเดียวกันก็ใช้ปืนยิงสกัดพวกมนุษย์ต่างดาวที่ไล่ตามมาให้

                "ครับ/ค่ะ"

                ทั้งสี่คนตอบแล้วเริ่มตั้งขบวนรบใหม่อีกครั้งโดยตกลงกันว่าจะให้มีนาเป็นผู้สั่งการแทนอิงศรที่ไม่อยู่

                “คุณนรินทร์คะวิเคราะห์เจ้ายักษ์นั่นได้รึเปล่า

                มีนาถาม

                “ก่อนหน้านี้แว่นมันหลุดไปน่ะต้องรออีกหน่อยกว่าเดม่อนแอพจะฟื้นฟูเสร็จ

                “เข้าใจแล้วค่ะถ้างั้นเราจะตั้งรับอยู่ที่นี่คอยดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยไปช่วยคุณอิงศร

                มีนาแสดงความตั้งใจที่จะช่วยอิงศรอย่างไม่ลดละ

                แต่แล้วกวินทร์ก็ถามขึ้นมาว่า

                “พี่ศร...ยังไม่ตายใช่ไหมครับ

                เด็กหนุ่มแสดงอาการลังเลออกมา คงเพราะยังสับสนกับสถานการณ์จึงเกิดความลังเลขึ้นมาว่าตอนนี้ควรจะทำตัวอย่างไร ควรจะเลือกทางไหน

                “อื้อจะต้องยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ ฉันเชื่ออย่างนั้นค่ะทุกคนก็คิดว่างั้นใช่ไหมล่ะ

                มีนาพูดแล้วหันไปขอความเห็นกับอีกสองคน เมษาและนรินทร์ต่างก็พยักหน้าแล้วตอบรับคำพูดนั้น

                “อื้อ” “อื้อ

                พอเห็นแบบนั้นแล้วสีหน้าของกวินทร์ก็ไม่มีความลังเลเหลืออยู่อีก

                “นั่นสิครับพี่ศรน่ะไม่ตายง่ายๆ หรอก

                เหล่าเด็กหนุ่มสาวต่างย้ำเตือนตัวเองถึงความหวังอันน้อยนิด...

                ตอนนี้สนามรบแบ่งออกเป็นสองฝั่ง มนุษย์ออกันอยู่หน้าประตูวิทยาลัยกำลังประมือกับสัตว์เทวะส่วนมนุษย์ต่างดาวก็ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะการอาละวาดของสัตว์เทวะกับคำสั่งของโซเดียมที่ให้ทัพฝ่ายตนถอยออกมา

                โซเดียมมองไปที่ร่างของม้าซึ่งยังไม่เคลื่อนไหวหลังปรากฏตัวจากอุกกาบาต

                "ไม่รู้หรอกนะว่าคืออะไรแต่จัดการมันก่อนน่าจะดีกว่า"

                คิดแบบนั้นแล้วจึงออกคำสั่ง

                "จัดการเจ้ายักษ์นี่ซะระหว่างที่พวกชาวโลกยังสู้กับสัตว์เทวะอยู่"

                ด้วยคำสั่งของโซเดียมทัพมนุษย์ต่างดาวจึงเริ่มการโจมตี

                พลังเหนือมนุษย์อันแสนร้ายกาจของมนุษย์ต่างดาวประเคนส่งไปยังม้ายักษ์ ทั้งลำแสง ทั้งอาวุธบิน ทั้งคลื่นพลัง การจู่โจมทุกรูปแบบเท่าที่จะมีได้ถูกใช้ขึ้นพร้อมกัน

                การโจมตีทั้งหมดเข้าปะทะแล้วเกิดระเบิดรุนแรงจนควันจากการระเบิดลอยโขมงบดบังทุกอย่างในรัศมีนั้น

                แต่เสียงของอิงศรกลับดังออกมาจากกลุ่มควัน

                “เหล่าวัชพืชเอ๋ย...

                จากนั้นแผ่นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและหยุดลง

                แล้วก็สั่นขึ้นมาอีกแล้วก็หยุดไปอีก

                การสั่นสะเทือนสลับไปมานั้นเหมือนกับจังหวะย่างเท้าบางทีม้าอาจจะกำลังเคลื่อนที่เข้ามา

                ตอนนั้นเองอาคารสูงที่อยู่ใกล้กับบริเวณนั้นก็เกิดเอนตัวเหมือนถูกเบียดจนกระทั่งถล่มลง

                ใบหน้าของม้าโผล่ออกมาจากกลุ่มควัน

                “โทษทัณฑ์ของการมาบุกรุกสวนอันศักดิ์สิทธิ์จะต้องถูกถอนรากถอนโคน!

                เสียงของอิงศรคำรามดังกึกก้องปานฟ้าร้อง ทันใดนั้นดวงตาของม้าที่เปล่งประกายแสงสีแดงก็ยิ่งทวีความเจิดจ้าจนดูราวกับมีเปลวไฟลุกออกมาจากดวงตา

                “ดูเหมือนฉันต้องลงมือเองสินะ

                โซเดียมเริ่มควงไม้เท้าแล้วเปลวไฟก็ลุกพรึ่บขึ้นที่ส่วนหัวกับปลายไม้เท้า เปลวไฟถูกเหวี่ยงควงจนกลายเป็นวงล้อเพลิง จากนั้นก็หมุนตัวหนึ่งรอบเกิดวงเวทที่วาดขึ้นจากไฟจำนวนเจ็ดวงล้อมรอบจุดที่ยืน

                “มหาอัคคีราโอ (MahaAkkhielao)”

                โซเดียมร่ายสกิลแล้วสะบัดไม้เท้าที่ควงอยู่ออกเป็นการสั่งให้เวททำงาน

                วงเวทไฟทั้งเจ็ดวงระเบิดพร้อมกันและได้ยิงลำแสงพระเพลิงออกไปด้วย

                ลำแสงเพลิงที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงเป็นสกิลโจมตีสายไฟขั้นสูงสุง การโจมตีระดับนั้นถูกใช้โดยผู้เชี่ยวชาญเวทเพลิงและยังเป็นถึงราชครูมนุษย์ต่างดาวที่มีเลเวลถึง 144 ซึ่งเป็นเลเวลสูงที่สุด ดังนั้นการโจมตีนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดปรมาณูที่สามารถกวาดล้างทุกอย่างให้หายไปในพริบตาได้

                แต่ลำแสงเพลิงทั้งเจ็ดลำก็มอดดับลงกลางอากาศโดยที่ยังเข้าไม่ถึงตัวของม้า

                “บ้าน่ะ! เป็นไปได้ยังไง

                โซเดียมคำราม เพราะรู้ดีว่าลำพระเพลิงไม่ได้มอดดับไปเอง... แต่เพราะอนุภาคที่เกิดจากอุกกบาตตอนที่สลายตัวแล้วก็ล่องลอยอยู่รอบตัวม้ามาตลอดพอลำแสงเพลิงกระทบเข้ากับมันแล้วก็สลายไปทันที

                เสียงของอิงศรดังออกมาจากม้า...

                “โซเดียลาโอ (Zodialao)”

                ทันใดนั้นเอง ดวงตาของม้าที่ลุกวาวอยู่แล้วก็ยิ่งเปล่งแสงเจิดจ้าแล้วแสงก็รวมกันยิงออกไปเป็นลำโดยเล็งตรงไปที่โซเดียม

                ราชครูหญิงรีบร่ายสกิลป้องกันตัวทันใด

                “เอเลเมนท์วอลล์ (Element Wall)”

                บาเรียแสงจำนวนห้าอันห้าสีปรากฏขึ้นขวางระหว่างตัวของโซเดียมกับลำแสงที่ม้ายิงมา มันคือกำแพงอาคมที่มีคุณสมบัติต้านทานทั้งห้าธาตุ ดิน น้ำ ไม้ ไฟ ทอง อย่างสมบูรณ์แบบและยังป้องกันการโจมตีอื่นๆ ได้อย่างแน่นหนาชนิดที่ว่าไม่มีทางจะพังทลายลงในการโจมตีครั้งเดียว แต่ทว่า...

                ลำแสงกลับทะลวงผ่านบาเรียทั้งหมดอย่างง่ายดายแล้วปะทะเข้ากับร่างของโซเดียม ทะลวงผ่านร่างนั้นไปพร้อมกับช่วงชิงชีวิตมา

     

    Sodium Lv. 144

    [.....0:49500.....]

     

                แถบพลังชีวิตกลายเป็นว่างเปล่าในพริบตาร่างของโซเดียมสูญสลายไปในลำแสงนั้น

                ลำแสงยังคงแล่นต่อไปถึงตกกระทบลงบนพื้นแต่ก็ยังลากต่อไปข้างหน้า

                ลากผ่านฝูงมนุษย์ต่างดาวแล้วช่วงชิงชีวิตไปมากมาย

                แถบพลังชีวิตของมนุษย์ต่างดาวจำนวนมากที่ซ้อนทับกันจนราวกับทุ่งดอกไม้สีแดงทยอยร่วงลับเหมือนถูกสายลมเด็ดออก ลำแสงยังคงมุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ

                ลากผ่านกองทัพของมนุษย์แล้วทำให้ร่วงโรยเหมือนกลีบดอกไม้

                ลากผ่านสัตว์เทวะจ่าฝูงทั้งสองตัวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่เพราะมาขวางเส้นทางยิงจึงถูกกำจัดไปพร้อมกัน

     

    Crimson Feather

    Heraldic Beast Deity: Crimson Feather Lv. 50

    [.....0:59000…..]

     

    Heraldic Beast Deity: Dusk Shell Lv. 50

    […..0:60000…..]

               

                ลากผ่านพวกมีนาไปแบบฉิวเฉียดแล้วแล่นเข้าไปในวิทยาลัยและยังลงลากต่อไปอีกระยะหนึ่งก่อนจะระเบิดออก

                แผ่นดินสั่นสะเทือนอีก

                เสียงระเบิดดังกัมปนาท

                แรงระเบิดผ่าทิวทัศน์ออกเป็นสองส่วน

                หลังจากการระเบิดสงบลงพื้นที่วิทยาลัยก็ตกอยู่ในสภาพถูกแบ่งครึ่ง

                อาคารที่อยู่ในวิถีของลำแสงและตกเป็นเหยื่อของแรงระเบิดที่เกิดตามมาถูกบดขยี้เละเป็นผงป่นปี้ไปหมดทุกอย่าง

                สนามรบพังพินาศ...

                ด้วยการโจมตีแค่ครั้งเดียวก็ปลิดชีพทุกเผ่าพันธุ์ไปมากมายไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาวแม้แต่สัตว์เทวะก็ไม่ได้รับการยกเว้นทั้งหมดกลายเป็น ศูนย์

                เลขศูนย์ของพลังชีวิตผลิบานไปทั่วทั้งสนามรบ

                ฉากที่ลำแสงมฤตยูนั่นสรรสร้างขึ้นมาไม่ใช่ภาพสรุปหลังสงครามแต่เป็นภาพของวันสิ้นโลก...เป็นการกวาดล้างอย่างสมบูรณ์แบบจนหาที่ติไม่ได้

                "วัชพืชอันเน่าเหม็นจะต้องถอนรากถอนโคนให้กลับคืนสู่ความว่างเปล่า"

                เสียงของอิงศรพูดทิ้งท้ายไว้เช่นนั้น...

                หลังจากช่วงเวลาแห่งการนิ่งเงียบผ่านพ้นไปความโกลาหลก็เข้าปกคลุมทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาวก็แทบไม่แตกต่างกัน การตอบสนองในเวลานี้มีแต่ คำถาม, เสียงกรีดร้องอย่างเสียสติ, คำพูดก่นด่า, เสียงกรีดร้องและร่ำไห้

                พันโทข้าวหลามรอดชีวิตมาได้หวุดหวิดทั้งที่อยู่ในเส้นทางลำแสงเพราะลูกน้องคนหนึ่งผลักเขาออกมาก่อนแล้วก็โดนลำแสงนั่นพรากชีวิตไป

                เขารู้สึกเจ็บอย่างรุนแรงที่หัวไหล่ข้างซ้าย บางทีไหล่อาจจะหลุดตอนที่ล้มเพราะถูกผลัก

                แต่ไม่มีเวลามามัวเสียใจหรือร้องครางโอดโอยอีกแล้ว

                ข้าวหลามพยายามฝืนตัวเองลุกขึ้นยืน

                รอบตัวก็มีแต่คนตายห้อมล้อมเต็มไปหมดหาคนรอดชีวิตแทบไม่ได้ จากนั้นจึงเบี่ยงสายตามองเข้าไปในวิทยาลัยที่พังพินาศแทน อาคารศูนย์บัญชาการถูกเป่ากระเด็นไปแล้ว...

                สิงห์ที่อยู่ที่นั่นกับพวกคนที่ศูนย์บัญชาการคงตายหมด ตายแบบไม่รู้ตัวเลยเพราะว่าไม่มีสัญญาณติดต่อมาหาในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น

                “บ้าเอ้ย...นี่พวกเราต้องมาจบสิ้นเพราะม้าที่นายเก็บมางั้นเรอะสิงห์

                ข้าวหลามพึมพำแล้วหันไปยังทิศที่ม้ายักษ์ยืนอยู่

                ม้ายังคงเคลื่อนที่ มันก้าวเท้าแล้วแผ่นดินก็สั่นสะเทือนแล้วก็ก้าวอีก ใครหลบไม่ทันก็จะถูกเหยียบตายไปทั้งอย่างนั้น

                 แล้วตอนนั้นเอง...

                ระหว่างย่างก้าวหนึ่งของม้านั่นเอง

                ในบรรดาฝูงมนุษย์ต่างดาวที่พากันหนีจากกีบเท้ายักษ์ที่กำลังจะเหยียบลงบนพื้นมีตนหนึ่งที่ไม่หนีแต่กลับยืนเผชิญหน้า พันโทข้าวหลามจำได้ว่านั่นคือมนุษย์ต่างดาวที่อิงศรบอกว่าเป็นน้องชาย

                น้องชายของอิงศรตะโกนใส่ม้าไปว่า

                “ศร หยุดเถอะ อย่าอาละวาดไปมากกว่านี้เลย

                แต่กีบเท้าไม่ฟังคำพูดนั้นแล้วทุ่มลงมาบดขยี้ร่างที่โง่เขลา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×