คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #202 : Login 199: พงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม (พูดคุยกับปีศาจ)
Login
199: พงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม (พูดคุยกับปีศาจ)
อิงศรไล่ตามมิ่งขวัญที่ออกไปข้างนอก
หลังจากฆ่า
‘อสูร’ แล้วเขาที่เอลิกอร์สิงสู่อยู่ก็ออกจากห้องนอนมาที่ระเบียงซึ่งมืดสนิท
มองข้ามแนวรั้วกั้นระเบียงออกไปก็เห็นแต่เงาของแมกไม้ที่ปลูกอยู่ในสวนด้านล่าง
”เจ้าขวัญไปไกลแล้วเหรอเนี่ย”
อิงศรพูดคำรามอย่างเจ็บใจ
ตอนนั้นเอง
ก็รู้สึกว่าเขี้ยวในปากหายไป เขาบนหัวก็เริ่มยุบตัวเช่นกัน
เอลิกอร์ที่อยู่ในร่างกล่าวว่า
“เฮอะ
ไม่มีให้สู้แล้วงั้นข้าขอตัวล่ะนะ”
สัมผัสของเอลิกอร์กำลังจะหายไป
แอพพลิเคชันคงถึงขีดจำกัดแล้ว
“อืม ขอบใจนะ”
“เฮอะ
ถ้าจะขอบใจปีศาจก็อย่าเอาแต่พูดตามมารยาทรีบๆ ยกร่างนี้ให้ข้าซะ”
นั่นปะไร…อิงศรคิด
สุดท้ายแล้วเอลิกอร์ก็ยังเหมือนเดิมทั้งที่แอบคิดไปเองบ้างแล้วว่าอีกฝ่ายยอมเชื่อฟังเขาขึ้นมาบ้าง
แต่เอลิกอร์ก็ยังพูดต่อไปอีกว่า
“เอาเถอะเรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างแต่แกเป็นผู้ชายที่ตรงกับที่ข้าคิดเอาไว้จริงๆ”
“หมายความว่ายังไง”
พอถามไปปีศาจก็หัวเราะ
“ฮะฮะฮะ
ก็หมายความว่าแกมาถึงตรงนี้ได้ยังไงล่ะ อิงศรข้าน่ะเป็นปีศาจ ปีศาจซึ่งโหยหาโชคชะตาแล้วโชคชะตาของเจ้าก็ช่างหอมหวานเสียเหลือเกินเพราะเป็นเจ้าถึงได้เดินมาถึงจุดที่มนุษย์น่าโง่ตัวไหนก็มาไม่ถึงไม่สิต้องบอกว่ามาถึงตรงนี้ได้โดยยังหลงเหลือความเป็นมนุษย์อยู่ต่างหาก”
“อยากจะพูดอะไรกันแน่”
“เอ๋~ เรื่องนั้นข้าว่าเจ้ารู้อยู่แก่ใจดีแล้วนะหรือจะให้ข้าพูดมันออกมากันล่ะ
ลึกๆ
แล้วในใจเจ้าก็คิดอยู่สินะว่าสุดท้ายก็ต้องทำสงครามกับพระเจ้าน่ะเพราะว่าพวกมันไม่ยอมคุยกับมนุษย์แน่
ทางเลือกของเจ้ามันชี้ไปแบบนั้นแล้วทีนี้เจ้าก็จะเป็นคนของคำทำนาย
ผู้สืบทอดชะตากรรมของเทวสุรสงครามที่ยาวนานมาถึงปัจจุบันนี่ ไม่มีโชคชะตาไหนจะมุ่งหน้าสู่สนามรบอันยิ่งใหญ่ได้เท่านี้อีกแล้วเพราะอย่างนั้นข้าหายนะแห่งสงคราม
เอลิกอร์ผู้นี้ถึงเลือกเจ้าเป็นผู้ถือครองยังไงล่ะ”
“เหลวไหลน่ะ
แกแค่บังเอิญเป็นแอพที่สิงห์เอามาให้ฉันมันก็เท่านั้นเอง”
“แค่บังเอิญเรอะ
เอาเถอะถ้าคิดได้แค่นั้นก็ตามใจอย่างไรซะข้าก็คือเจ้าแล้วเจ้าก็คือข้า
เจ้ารู้อะไรข้าก็รู้เหมือนเจ้า”
“พูดแบบนั้นจะเรียกเมอร์คาบาห์ออกมารึไง”
“ชิ
ขอเตือนไว้ก่อนเลยก็แล้วกันอิงศรถึงเทวทูตนั่นจะเป็นภาคหนึ่งของเจ้าแต่อย่าได้ไปไว้ใจพวกมันเชียวล่ะเพราะเทวทูตอย่างไรก็เป็นเทวทูตวันยังค่ำ”
เอลิกอร์ฝากคำพูดเอาไว้แล้วจึงหายไป
สัมผัสถึงตัวตนของปีศาจไม่ได้
อีกฝ่ายคงกลับไปแล้ว
ตั้งแต่ได้เอลิกอร์กลับมาก็ดูเหมือนว่าจะพูดมากกว่าเดิมถึงเนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องโกหกก็ตาม
เจ้านั่นแค่แต่งเรื่องโดยใช้ความทรงจำของผู้ครอบครองที่จะแบ่งให้กับปีศาจ
แต่ก็ปฏิเสธเรื่องที่คิดว่าอาจจะต้องสู่กับแอดมินิสเทรเตอร์ไม่ได้
ลึกๆ แล้วเขาก็กังวลว่าอาจจะไม่มีทางเลี่ยงแล้วก็เป็นได้
ก่อนหน้านี้ตอนที่แอดมินิสเทรเตอร์ลูนาริสลงมาที่โลกก็ได้พูดเอาไว้ว่า
ผลการตัดสินลุล่วงไปแล้ว
วัชพืชบนสวนจะต้องถูกกำจัด
รวมกับที่ฟังจากซีลอร์ดมาก็พอจะรู้อยู่เลาๆ
ว่าลูนาริสคือผู้ที่คัดค้านการกวาดล้างในตอนแรกแล้วเลือกมอบบททดสอบให้แต่ตอนนี้เจ้าตัวกลับมาบอกว่าต้องกวาดล้าง
นั่นหมายความว่าแอดมินิสเทรเตอร์ไม่คิดจะต่อรองกับมนุษย์ที่ถูกตัดสินเป็นวัชพืชอีกแล้ว
ถ้าดูจากสาเหตุที่การทดสอบนี้เริ่มขึ้นก็คงเป็นเมอร์คาบาห์
เริ่มจาก
อารย-สนธยา
อยากจะบุกรุกถิ่นที่อยู่ของแอดมินิสเทรเตอร์จึงค้นคว้าเกี่ยวกับเมอร์คาบาห์
ราชรถซึ่งนำทางสู่สวรรค์
นั่นเป็นสิ่งที่รู้มาในตอนที่เริ่มสงสัยเกี่ยวกับครอบครัวของตัวเองและค้นพบฐานลับของอารย-สนธยาที่มีเอกสารลับการซื้อขายตัวเขากับน้องชายสำหรับใช้เป้นตัวทดลอง
แล้วก็ด้วยเหตุนั้นเองแอดมินิสเทรเตอร์จึงลงโทษมนุษย์ที่คิดทะเยอทะยานเช่นนั้น
แต่เบื้องหลังกลับกลายเป็นสิงห์ที่เป็นคนของเมตไตรยอยู่เบื้องหลังการทดลองของอารย-สนธยาที่จะอัญเชิญเมอร์คาบาห์ไปแทน
ตัวตนที่ผลักดันสิงห์อยู่อีกทอดก็คือซีลอร์ดหนึ่งในเครื่องทำสวนทั้งสิบสอง
จากข้อมูลเรื่องพงศาวดารเทวสุรสงครามเครื่องทำสวนถูกสร้างขึ้นมาในสงครามยิ่งใหญ่ครั้งอดีต
สครามนั่นบางทีอาจจะหมายถึง
แอดมินิสเทรเตอร์ กับ ยฮวฮ
และพวกเทวทูตที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังเมตไตรยทำสงครามกันในสมัยก่อนและถูกขับไล่ลงมาที่โลก
แล้วข้อมูลใหม่จากซีลอร์ดและซีเซียมที่บอกเล่าว่าเทวทูตพวกนั้นทำการทดลองอัญเชิญปีศาจโดยปิดตายเมืองแห่งหนึ่งทำให้สิงห์ได้พบกับซีลอร์ดเมื่อสิบสองปีก่อนก็คือจุดเริ่มต้นการอัญเชิญเมอร์คาบาห์ในเวลาต่อมา
ถ้าสรุปแบบนั้นตัวต้นเหตุที่ทำให้มนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับบททดสอบก็คือแอดมินิสเทรเตอร์เองไม่ใช่หรือไง
มนุษย์แค่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมืออีกทีไม่ใช่เหรอ
ที่ไหนซักแห่งในใจของเขาคงกำลังเรียกร้องหาความยุติธรรมด้วยความโกรธที่รอจะปะทุออกมาอยู่กระมัง
แล้วเอลิกอร์ก็ใช้ประโยชน์จากตรงนั้นพยายามจะปลุกเอาความโกรธของเขาขึ้นมาเพื่อให้ไปต่อสู้ชี้ขาดกับแสงสว่างที่เป็นแอดมนิสเทรเตอร์
แต่ว่า...
“ก็ยังแปลกอยู่ดี”
อิงศรครุ่นคิดไปก็ออกวิ่งไปตามทางเดินระเบียงมุ่งหน้าไปยังบันไดเพื่อขึ้นไปยังชั้นห้าที่พวกผู้หญิงพักอยู่เขารู้สึกเป็นห่วงตรงนั้นมากกว่าเพราะพลอยกับนิวที่ยังอ่อนหัดเรื่องต่อสู้ก็อยู่ที่นั่นไหนจะมีนาท่ป้องกันตัวเองไม่ค่อยจะได้อีก
ระหว่างนั้นก็ทบทวนความคิดเสียใหม่
การที่ซีลอร์ดฝากซีเซียมให้ถ่ายทอดนิทานเรื่องนี้จะต้องมีจุดประสงค์อะไรอยู่อย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้เขาคิดมาซักพักแล้วว่า
หากสรุปว่าแอดมินิสเทรเตอร์ทำสงครามกับยฮวฮในสมัยก่อนคือพงศาวเทวสุรสงครามแล้วล่ะก็ยังมีเรื่องไม่ถูกต้องอยู่หลายจุดเลย
มนุษย์คนแรก
‘อดัม’ นั่นน่าจะเกิดขึ้นหลังจากเทวสุรสงคราม เพราะกำเนิดจาก ‘มังกร’
ที่ถูกจัดการลงทำให้สงครามสิ้นสุด
แต่ตอนที่ ยฮวฮ
หลุดออกมาจากอาคาชิกเรคคอร์ดมันน่าจะเป็นหลังจากนั้น เพราะในเหตุการณ์เฮเว่นฟอล
นั่นซีลอร์ดพูดเหมือนกับว่ามนุษย์ดำรงอารยธรรมมาได้ซักระยะแล้วถึงไดมีความเชื่อที่กลายเป็นขุมพลังให้กับ
ยฮวฮ ถ้าอย่างนั้นเทวสุรสงครามก็ไม่ใช่สงครามระหว่างแอดมินิสเทรเตอร์กับยฮวฮ
แต่เป็นอย่างอื่น
ยิ่งเอลิกอร์ที่เป็นปีศาจตั้งตัวเป็นศัตรูกับเทวทูตอย่างเมอร์คาบาห์ให้เห็นอีกทำให้ฟันธงได้ว่า
เทวสุรสงครามน่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับเฮเว่นฟอล
อีกย่างทั้งสองเหตุการณ์ถูกพูดถึงโดยซีลอร์ดทั้งคู่แต่เรียกชื่อเหตุการณ์แยกกันนั่นเป็นเรื่องยืนยันที่ดีที่สุดแล้ว
ถ้าอย่างนั้น
เทวสุรสงคราม เป็นสงครามระหว่างอะไรกันล่ะ
เรื่องที่ยืนยันได้คือฝ่ายหนึ่งต้องเป็นแอดมินิสเทรเตอร์ที่สร้างเครื่องทำสวนอย่างแน่นอนแต่อีกฝ่ายล่ะ
ฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า
‘ความมืด’
สร้าง ‘อสุรา’
ขึ้นมาเป็นอาวุธ
ให้กำเนิดมนุษย์จาก
‘มังกร’
“…”
ตอนที่คิดอยู่นี่ก็เดินขึ้นมาถึงชั้นห้าพอดีแล้วก็มีเสียงต่อสู้ดังแว่วมาจากทางที่ห้องของพวกมีนาตั้งอยู่
“ขวัญ!
เดี๋ยวจะทำอะไรน่ะ”
“อ๊ะ
คุณมิ่งขวัญ
ได้ยินพลอยกับมีนาตะโกนโหวกเหวกมาแบบนั้น
“ขวัญงั้นเหรอ”
อิงศรสลัดความคิดทั้งหมดออกจากหัวแล้ววิ่งตรงไปตามทางที่มืดสนิทของระเบียง
เขาวิ่งผ่านจุดที่มีแผงสวิตซ์ไฟโดยที่ทดลองกดสวิตซ์ทั้งหมดแล้ววิ่งผ่านมาเลย
แต่ไฟไม่ติด
ดูเหมือนว่าศัตรูจะเล่นงานระบบไฟฟ้าของอาคารด้วย
“เฮ้!
เป็นไงกันบ้าง”
อิงศรตะโกนพร้อมเร่งฝีเท้าฝ่าความมืดจนมาถึงหน้าห้องพวกผู้หญิง
ตรงฝั่งรั้วกั้นระเบียงที่มองออกไปเห็นหมู่ดาวระยิบระยับพร่างพราย
มีนา
พลอย
นิว
ทั้งสามอยู่ในชุดรบพร้อมอาวุธ
ท่าทางเหมือนเพิ่งจะต่อสู้เสร็จมาหมาดๆ อยู่ที่นั่น
มีนาที่นั่งแหมะอยู่บนพื้นพูด
“คุณอิงศร...”
แล้วใช้เคียวหยัดตัวลุกขึ้นยืน
อิงศรถาม
“เพิ่งสู้กับขวัญไปเหรอ”
แต่มีนาทำหน้างุนงงแล้วส่ายหน้า
“เปล่าค่ะที่พวกเราสู้ด้วยคือผู้หญิงแก่ๆ
ที่ฉันเห็นในป่าเมื่อวันก่อนดูเหมือนจะไม่ใช่มนุษย์ด้วยล่ะค่ะ”
มีเสียงห้าวๆ
ของผู้ชายดังมาจากด้านหลังของทั้งสาม
“เจ้านั่นเป็นอสูรน่ะ”
อิงศรมองไปทางนั้นแล้วพบว่ายังมีอีกคนนอกจากพวกพ้องอยู่ที่นี่อีกคน
เป็นชายผิวคล้ำร่างกำยำสูงใหญ่มีเขายาวโง้งงอกจากหน้าผากและปีกค้างคาวบนหลังทำให้รู้ว่าหมอนี่ไม่ใช่มนุษย์
“หืม หมอนี่ใครน่ะ”
“อ๋อ เวตาลน่ะค่ะใช้ลีลีสสเตจเรียกออกมาค่ะ”
มีนาพูดแล้วแกว่งเคียวในมือให้ดูเป็นนัยว่าชายแปลกหน้าออกมาจากแอพพลิเคชันที่ติดตั้งไว้ในเคียว
อิงศรพูด
“ช่างเถอะแล้วตกลงเมื่อกี้เจอขวัญด้วยรึเปล่า”
“ค่ะ
พวกฉันตั้งใจจะจับอสูรผนึกเป็นเดม่อนแอพแต่คุณมิ่งขวัญโผล่มาจากไหนไม่รู้แล้วก็อุ้มอสูรหนีลงไปที่สวนแล้วล่ะค่ะ
พอได้ยินว่ามีนาจะจับอสูรผนึกเป็นแอพพลิเคชัน
อิงศรก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“เดี๋ยวนะอสูรมันทำเป็นเดม่อนแอพได้ด้วยเหรอ”
“แค่ทดลองดูน่ะค่ะแต่ก็อย่างที่บอกไปว่ายังไม่ทันเสร็จพิธีคุณมิ่งขวัญก็…”
“ช่างเถอะ แล้วขวัญไปทางไหนรีบตามไปก่อนจะคลาดกันดีกว่า”
พอได้ฟังที่พูดไปมีนาก็หรี่ตาจ้องมองเขาเหมือนจะตำหนิผ่านสายตา
“คุณอิงศรคะ ยอ เอือ กอ เยือก ยอ เอ นอ เย็น ค่ะ”
หล่อนพูดด้วยเสียงยานคาง
“หา?”
“ตอนนี้มันมีเรื่องที่สำคัญกว่าการตามคุณมิ่งขวัญไปทันทีอยู่ไม่ใช่เหรอคะ”
“…”
มีนาถอนหายใจด้วยความเอือมระอา
“คุณอิงศรเนี่ยพอเป็นเรื่องของน้องชายแล้วก็หัวร้อนทุกทีเลยนะคะเมื่อเย็นก็ทีหนึ่งแล้วถ้าอยากจะทำตัวเป็นพระเอกฮาเร็มแบกตี้สาวน้อยบอบบางไปเจอศัตรูทั้งโขยงก็ตามใจค่ะยังไงก็คงทิ้งให้ไปคนเดียวไม่ได้อยู่แล้ว”
มันก็จริงอย่างที่หล่อนพูด
พอถูกดึงสติอิงศรก็นึกขึ้นได้ว่าหากไล่ตามไปตอนนี้
มิ่งขวัญที่มีท่าทีแปลกๆ
ช่วยเหลือศัตรูหนีไปมีความเป็นไปได้ที่จะถูกควบคุมหรือทำอะไรบางอย่างเข้า
หากไล่ตามไปทั้งแบบนี้อาจจะถูกลวงเข้าไปในถิ่นศัตรูโดยที่มีแต่สมาชิกที่อ่อนแอก็จะกลายเป็นว่าเข้าไปเหยียบกับดักของศัตรูเอาง่ายๆ
ทำไมเขาถึงนึกเรื่องพื้นฐานขนาดนี้ไม่ออกกันนะ
เพราะขวัญสินะ
ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อคืนเขาก็เป็นกังวลจนนอนไม่หลับ
พอไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอบวกกับความกลัดกลุ้มอีกความสามารถในการตัดสินใจเลยตกลงถึงขนาดที่พวกพ้องสังเกตได้
มีนาพูด
“แล้วอีกอย่างถ้าจะไล่ตามคุณมิ่งขวัญไปน่ะเราก็มีตัวช่วยอย่างระบบติดตามตัวของปาร์ตี้อยู่แล้วนี่คะ”
“เข้าใจล่ะ งั้นเราไปสมทบกับพวกกวินทร์ข้างล่างแล้วค่อยไล่ตามไป”
“พาพวกราชครูไปด้วยดีไหมคะพวกนั้นน่าจะช่วยเราได้เยอะ”
พอมีนาพูดก็ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนจะขึ้นมาที่นี่นั้น...
“อย่าเพิ่งดีกว่าเมื่อกี้ตอนฉันสู้กับอสูรที่ห้องนอน เผลอทำเพดานถล่มไปชั้นล่างตกใส่หัวเจ้าซีเซียมซะสลบเหมือดขืนไปตอนนี้ได้เคลียกันยาวแหง”
ได้ยินแบบนั้นมีนาก็ยกมือปิดปากพลางลั่นอุทานว่า
“อุหวาย แบบนั้นคงไม่ดีจริงๆ นั่นแหละค่ะ”
“ถ้างั้นก็รีบไปกันเถอะ”
อิงศรพูดตัดบทแล้วก้าวท้าวเตรียมจะวิ่งแต่ก็ถูกมีนาดึงแขนเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนค่ะไหนๆ
ก็แล้วเตรียมตัวให้พร้อมออกรบเลยดีกว่าไหมคะ”
เด็กสาวพูดแล้วชี้มาที่ตัวของเขา
กว่าจะเข้าใจว่ามีนากำลังหมายถึงเสื้อก็ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง
“เข้าไปเปลี่ยนที่ห้องน้ำในห้องของพวกฉันก็ได้ค่ะ”
อิงศรเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจ
แต่มันก็จำเป็นจริงๆ นั่นแหละ
เขาบอกกับตัวเองแบบนั้นแล้วเปิดหน้าจอคลังดึงเอาเครื่องแบบออกมาก่อนจะจ้ำเท้าเร็วๆ
หายเข้าไปในห้องน้ำแล้วกลับออกมาในสิบวินาทีให้หลัง
“เร็วจังนะคะ”
“ไม่มีเวลามาโอเอ้แล้วรีบเข้าเถอะ”
อิงศรพูดแล้วออกเดินนำไปทันที
“ใส่เสื้อกลับด้านนอกเข้าด้านในแล้วค่ะ”
พอถูกทักมาแบบนั้นทำให้เพิ่งสังเกตตัวเองว่าใส่กลับด้านจริงๆ
นั่นแหละ
แต่อิงศรไม่คิดจะมาเสียเวลาเข้าไปกลับด้านเสื้อในห้องน้ำอีกแล้ว
เด็กหนุ่มปลดกระดุมเสื้อแล้วถอดมันออกโดยไม่หยุดฝีเท้า
ได้ยินเสียงมีนาดังแว่วมาจากทางด้านหลัง
“อุ้ย”
เสียงฝีเท้าของอีกสองคนที่เหมือนจะหยุดกึกไปกลางคัน
อิงศรเมินท่าทีเหล่าแล้วกลับด้านเสื้อใส่ใหม่โดยที่ไม่หยุดเดิน
จากนั้นเสียงฝีเท้าไล่ตามก็เริ่มดังขึ้นมาอีก
มีนาพูดไล่มาจากด้านหลังว่า
“คุณอิงศรเนี่ยไม่มีความละเอียดอ่อนเอาซะเลยนะคะ”
ดูเหมือนเขาจะถูกตัดสินว่าไม่มีความละเอียดอ่อนเพราะแค่เปลี่ยนเสื้อต่อหน้าผู้หญิง
“หนวกหูน่ะ”
เขาคำรามเบาๆ แล้วยิ่งจ้ำเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อหนีให้ห่าง
ความคิดเห็น